คลังเก็บป้ายกำกับ: Calibrate’s Article

เช็คด่วน เครื่องมือที่หากไม่ สอบเทียบเครื่องมือวัด เท่ากับเสียหายหลักล้าน

อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เทรนด์การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยช่วงปีหลังๆ มีแนวโน้มที่น่าสนใจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอุตสาหกรรมประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ผ่านการทดสอบหรือ สอบเทียบเครื่องมือวัด จากห้องปฏิบัติการที่ได้การรับรอง ISO/IEC 17025 เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ผ่านมาตรฐานได้คุณภาพ และความปลอดภัยได้โดยทำการ

  • การวัดค่ากระแสไฟฟ้า แรงดัน ความต้านทาน และกำลังไฟฟ้า

  • การสอบเทียบเครื่องมือวัด เช่น มัลติมิเตอร์ ออสซิลโลสโคป

  • การทดสอบคุณภาพพลังงาน (Power Quality Analysis)

คุณภาพพลังงาน (Power Quality Analysis) คืออะไร?

คุณภาพพลังงาน (Power Quality) หมายถึง การประเมินประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าไฟฟ้าที่จ่ายให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือลดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า

การวิเคราะห์คุณภาพพลังงาน (Power Quality Analysis)

คือกระบวนการตรวจสอบและวัดค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของระบบไฟฟ้า โดยใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้าเฉพาะทาง เช่น Power Quality Analyzer เพื่อระบุปัญหาและหาแนวทางแก้ไข

พารามิเตอร์ที่วัดในการวิเคราะห์คุณภาพพลังงาน

พารามิเตอร์ ความสำคัญ
แรงดันไฟฟ้า (Voltage) ตรวจสอบความเสถียรของแรงดัน
กระแสไฟฟ้า (Current) วัดความสมดุลของโหลดไฟฟ้า
ฮาร์มอนิก (THD – Total Harmonic Distortion) ตรวจสอบการรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ตัวประกอบกำลัง (Power Factor) ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
แรงดันตก/กระชาก (Voltage Dip/Swell) ป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์
ความถี่ (Frequency) ความเสถียรของระบบไฟฟ้า

ตัวอย่างความสำคัญของคุณภาพพลังงาน

หนึ่งในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่นการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์ จำเป็นต้องให้ความสำคัญของคุณภาพพลังงานอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ ต้องการคุณภาพพลังงาน (Power Quality) สูงที่สุด เนื่องจากเครื่องจักรที่ใช้มีค่าความผิดพลาดที่ยอมรับได้ต่ำมาก (บางกระบวนการยอมให้ผิดพลาดเพียง ไม่กี่นาโนเมตรหรือพิโคเซคอนด์) หากไฟฟ้ามีปัญหา เช่น ไฟตก ไฟกระชาก ฮาร์มอนิกสูง หรือสัญญาณรบกวนส่งผลให้

  1. เครื่อง Lithography (เครื่องฉายแสงสร้างลายวงจร)

    • ใช้แสงเลเซอร์ความแม่นยำสูง (EUV/DUV) เพื่อแกะสลักลายวงจรบนเวเฟอร์ซิลิกอน

    • หากแรงดันไฟฟ้าตกหรือกระชากเพียง ไม่กี่มิลลิวินาที อาจทำให้

      • ลายวงจรเบี้ยว (Overlay Error) > ชิปเสียหายทั้งแผ่น

      • เลนส์หรือระบบควบคุมเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง > ต้องปรับเทียบใหม่ (ค่าเสียหายสูง)

    • ตัวอย่างค่าเสียหาย: เครื่อง Lithography รุ่นใหม่มีราคา 30–200 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และเวเฟอร์ซิลิกอน 1 แผ่น (300mm) มีมูลค่า หลายแสนบาท หากผลิตเสียหาย 1 แผ่น อาจสูญเสียเงินมหาศาล

2. เครื่องทดสอบวงจรรวม (IC Tester)

    • ใช้ตรวจสอบชิปทุกตัวก่อนส่งให้ลูกค้า โดยส่งสัญญาณไฟฟ้าความถี่สูง (GHz)

    • หากมีสัญญาณรบกวน (Noise) หรือฮาร์มอนิก

      • ผลทดสอบคลาดเคลื่อน > อาจตัดชิปดีเป็นชิปเสีย (Yield Loss)

      • เครื่องอ่านค่าผิดพลาด > ต้องทดสอบซ้ำ (เสียเวลาและค่าไฟฟ้า)

เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตและทดสอบ

เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพพลังงานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้าความแม่นยำสูง ได้แก่

1. เครื่องวิเคราะห์คุณภาพพลังงาน (Power Quality Analyzer)

ตัวอย่างเครื่องมือ Fluke 435 Series, Hioki PW3390
หน้าที่

  • วัดแรงดัน/กระแสแบบ Real-time
  • ตรวจฮาร์มอนิก (THD, Individual Harmonics)
  • บันทึกเหตุการณ์ไฟตก/ไฟกระชาก (Voltage Sag/Swell)
  • ความแม่นยำ: ±0.1% ของค่าที่อ่านได้

2. ออสซิลโลสโคปความถี่สูง (High-Frequency Oscilloscope)

ตัวอย่างเครื่องมือ Keysight Infiniium Series, Tektronix DPO70000
หน้าที่

  • ตรวจสัญญาณรบกวน (Noise) ในระบบไฟฟ้า
  • วัดความเร็วสัญญาณดิจิทัลใน IC Tester (ขึ้นถึง 100 GHz)
  • ความแม่นยำ: ±1% สำหรับสัญญาณความถี่สูง

3. เครื่องวัดความต้านทานและความจุไฟฟ้า (LCR Meter)

ตัวอย่างเครื่องมือ Keysight E4980A, Hioki IM3536

หน้าที่

  • วัดค่าความต้านทาน (Resistance), ความจุ (Capacitance), และความเหนี่ยวนำ (Inductance) ของวัสดุเซมิคอนดักเตอร์
  • ใช้ในกระบวนการผลิตเวเฟอร์

4. เครื่องวัดสัญญาณรบกวน (EMI/EMC Analyzer)

ตัวอย่างเครื่องมือ Rohde & Schwarz ESW, Keysight N9000B

หน้าที่

  • ตรวจสอบการรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ที่อาจส่งผลต่อเครื่อง Lithography และ IC Tester

5. เครื่องกำเนิดสัญญาณความแม่นยำสูง (Precision Signal Generator)

ตัวอย่างเครื่องมือ Keysight 33600A, Tektronix AFG31000

หน้าที่

  • สร้างสัญญาณทดสอบสำหรับ IC Tester
  • ควบคุมความถี่และแรงดันให้แม่นยำ ±0.001%

สรุป

ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการผลิตอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ การ สอบเทียบเครื่องมือทางไฟฟ้าถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การวัดค่าต่าง ๆ เช่น กระแสไฟฟ้า แรงดัน ความต้านทาน และสัญญาณไฟฟ้า มีความถูกต้อง แม่นยำ และสามารถตรวจจับความผิดปกติที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์

การสอบเทียบโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จะช่วยรับรองว่าเครื่องมือวัด เช่น มัลติมิเตอร์ ออสซิลโลสโคป Power Quality Analyzer และเครื่องมือวัดความถี่สูงต่าง ๆ มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ

  • ความปลอดภัย ของระบบไฟฟ้าและเครื่องจักร

  • การลดความเสียหายและความผิดพลาด ในการผลิต เช่น การเกิด overlay error บนเวเฟอร์

  • ความสามารถในการควบคุมคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ขั้นสูง

  • การลดต้นทุน จากการทดสอบซ้ำหรือสูญเสียผลิตภัณฑ์

  • การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล

ดังนั้น การ สอบเทียบเครื่องมือวัด จึงไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการตามข้อกำหนดเท่านั้น แต่เป็นหัวใจสำคัญในการรับประกันความแม่นยำ ความเสถียร และคุณภาพของระบบการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

การสอบเทียบ การสอบเทียบเครื่องมือวัด คืออะไร?

การสอบเทียบเครื่องมือวัด(Calibration)คืออะไร

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด คือ การตรวจสอบค่าความถูกต้องของเครื่องมือที่ใช้เพื่อวัด ตวง ชั่ง ตามแต่การใช้งาน เนื่องจากการใช้งาน เครื่องมือวัด นั้นจำเป็นต้องตรวจสอบค่าของเครื่องมือให้ถูกต้องอยู่เสมอ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากเราต้องการวัตถุดิบน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เราก็ตักวัตถุดิบลงบนตาชั่ง ให้ขีดตาชั่งถึงตัวเลข 1 กิโลกรัม นั่นเอง คำถามก็คือ “น้ำหนักของวัตถุดิบนั้นเท่ากับ 1 กิโลกรัมจริงหรือ ตาช่างที่ว่านั้นเชื่อถือได้หรือเปล่า ” จึงเป็นที่มาของการ “สอบเทียบเครื่องมือวัด” ทำได้จากการเปรียบเทียบค่ากันระหว่างเครื่องมือวัดสอง เครื่อง โดยเครื่องที่ต้องการสอบจะถูกเทียบกับเครื่องมือทางวิศวกรรมที่มีความละเอียดแม่นยำสูงการตรวจสอบอุปกรณ์ช่างตวงวัดเหล่านั้นว่ามีความถูกต้องหรือไม่ เราจะเรียกเครื่องมือที่เป็นตัวเปรียบเทียบนี้ว่า “เครื่องมือสอบเทียบ (Calibrator)” โดยการสอบเทียบจะดำเนินการอ้างอิงค่ามาตรฐานผ่านเครื่องมือสอบเทียบ(Calibrator) ซึ่งจำเป็นต้องสามารถสอบกลับไปยังมาตรฐานแห่งชาติหรือมาตรฐานสากลได้ การสอบเทียบถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกระบวนการควบคุมคุณภาพและการผลิตให้มีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องของแต่ละขั้นตอนการผลิต

การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสอบเทียบเครื่องมือจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับปรุงการวัดและการผลิตสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่นในกระบวนการผลิตได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทราบได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีคุณภาพที่มาตรฐานหรือไม่ พร้อมทั้งช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้ศักยภาพสูงสุด

นอกจากนี้ การละเลยการสอบเทียบเครื่องมือวัดอาจส่งผลต่อผลิตภัณฑ์และการใช้งานของลูกค้า ดังนั้นการสอบเทียบเครื่องมือเป็นสิ่งที่สำคัญและควรทำเป็นประจำเพื่อการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพตามที่ต้องการ และตามมาตรฐานที่กำหนด

ทำไมต้องสอบเทียบ (Calibration) และประโยชน์ของการสอบเทียบคืออะไร

          ทุกวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกธุรกิจในปัจจุบันก้าวเข้าสู่ยุคการค้าเสรีการแข่งขันทางการค้ามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ การพัฒนาองค์กรในทุกๆด้านเพื่อให้มีศักยภาพสอดคล้องตามมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่สำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกระบวนการผลิต ก็คือ การ สอบเทียบเครื่องมือวัด 

ทำไมต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด

เหตุผลในการสอบเทียบเครื่องมือ ก็เพื่อที่จะทำให้ผลการวัดมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้ข้อมูลที่ได้มีความน่าเชื่อถือ ลดความผิดพลาด รวมถึงลดของเสียจากกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาค่าที่เที่ยงตรงสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การสอบเทียบนั้นยังเป็นข้อกำหนดที่อยู่ในมาตรฐานสากลหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น ISO 9001 หรือ ISO/IEC 17025 ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพของห้องปฏิบัติการสอบเทียบและความน่าเชื่อถือของกระบวนการวัดในภาพรวม ถือได้ว่าเป็นสร้างความมั่นใจว่าค่าที่ได้จากการวัดนั้นจะมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพราะการสอบเทียบนั้นจะส่งผลต่อทั้ง ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย การบำรุงรักษา ความยั่งยืนของโรงงาน รวมไปถึงคุณภาพของสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานการผลิต หากสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้คุณภาพตามมาตรฐานแล้ว ยังสามารถเพิ่มขีดจำกัดของการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การสอบเทียบถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจในกระบวนการผลิต เพราะหากเครื่องมือวัดไม่มีความแม่นยำ อาจทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อคุณภาพของสินค้าและภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตาลูกค้า ดังนั้นการสอบเทียบจึงการสอบเทียบจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น เพราะไม่เพียงช่วยลดข้อผิดพลาดและของเสียจากการผลิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น การสอบเทียบยังเป็นข้อกำหนดตามมาตรฐานระดับสากล ซึ่งยืนยันถึงระบบคุณภาพและการบริหารจัดการภายในองค์กร กล่าวได้ว่า การสอบเทียบเป็นการลงทุนที่สร้างความคุ้มค่าในระยะยาว ช่วยรักษา คุณภาพสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างความแตกต่างทางการแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน
(ทำความเข้าใจมากขึ้นด้วย VDO การสอบเทียบเครื่องมือวัดสำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ)

การสอบเทียบสามารถบอกอะไรได้บ้าง

          การสอบเทียบเครื่องมือวัด มีกระบวนการในการตรวจสอบและสอบเทียบเครื่องมือให้มีความถูกต้องตามขอบข่าย ค่าความคลาดเคลื่อน สูงสุดที่ยอมรับได้ (MPE: Maximum Permissible Error) ความเที่ยงตรง และ ข้อมูลความไม่แน่นอน (Uncertainty) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการวัด เพื่อให้ได้มาตรฐานก่อนนำออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด เมื่อเราสั่งซื้อเครื่องมือดังกล่าว ก็จะได้รับใบรับรองผลการตรวจสอบ (Inspection Certificate) หรือใบรับรองผลการสอบเทียบ (Calibration Certificate) ของเครื่องมือวัดนั้น ๆ มาด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในการสั่งซื้อ ในใบรับรองผลการตรวจสอบหรือใบรับรองผลการสอบเทียบจะระบุคุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ ของเครื่องมือวัด เช่น พิสัยการวัด (Range) ค่าความละเอียด (Resolution) ค่าความถูกต้อง (Accuracy) และสภาวะแวดล้อมได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นที่เครื่องมือสามารถทำงานได้

การใช้งานเครื่องมือที่ต่อเนื่องส่งผลอย่างไร

           แต่เมื่อเครื่องมือถูกนำไปใช้งานระยะหนึ่ง อายุของส่วนประกอบและเครื่องมือวัดที่ใช้งาน อาจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือความคลาดเคลื่อนของผลการวัดที่เกิดขึ้นนี้ อาจเกิดจากการ Drift หรือการลอยเลื่อนหมายถึง การแปรผันอย่างช้า ๆ ตามเวลาของลักษณะทางมาตรวิทยาของเครื่องมือวัด อันเนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ไฟฟ้า เคมี หรือทางกล เป็นต้น ซึ่งมีการส่งผลต่อ ความถูกต้องของเครื่องมือ อย่างแน่นอน

           นอกจากนี้ผู้ใช้งานเครื่องมือวัดจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า การเสื่อมสภาพของเครื่องมือวัด ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการใช้งานและการเก็บรักษาอีกด้วย ฉะนั้นเมื่อเครื่องมือวัดอยู่ในสภาวะดังกล่าว สิ่งที่ตามมา คือเครื่องมือวัดที่เคยบอกค่าการวัดที่ถูกต้อง, แม่นยำ อาจบอกค่าที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ส่งผลให้ผลการวัดที่ได้รับไม่น่าเชื่อถือตามไปด้วย หรือหากนำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้งานย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพของชิ้นงานและกระบวนการผลิต การ Drift หรือการเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือวัดนั้น ไม่สามารถกำจัดได้ แต่สามารถที่จะตรวจพบและแก้ไขได้โดยผ่านกระบวนการสอบเทียบ ด้วยการใช้ตัวมาตรฐานการวัดที่สามารถสอบกลับได้สู่มาตรฐานแห่งชาติเพื่อสอบเทียบเครื่องมือวัด
ดังนั้นการสอบเทียบจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในผลการวัดของเครื่องมือวัดทุก ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือวัดที่ใช้ในกระบวนการผลิต การทดสอบ และการวิเคราะห์ต่าง ๆ เพราะองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดในการที่จะทำให้ผลการวัดที่เกิดขึ้นเป็นที่เชื่อถือได้ คือการใช้เครื่องมือวัดที่มีความถูกต้องและแม่นยำ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานนั่นเอง

ขั้นตอนการสอบเทียบเครื่องมือวัด

ขั้นตอนสอบเทียบเครื่องมือวัดมี ขั้นตอนการดำเนินงานที่จำเป็นต้องเป็นระเบียบและมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างละเอียด ซึ่ง ขั้นตอนการสอบเทียบ สามารถสรุปได้ดังนี้
1. เตรียมเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบให้พร้อมทำงาน
2. ทดสอบเครื่องมือวัดในสภาวะเดิมก่อนการสอบเทียบ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือวัดยังใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
3. ดำเนินการสอบเทียบโดยใช้วิธีการทดสอบที่เป็นมาตรฐาน โดยจะใช้ เครื่องมือสอบกลับ (Reference Standard) หรือคือการสอบเทียบและบันทึกผลลัพธ์จากเครื่องมือวัดที่เป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับสอบเทียบโดยเฉพาะ (Calibrator) นำมาเปรียบเทียบ
4. วิเคราะห์ผลลัพธ์จากการสอบเทียบโดยเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องมือวัดมาตรฐานที่ต้องการสอบเทียบ กับเครื่องมือวัดได้รับการรับรองมาตรฐาน (Calibrator) เช่น สมอ. หรือ ANAB เป็นต้น เพื่อ
ตรวจสอบว่าเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบมีความแม่นยำและเที่ยงตรงตามมาตรฐานหรือไม่

สรุปผลการสอบเทียบเครื่องมือวัดโดยให้ข้อมูลผลการวัด ความถูกต้อง ความเที่ยงตรง และความแม่นยำของเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบ

 

การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด

การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเครื่องมือของคุณได้รับการตรวจสอบและสอบเทียบตามมาตรฐานที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความแม่นยำและคุณภาพของกระบวนการผลิต การเลือกผู้ให้บริการที่ดีจึงควรพิจารณาหลายปัจจัยสำคัญ เพื่อให้ได้บริการที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด

คุณสมบัติของผู้ให้บริการที่ดี

ผู้ให้บริการที่ดีควรมีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ในงานสอบเทียบ โดยคุณสามารถพิจารณาได้จาก

  • ใบรับรองมาตรฐาน ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น ISO/IEC 17025 (อ่าน คู่มือการกำหนดมาตรฐาน ISO และมาตรฐาน IEC)
  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้ให้บริการควรมีประสบการณ์กับเครื่องมือวัดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • บริการหลังการขาย ควรมีการให้คำปรึกษาหรือบริการเพิ่มเติมหลังการสอบเทียบ เช่น การตรวจสอบระยะเวลาการสอบเทียบในอนาคต

ความสามารถในการสอบกลับมาตรฐานสากล

การสอบเทียบที่ดีควรสามารถสอบกลับไปยังมาตรฐานสากลได้ ซึ่งหมายถึงผลการวัดของเครื่องมือสามารถเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ยอมรับในระดับนานาชาติได้ ความสามารถนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาด

สิ่งที่ควรตรวจสอบ

การพิจารณาราคาและความคุ้มค่า

ราคาเป็นปัจจัยที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงควบคู่กันคือความคุ้มค่าของบริการที่ได้รับ โดยไม่ควรเลือกผู้ให้บริการเพียงเพราะราคาถูกที่สุด

ข้อแนะนำในการพิจารณา

  • เปรียบเทียบราคากับคุณภาพของบริการและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
  • ตรวจสอบความครอบคลุมของบริการ เช่น ค่าใช้จ่ายรวมถึงการรับ-ส่งเครื่องมือหรือไม่
  • อ่านรีวิวหรือสอบถามความคิดเห็นจากผู้ใช้งานคนอื่นเพื่อประเมินความคุ้มค่า
  • การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพของเครื่องมือ แต่ยังส่งผลต่อกระบวนการผลิตและความน่าเชื่อถือในระยะยาวอีกด้วย

 

ตัวอย่างการสอบเทียบเครื่องมือวัด

การสอบเทียบเทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer Calibration)

  • วิธีการ: เปรียบเทียบอุณหภูมิที่เทอร์โมมิเตอร์วัดได้กับค่าที่ได้จากเทอร์โมมิเตอร์อ้างอิงที่มีความแม่นยำสูงในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม เช่น การใช้ Bath ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ
  • ความถี่: ปกติจะทำการสอบเทียบทุก 12 เดือน
  • มาตรฐานที่ใช้: มาตรฐาน ISO/IEC 17025 หรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิ

การสอบเทียบเครื่องวัดความชื้น (Hygrometer Calibration)

  • วิธีการ: ทำการสอบเทียบโดยใช้อุปกรณ์ที่ควบคุมระดับความชื้นในอากาศ แล้วเปรียบเทียบค่าที่เครื่อง Hygrometer แสดงกับค่าที่ได้จากเครื่องวัดความชื้นมาตรฐาน
  • ความถี่: ปกติจะทำการสอบเทียบทุก 6-12 เดือน
  • มาตรฐานที่ใช้: มาตรฐาน ASTM หรือ ISO 17025

โดยการสอบเทียบเครื่องมือวัดนั้น ทาง CLC ได้จัดทำการสอบเทียบตามห้องปฏิบัติการต่างๆเพื่อแยกตามประเภทการใช้งาน เช่น

การ สอบเทียบประแจทอร์ค ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการแรงบิดและแรง Torque & Force

การ สอบเทียบ Plug Gauge ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการมิติ Dimension

การ สอบเทียบ Digital Balance ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของ ห้องปฏิบัติการมิติ Mass Balance

การ สอบเทียบ Thermometer ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการอุณหภูมิและความชื้น Temperature & Humidity

การ สอบเทียบดิจิตอล มัลติมิเตอร์ Digital Multimeter ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของ ห้องปฏิบัติการไฟฟ้า Electrical

และสามารถตรวจสอบเครื่องมือวัด ที่ท่านต้องการสอบเทียบได้จากบริการของห้องปฏิบัติการต่างๆ จาก บริษัท Calibration Laboratory ตามลิงค์นี้ได้ครับ

 

วิธีการกำหนดคาบการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

(1) ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต (Manufacturer’s Recommendation)

  • ผู้ผลิตเครื่องมือมักระบุช่วงเวลาสอบเทียบเริ่มต้น (เช่น ทุก 1 ปี)
  • เหมาะสำหรับเครื่องมือใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลประวัติการใช้งาน

(2) ตามกฎหมายหรือมาตรฐาน (Regulatory/Standard Requirements)
มาตรฐานบางอย่างกำหนดช่วงเวลาสอบเทียบตายตัว เช่น ISO 9001, ISO/IEC 17025, หรือกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรม (เช่น มาตรฐานการแพทย์, ยานยนต์)

(3) ตามข้อมูลทางสถิติ (Historical Data & Trend Analysis)

  • ตรวจสอบผลการสอบเทียบย้อนหลังว่าความแม่นยำลดลงเร็วหรือช้า
  • หากพบว่าเครื่องมือมีค่า Drift (การคลาดเคลื่อน) น้อย อาจขยายช่วงเวลาสอบเทียบออกไป
  • หากพบการคลาดเคลื่อนมาก อาจต้องลดระยะเวลาลง

(4) วิธี Risk-Based Calibration Interval

  • พิจารณาจาก ความเสี่ยง (Risk) หากเครื่องมือเสียหรือคลาดเคลื่อนจะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด
  • ครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการสำคัญ (Critical Measurement) ควรสอบเทียบบ่อยกว่า

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)

ANSI National Accreditation Board (ANAB)

 

 

 

 

VDO การสอบเทียบเครื่องมือวัดสำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ

วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

[accordion title=”FAQ”]

[accordion-item title=”การสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) คืออะไร”]

คือ กระบวนการตรวจสอบและเปรียบเทียบค่าของเครื่องมือวัดกับค่ามาตรฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าผลการวัดมีความถูกต้องและแม่นยำ

[/accordion-item]
[accordion-item title=”ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัด”]

เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวัด ปรับปรุงคุณภาพการผลิต และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการวัดที่คลาดเคลื่อน

[/accordion-item]
[accordion-item title=”วิธีการกำหนดคาบการสอบเทียบเครื่องมือวัดมีกี่วิธี”]

มี 4 วิธีหลัก
– ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
– ตามข้อกำหนดของกฎหมายหรือมาตรฐาน (เช่น ISO 9001)
– อิงจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง
– อ้างอิงจากระดับความเสี่ยง หากเครื่องมือเสียหรือคลาดเคลื่อน เช่น เครื่องมือสำคัญควรสอบเทียบบ่อยขึ้น

[/accordion-item]
[accordion-item title=”ขั้นตอนการสอบเทียบเครื่องมือวัดมีอะไรบ้าง”]

เช่น เตรียมเครื่องมือ, ตรวจสอบก่อนสอบเทียบ, ดำเนินการสอบเทียบ, วิเคราะห์ผล, และสรุปผล

[/accordion-item]

[/accordion]
[gap height=”50px”]

จำเป็นไหม ใช้ บริการสอบเทียบจาก บริษัทที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025

ความสำคัญของบริการสอบเทียบเครื่องมือวัดจากบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025

ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องมือวัดเพื่อควบคุมคุณภาพ ความแม่นยำของเครื่องมือมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเลือกใช้ บริการสอบเทียบ จากบริษัทที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดของคุณให้ค่าที่ถูกต้องและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

บริการสอบเทียบคืออะไร?

บริการสอบเทียบ(Calibration Service) เป็นกระบวนการตรวจสอบและปรับค่าความถูกต้องของเครื่องมือวัด โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) การสอบเทียบที่แม่นยำช่วยให้เครื่องมือวัดทำงานได้อย่างถูกต้อง ลดความคลาดเคลื่อน และช่วยให้กระบวนการผลิตหรือการทดสอบเป็นไปตามมาตรฐาน

มาตรฐาน ISO/IEC 17025 คืออะไร?

ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดทั่วไปสำหรับความสามารถของห้องปฏิบัติการทดสอบและสอบเทียบ (Testing and Calibration Laboratories) โดยออกโดย International Organization for Standardization (ISO) และ International Electrotechnical Commission (IEC)

มาตรฐานนี้ใช้เป็นแนวทางให้ห้องปฏิบัติการสามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ โดยครอบคลุมทั้งด้าน การบริหารจัดการ (Management Requirements) และ ข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Requirements) เพื่อให้ผลการทดสอบและสอบเทียบมีความถูกต้องและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

บริการสอบเทียบ กับ ISO/IEC 17025

Calibration Services เป็นกระบวนการตรวจสอบและปรับค่าความถูกต้องของเครื่องมือวัดเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือนั้นสามารถให้ผลการวัดที่แม่นยำและเชื่อถือได้ โดยอ้างอิงกับมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability to National or International Standards)

ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับห้องปฏิบัติการที่ให้บริการทดสอบและสอบเทียบ ซึ่งหมายความว่า ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้สามารถให้บริการสอบเทียบที่มีคุณภาพสูง มีความแม่นยำ และผลลัพธ์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  1. มาตรฐานสำหรับห้องปฏิบัติการสอบเทียบ

    • ห้องปฏิบัติการที่ให้บริการสอบเทียบต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ ISO/IEC 17025 เพื่อให้แน่ใจว่าผลการสอบเทียบมีความน่าเชื่อถือ
    • การสอบเทียบต้องดำเนินการโดยใช้เครื่องมือที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังมาตรฐานแห่งชาติหรือสากล
  2. ความสามารถของผู้ให้บริการสอบเทียบ

    • ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ต้องมีบุคลากรที่มีความสามารถและผ่านการอบรมด้านการสอบเทียบ
    • ต้องใช้วิธีการสอบเทียบที่เป็นที่ยอมรับและมีการควบคุมคุณภาพ
  3. การรับรองผลการสอบเทียบ

    • ผลการสอบเทียบที่ออกโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตาม ISO/IEC 17025 จะมีเอกสารรับรองผล (Calibration Certificate) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าเครื่องมือวัดได้รับการสอบเทียบตามมาตรฐาน
    • เอกสารนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิต, การแพทย์, ยานยนต์ และอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง
  4. การตรวจสอบย้อนกลับของค่ามาตรฐาน (Traceability)

    • ห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับของค่ามาตรฐานไปยังหน่วยงานมาตรฐานระดับประเทศหรือสากล เช่น NIST, NIMT, UKAS เป็นต้น
    • การสอบเทียบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องมือวัดให้ค่าที่ถูกต้องและสามารถเปรียบเทียบกับมาตรฐานในระดับโลกได้
  5. การควบคุมคุณภาพของบริการสอบเทียบ

    • ISO/IEC 17025 กำหนดให้ห้องปฏิบัติการต้องมีระบบบริหารคุณภาพ เช่น การตรวจติดตามภายใน, การจัดการข้อร้องเรียน และการปรับปรุงกระบวนการสอบเทียบอย่างต่อเนื่อง
    • ช่วยให้ลูกค้าของบริการสอบเทียบมั่นใจว่าผลการสอบเทียบมีมาตรฐานและได้รับการตรวจสอบคุณภาพ

ทำไมต้องเลือกบริการสอบเทียบจากบริษัทที่ได้รับรอง ISO/IEC 17025?

ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับความสามารถของห้องปฏิบัติการสอบเทียบและทดสอบ ซึ่งหมายความว่าบริษัทที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานนี้มีคุณสมบัติและความสามารถในการให้บริการสอบเทียบที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้

1. รับรองความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ

บริษัทสอบเทียบที่ได้รับการรับรองตาม ISO/IEC 17025 ต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานรับรองที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล ทำให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการสอบเทียบเป็นไปตามมาตรฐาน มีความแม่นยำสูง และสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังมาตรฐานแห่งชาติหรือสากล

2. ป้องกันข้อผิดพลาดในการวัด

เครื่องมือวัดที่ไม่ได้รับการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมออาจให้ค่าที่ผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการควบคุมคุณภาพ การใช้บริการสอบเทียบจากบริษัทที่ได้รับการรับรองช่วยลดความเสี่ยงนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลการวัดมีความถูกต้อง

3. เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและควบคุมคุณภาพ

ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อาหารและยา หรืออิเล็กทรอนิกส์ การวัดที่ถูกต้องมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การสอบเทียบที่ได้มาตรฐานช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ ลดของเสีย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

4. เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม

หลายอุตสาหกรรมกำหนดให้เครื่องมือวัดต้องได้รับการสอบเทียบตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อบังคับ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและยา (GMP, HACCP), อุตสาหกรรมยานยนต์ (IATF 16949) หรืออุตสาหกรรมการแพทย์

5. ได้รับใบรับรองการสอบเทียบที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จะออกใบรับรองผลการสอบเทียบ (Calibration Certificate) ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบย้อนกลับและยืนยันความถูกต้องของเครื่องมือวัดได้

เลือกบริษัท บริการสอบเทียบ อย่างไรให้มั่นใจในคุณภาพ?

  1. ตรวจสอบว่าบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), NAC, UKAS, ANAB
  2. ดูประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ของบริษัทในด้านการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่คุณใช้งาน
  3. ตรวจสอบระยะเวลาการให้บริการและเงื่อนไข เช่น การสอบเทียบในสถานที่ (On-Site Calibration) หรือการสอบเทียบในห้องปฏิบัติการ (In-Lab Calibration)
  4. อ่านรีวิวและสอบถามจากลูกค้ารายอื่น เพื่อประเมินคุณภาพของบริการ

สรุป

การใช้บริการสอบเทียบจากบริษัทที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เครื่องมือวัดของคุณทำงานได้อย่างแม่นยำ ลดความผิดพลาด และเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานจะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

หากคุณต้องการให้เครื่องมือวัดของคุณมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ อย่าลืมเลือกบริการสอบเทียบที่ได้รับรองตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและสามารถให้ผลการวัดที่แม่นยำตลอดเวลา

 สนใจบริการสอบเทียบที่ได้มาตรฐาน ISO/IEC 17025 ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาและบริการที่ดีที่สุด!

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

หากไม่สอบเทียบเครื่องมือวัด ในอุตสาหกรรมรถยนต์ จะเกิดผลอย่างไร

สอบเทียบเครื่องมือวัด ความสำคัญในการผลิตและประกอบชิ้นส่วนรถยนต์อย่างแม่นยำ

กระบวนการผลิตรถยนต์ที่ต้องใช้เครื่องมือวัด
ในการผลิตและประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ กระบวนการต่างๆ ล้วนต้องการความแม่นยำสูง ซึ่งต้องใช้เครื่องมือวัดหลากหลายประเภท ตัวอย่างขั้นตอนการผลิตรถยนต์ เช่น

1.การปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนโลหะ (Stamping Process)

ในกระบวนการ ปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนโลหะ (Stamping Process) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น แผ่นตัวถัง ประตู ฝากระโปรง หรือชิ้นส่วนโครงสร้างต่างๆ จะใช้ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) และ เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) เพื่อวัดขนาดและความแม่นยำของชิ้นส่วนโลหะ ดังนี้

🛠️ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer)

ใช้สำหรับวัดความหนาของชิ้นส่วนโลหะที่ผ่านการปั๊มขึ้นรูป

  • วัตถุประสงค์: ตรวจสอบว่าความหนาของแผ่นโลหะตรงตามมาตรฐานหรือไม่ เพื่อให้ชิ้นส่วนมีความแข็งแรงและปลอดภัย
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • วัดความหนาของแผ่นโลหะก่อนและหลังการปั๊ม
    • ตรวจสอบความสม่ำเสมอของความหนาในแต่ละจุดของชิ้นส่วน
    • ใช้ควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เพื่อลดการเกิดของเสีย (Scrap)

📏 เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper)

ใช้สำหรับวัดขนาดภายนอก เส้นผ่านศูนย์กลาง ความกว้าง และความลึกของชิ้นส่วนโลหะ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นส่วนโลหะที่ปั๊มขึ้นรูปมีขนาดพอดีกับการประกอบในขั้นตอนถัดไป
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • วัดขนาดของขอบ ขนาดรู (เช่น รูสำหรับสกรูหรือน็อต)
    • วัดระยะระหว่างจุดยึดหรือจุดเชื่อมต่อ (Fitting Points)
    • ใช้ในการตรวจสอบแบบสุ่ม (Sampling Inspection) ระหว่างการผลิต

🔍 ความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัด

การสอบเทียบเครื่องมือวัดเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ (Calibration) จะช่วยให้การวัดค่ามีความแม่นยำ หากเครื่องมือวัดให้ค่าไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้

  • ชิ้นส่วนโลหะที่ปั๊มขึ้นรูปมีขนาดผิดเพี้ยน ทำให้ไม่พอดีกับการประกอบ
  • เกิดปัญหาในขั้นตอนการประกอบ เช่น การเชื่อมไม่แน่น หรือชิ้นส่วนติดขัด
  • ความปลอดภัยของรถยนต์ลดลง โดยเฉพาะในส่วนโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนัก

การใช้ไมโครมิเตอร์และเวอร์เนียคาลิปเปอร์อย่างถูกต้อง ร่วมกับการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้กระบวนการปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนโลหะในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงตรงตามมาตรฐานการผลิต 😊

2. กระบวนการเชื่อม (Welding Process)

ในกระบวนการ เชื่อม (Welding Process) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการประกอบชิ้นส่วนโลหะของรถยนต์ เช่น โครงสร้างตัวถัง (Body Frame) ชิ้นส่วนช่วงล่าง (Chassis) และชิ้นส่วนโครงเหล็ก (Steel Components) จะใช้ เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ (Laser Distance Meter) และ เครื่องวัดมุม (Angle Gauge) เพื่อควบคุมความแม่นยำและคุณภาพในการเชื่อม ดังนี้

🔭 เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ (Laser Distance Meter)

ใช้สำหรับวัดระยะทางและความตรงของชิ้นส่วนก่อนและหลังการเชื่อม

  • วัตถุประสงค์: เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนโลหะถูกเชื่อมในตำแหน่งที่ถูกต้อง และระยะระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ตรงตามแบบ (Blueprint)
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • ตรวจสอบระยะห่างระหว่างจุดเชื่อม (Welding Points) บนโครงสร้างรถยนต์
    • วัดความตรงของแนวเชื่อม (Weld Line) เช่น ในการเชื่อมแผ่นตัวถังรถ (Body Panel)
    • ใช้ในกระบวนการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของระยะ

📐 เครื่องวัดมุม (Angle Gauge)

ใช้สำหรับตรวจสอบมุมในการเชื่อมของชิ้นส่วนโลหะ เพื่อให้ได้มุมการประกอบที่ถูกต้อง

  • วัตถุประสงค์: เพื่อควบคุมมุมของการเชื่อมให้ตรงตามมาตรฐาน โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องการความแข็งแรงและความปลอดภัยสูง
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • ตรวจสอบมุมในการเชื่อมโครงสร้าง (Frame Welding) เช่น การเชื่อมจุดเชื่อมต่อระหว่างคาน (Beam)
    • วัดมุมการติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ เช่น บานพับประตู (Door Hinges) หรือมุมกระจกหน้า (Windshield)
    • ช่วยในการตั้งตำแหน่งชิ้นส่วนก่อนการเชื่อม เพื่อลดโอกาสการเกิดการบิดเบี้ยว (Distortion)

🚦 ความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัดในการเชื่อม

เครื่องมือวัดทั้งสองประเภทจำเป็นต้องได้รับการ สอบเทียบ (Calibration) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าค่าที่วัดได้แม่นยำ

  • ผลเสียหากไม่สอบเทียบ
    • หากเครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ให้ค่าที่คลาดเคลื่อน อาจทำให้ระยะห่างระหว่างชิ้นส่วนไม่พอดี ส่งผลให้โครงสร้างรถยนต์อาจมีความไม่แข็งแรง
    • หากเครื่องวัดมุมไม่แม่นยำ มุมของการเชื่อมอาจผิดเพี้ยน ทำให้ชิ้นส่วนที่เชื่อมไม่พอดีกัน ส่งผลต่อคุณภาพการประกอบ และอาจเกิดเสียงรบกวนขณะขับขี่ (Rattling Noise)
    • ความผิดพลาดในการเชื่อมโครงสร้างหลักอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

การใช้เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์และเครื่องวัดมุมอย่างถูกต้อง พร้อมกับการสอบเทียบเครื่องมือวัดเป็นประจำ จะช่วยให้การเชื่อมชิ้นส่วนรถยนต์เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความแข็งแรงของรถยนต์ได้อย่างมั่นใจ 😊

3. การประกอบเครื่องยนต์ (Engine Assembly)

ในกระบวนการ การประกอบเครื่องยนต์ (Engine Assembly) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ถือเป็นหัวใจหลักที่ส่งกำลังให้กับรถยนต์ จึงต้องใช้เครื่องมือวัดที่แม่นยำ เช่น เกจวัดความดัน (Pressure Gauge) และ ไดอัลเกจ (Dial Gauge) เพื่อควบคุมคุณภาพและความแม่นยำในทุกขั้นตอน ดังนี้:

🔧 เกจวัดความดัน (Pressure Gauge)

ใช้สำหรับวัดความดันในระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ เช่น ระบบหล่อลื่น (Lubrication System) และระบบเชื้อเพลิง (Fuel System)

  • วัตถุประสงค์

    • ตรวจสอบแรงดันน้ำมันเครื่อง (Oil Pressure) ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์
    • วัดแรงดันในระบบเชื้อเพลิง เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันเชื้อเพลิงถูกส่งไปยังหัวฉีด (Fuel Injector) อย่างถูกต้อง
    • ใช้ในการทดสอบแรงดันห้องเผาไหม้ (Cylinder Pressure) เพื่อประเมินการทำงานของเครื่องยนต์
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์

    • ทดสอบแรงดันของระบบต่างๆ ก่อนและหลังการประกอบเครื่องยนต์
    • ใช้ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Inspection) เช่น การทดสอบการรั่วซึมของซีล (Seal Leak Test)
    • ช่วยในการปรับตั้งค่าระบบเครื่องยนต์ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด

🧭 ไดอัลเกจ (Dial Gauge)

ใช้สำหรับวัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance) หรือระยะการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ เช่น ลูกสูบ (Piston) และเพลาลูกเบี้ยว (Camshaft)

  • วัตถุประสงค์

    • ตรวจสอบระยะห่างวาล์ว (Valve Clearance) เพื่อให้การเปิด-ปิดวาล์วเป็นไปอย่างแม่นยำ
    • วัดระยะการเคลื่อนที่ของลูกสูบในกระบอกสูบ (Piston Travel) เพื่อป้องกันการกระทบกับชิ้นส่วนอื่นๆ
    • ประเมินความเรียบของพื้นผิว (Flatness) เช่น หน้าสัมผัสของฝาสูบ (Cylinder Head)
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์

    • ใช้วัดความตรงของเพลา (Shaft Alignment) และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนของชิ้นส่วนแบบหมุน (Rotational Components)
    • ตรวจสอบระยะห่างของฟันเกียร์ (Gear Backlash) เพื่อให้การขบกันของเกียร์ราบรื่น
    • ช่วยในการตั้งตำแหน่งของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ขณะประกอบ

🚦 ความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration)

การสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในเครื่องมือวัดที่ใช้ในกระบวนการประกอบเครื่องยนต์

  • ผลเสียหากไม่สอบเทียบ
    • เกจวัดความดันให้ค่าที่ผิดพลาด อาจทำให้แรงดันในระบบเครื่องยนต์ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์ร้อนเกินไป (Overheating) หรือเกิดการสึกหรอเร็วขึ้น
    • ไดอัลเกจที่ไม่แม่นยำ อาจทำให้การวัดระยะห่างชิ้นส่วนไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน (Vibration) และเสียงรบกวน (Noise) ขณะเครื่องยนต์ทำงาน
    • การประกอบเครื่องยนต์ด้วยข้อมูลการวัดที่ไม่แม่นยำ อาจนำไปสู่ปัญหาคุณภาพ เช่น เครื่องยนต์ไม่สามารถจุดระเบิดได้เต็มที่ (Misfiring) หรือประสิทธิภาพการใช้น้ำมันลดลง

การใช้ เกจวัดความดัน และ ไดอัลเกจ ร่วมกับการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างถูกต้อง จะช่วยให้การประกอบเครื่องยนต์ในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อปัญหาการใช้งาน และช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ

 

การสอบเทียบเครื่องมือวัด คืออะไร?

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

ซื้อเครื่องมือด้านแรงบิดและแรง   บริการสอบเทียบด้านแรงบิดและแรง

วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate

สวัสดีครับ หลังจากการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Calibration Laboratory จะทำการออก Calibration Certificate เพื่อเป็นการรับรองเครื่องมือวัดตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จากสมอ.หรือ ANAB ว่า เครื่องมือวัดยังสามารถใช้งานได้ตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งในบทความนี้ Super Cal ขอหยิบเรื่อง วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate มาฝากกันครับ

วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate

สาระของใบรับรองผลการสอบเทียบตาม ISO/IEC 17025

ข้อกำหนดISO/IEC 17025 ข้อ 5.10

        “ผลการวัด ที่ออกโดยห้องปฏิบัติการจะต้องรายงานอย่างถูกต้อง  ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เป็นไปตามคำแนะนำ ที่ให้ไว้ในวิธีการสอบเทียบ ผลการวัดจะต้องบรรจุไว้ในใบรับรองการสอบเทียบ (Calibration Certificate or Calibration report or Test report)”

  • หลักฐานที่แสดงได้ว่าเครื่องมือวัดได้รับการสอบเทียบ (สอบเทียบเครื่องมือ) และสามารถสอบกลับได้ไปยังมาตรฐานการวัดแห่งชาติ (Traceability)

  • ต้องแสดงผลการสอบเทียบที่สามารถสอบกลับได้ (Traceability) ไปยังหน่วยวัด SI (International System of Units)

  • ค่าที่รายงาน : ผลการวัด และความไม่แน่นอนของการวัด (Measurement Uncertainty)

สาระของใบรับรองผลการสอบเทียบตาม ISO/IEC 17025

  1. หัวเรื่อง ( เช่น ”ใบรับรองผลการสอบเทียบ” )

  2. ชื่อและที่อยู่ห้องปฏิบัติการ

  3. สิ่งบ่งชี้เฉพาะใบรายงานผลการทดสอบหรือการสอบเทียบ

  4. ชื่อและที่อยู่ของลูกค้า

  5. ระบุวิธีการที่ใช้

  6. รายละเอียด เงื่อนไข และการบ่งชี้ตัวอย่าง

  7. วันที่รับตัวอย่าง (ในกรณีที่วิกฤติต่อการยอมรับได้อย่างเป็นทางการ และการใช้ประโยชน์ของผลการสอบเทียบ) และวันที่ทำการสอบเทียบ

  8. ผลการสอบเทียบพร้อมกับหน่วยของการวัด

  9. ชื่อ ตำแหน่ง และลายมือชื่อ หรือระบุบุคคลที่เทียบเท่าที่มีอำนาจลงนาม

  10. มีข้อความว่าผลที่ได้นั้นรายงานเฉพาะตัวอย่างที่ทำการทดสอบหรือสอบเทียบเท่านั้น แล้วแต่กรณี

       หมายเหตุ

  1. ใบรับรองการสอบเทียบฉบับที่เป็นเอกสาร ควรจะรวมหมายเลขหน้า และจำนวนหน้าของทั้งหมดด้วย

  2. มีข้อแนะนำว่าห้องปฏิบัติการควรจะรวมประโยคที่ระบุว่า “รายงานผลการทดสอบหรือรายงานผลการสอบเทียบ จะต้องไม่นำไปคัดถ่ายเพียงบางส่วน ยกเว้นฉบับสมบูรณ์ โดยมิได้รับอนุมัติจากห้องปฏิบัติการ”

ในกรณีที่จำเป็นต้องตีความผลการสอบเทียบ ใบรับรองการสอบเทียบจะต้องประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้

  1. เงื่อนไข ( เช่น สภาวะแวดล้อม ) การสอบเทียบที่กระทำ ที่จะส่งผลกระทบต่อผลการวัด

  2. ความไม่แน่นอนของการวัด และ/หรือข้อความที่แสดงความเป็นไปตามข้อกำหนดจำเพาะทางมาตรวิทยา

  3. หลักฐานที่แสดงว่าผลการวัดมีความสามารถสอบกลับได้

ตัวอย่าง

วิธีการอ่านใบ Certificate ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด
 

 

CERTIFICATE OF CALIBRATION

For

NOMENCLATURE : ชื่อเครื่องมือที่ถูกสอบเทียบ

MANUFACTURER : ชื่อผู้ผลิตเครื่องมือ

MODEL / TYPE : ชนิด / รุ่น / แบบ ของเครื่องมือที่ถูกสอบเทียบ

SERIAL NO. : หมายเลขเครื่องมือ (หมายเลข Code ควบคุมภายในลูกค้า)

CLID NO. : หมายเลขควบคุมเครื่องมือของ CLC

JOB CONTROL NO. : หมายเลขควบคุมของงาน CLC

CUSTOMER : ชื่อ ที่อยู่ ของลูกค้า

DATE OF RECEIVED : วัน / เดือน / ที่รับเครื่องมือเข้ามาในระบบ

DATE OF ISSUED : วัน / เดือน / ปี ที่ออกรายงานผลการสอบเทียบ

The report of calibration shall not be reproduced except in full without approval of the calibration Laboratory Co.,Ltd. : รายงานผลต้องไม่ถูกใช้เฉพาะเพียงบางส่วน ยกเว้นใช้ทั้งฉบับโดยต้องได้รับความยืนยันจากห้องปฏิบัติการ

Calibrated By : XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX : (Calibration Engineer)

ชื่อผู้สอบเทียบ  : XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX : (ตำแหน่ง)

Approved By : ชื่อตำแหน่งและลายมือชื่อของผู้ที่มีอำนาจลงนามของห้องปฎิบัติการ (Authorized Signatory) วัน / เดือน / ปี

This Calibration Certificate Documents the traceability to national standard, which realize the units of measurement according to the international System of Units (SI) : รายงานผลการสอบเทียยสามารถสอบเทียบย้อนกลับไปยังมาตรฐานระดับนานาชาติ ซึ่งหย่ายของการวัดสอดคล้องกับระบบการวัด SI Units

Certificate No. XXXXXXXXXXXXXX : เลขที่ใบรายงานผลการสอบเทียบ

Page 1 of 3 : การบ่งชี้ลำดับหน้า / จำนวนหน้าทั้งหมดของใบรายงานผลการสอบเทียบฉบับนี้

 

REPORT OF CALIBRATION

 

For

NOMENCLATURE : ชื่อเครื่องมือที่ถูกสอบเทียบ

MANUFACTURER : ชื่อผู้ผลิตเครื่องมือ

MODEL / TYPE : ชนิด / รุ่น / แบบ ของเครื่องมือที่ถูกสอบเทียบ

SERIAL NO. : หมายเลขเครื่องมือ (หมายเลข Code ควบคุมภายในลูกค้า)

DATE OF CALIBRATION : วัน / เดือน / ปี ที่ถูกสอบเทียบ

ENVIRONMENT CONDITIONS : เงื่อนไขสภาวะแวดล้อมที่ทำการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการ

PROCEDURE USED : รายละเอียดวิธีการสอบเทียบ

REFERENCE STANDARD USED : อ้างถึง ”ตัวเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้ในการสอบเทียบ”

  1. รายชื่อเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้ในการสอบเทียบที่ระบุเฉพาะตัว (ตัวที่ 1)

  2. รายชื่อเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้ในการสอบเทียบที่ระบุเฉพาะตัว (ตัวที่ 2)

  3. รายชื่อเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้ในการสอบเทียบที่ระบุเฉพาะตัว (ตัวที่ 3)

TRACEABILITY : อ้างถึง “ความสามารถสอบกลับได้ของการสอบเทียบ”

  1. ชื่อห้องปฏิบัติการที่สอบเทียบเครื่องมือมาตรฐาน,หมายเลข Certificate ของเครื่องมือมาตรฐาน, วันครบกำหนดสอบเทียบของเครื่องมาตรฐาน (ตัวที่ 1)

  2. ชื่อห้องปฏิบัติการที่สอบเทียบเครื่องมือมาตรฐาน,หมายเลข Certificate ของเครื่องมือมาตรฐาน, วันครบกำหนดสอบเทียบของเครื่องมาตรฐาน (ตัวที่ 2)

  3. ชื่อห้องปฏิบัติการที่สอบเทียบเครื่องมือมาตรฐาน,หมายเลข Certificate ของเครื่องมือมาตรฐาน, วันครบกำหนดสอบเทียบของเครื่องมาตรฐาน (ตัวที่ 3)

UNCERTAINTY : อ้างถึง “มาตรฐานที่ใช้ในการประเมินความไม่แน่นอนของการสอบเทียบ”

Certificate No. XXXXXXXXXXXXXX : เลขที่ใบรายงานผลการสอบเทียบ

 

 

 

CONDITION OF CALIBRATION ITEM : GOOD : สภาพสถานะของเครื่องมือที่สอบเทียบ

MEASUREMENT RESULTS : (X) without adjustment  ( ) adjustment : รายงานผลการสอบเทียบ

ตารางแสดงข้อมูลผลการสอบเทียบ

Uncertainty of measurement result ± …  : ความไม่แน่นอนของการสอบเทียบ

This report is valid for the above stated instrument/s only. : แสดงข้อความที่ระบุว่า “รายงานนี้มีผลเฉพาะเครื่องมือที่นำมาสอบเทียบเท่านั้น”

End of Certificate ### : ใบรายงานผลการสอบเทียบระบุหน้าสุดท้ายอย่างชัดเจน

หากคุณยังไม่ได้อ่านบทความหลักเกี่ยวกับ “การสอบเทียบเครื่องมือวัดคืออะไร” สามารถกลับไปศึกษาข้อมูลเบื้องต้นได้ที่: การสอบเทียบเครื่องมือวัดคืออะไร

สอบเทียบเครื่องมือวัด คืออะไร

ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาดกับค่าแก้ ใน การสอบเทียบเครื่องมือวัด

ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาด (Error) และ ค่าแก้ (Correction) ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด และวิธีการนำค่านั้นๆไปใช้งาน

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) หรือการทวนสอบเครื่องมือวัด (Verification) เป็นข้อกำหนดหนึ่ง ในการควบคุมเครื่องมือวัดตามข้อกำหนดของ ISO 9001 ผู้ใช้งานเครื่องมือจึงต้องดำเนินการสอบเทียบหรือทวนสอบเครื่องมือเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐาน ซึ่งการสอบเทียบเครื่องมือวัดทางห้องปฏิบัติการสอบเทียบจะรายงานผลการสอบเทียบในรูปแบบของใบรายงานผลการสอบเทียบ (Certificate of calibration) โดยทั่วไปแล้วห้องปฏิบัติการสอบเทียบจะรายงานค่าความผิดพลาด (Error) หรือค่าแก้ (Correction) ในใบรายงานผลการสอบเทียบ ซึ่งบทความนี้จะกล่าวถึง ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาดและค่าแก้ รวมถึงการนำค่าทั้งสองไปใช้งาน

ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาด (Error) และ ค่าแก้ (Correction)

ค่าความผิดพลาด (Error)

ตามนิยามของ มอก.235 เล่ม 15-2557 ให้คำนิยามว่า ค่าปริมาณที่วัดได้ลบด้วยค่าปริมาณอ้างอิง
ค่าความผิดพลาด (Error)  = ค่าที่วัดได้ (UUC Reading) – ค่าจริง (Standard Reading)

ตัวอย่างเช่น สอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100°C โดย Thermometer อ่านค่าได้ 98 °C และ Standard Thermometer อ่านค่าได้ 100.0 °C ซึ่งสามารถคำนวณหาค่าความผิดพลาดได้ดังนี้

ค่าความผิดพลาด (Error)  = ค่าที่วัดได้ (UUC Reading) – ค่าจริง (Standard Reading)  

=    98 °C – 100.0 °C

=    -2 °C    

ส่วนการนำค่าความผิดพลาดจากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งานสามารถทำได้โดย การนำค่าความผิดพลาดลบด้วยค่าที่เครื่องมือวัดอ่านค่าได้

ตัวอย่าง จากใบรายงานผลการสอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100 °C โดย Thermometer มีค่าความผิดพลาดเท่ากับ -2 °C เมื่อนำ Thermometer ไปใช้วัดอุณหภูมิน้ำมันโดยอ่านค่าได้ 98°Cสามารถหาค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมันได้ดังนี้

ค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมัน = ค่าที่วัดได้โดย Thermometer – ค่าความผิดพลาด (Error) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ

=    98°C – (-2) °C

=    100°C

ค่าแก้ (Correction)

คือ ค่าชดเชยสำหรับแก้ค่าความผิดพลาดของเครื่องมือวัด โดยนำมาบวกทางพีชคณิตกับค่าที่ยังไม่ปรับแก้ของเครื่องมือวัดโดยสามารถคำนวณหาค่าแก้ได้จาก
ค่าแก้ (Correction) = ค่าจริง (Standard Reading) – ค่าที่วัดได้ (UUC Reading)

ตัวอย่างเช่น สอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100 °C โดยThermometer อ่านค่าได้ 98 °C และ Standard Thermometer อ่านค่าได้ 100.0°C ซึ่งสามารถคำนวณหาค่าแก้ได้ดังนี้

ค่าแก้ (Correction) = ค่าจริง (Standard Reading) – ค่าที่วัดได้ (UUC Reading)       

=       100.0 °C – 98 °C
=       2 °C  

ส่วนการนำค่าแก้จากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งานสามารถทำได้โดย การนำค่าแก้บวกทางพีชคณิตกับค่าที่เครื่องมือวัดอ่านค่าได้

ตัวอย่าง จากใบรายงานผลการสอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100 °C โดยThermometer มีค่าแก้เท่ากับ 2 °C เมื่อนำ Thermometer ไปใช้วัดอุณหภูมิน้ำมันโดยอ่านค่าได้ 98 °C สามารถหาค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมันได้ดังนี้

ค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมัน = ค่าที่วัดได้โดย Thermometer + ค่าแก้ (Correction) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ

 =    98 °C + 2 °C

 =    100 °C               

สรุป

การคำนวณหาค่าความผิดพลาด (Error) และ ค่าแก้ (Correction) จะแตกต่างกันโดย

  • ค่าความผิดพลาด (Error)   =   ค่าที่วัดได้ (UUC Reading) – ค่าจริง (Standard Reading)
  • ค่าแก้ (Correction)           =   ค่าจริง (Standard Reading) – ค่าที่วัดได้ (UUC Reading)

ส่วนการนำค่าทั้งสองจากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งานจะแตกต่างกันโดย

ค่าจริงของเครื่องมือวัด = ค่าที่วัดได้เครื่องมือวัด – ค่าความผิดพลาด (Error) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ
ค่าจริงของเครื่องมือวัด = ค่าที่วัดได้เครื่องมือวัด + ค่าแก้ (Correction) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ

ผู้เขียน L3

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

แม่นแค่ไหนถึงใช้ได้ คู่มือ การใช้ค่าความไม่แน่นอนในการวัด Uncertainty

ในมาตรวิทยาคำว่า “ความไม่แน่นอนของการวัด” (Measurement uncertainty) หมายถึง ช่วงการกระจายทางสถิติของค่าที่จะได้จากการวัด หรืออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือ ช่วงที่บอกว่า “ค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เราวัด” อาจอยู่ในช่วงไหน เนื่องจากในการวัดค่าใดๆ ล้วนแล้วแต่มีความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนของการวัด จึงเป็นเหตุผลที่กระบวนการการวัดจะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีการ ระบุค่าความไม่แน่นอนในการวัด เอาไว้  (และค่าเหล่านั้นจะต้องไม่เป็นลบและเป็นไปตามหลักทางสถิติ) เช่น ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้นโดยทั่วไปแล้วค่าความไม่แน่นอนของการวัด มักแสดงในรูปของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพราะคิดได้เป็น ตัวแทนของการกระจายตัว ของค่าที่ได้จากการวัดซ้ำหลายๆครั้งที่จะบ่งบอกถึงช่วงค่าที่สามารถเป็นไปได้จากการวัด หรือเข้าใจได้ว่า เป็นตัววัดว่า “ค่าที่วัดแต่ละครั้งอยู่ห่างจากค่าเฉลี่ยแค่ไหน” ในขณะที่หากพูดถึงค่าความไม่แน่นอนสัมพัทธ์จะหมายถึง ค่าความไม่แน่นอนของการวัดหารด้วยค่าสัมบูรณ์ที่ได้จากการวัดนั้นๆ ซึ่งค่าดังกล่าวจะต้องไม่เท่ากับศูนย์ และต้องเป็นค่าเพียงค่าเดียว เช่น ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน หรือฐานนิยม

ค่าความไม่แน่นอนของการวัด (Uncertainty)

ค่าความไม่แน่นอนของการวัด เป็น ค่าที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างช่วงของค่าที่อาจเป็นไปได้จากการวัด และความไม่น่าเชื่อถือของผลการวัดเชิงปริมาณ โดยมีองค์ประกอบหลัก 2 ประการ คือ ความกว้างของช่วงความไม่แน่นอนซึ่งหมายถึงช่วงของค่าที่อาจได้จากการวัด และระดับความเชื่อมั่น ที่หมายถึงโอกาสที่ค่าที่ได้จากการวัดจะอยู่ในช่วงของค่าความไม่แน่นอน ทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กันตามสมการ

Y = y ± U

ตัวประกอบครอบคลุม: k =2
จากสมการ y เท่ากับค่าที่ได้จากการวัด U คือ ค่าความไม่แน่นอน และ k เป็นตัวประกอบครอบคลุมซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความเชื่อมั่น ในขณะที่ขอบบนและขอบล่างของช่วงค่าความไม่แน่นอนได้จากการลบหรือบวกค่าความไม่แน่นอนกับค่าที่ได้จากการวัด ทั้งนี้ตัวประกอบครอบคลุม k = 2 ตามปกติจะหมายถึงระดับความเชื่อมั่นที่ค่าจากการวัดจะอยู่ในช่วงค่าความไม่แน่นอนนั้นเท่ากับ 95% สำหรับค่าตัวประกอบครอบคลุมอื่นๆ จะบ่งชี้ระดับความเชื่อมั่นที่สูงหรือต่ำกว่า เช่น k=1 และ k=3 จะหมายถึงระดับความเชื่อมั่นที่ 66% และ 99.7% ตามลำดับ


ความหมายในการตีความค่า Uncertainty ในการนำไปใช้งาน

ยกตัวอย่างเช่น หากเราทำการวัดเครื่องมือวัดทางอุณหภูมิได้ 25°C และคำนวณความไม่แน่นอน (U) ได้ ±0.5°C

1. กรณีที่ใช้ k = 2 (ความเชื่อมั่น 95%)

– ช่วงค่าที่เป็นไปได้ = 25 ± (2 × 0.5) = 24°C ถึง 26°C แปลว่า มีความมั่นใจ 95% ที่อุณหภูมิจริงอยู่ระหว่าง 24-26°C

2. กรณีที่ใช้ k = 1 (ความเชื่อมั่น ~66%)

– ช่วงค่าที่เป็นไปได้ = 25 ± (1 × 0.5) = 24.5°C ถึง 25.5°C หมายถึง ความมั่นใจลดลง แต่ช่วงแคบกว่า

3. กรณีที่ใช้ k = 3 (ความเชื่อมั่น 99.7%)

– ช่วงค่าที่เป็นไปได้ = 25 ± (3 × 0.5) = 23.5°C ถึง 26.5°C หมายถึง ความมั่นใจสูงมาก แต่ช่วงกว้างกว่า

ค่าความไม่แน่นอนของการวัดจะถูกกำหนดจากการวิเคราะห์ทางสถิติจากการสอบเทียบและค่าความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาดในกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถประเมินได้จากประวัติเครื่องมือวัด ข้อกำหนดมาตรฐานสินค้าของผู้ผลิต และเอกสารข้อมูลของเครื่องมือวัดนั้นๆ ในการตัดสินว่าเครื่องมือวัดนั้นควรใช้งานต่อหรือไม่ เราสามารถพิจารณาได้จากการ “ผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์” จะใช้ค่าความไม่แน่นอนเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน เพื่อบ่งบอกสถานะของเครื่องมือวัดนั้นๆว่ายังสามารถใช้งานโดยให้ค่าที่ถูกต้องหรือไม่ ที่หลายคนเลือกที่จะมองข้าม(หากต้องการเข้าใจในเชิงลึก สามารถอ่านได้ที่) เบื้องหลังตัวเลข Measurement Uncertainty ความไม่แน่นอนในการวัดที่หลายคนไม่รู้ว่าต้องสนใจ ซึ่งจะสามารถรู้ได้จากการสอบเทียบเครื่องมือจากห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่มีมาตรฐานยืนยัน เช่นที่ได้รับรองตาม ISO/IEC 17025

หากท่านต้องการมั่นใจว่าเครื่องมือวัดที่ใช้อยู่นั้นยังคงอยู่ในมาตรฐานการวัดหรือไม่ สามารถส่งเครื่องมือมาเพื่อสอบเทียบเครื่องมือวัดกับทาง Calibration Laboratory ได้ เราได้รับการรับรองจากสถาบันถึง 2 สถาบันมาตรวัด ทั้งสมอ.(ไทย) และ ANAB (สหรัฐอเมริกา) เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่าเครื่องมือที่ใช้อยู่จะคงอยู่ในเกณฑ์การใช้งานที่ให้ค่าถูกต้อง สมบูรณ์ สามารถป้องกันความผิดพลาดในการผลิตหรือในด้านงานอื่นๆเนื่องจากเครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน

 

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)
ANAB
มาตรฐานการรับรองISO/IEC 17025

 

 

 

การตั้งค่าเกณฑ์การยอมรับ(MPE) ของเครื่องมือวัด

วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา