คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

ทำไมขาตั้งเครื่องชั่งถึงเป็นเรื่อง “เล็กน้อยแต่สำคัญมาก“

ขาตั้งเครื่องชั่ง 4 ขา มีความสำคัญต่อเครื่องชั่งเป็นอย่างมาก การปรับระดับขาเครื่องชั่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่มักถูกละเลย ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อความถูกต้องแม่นยำ และความน่าเชื่อถือของค่าที่เครื่องชั่งแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องชั่งอุตสาหกรรม เครื่องชั่งในห้องปฏิบัติการ หรือแม้กระทั่งเครื่องชั่งในสำนักงานสำหรับการตรวจสอบคุณภาพสินค้า ทั้งหมดล้วนต้องได้รับการปรับระดับให้ได้มาตรฐานก่อนใช้งานทุกครั้ง

ประโยชน์ของขาตั้งเครื่องชั่ง

ขาตั้งเครื่องชั่งมีหน้าที่ช่วยในด้านต่างๆ ดังนี้

  • รองรับน้ำหนักและกระจายน้ำหนักให้สมดุล
  • ทำให้เครื่องชั่งได้ระดับ การตั้งระดับทำได้ละเอียด เนื่องจากความจริงแล้วโต๊ะหน้างานไม่เคยราบ 100% การมีสกรูปรับ 4 จุดช่วยเก็บระดับบนพื้นที่เอียงหรือบุบเป็นบางส่วนทำให้เครื่องได้แนวระนาบจริงศูนย์การวัดจึงนิ่งขึ้น ตัวเลขคงที่ขึ้น
  • ลดแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลต่อการอ่านค่า จากจุดสัมผัสสี่มุมรวมถึงยางรอง ช่วยดูดซับแรงสั่นจากโต๊ะหรือพื้นและยังทำงานร่วมกับฟิลเตอร์ของเครื่องให้การอ่านค่าเสถียร
  • มีเสถียรภาพในการทรงตัวและป้องกันการล้มสูงสุดเมื่อเทียบกับขาตั้งแบบ 3 ขา หรือแบบ 5–6 ขา เนื่องจากน้ำหนักจะถูกเฉลี่ยลงทั้งสี่มุม ทำให้เครื่องไม่โยก ลดโอกาศการพลิก และโหลดตกอยู่ตำแหน่งนอกฐานน้อยลง
  • ช่วยให้การปรับระดับง่ายขึ้น
  • ป้องกันการโยกแม้มีแรงเฉียงที่จะส่งผลต่อการชั่ง

ความสำคัญของขาตั้งของเครื่องชั่งมีดังนี้

  1. เพื่อความแม่นยำของผลการชั่ง

เครื่องชั่งทำงานโดยการรับแรงในแนวดิ่ง หากตัวเครื่องเอียงแม้เพียงเล็กน้อย น้ำหนักที่กดลงบนเซนเซอร์จะไม่ตรงตำแหน่ง ส่งผลให้ผลชั่งคลาดเคลื่อน ค่าที่เครื่องอ่านได้จึงไม่ใช่ค่าน้ำหนักจริง ดังนั้นการปรับให้เครื่องชั่งอยู่ในระดับที่ถูกต้องจึงช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น

  1. เพื่อให้เซนเซอร์รับแรงทำงานถูกต้อง

ภายในเครื่องชั่งจะมี Load Cell ทำหน้าที่รับน้ำหนัก ซึ่งถูกออกแบบให้รับแรงแนวดิ่งโดยตรง การใช้เครื่องชั่งในสภาพที่ไม่สมดุลจะทำให้ Load Cell รับแรงเอียง เป็นเหตุให้ค่าชั่งผิดเพี้ยนเซนเซอร์สึกหรอเร็วอายุการใช้งานลดลงดังนั้นการปรับระดับจึงช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องชั่งได้อีกด้วย

  1. เพื่อความเสถียรของตัวเลขบนหน้าจอ

เครื่องชั่งที่เอียงมักมีปัญหาตัวเลขไม่นิ่งหรือกระพริบ เนื่องจากจุดศูนย์ (Zero Point) ไม่เสถียร ทำให้การอ่านค่าเป็นเรื่องยาก การปรับระดับก่อนใช้งานช่วยให้ค่าชั่งนิ่งขึ้น ลดความคลาดเคลื่อน และเพิ่มคุณภาพของผลการชั่ง

  1. เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการสอบเทียบ

เครื่องชั่งที่ไม่ได้อยู่ในระดับจะไม่สามารถสอบเทียบได้อย่างถูกต้อง และอาจไม่ผ่านมาตรฐานรับรอง การปรับระดับจึงเป็นขั้นตอนแรกที่ผู้สอบเทียบจะตรวจสอบก่อนเสมอ หากระดับไม่ตรง ผลการสอบเทียบทั้งหมดจะไม่เป็นที่ยอมรับ

  1. เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

เครื่องชั่งที่ไม่สมดุลอาจทำให้สิ่งของบนถาดกลิ้งหรือหล่นลงมา โดยเฉพาะเมื่อเป็นชิ้นงานหนักหรือมีมูลค่าสูง การปรับระดับจึงช่วยป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

  1. เพื่อความสม่ำเสมอของผลชั่งในระยะยาว

เมื่อเครื่องชั่งได้รับการตั้งระดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ คุณภาพของผลชั่งจะเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น ลดความจำเป็นในการสอบเทียบใหม่บ่อยครั้ง ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษา

 

วิธีการปรับระดับขาตั้งเครื่อง

  1. วางเครื่องชั่งบนโต๊ะที่แข็งแรงและไม่ยวบ โดยวางให้ตรงกับจุดที่ต้องการใช้งานจริง
  2. ใช้มือลองกดสลับทั้งสี่มุมเบาๆ เพื่อดูว่าเครื่องโยกหรือไม่ ถ้าโยกแปลว่ายังมีมุมใดมุมหนึ่งไม่แตะพื้น
  3. ให้มองฟองน้ำระดับบนตัวเครื่อง แล้วหมุนสกรูที่อยู่ด้านสูงให้ค่อยๆ ต่ำลง ทำทีละน้อยและทำเป็นคู่แบบไขว้เพื่อไม่ให้เครื่องบิดไปด้านใดด้านหนึ่ง
  4. เมื่อฟองน้ำเริ่มขยับเข้ากึ่งกลาง ให้สลับไปปรับอีก 2 มุมที่เหลือ ทำวนซ้ำจนฟองน้ำอยู่ตรงกลางจริงๆ
  5. ลองกดทั้งสี่มุมอีกครั้ง ต้องไม่มีอาการลอยหรือโยกที่มุมใดมุมหนึ่ง
  6. เมื่อมั่นใจว่าเสถียรแล้วจึงเปิดเครื่อง รอให้เครื่องอุ่นตัวจนคงที่ ตั้งศูนย์
  7. ทดสอบด้วยน้ำหนักทดสอบ วางกลางจานหนึ่งครั้ง แล้ววางใกล้ขอบทั้งสี่ทิศ หากตัวเลขต่างกันมากให้กลับไปปรับระดับซ้ำจนกว่าจะนิ่งใกล้เคียงกัน

การทำตามขั้นตอนดังกล่าวจะส่งผลให้แรงที่กดลงสู่โหลดเซลล์เป็นแนวดิ่งตามที่ควรเป็น ไม่เกิดกรณีเครื่องชั่งเอียงที่ส่งผลให้เกิดค่าความคลาดเคลื่อน ตัวเลขเครื่องชั่งไม่กระพริบง่าย ตัวเลขค่าศูนย์ไม่เดินระหว่างงาน สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องได้และได้ค่าที่มั่นใจมากขึ้น และยังทำให้โหลดเซลล์มีอายุใช้งานยาวขึ้นด้วย สุดท้ายนี้การปรับระดับขาตั้งเครื่องชั่งเป็นขั้นตอนที่ง่าย แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความแม่นยำ ความปลอดภัย และอายุการใช้งานของเครื่องชั่งทุกประเภท การตรวจสอบฟองน้ำระดับ (Bubble Level) และปรับขาตั้งให้อยู่ในแนวระนาบทุกครั้งก่อนใช้งาน จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานควรปฏิบัติเป็นประจำเพื่อให้ได้ผลการชั่งที่เชื่อถือได้สูงสุด

 

 

Ref.

NIST Handbook 44

American Laboratory

Vibra

 

BDS Team

 

 

 

CLC ตัวแทนจำหน่าย เครื่องชั่ง Vibra อย่างเป็นทางการ

ดูสินค้า Vibra

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

ก่อนออกสู่ตลาด คุณมั่นใจคุณภาพสีผลิตภัณฑ์จริงหรือ? มั่นใจด้วย Color Light Box

Color Light Box ตู้เทียบสีของชิ้นงาน

ในยุคสมัยปัจจุบัน การเลือกซื้อสินค้าอุปโภคส่วนใหญ่ นอกจากความสำคัญในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน คุณภาพ ราคาแล้ว ในการเลือกซื้อสินค้ามักจะมีความชอบของผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย และหนึ่งในความชอบของผู้บริโภคนั้น จะต้องมีปัจจัยเรื่องของสีสันของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ร่วมด้วยไม่มากก็น้อย ดังนั้น ทางอุตสาหกรรมผู้ผลิตสินค้าจึงเล็งเห็นความสำคัญของรูปลักษณ์ และสีเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มยอดขายให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตนเอง

เมื่อให้ความสำคัญกับลักษณะรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และสีแล้ว คุณภาพของสี ความถูกต้อง แม่นยำ และเหมือนกันทั้งล็อตการผลิตก็เป็นหนึ่งในคุณภาพที่ทางผู้ผลิตจะต้องคำนึงถึง ผู้บริโภค

ทุกท่านคงไม่มีใครอยากได้เสื้อที่ซื้อมาแล้วปรากฏว่าเมื่อซักไป แขนกับตัวเสื้อสีแตกต่างกันอยากเห็นได้ชัด หรือแม้แต่ผู้ผลิตเองก็ไม่อยากให้สีของสินค้าจริงไม่ตรงกับสินค้าตัวอย่างที่ตกลงกัน ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบสีของ Sample และชิ้นงานจริงก่อนนำออกสู่ตลาดเพื่อทำการขายจริง โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Color Light Box หรือตู้เทียบสีของชิ้นงาน

ตู้เทียบสีของชิ้นงาน

ตู้เทียบสีของชิ้นงาน เครื่องมือทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นกล่อง ด้านบนมีหลอดไฟติดตั้งเพื่อให้แสงตามมาตรฐานที่กำหนด มีหลากหลายแบรนด์ผู้ผลิตให้เลือกในท้องตลาด มักเห็นบ่อย และใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัสดุสิ่งทอการพิมพ์ การย้อมสี การประเมินความคงทนของสี การตรวจสอบสี การระบุสี และวัสดุเรืองแสง รวมไปถึงห้องปฏิบัติการทดลองที่มีปัจจัยทางสีเกี่ยวข้อง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ตรวจสอบ และเปรียบเทียบคุณภาพและความถูกต้องสีของชิ้นงาน หรือตัวอย่างการผลิตของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น

เป็นการตรวจสอบความแตกต่างของสีโดยผู้เชี่ยวชาญ ภายใต้เกณฑ์การยอมรับเดียวกันในแหล่งกำเนิดแสงเดียว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้ามีคุณภาพด้านสีตามที่ต้องการ และสามารถปรับปรุงคุณภาพเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้เครื่องมือ Color Light Box

  1. Research & Development
  2. อุตสาหกรรมสิ่งทอสิ่งทอ
  3. อุตสาหกรรมการย้อมสี
  4. อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์
  5. อุตสาหกรรมการพิมพ์
  6. อุตสาหกรรมหนัง
  7. อุตสาหกรรมหมึกพิมพ์
  8. อุตสาหกรรมพลาสติก
  9. อุตสาหกรรมยานยนต์
  10. อุตสาหกรรมเซรามิก

แหล่งกำเนิดแสงถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ โดยเป็นอุปกรณ์หลักในการตรวจสอบเปรียบเทียบความต่างสี เพราะแสงที่แตกต่างกัน ทำให้เราเห็นสีของผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไปอีกด้วย เช่นเดียวกับการมองวัตถุสีขาวในแสงไฟสีขาว ย่อมแตกต่างกับการมองวัตถุสีขาวแสงไฟสีส้ม

 

รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการมองวัตถุตัวอย่างชิ้นงานในแสงไฟสีขาว

 

รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างการมองวัตถุตัวอย่างชิ้นงานในแสงไฟสีส้ม

ดังนั้น ตู้เทียบสีของชิ้นงาน จึงเป็นเสมือนการจำลองแสงไฟและการมองเห็นสีในสถานที่ที่แตกต่างกัน โดยมีแสงมาตรฐานหลักๆ ที่นิยมใช้ตามตารางด้านล่างดังต่อไปนี้

แหล่งกำเนิดแสง แอพพลิเคชั่นตู้รับชมสี CCT* 

(Kelvin)

เพาเวอร์ (W)
D65   มาตรฐานสากลประดิษฐ์ตามฤดูกาล 6500 18
TL84   นำไปใช้กับร้านค้าในยุโรปญี่ปุ่นและจีน 4000 18
CWF   (Cool Fluorescent สีขาว) American Standard 4150 18
F / A   “แสงสีเหลืองอ่อน” แหล่งกำเนิดแสงยอง (เลียนแบบพระอาทิตย์ตก) 2700 40
ยูวี   การดูภายใต้แสงอุลตร้าไวโอเลตเพื่อตรวจจับและประเมินความสว่างของแสงหรือเม็ดสีเรืองแสง ความยาวของคลื่น : 365nm 20
TL83 วอร์มไวท์ฟลูออเรสเซนต์อเมริกันสแตนดาร์ด 3000 18

*CCT : Correlated Color Temperature อุณหภูมิสี  เป็นลักษณะเฉพาะตัวของสีจากแหล่งกำเนิดแสงและถูกคำนวณโดยใช้เส้น Isotemperature ในไดอะแกรมสี มีหน่วยวัดเป็น Kelvin

ข้อควรระวังในการใช้งาน

เนื่องจากเป็นการวัดความแตกต่างสีของวัตถุตามแหล่งกำเนิดแสง ผู้ใช้งานควรมั่นใจว่าแสงใช้ทดสอบมีความแม่นยำ มีค่าของแสงที่เสมือนจริง ไม่เช่นนั้นอาจทำให้สีของวัตถุผิดเพี้ยนไปจากความต้องการ และส่งผลเสียกับผลิตภัณฑ์โดยตรง

เมื่อแหล่งกำเนิดแสงของ Color Light Box ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้วัดความแตกต่างสีในระดับภาคอุตสาหกรรม ทาง Calibration Laboratory Co.,Ltd จึงพร้อม support ในการให้บริการสอบเทียบแหล่งกำเนิดแสงของตู้เทียบสีของชิ้นงาน ว่าได้ตามมาตรฐานหรือ Specification Correlated Color Temperature (CCT) หรือไม่

นอกจากค่า Correlated Color Temperature ที่ทาง CLC ให้บริการสอบเทียบแล้ว ยังมีการสอบเทียบในส่วนของ luminance มีหน่วยวัดเป็น Lux อีกทั้งยังสามารถให้บริการสอบเทียบนอกสถานที่ (Onsite service) อีกด้วย 

Calibration Laboratory  ใช้ Standard เป็น Chroma meter ในการสอบเทียบโดยใช้วิธีการ Comparison กับเครื่องมือลูกค้า (DUC)

Chroma meter เป็นเครื่องมือในการวัดสีของวัสดุต่างๆ โดยการฉายแสงจากหลอดไฟแบบ Pulsed xenon arc (PXA) ลงบนชิ้นตัวอย่าง และจะวัดเฉพาะแสงที่สะท้อนออกมา ในแนวตั้งฉากกับผิววัสดุเท่านั้น เข้าสู่ Optical Fiber Cable เพื่อทำการวัดสีออกมา

ข้อแนะนำในการติดต่อส่งเครื่องมือสอบเทียบ

  1. แจ้งข้อมูล แบรนด์และรุ่น ของตู้เทียบสีของชิ้นงาน
  2. กำหนดจุดสอบเทียบ หรือแหล่งกำเนิดแสงที่ต้องการสอบเทียบเช่น  Cal D65, TL95, Lux เป็นต้น
  3. กำหนดเกณฑ์การยอมรับ (ค่าผิดพลาดของเครื่องมือที่สามารถผิดได้) ในส่วนนี้หากผู้ใช้งานมีการกำหนดไว้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากทาง CLC มีการแจ้งผลการสอบเทียบเบื้องต้นได้ทันที เมื่อเครื่องมือสอบเทียบมาแล้วค่าเกินเกณฑ์การยอมรับ ( MPE )
  4. ระบุสถานที่ที่ต้องการให้ทาง CLC เข้าไปบริการสอบเทียบ โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แผนกบริการสอบเทียบ  E-mail : sale@cal-laboraory.com  เบอร์ติดต่อ : 02-578-0353

 

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

 

 

 

 

ขันผิดชีวิตเปลี่ยน – ทำไมงานโซลาเซลล์ต้องใช้ประแจปอนด์ที่แม่นยำ

ประแจปอนด์ กับอุตสาหกรรมผลิตโซล่าเซลล์

ในยุคที่พลังงานสะอาดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมโซล่าเซลล์ก็กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าของการผลิตพลังงานทางเลือก แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า “ความแม่นยำ” คือหัวใจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของระบบโซลาร์เซลล์แต่ละชุด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการประกอบแผง การติดตั้งโครงสร้าง หรือการต่อจุดเชื่อมต่างๆ หนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามาตรฐานความแม่นยำเหล่านี้ก็คือ “ประแจปอนด์” (Torque Wrench) 

ประแจปอนด์ คืออะไร

ประแจปอนด์เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับ ขันสกรูหรือน็อตให้ได้แรงบิด (Torque) ตามค่าที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการขันแน่นเกินไปหรือหลวมเกินไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแรงและความปลอดภัยของชิ้นงาน

ในงานทั่วไป อาจมองว่าการขันแน่น “นิดหน่อย” ไม่สำคัญ แต่ในงานพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการผลิตและติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ การควบคุมแรงบิดคือสิ่งที่ จำเป็นและขาดไม่ได้

บทบาทของประแจปอนด์ในงานโซล่าเซลล์

ในสายการผลิตและการติดตั้งระบบ Solar Cell ประแจปอนด์ถูกนำมาใช้ในหลายขั้นตอน เช่น

  1. การประกอบโครงสร้าง การขันสกรูยึดโครงอลูมิเนียมและเหล็ก ต้องใช้แรงบิดตามค่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น ในคู่มือของ Canadian Solar ระบุการขัน grounding bolt 3-7 N·m ใช้สำหรับงานติดตั้งโมดูล แผงSolar Cell เป็นต้น เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ทนต่อแรงลม และไม่เกิดการคลายตัวเมื่อเจอความร้อนจากแสงอาทิตย์
  2. การยึดโมดูลแผง Solar Cell นี่คือจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด การขันน็อตยึดแผงต้อง “พอดี” หากแน่นเกินไปอาจทำให้กระจกหรือเฟรมแผงแตกได้ในทันที แต่ถ้าหลวมเกินไปแผงอาจสั่นสะเทือนและหลุดในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเจอพายุหรือลมแรง
  3. การประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและตู้คอนโทรล ต้องใช้แรงบิดตามค่ามาตรฐานเพื่อให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อไฟฟ้ามีความแน่นหนาและปลอดภัย

แรงบิดในการขันอุปกรณ์โซล่าเซลล์

1. การขันโครงสร้างยึดแผง (Mounting Structure)

แรงบิดที่ใช้จะขึ้นอยู่กับวัสดุของโครง เช่น อลูมิเนียม และขนาดของสกรูหรือน็อต ตัวอย่างแรงบิดโดยประมาณที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ (หน่วยเป็น N·m)

ขนาดน็อต ค่าแรงบิดที่แนะนำ
M 6 5 – 7 N·m
M 8 12 – 15 N·m
M 10 35 – 45 N·m
M 12 65 – 75 N·m

ซึ่งในแต่ละอุตสาหกรรมจะใช้แรงบิดที่แตกต่างกันขึ้นกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน เพราะฉะนั้นการใช้งานจริงแนะนำว่าให้ยึดตามคู่มือผู้ผลิตของแต่ละรุ่นเพื่อการติดตั้งที่ถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างแรงบิดที่ใช้ขนาดน็อต M8 ในอุตสาหกรรมโซล่าเซลล์เช่น การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ของ Trina Solar ตามคู่มือระบุแรงบิดไว้สำหรับน็อตขนาด M8 ที่ค่าแรงบิด 16-20 N·m หรือ คู่มือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ จาก LONGi Solar ระบุค่าแรงบิดของสกรูยึดน็อต M8 ไว้ที่ 16-20 N·m และขนาดน็อต M10 ไว้ที่ 33-40 N·m เป็นต้น

2.การขันขายึดแผง

เป็นจุดที่ต้องระวังที่สุด เพราะแรงบิดที่มากเกินไปอาจทำให้ กระจกแผงแตก หรือเฟรมอลูมิเนียมเสียรูป โดยทั่วไปผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์แต่ละรายจะระบุแรงบิดแนะนำไว้ในคู่มือ

ข้อควรระวัง

หากขันแน่นเกินไป อาจทำให้โครงสร้างบิดตัว หรือเกลียวชำรุด ถ้าหลวมเกินไป อาจทำให้แผงสั่น หลุด หรือเกิดการเคลื่อนตัวเมื่อโดนลมแรง

ทำไมต้องใช้ “ประแจปอนด์”

เพราะการใช้แรงมือโดยประมาณไม่สามารถควบคุมแรงบิดได้แน่นอน
การใช้ ประแจปอนด์ (Torque Wrench) จะช่วยให้ขันได้ตามค่าที่กำหนดทุกครั้ง

  • ลดความเสียหายของแผง
  • ป้องกันโครงสร้างหลวม
  • เพิ่มความปลอดภัยในการเดินระบบ

การใช้ประแจปอนด์ในงานอุตสาหกรรมด้าน Solar Cell มีกำหนดไว้เพื่อเป็นมาตรฐานสากลสำหรับ Torque Wrench บ่งบอกชัดเจนว่า เครื่องมือวัดนั้นจำเป็นต้องผ่านการสอบเทียบตามข้อกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนที่ระบุตามมาตรฐาน INTERNATIONAL STANDARD ISO 6789-1

สำหรับผู้ที่ต้องการประแจปอนด์คุณภาพสูง ที่ให้ค่าความแม่นยำตามมาตรฐาน ISO 6789 และสามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดได้ บริษัทฯ ขอแนะนำ ประแจปอนด์แบรนด์ TONE จากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับและมีความนิยมในการใช้งานอุตสาหกรรมผลิตโซล่าเซลล์ ทั้งในขั้นตอนการผลิตและติดตั้ง

รุ่นที่แนะนำสำหรับงานแผงโซล่าเซลล์

สรุป

แรงบิดในงานติดตั้งแผงโซล่าเซลล์แม้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นจุดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบโดยตรง ทั้งในแง่ของ ความแข็งแรง และความปลอดภัย ดังนั้นผู้ติดตั้งและโรงงานผลิตจึงควรใช้ประแจปอนด์ที่ ผ่านการสอบเทียบอย่างถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าค่าแรงบิดที่ใช้งาน “แม่นยำ” และ “ได้มาตรฐาน” ทุกครั้ง

 

 

 

Ref.

INTERNATIONAL STANDARD ISO 6789-1

Torque wrench uses in the renewable energy industry

Trinasolar

 

 

 

BDS TEAM

 

สินค้าเครื่องมือประแจต่างๆ ราคาพิเศษ

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

ใช้แบบไหนดี? เทียบ Caliper Checker แบบ Steel และ Ceramic

กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ สำหรับบทความนี้เราจะขอหยิบยกเอาเรื่องของเครื่องมือชนิดนึงที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในภาคอุตสาหกรรมในบ้านเรา เครื่องมือที่ว่ามานั้นก็คือ Caliper Checker นั่นเองครับ เจ้าเครื่องมือตัวนี้ได้รับความนิยม มากพอสมควรเลย เรามาดูกันครับว่าหน้าตาของ Caliper Checker ที่ผมกล่าวมานั้นจะเป็นอย่างไร

 

Caliper Checker (รูปที่ 1)

 

ดูรูป (รูปที่ 1) แล้วเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันแล้วใช่มั้ยครับ หรือใครยังไม่เคยเห็นหรือไม่คุ้นตาก็ไม่เป็นไร เรามาทำความรู้จักกับเจ้า Caliper Checker ไปพร้อมๆกันเลย 

เครื่องมือวัด Caliper Checker

เป็นเครื่องมือวัดที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการทวนสอบ หรือ สอบเทียบ Vernier Caliper, Digimatic Caliper หรือ แม้กระทั่ง Height Gauge, Digimatic Height Gauge โดยลักษณะทางโครงสร้างของ Caliper Checker โดยส่วนใหญ่แล้วจะผลิตด้วยโลหะ แต่ในส่วนที่จะสัมผัสกับปากวัดของ Vernier Caliper, Digimatic Caliper,Height Gauge, Digimatic Height Gauge นั้น จะนิยมผลิตด้วย Steel หรือไม่ก็ Ceramic ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน ไหนๆพูดถึงเรื่อง Steel และ Ceramic แล้ว ขอยกตัวอย่าง ข้อดี ข้อเสีย ของวัสดุทั้ง 2 ชนิดหน่อยแล้วกันครับ 

Caliper Checker (Steel)

ข้อดี  มีความทนทานสูง,ไม่แตกหักเสียหายง่าย,ราคาถูกกว่า Ceramic (ในเกรดเดียวกัน) 

ข้อเสีย ดูแลรักษาไม่ดีอาจขึ้นสนิมได้, เกิดรอยขูดขีดได้ง่าย(Scratch) รอยที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกับค่าวัด 

Caliper Checker (Ceramic) 

ข้อดี ไม่เป็นสนิม, รอยขูดขีด(Scratch) ที่เกิดบนผิว ไม่ค่อยส่งผลกับค่าวัด 

ข้อเสีย ดูแลไม่ดีอาจแตก,บิ่น ง่ายกว่า Steel, แพงกว่า Steel (ในเกรดเดียวกัน) 

เป็นไงบ้างครับ ได้ทราบข้อดี ข้อเสียเบื้องต้นของทั้งสองแบบกันมาแล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ผู้ใช้งานแล้วนะครับ ว่าจะตัดสินใจเลือกแบบ Steel หรือ Ceramic 

Caliper Checker ที่พบเจอส่วนใหญ่ จะมีอยู่ 3 ขนาดด้วยกัน 0-300 mm, 0-450 mm, 0-600 mm ภาพการใช้งานเมื่อใช้สอบเทียบ Vernier Caliper และ Digimatic Caliper ในด้านการวัด Outside ตัวอย่างรูปที่ (รูปที่ 2.1) 

 รูปที่ 2.1

ภาพการใช้งานเมื่อใช้ในการสอบทียบ Vernier Caliper และ Digimatic Caliper ในด้านการวัด Inside ตัวอย่างรูปที่ (รูปที่ 2.2)

ภาพการใช้งานเมื่อใช้ในการสอบเทียบ Vernier Height, Digimatic Height Gauge (รูปที่ 3)

 

การใช้งานกับ Height Gauge

ต้องมีเครื่องมือที่มาเกี่ยวของอีกสองอย่างคือ Dial Test Indicator (ความละเอียด 0.002 mm, 0.001 mm) และ Granite Surface Plate โดยที่เครื่องมือทั้ง Caliper Checker และ Height gauge ต้องวางอยู่บนโต๊ะ Granite Surface Plate ขณะทำการสอบเทียบ หลังจากใช้งานแล้วก็ควรเช็ดทำความสะอาดให้ดี ด้วยผ้าสะอาด(ผ้านุ่ม) ชุบแอลกอฮอล์ และจัดเก็บลงกล่อง แต่ไม่ควรจัดเก็บไว้ในที่ที่มีความชื้นสูง เพราะอาจทำให้เกิดสนิมได้ง่าย

รูปที่ 4 ภาพสาธิตการสอบเทียบ Caliper Checker โดยใช้วิธีการ Comparison with Gauge Block ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

ภาพสาธิตการสอบเทียบ Caliper Checker โดยใช้วิธีการ Comparison with Gauge Block ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด 

มาถึงตรงนี้ ก็น่าจะพอมองเห็นถึงประโยชน์ของ Caliper Checker กันแล้วใชมั้ยครับ งั้นผมลองหาข้อเสีย เท่าที่นึกได้มาดูกันดีกว่าครับ 

  • มีราคาสูงพอสมควร (ในกรณีที่มี Vernier Caliper หรือ Height Gauge จำนวนไม่เยอะอาจไม่คุ้ม) 
  • ต้องหมั่นส่งสอบเทียบทุกๆ 1 ปี (เป็นอย่างน้อย) ค่าสอบเทียบสูงกว่า Vernier Caliper, Height Gauge 
  • มีความเสี่ยง ในการสอบเทียบ Height Gauge เพราะต้องตั้ง Caliper Checker ขึ้น ฉะนั้นระมัดระวังให้ดี ล้มลงมาจะเกิด ความเสียหายได้ทั้งกับตัว Caliper Checker,Dial Test และ Granite Surface Plate 
  • จุดสอบเทียบไม่หลากหลายเท่ากับการใช้ Gauge Blocks เป็น Standard ในการสอบเทียบ 

จากบทความเรื่อง Caliper Checker ในครั้งนี้ น่าจะพอเป็นประโยชน์กับผู้อ่านและผู้ต้องการความรู้เบื้องต้นในเรื่องดังกล่าว ไม่มากก็น้อยนะครับ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานแล้วครับว่าจะเลือกหาซื้อ Caliper Checker มาใช้งานหรือไม่ ทั้งนี้ต้องเลือก Range ที่เหมาะสมกับ เครื่องมือวัด ของเราด้วยนะครับ 

และที่สำคัญที่จะลืมไม่ได้เลยคือ ทางบริษัท Calibration Laboratory Co.,Ltd. (CLC) เรารับสอบเทียบ Caliper Checker และได้รับการรับรอง Accredit 17025 ทั้ง สมอ. และ ANAB ถึง 600 mm. กันเลยทีเดียว และ CLC ยังเป็นตัวแทนจำหน่าย Caliper Checker ยี่ห้อ Mitutoyo อีกด้วยนะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไป

 

 

Ref.

Mitutoyo

Higher Precision

Zhhimg

NIST

 

 

 

MKS

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

 

 

 

 

 

 

Air และ Gas Flow Meter วัดลมให้ตรง ลดต้นทุนจริง

เครื่องมือวัด Air flow meter และ Gas Flow Meter มาทำความรู้จักกับเครื่องมือทั้ง 2 ชนิดและการสอบเทียบเครื่องมือวัดกัน

Air flow meter และ Gas Flow Meter คืออะไร

เครื่องมือวัด Air and Gas Flow Meter คือ เครื่องมือวัดที่จะทำให้ทราบว่า ลมในระบบเราไหลอยู่เท่าไร หน้าที่คือบอก “อัตราการไหล” ของลมหรือก๊าซในรูปปริมาตรต่อเวลา เช่น สมมุติว่าวัดค่าได้ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อนาที (m3/min) ก็แปลว่าใน 1 นาทีมีลมผ่านท่อนั้น 5,000 ลูกบาศก์เมตร จริงๆหน่วยวัดที่พบว่ามีการใช้กันบ่อยๆก็คือ ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m3/h) และ ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที (cfm) ส่วนการวัดค่า Flow Rate ที่สูงมากๆก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเจอหน่วยวัดเป็นลูกบาศก์เมตรต่อนาที (m3/min) หรือมิลลิลิตรต่อนาที (ml/min) ตามความเหมาะสม

ไขข้อข้องใจ ทำไมค่าอัตราการไหลมาตรฐานไม่เท่ากัน?

ต่อให้เราพูดคำว่า “อัตราการไหลแบบมาตรฐาน” กี่ครั้ง ถ้าไม่บอกอุณหภูมิและความดันที่ใช้อ้างอิง ค่าที่สื่อสารกันจะคลาดเคลื่อนทันที เพราะปริมาตรก๊าซเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิและความดันเสมอ เอกสารบริการสอบเทียบของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ระบุชัดเจนว่าเมื่อพูดถึงอัตราการไหลเชิงปริมาตรแบบมาตรฐานในเอกสารนั้น เขาจะใช้อุณหภูมิ 20°c และความดัน 101,325 Pa เป็นเงื่อนไขอ้างอิงตลอดทั้งเล่ม ซึ่งการใช้วิธีนี้เลยทำให้ตัวเลข “มาตรฐาน” ที่รายงานกลับมาเทียบกันได้ตรงกันจริงๆ

หากต้องเปลี่ยนหน่วยระหว่าง cfm (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที) ไปเป็น m3/h (ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง) หรือ l/min (ลิตรต่อนาที) ให้ยึดปัจจัยแปลงที่หน่วยงานด้านมาตรวิทยากำหนดไว้ สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติให้ค่าคงที่ว่า 1 ฟุตเท่ากับ 0.3048 เมตรแบบแน่นอน ทำให้ 1 ลูกบาศก์ฟุตมีค่าเท่ากับ 0.02831684652 ลูกบาศก์เมตร จากนั้น x60 เพื่อเปลี่ยน “ต่อนาที” เป็น “ต่อชั่วโมง” หรือ x 1,000 เพื่อเปลี่ยน “ลูกบาศก์เมตร” เป็น “ลิตร” หลักการนี้เป็นเพียงการแปลงหน่วย ไม่ได้เปลี่ยนเงื่อนไขอ้างอิงของอุณหภูมิและความดัน ดังนั้นถ้าข้อมูลต้นทางเป็นค่ามาตรฐานภายใต้อุณหภูมิและความดันชุดหนึ่ง ค่าที่แปลงหน่วยแล้วก็ยังอ้างอิงชุดเดียวกันเสมอ

ดังนั้นแนะนำว่า ให้เขียนค่าปริมาตรหรืออัตราการไหลของก๊าซทุกครั้งพร้อมบอกอุณหภูมิและความดันที่เป็นเงื่อนไขอ้างอิง เช่น หากทำงานในภาคก๊าซธรรมชาติที่ใช้อุณหภูมิ 15°c เป็นค่าฐาน ให้ระบุเงื่อนไขนั้นให้ชัดเจนตามมาตรฐานสากลของอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติด้วย เพื่อป้องกันความสับสนในงานซื้อขายหรือการคุมคุณภาพ

แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC สามารถสอบเทียบได้ที่ Scope ใดบ้าง?

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (CLC) สามารถสอบเทียบ Air Flow Meter and Gas Flow Meter ได้รับการรับรอง Scope ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน ANAB จากสหรัฐอเมริกา สามารถสอบเทียบได้ทั้งแบบสอบเทียบ ณ ห้องปฏิบัติการ (In lab flow meter calibration service) และนอกสถานที่ (On-site flow meter ได้ที่ Scoper calibration service)

 

ประโยชน์ที่ได้จากการวัดอัตราการไหล

การวัดอัตราการไหลคือรากฐานของการคุมต้นทุน คุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมดในโรงงาน ดังนั้นการใช้งาน Air and Gas Flow Meter นั้นสามารถ

  1. มองเห็นและลดต้นทุนได้จริง

เป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่ลดพลังงานที่สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์เพราะ Flow Rate ทำให้มองออกว่าเกิดการรั่ว การปรับแรงดันเกินความจำเป็น หรือแต่ละจุดใช้ลมมากไปหรือน้อยไป จึงทำให้สามารถแก้ไขระบบได้ (อ้างอิงคู่มือของภาคอุตสาหกรรมกระทรวงพลังงานประเทศอเมริกา) มีการแนะนำให้ใช้ Flow Meter เป็นเครื่องมือหลักในการหาพร้อมทั้งติดตามการรั่ว รวมถึงใช้วิเคราะห์ระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบลมอัด ไม่ใช่เพียงแก้เป็นจุดจุด ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้ลึกในระดับสายการผลิตหรือแผนก โรงงานก็คิดต้นทุนตามการใช้จริงได้ สามารถนำมาใช้ในการบริหารให้แต่ละฝ่ายลดการใช้พลังงานลง รวมถึงวิศวกรสามารถวิเคราะห์เพื่อวางแผนคาดคะเนสัญญาณเตือนในการบำรุงรักษาล่วงหน้า โดยสังเกตุได้จากรูปแบบการไหลหรือความดันที่ผิดปกตินั้นสามารถบอกถึงการอุดตัน การสึกหรอ หรืออุปกรณ์เสื่อมก่อนที่จะเกิดความเสียหาย

แนวทางปฏิบัติด้านการใช้เครื่องและบำรุงรักษาแนะนำให้ทำตั้งแต่ช่วงเริ่มเดินเครื่องและช่วงปรับจูน การเห็นผลของการเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วแบบ Real time ช่วยให้ตั้งค่าระบบควบคุมได้แม่นยำและทำงานได้อย่างปลอดภัยภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ

แนะนำว่าในการลดต้นทุนและเพิ่มการผลิตให้มีประสิทธิภาพนี้ให้มองภาพทั้งระบบ เพื่อหาจุดปรับที่ให้ผลคุ้มทุนมากที่สุด ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของวงจร จากการวัดที่ดีและจูนค่าที่ถูกต้องทำให้โรงงานวิเคราะห์ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ช่วยลดความแปรปรวนของกระบวนการ เพิ่มผลผลิต และลดเวลาปรับจูนอย่างได้

  1. ควบคุมปริมาณและคุณภาพการผลิต

ถ้าอยากให้สินค้ามีคุณภาพนิ่งๆ ทุกล็อต พอเราตามค่า Flow rate แบบเรียลไทม์ เราจะลดความแปรปรวนได้ กล้าเดินเครื่องใกล้สเปกมากขึ้น เป็นตัวชี้วัดว่า Air Flow Rate อยู่ในปริมาณที่เราต้องการหรือไม่ หลายกระบวนการต้องอาศัยส่วนผสมของก๊าซที่พอดี ผลคือความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาซ้ำงาน และผู้ควบคุมก็ตัดสินใจบนข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่คาดเดาจากความรู้สึก ในเชิงเทคนิคสิ่งนี้คือการควบคุมตัวแปรกระบวนการให้นิ่ง การใช้แนวทาง โครงสร้างสูตร การเรียงลำดับขั้นตอน และการบันทึกซ้ำได้แบบเดิมทุกครั้ง ทำให้ซ้ำงานแล้วได้ผลเหมือนกัน ลดความเสี่ยงล็อตดีล็อตเสีย และยังขยายกำลังผลิตได้โดยที่คุณภาพไม่ตก

สุดท้าย ทุกตัวเลขที่เราเอาไปยืนยันกับฝ่ายคุณภาพ ลูกค้า หรือผู้ตรวจ ต้องสามารถสอบกลับได้ หมายถึงผลการวัดต้องโยงถึงมาตรฐานผ่านการสอบเทียบที่ชัดเจน โปร่งใส ไม่อย่างนั้นข้อมูลเดียวกันอาจตีความกันคนละแบบ

 

Ref.

National Institute of Standards and Technology

Physical Measurement Laboratory

U.S. DEPARTMENT OF ENERGY

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ต้อง วัดแรงดึง แรงฉุด และน้ำหนักสูง เมื่อไรควรหยิบ Dynamometer มาใช้?

ในภาคส่วนอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นในการวัดค่าแรงดึงหรือแรงกดต่างๆ เพื่อทดสอบคุณสมบัติทางกลของวัสดุในการทนแรงดึงหรือแรงกดนั้น เครื่องมือที่รู้จักกันโดยทั่วไปจะมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและแรงที่ใช้ในการทดสอบ เช่น Push-Pull Gauge, Tensile Machine, Universal Testing Machine รวมถึง Dynamometer เป็นต้น

Dynamometer คืออะไร?

Dynamometer (ไดนาโมมิเตอร์ หรือ ไดโน) คือ เครื่องมือวัดค่าแรงดึงชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการทดสอบแรงดึง รูปร่างลักษณะมีความคล้ายกับ Push-Pull Gauge แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเนื่องจากมีความสามารถในการทดสอบแรงดึงที่สูงกว่าหลายเท่าตัว โดยสามารถทดสอบแรงดึงได้มากกว่า 200 ตัน ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่ากับเครื่อง Universal Testing Machine แต่มีคุณลักษณะและการใช้งานแบบพกพา มีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนย้ายและนำไปใช้นอกสถานที่ได้สะดวกง่ายดายเหมือน Push-Pull Gauge

ไดนาโมมิเตอร์โดยทั่วไปมีหน่วยวัดเป็น ปอนด์, กิโลกรัมและนิวตัน ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับลักษณะงานและการวัดค่าอื่นๆได้ เช่น การวัดค่าความตึง, การวัดค่าแรงฉุด และการวัดน้ำหนักของวัตถุที่มีค่าสูงๆ (ลักษณะการใช้งานเหมือน Crane Scale) ตามขนาดและสเปคที่ระบุมาของเครื่องมือในแต่ละรุ่น ซึ่งในปัจจุบันสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร มีทั้งระบบที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่, ระบบอ่านค่าแบบเข็ม, ระบบอ่านค่าแบบดิจิตอล, ระบบไร้สายอ่านค่าและสั่งงานผ่านอุปกรณ์เสริมหรือโทรศัพท์มือถือ ทำให้สะดวกรวดเร็วสำหรับผู้ใช้งาน การเลือกใช้งานเราจำเป็นต้องคำนึงถึงช่วงวัดค่าที่ใช้งานจริงและสิ่งสำคัญคือ ค่าเซฟตี้แฟคเตอร์ของเครื่องมือจะต้องมีค่าที่สูงและต้องระบุมากับเครื่องมือ เพราะจะเกิดอันตรายได้ง่าย ถ้าไม่มีการระบุค่าเซฟตี้แฟคเตอร์หรือมีค่าเซฟตี้แฟคเตอร์ที่ต่ำ

การใช้งานโดยทั่วไปของ Dynamometer

จะใช้กับหน่วยงานสาธารณูประโภค เช่น การวัดความตึงของสายไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูง, การเดินสายเคเบิ้ลและโทรคมนาคม, สะพานที่แขวนด้วยสายเคเบิ้ลที่จำเป็นต้องทดสอบความตึงของสายเคเบิ้ลในการรับแรง อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้งานไดโนมีดังนี้

  • เครนที่ใช้สำหรับชั่งน้ำหนัก
  • การขนส่งสินค้าและการชั่งน้ำหนักสินค้า
  • การผลิตทางด้านอากาศยานและเรือเดินทะเล
  • การทดสอบภาคสนามที่ต้องการความแม่นยำของ โซ่, เชือก, ลวด และวัสดุอื่นๆ
  • การก่อสร้าง, การขนส่ง, โลจิสติกส์ และการจัดการวัสดุ

จากกรณีศึกษาการใช้งานไดนาโมมิเตอร์ประเภทวัดแรงตึงสาย (Running Line Dynamometer / Cable Tension Dynamometer)

พบว่าหน้างานดึงสายสื่อสารยาวๆ เลือกใช้ Cable Safe แบบรันนิงไลน์เพราะวางอินไลน์กับเชือกแล้วอ่านค่าได้ต่อเนื่อง เริ่มงานจากการเช็กพื้นฐานก่อนทุกครั้ง ทั้งเส้นผ่านศูนย์กลางเชือกกับแรงที่คาดว่าจะดึงว่าตรงสเปกรุ่นไหม ตรวจสภาพตัวเครื่องว่ามีรอยแตก สึก หรือเพลาหลวมไหม (ลูกรอกเล่นได้ไม่เกินราว ๆ 1 มม. กำลังดี) จากนั้นให้ทีมจัดจุดยึดให้ตั้งฉากตั้งตรงที่สุด จะเป็นสลักเกลียว โซ่ หรือสลิงคล้องหูชากเกิลก็แล้วแต่หน้างาน ต่อมาก็ปิดไลน์ให้เชือกหย่อนก่อนร้อยเชือก เข้างานด้วยการถอดลูกรอกบนสองตัว ใส่เชือกลงลูกรอกล่างสามตัวให้เข้าร่อง แล้วใส่ลูกรอกบนกลับพร้อมล็อก lynch pin ให้แน่น ทุกคนใส่ PPE และระวังนิ้วให้ห่างร่องลูกรอกเสมอ เรื่องพลังงานใช้ถ่าน AA 4 ก้อน ใส่ถูกขั้วแล้วรุ่นนี้สามารถจับคู่กับแอป HHP/HHP2 ผ่าน Bluetooth ใช้ดูกราฟค่าแบบเรียลไทม์และเก็บล็อกได้ พอเริ่มดึงให้เพิ่มโหลดช้าๆ เลี่ยงช็อกโหลด และย้ำคนคุมวินช์ไม่ให้วิ่งเกินสเปก ถ้าตัวเลขขึ้นผิดปกติให้หยุดทันทีแล้วไล่ตรวจทุกจุด สำหรับงานกลางแจ้งไม่ต้องห่วงเพราะเครื่องมีการซีล IP67 แต่ถ้าต้องยกจากที่เย็นไปที่ร้อนจะพักให้เครื่องเสถียรสัก 20-30 นาที ถ้าเครื่องขึ้นเตือนว่า Overload ต้องปลดโหลดแล้วเช็กว่าเกิน WLL หรือไม่

สรุปการใช้งานสั้นๆคือ เลือกและตั้งเครื่องตามคู่มือ ร้อยเชือกและล็อกให้ถูกขั้นตอน และคุมการเพิ่มโหลดให้เรียบ อยู่ในกรอบความเร็วกับแรงที่กำหนด

สุดท้ายนี้การเลือกใช้ไดนาโมมิเตอร์ให้เหมาะสมกับงานควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการสอบเทียบเครื่องมือก็มีความจำเป็น เพื่อความถูกต้องแม่นยำของเครื่องมือและคุณภาพงานที่ดีเยี่ยม

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC สามารถสอบเทียบได้

แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด Dynamometer ได้รับการรับรอง Scope ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน ANAB ประเทศสหรัฐอเมริกา จะสามารถสอบเทียบได้ทั้งแบบ ทั้งในห้องปฏิบัติการ (In Lab service) และนอกสถานที่ (Onsite service)

 

Ref.

Dillon force

Eilon Engineering

Straightpoint

MKS

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

pH Meter คืออะไร ดูแลรักษาอย่างไรให้ถูกต้อง


pH Meter  คือ เครื่องมือทางไฟฟ้าที่ใช้วัด ค่าความเป็นกรดด่างของสารละลาย(ค่า pH) ซึ่งมีอยู่หลายประเภทตามการใช้งาน โดยหลักการวัดความต่างศักย์ (Potentiometer) ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนคือ อิเล็กโทรด (Electrode) และเครื่องวัดศักย์ไฟฟ้า การใช้งานเครื่องมือวัดนี้ปกติแล้วไม่ได้ใช้แค่ในเฉพาะห้องทดลอง แต่ยังมีความสำคัญและมีการใช้งานในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (ใช้สำหรับควบคุมความเป็นกรดในนม น้ำผลไม้ เบียร์) อุตสาหกรรมยา (ใช้สำหรับตรวจสอบค่า pH ของสารละลายเพื่อความปลอดภัย) และการบำบัดน้ำเสีย (ใช้เพื่อควบคุมค่าความเป็นกรดด่างในน้ำก่อนปล่อยออกสู่สภาพแวดล้อม) ดังนั้นการเลือกและดูแลรักษาเครื่องมือวัด pH Meter อย่างถูกต้องจึงมีผลต่อคุณภาพสินค้าและการผ่านมาตรฐานการผลิตตามกำหนดของมอก.อีกด้วย

การบำรุงรักษาเครื่อง pH Meter 

ส่วนที่สำคัญและจะต้องบำรุงรักษานั่นก็คือ pH Electrode (หัว Probe วัดค่า) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้การวัดมีความถูกต้องแม่นยำและสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นถ้ามีการบำรุงรักษาที่ถูกวิธี
การบำรุงรักษาควรปฏิบัติดังนี้

  1. ก่อนการใช้งาน ควรทำความสะอาด  pH Electrode ด้วยน้ำกลั่นหรือน้ำที่ปราศจาก Ion  และแช่ pH Electrode ในสารละลาย หรือ Buffer Solution
    สิ่งที่ควรระวัง – ห้ามนำ pH Electrode แช่ในน้ำกลั่นหรือน้ำบริสุทธิ์นานๆเนื่องจากจะทำให้ Glass Membrane เสียหาย
  2. การใช้งาน ล้าง pH Electrode ด้วยน้ำกลั่นก่อนและหลังการวัดตัวอย่าง แล้วซับด้วยกระดาษอ่อนนุ่ม หรือสำลี
    สิ่งที่ควรระวัง – ห้ามถู  Glass Membrane แรงๆเนื่องจากจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตที่จะรบกวนการวัดในครั้งต่อไป
  3. การเก็บรักษา ควรเก็บ pH Electrode แช่ในสารละลาย KCL 3 M (โพแทสเซียมคลอไรด์เข้มข้น 3 โมลาร์) และทำความสะอาดเครื่องหลังใช้งาน
    สิ่งที่ควรระวัง – ห้ามแช่ pH Electrode ในน้ำกลั่น และห้ามปล่อยให้ pH Electrode  แห้ง

(เนื่องจาก Glass Membrane จะสูญเสียความไวต่อการตอบสนอง (Response Time) และอาจเกิดการเสียหายถาวร ที่ถูกคือควรเก็บในสารละลาย KCl ตามความเข้มข้นที่ผู้ผลิตกำหนด ไม่ควรเก็บในน้ำกลั่นหรือน้ำประปา เพราะจะทำให้ ion ภายใน Electrode สูญเสียสมดุลและเกิด Diffusion ออกมาได้)

นอกจากเรื่องทำความสะอาดแล้วอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถทำให้เครื่องมือวัดสามารถใช้งานและให้ค่าได้อย่างถูกต้อง คือ การสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) เพื่อยืนยันว่าค่าที่วัดได้ยังตรงกับค่ามาตรฐาน ทั่วไปแล้วการสอบเทียบมักทำโดยครอบคลุมทุกช่วงการวัด หากไม่ได้สอบเทียบบ่อยครั้ง ค่า Slope และ Offset ของ Electrode อาจเพี้ยน ทำให้ผลการวัดคลาดเคลื่อน ซึ่งมีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและการวิจัยโดยตรง

ห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จะสอบเทียบโดยมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นระหว่างการสอบเทียบ รวมถึงบันทึกผลลัพธ์ให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงมาตรฐานสากลได้ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจว่าค่าที่อ่านได้มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายอุตสาหกรรม เช่น ยา อาหาร และสิ่งแวดล้อม ต้องใช้ในการผ่านมาตรฐานการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งทาง CLC มีบริการในการสอบเทียบ pH Meter ที่ได้มาตรฐานการรับรอง สมอ.และ ANAB ทำให้มั่นใจได้ถึงมาตรฐานการวัด โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการสอบเทียบ  pH  (pH Meter Calibration) ได้ที่นี่

ข้อปฏิบัติเมื่อส่งเครื่อง pH Meter มาสอบเทียบกับ Calibration Laboratory

  1. ห่อหุ้ม pH Electrode รวมถึงตัวเครื่อง ด้วยแผ่นกันกระแทกเพื่อป้องกันเครื่องมือกระแทกขณะขนส่ง
  2. แช่หัว pH Electrode ในกระปุกที่มีสารละลาย KCL ห้ามปล่อยให้หัว pH Electrode แห้ง

 

การใช้งาน pH meter

ก่อนใช้งาน

          ให้ความสำคัญกับเรื่องความสะอาดและความชื้นของหัววัดก่อนเสมอ ล้างหัววัดด้วยน้ำที่ปราศจากไอออน จากนั้นซับน้ำออกอย่างนุ่มนวลพอหมาด เพื่อไม่ให้หยดน้ำไปเจือจางตัวอย่างที่กำลังจะวัด จากนั้นเปิดฝาครอบหัววัดแล้วดูให้แน่ใจว่าสารละลายที่ใช้เก็บรักษายังท่วมปลายหัวแก้วและช่องไหลของสารอ้างอิงอยู่ครบ หากเห็นว่าแห้งหรือระดับลดลงให้เติมสารละลายเก็บรักษาที่ทำจากโพแทสเซียมคลอไรด์ความเข้มข้น 3 โมลาร์จนท่วมปลายหัวทันที

          กรณีที่ถ้าเคยปล่อยหัววัดให้แห้งมาช่วงหนึ่งแล้ว อย่าเพิ่งใช้งานทันที เนื่องจากต้องคืนสภาพหัววัดด้วยการแช่ในน้ำประปาที่สะอาดหรือสารละลายกรดอ่อนอย่างน้อย 1-2 วันเต็ม เพื่อให้ชั้นเจลบนแก้วกลับมาทำงานได้ตามปกติ แล้วค่อยนำไปใช้งาน

การใช้งาน

          การตั้งค่าอุณหภูมิของเครื่องควรตั้งให้ตรงกับอุณหภูมิจริงของตัวอย่างที่กำลังวัด ในระหว่างที่ทำการวัดให้คนตัวอย่างช้าๆและสม่ำเสมอ วางหัววัดนิ่ง รอจนค่าบนหน้าจอคงที่แล้วค่อยอ่านค่า  หากต้องวัดหลายตัวอย่างแบบต่อเนื่อง ห้ามลืมล้างหัววัดระหว่างตัวอย่างเพราะคราบจากตัวอย่างก่อนหน้าจะทำให้ค่าของตัวอย่างถัดไปเกิดการเพี้ยนได้ง่าย กรณีที่เมื่อเห็นตัวเลขไม่นิ่งในตัวอย่างที่นำน้ำไฟฟ้าได้น้อย ให้เพิ่มเวลาในการรอให้เสถียร และชดเชยอุณหภูมิอีกครั้ง

          หลังวัดเสร็จ ไม่ควรปล่อยให้หัววัดแห้ง ควรล้างด้วยน้ำที่ไม่มีไอออนแล้วเก็บแช่ในสารละลายโพแทสเซียมคลอไรด์ความเข้มข้น 3 M ทุกครั้ง ไม่แช่ในน้ำกลั่นและหลีกเลี่ยงการทิ้งหัววัดไว้โดยไม่มีของเหลวคลุมปลาย probe หากต้องการพักการวัดในระยะเวลาช่วงสั้นๆระหว่างตัวอย่าง สามารถแช่หัววัดในสารละลาย Buffer ที่มีค่ากลาง(Neutral) อย่างน้ำบริสุทธิ์ (pH 7) หรือ ค่ากรด(Acidic) เช่น น้ำส้มสายชูเจือจาง (pH 4) เพื่อให้ปลายหัวคงความชื้นได้ แต่วิธีนี้ไม่ควรใช้เป็นการเก็บรักษาในระยะยาว

 

 

Ref.

GWB Tuoteluettelo

Hach Mena

Hamilton Company

Thermo Fisher Scientific

GWB Tuoteluettelo

Hach Mena

 

 

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

เลือกวิธีสอบเทียบยังไงดีที่เหมาะกับไซโล (SILO) คุณ

ไซโล (SILO) คือ ถังขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุวัสดุหรืออาหาร เพื่อเก็บรักษาไว้ในปริมาณที่มาก โดยวัสดุที่บรรจุส่วนใหญ่จะเป็นพวกวัตถุดิบอาหาร เช่น ข้าว เม็ดพืช อาหารสัตว์ น้ำนม น้ำผลไม้ เป็นต้นต่างจาก “ถังเก็บทั่วไป” คือไซโลออกแบบมาให้ ลำเลียงออกได้โดยที่สามารถคุมการปล่อยวัตถุออกให้ได้ตามที่ตั้งไว้ทั้งในส่วนของ ปริมาณ อัตรา รวมไปถึง เวลาตามที่ต้องการ  มักมี ระบบวัดและควบคุมสภาพแวดล้อม เพื่อรักษาคุณภาพวัตถุดิบด้วย

ส่วนใหญ่เรามักพบเครื่องมือไซโลในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะนอกจากจะเก็บรักษาวัตถุดิบหรืออาหารได้จำนวนมากแล้ว ที่เก็บพวกนี้จะมีการควบคุมในเรื่องของอุณหภูมิ (Temperature)และความชื้น (Humidity) ด้วย เพื่อให้รักษาสภาพไม่ให้ของเสีย ส่วนใหญ่เครื่องมือไซโลนี้จะมีระบบระบายอากาศ และควบคุมอุณหภูมิภายใน เพื่อป้องกันอาหารเหล่านี้เสีย

เครื่องมือไซโลมีชื่อเรียกหลายอย่าง บางผู้ใช้งานเรียก Tank load cell บางผู้ใช้งานเรียก Balance, Load cell เป็นต้น

ลักษณะของเครื่องมือ ไซโล (SILO)

มักจะเป็นถังขนาดใหญ่ทรงกลม บางทีมีลักษณะทรงเหลี่ยม ปลายทางออกเป็นรูปทรงกรวยให้เป็นทางออกของวัสดุที่ทางเราใส่เข้าไป ถังไซโลจะบรรจุน้ำหนักได้มากจนถึงหลายพันตัน

รูปแบบของ ไซโล

  1. ไซโลทรงกรวย มีลักษณะเป็นถังขนาดใหญ่ ตรงปลายปากด้านล่างสุดเป็นรูปทรงกรวยอยู่สูงจากระดับพื้นดิน เพื่อใช้ในการลำเลียงวัตถุดิบ,อาหารออกมา ตามปริมาณที่เราต้องการกำหนด แบบนี้คือแบบที่เราพบกันมากในภาคอุตสาหกรรมอาหาร และเป็นแบบที่ทาง CLC สอบเทียบทั่วไปเป็นประจำ
  2. ไซโลแบบก้นเรียบ เป็นลักษณะที่เป็นถังคล้ายแทงค์น้ำตามบ้านแต่ขนาดใหญ่กว่าค่อนข้างมาก ใส่วัตถุดิบเข้าจากทางด้านบนเช่นเดียวกับแบบทรงกรวย และลำเลียงออกจากทางด้านล่าง โดยต้องอาศัยใบพัดกวาดออกมาจากทางรูทางออก

ไซโลในอุตสาหกรรมปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่ ถังเก็บวัตถุดิบ อีกต่อไป แต่ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นระบบชั่งน้ำหนักอัตโนมัติด้วย เนื่องจากภายในจะติดตั้งโหลดเซลล์ (Load Cell) ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัดแรงกดหรือน้ำหนักที่รองรับถังไว้ เมื่อมีการเติมหรือปล่อยวัตถุดิบ โหลดเซลล์จะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังตัวควบคุม (Indicator) เพื่อแปลงเป็นค่ามวลหรือปริมาณวัตถุที่แม่นยำ เครื่องมือประเภทนี้ช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสามารถคุมปริมาณวัตถุดิบเข้า–ออกได้แบบทันทีและลดความคลาดเคลื่อนจากการชั่งด้วยมือ

การใช้งาน SILO เบื้องต้น

  1. กำหนดปริมาณที่ต้องการจะนำอาหารหรือวัตถุดิบเข้า-ออก เช่น 500 kg
  2. กด Set ที่เครื่องแล้วฟีดอาหารหรือวัตถุดิบ
  3. เครื่องมือก็จะทำการฟีดอาหารหรือวัตถุดิบตามที่เรากำหนด

 

สิ่งที่มีผลต่อความแม่นยำของการชั่งในไซโล

การวัดน้ำหนักวัตถุดิบในไซโลให้แม่นยำไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องมือเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหลายอย่าง เช่น

  • ตำแหน่งติดตั้งโหลดเซลล์ – ต้องกระจายน้ำหนักเท่ากันทุกจุด หากติดตั้งไม่สมดุลจะทำให้ค่าที่อ่านคลาดเคลื่อน

  • แรงลอยตัวจากลม – หากไซโลอยู่ในพื้นที่ที่มีแรงลมแรง จะเกิดแรงดันที่ส่งผลต่อโหลดเซลล์

  • อุณหภูมิและความร้อน – ความร้อนสูงเกินไปอาจทำให้เซ็นเซอร์ขยายตัวและส่งสัญญาณผิดพลาด

  • การสั่นสะเทือนจากเครื่องจักร – ควรแยกฐานไซโลออกจากโครงสร้างเครื่องจักรเพื่อลดผลกระทบ

การตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) จะช่วยให้ระบบชั่งในไซโลคงความแม่นยำได้ยาวนาน

ทำไมเราถึงต้องสอบเทียบเครื่องมือไซโล

          เพื่อที่ทางเราจะได้รู้ว่าวัตถุดิบหรืออาหารที่เรานำเข้าไปนั้น และปล่อยออกมานั้นมีน้ำหนักตามที่เราชั่งตวงหรือกำหนดไว้ในการวัดปริมาณวัตถุดิบหรือไม่ ซึ่งส่งผลต่อทั้งต้นทุนการผลิตและคุณภาพสินค้า เช่น นำอาหารเข้าไปใน ไซโล จำนวน 500 kg นั้น มวลน้ำหนักภายในที่อยู่ในนั้นหนัก 500 kg จริงหรือไม่ หรือน้ำหนักที่ปล่อยเข้า-ออกไปนั้นขาดหรือเกินไปจากที่เรากำหนดหรือไม่ ถ้าน้ำหนักเกินไปก็อาจทำให้สูญเสียวัตถุดิบโดยไม่รู้ตัวทำให้เราขาดทุนได้ หรือถ้าหากเราฟีดในปริมาณที่น้อยกว่าที่เราตั้งหรือกำหนดไว้ก็อาจจะทำให้ลูกค้าร้องเรียนเราได้ว่าได้ปริมาณที่น้อยกว่าที่กำหนด เห็นเช่นนี้การสอบเทียบจึงไม่ใช่แค่ขั้นตอนทางเทคนิค แต่เป็นการสร้างความถูกต้อง ป้องกันข้อผิดพลาด ลดการสูญเสียต้นทุน ป้องกันด้านความน่าเชื่อถือ จึงทำให้จำเป็นต้องสอบเทียบเครื่องมือไซโล

 

CLC สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด  ได้ 2 วิธีการ

  1. Direct Measurement with Mass Flow Calibrator
  2. Comparison with Standard Weight Set

ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 จาก ANAB

ทั้ง 2 วิธีการ ทีมงาน CLC จำเป็นที่ต้องไปดูหน้างานเนื่องจากการดูหน้างานก่อนสอบเทียบสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการวัดผิดและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดที่ลูกค้าจะได้รับ พร้อมทั้งวิศวกรจะสามารถแนะนำลูกค้าเบื้องต้น ว่าเครื่องมือไซโลมีพื้นที่วาง Standard Weight เพียงพอหรือไม่ ไซโลอยู่สูงจากพื้นดินเท่าไหร่ การลำเลียง Weight ทำได้ด้วยวิธีการใด เป็นต้น เพื่อเลือกแนะนำวิธีการที่ตรงกับการใช้งานและตรงกับความต้องการลูกค้าให้มากที่สุด

ทั้งนี้ทาง CLC (บริษัท สอบเทียบเครื่องมือวัด Calibration Laboratory) มีบริการดูหน้างานฟรี!!! โดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญ หากทางลูกค้าสนใจต้องการให้สอบเทียบเครื่องมือ SILO และประสงค์ให้ดูหน้างานก่อน สามารถติดต่อเราได้เลยค่ะ

 

 

Ref.

Minebea Intec.

Kobastar

Standardscale

ISO Standard

NIST

MKS

 

บริการสอบเทียบด้านมวล

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ข้อควรระวังในการใช้งาน Push-Pull Gauge

เครื่องวัดแรงดึงแรงกด (Push-Pull Gauge) คือ เครื่องมือวัดแรงดึงและแรงกดขนาดเล็ก เครื่องมือนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ บรรจุภัณฑ์ อาหาร เป็นต้น เพราะเป็นเครื่องมือวัดที่มีขนาดเล็ก และใช้งานได้ง่าย โดยเครื่องมือนี้อาศัยหลักการยืดและหดของตัวสปริงภายใน โดยถ้าเราถ่วงวัตถุหรือออกแรงดึงกับตะขอของเครื่องมือ สปริงก็จะถูกยืดออก ทำให้เข็มที่เครื่องมือหมุนไปยังแรงที่กระทำมากับตัวเครื่องมือ

ประเภทของเครื่องวัดแรงดึงแรงกด (Push-Pull Gauge)

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. เครื่องมือวัดแรงดึงแรงกดแบบอนาล็อก (Analog Push-Pull Gauge) จะมีหน้าจอเป็นแบบเข็มบนหน้าปัด
  2. เครื่องมือวัดแรงดึงแรงกดแบบดิจิตอล (Digital Force Gauge) จะมีหน้าจอเป็นแบบดิจิตอล

ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะมีหน่วยแสดงผลที่แตกต่างกันออกไปตามหน่วยที่เราต้องการจะวัด มีทั้ง N (นิวตัน), lb (ปอนด์), kg (กิโลกรัม) ผู้ใช้งานสามารถเลือกเครื่องมือที่หน่วยตรงกับการใช้งานของตนเองได้เลย เพื่อสะดวกในการใช้งาน สะดวกในการอ่านค่า โดยไม่ต้องแปลงหน่วยกลับไปกลับมาให้สับสน เพราะอาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการอ่านค่าได้

เราจำเป็นที่ต้องส่งสอบเทียบเครื่องมือวัดทุกตัวที่เราใช้วัดชิ้นงาน เพราะเป็นการยืนยันว่าเครื่องมือที่เราใช้วัดนั้นค่าที่หน้าจอแสดงผล ยังอ่านค่ายังตรงอยู่หรือไม่ เพื่อเป็นการการันตีความเชื่อมั่นได้ว่าเครื่องมือนั้นยังเที่ยงตรง พอนำไปวัดชิ้นงานของเรา ก็จะให้ค่าที่แม่นยำ

ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เอง CLC (Calibration Laboratory) สามารถสอบเทียบเครื่องมือดังกล่าวได้ และได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017  ทั้งของในประเทศไทยอย่าง TISI และต่างประเทศอย่าง ANAB (สหรัฐอเมริกา) โดยย่านการวัดที่ทาง CLC สอบเทียบได้และได้รับการรับรองนั้นอยู่ที่ 0-1000 N ในด้านดึง โดย Standard ที่ทาง CLC ใช้ในการสอบเทียบคือ Standard Weight

ภาพตัวอย่างการสอบเทียบ Push-Pull Gauge ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

วิธีการตรวจเช็คเครื่องมือก่อนการสอบเทียบ

  1. ตรวจเช็คเครื่องมือว่ามีอุปกรณ์ เช่น ตะขอดึง Jigกด ว่ามีมาหรือไม่
  2. ตรวจเช็คเข็มว่าเข็มหมุนเต็ม Range หรือไม่ เข็มหักหรือไม่ หมุนกลับไปที่ศูนย์หรือไม่
  3. ตรวจเช็คกายภาพของเครื่องมือว่า แตก หัก เสียหาย หน้าจอแตกหรือไม่
  4. กรณีเป็นเครื่องมือแบบหน้าจอดิจิตอล ตรวจเช็คว่าเครื่องมือเปิดติดหรือไม่ มี Adaptor หรือสายชาร์จมาหรือไม่ รางถ่านมีสนิมหรือไม่
  5. ทำความสะอาดเครื่องมือด้วยผ้าสะอาดก่อนทำการสอบเทียบ

ทั้งนี้ผู้ใช้งานเครื่องมือเองก็สามารถตรวจเช็คเครื่องมือเช่นเดียวกับที่ทาง CLC ทำ เพื่อเป็นการรักษาเครื่องมือให้มีอายุการใช้งานที่นานยิ่งขึ้น

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนการใช้งาน

การเลือกช่วงวัดให้เหมาะสม

ก่อนใช้งานเครื่องวัดแรงดึง–แรงกด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่วงการวัดของเครื่องครอบคลุมแรงที่คุณต้องการใช้งานจริง เช่น ถ้าคุณต้องการวัดแรงดึงสูงสุด 500 นิวตัน เครื่องมือที่ใช้ควรมีช่วงวัดมากกว่าอย่างน้อย 20–30% เพื่อป้องกันการใช้งานเกินขีดจำกัด เพราะหากใช้เครื่องวัดในช่วงสูงสุดต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้กลไกภายในสึกหรอหรือคลาดเคลื่อนได้

การอ่านคู่มือก่อนติดตั้ง

ทุกครั้งก่อนใช้งาน ควรอ่านคู่มือการใช้งานที่มากับเครื่องอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและอุปกรณ์เสริม เช่น ตะขอดึง (Jig) หรือแผ่นกด (Plate) คู่มือจะระบุรายละเอียดวิธีติดตั้ง การตั้งค่าหน่วยวัด การต่อสาย และข้อควรระวังเฉพาะรุ่น ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายจากการติดตั้งผิดตำแหน่งหรือออกแรงเกินกำลังของเครื่องมือ

การเลือกหน่วยวัดให้ตรงกับการใช้งาน

Push-Pull Gauge สมัยใหม่สามารถตั้งค่าได้หลายหน่วย เช่น นิวตัน (N), กิโลกรัม (kg), หรือ ปอนด์ (lb) ควรเลือกหน่วยที่ตรงกับมาตรฐานการผลิตหรือเอกสารควบคุมคุณภาพขององค์กร เพื่อป้องกันการแปลงหน่วยผิดพลาด เพราะการแปลงหน่วยซ้ำ ๆ มักเป็นสาเหตุของความคลาดเคลื่อนในการบันทึกผล

การตรวจสอบเครื่องมือก่อนใช้งาน

ก่อนเริ่มใช้งานจริง ควรตรวจสอบสภาพเครื่องมือให้ครบทุกจุด เริ่มจากดูว่าตะขอดึง หรือ Jig กดยังอยู่ครบ ไม่มีการชำรุดหรือสึกหรอ หากเป็นรุ่นดิจิทัล ให้ตรวจเช็กว่าเครื่องเปิดติด หน้าจอแสดงผลชัดเจน แบตเตอรี่หรือสายชาร์จอยู่ในสภาพดี และไม่มีคราบสนิมในช่องใส่ถ่าน สุดท้ายควรทำความสะอาดเครื่องด้วยผ้านุ่มก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันฝุ่นหรือน้ำมันที่อาจรบกวนความแม่นยำของค่าที่วัดได้

รูปตัวอย่างตะขอดึง Jig ที่มาพร้อมเครื่องมือ

ข้อควรระวังใน การใช้งาน Push-Pull Gauge

  1. ไม่ควรใช้กับแรงที่เกินขีดความสามารถของเครื่องมือ เพราะจะทำให้เครื่องมือเสีย
  2. ไม่ควรเสียบที่ชาร์จค้างไว้ตลอดการใช้งานเพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ง่าย
  3. ไม่ควรให้น้ำเข้าเครื่อง อาจทำให้เครื่องช๊อตได้
  4. ควรติดตั้งเครื่องมือให้มีพื้นที่เหมาะสมกับการใช้งาน

 

Ref.

Mhforce

Astm.org

Mikrometry

NIST Handbook

ASTM E74

ISO/IEC 17025:2017 

 

 

 

MKS

บริการสอบเทียบด้านแรงบิดและแรง

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

ทำไมมาตรฐานโลกถึงเริ่มต้นจากเครื่องมือธรรมดาอย่างไม้บรรทัด?

ไม้บรรทัดสู่มาตรฐานสากล เข้าใจเครื่องมือวัดและการเลือกใช้ ไม้บรรทัดมาตรฐาน ให้เหมาะกับงาน

ไม้บรรทัดในห้องเรียนสู่เครื่องมือวัดในสายการผลิต ทั้งหมดล้วนสะท้อนหลักการเดียวกัน คือ ‘การสร้างมาตรฐาน’ หากไม้บรรทัดให้ความแม่นยำระดับมิลลิเมตร เครื่องมืออย่างเวอร์เนียร์ ไมโครมิเตอร์ หรือ CMM ก็ยกระดับความแม่นยำไปถึงไมโครเมตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยุคใหม่

ไม้บรรทัดที่เราคุ้นเคยทุกเส้นต่างก็อ้างอิงกับมาตราส่วนเดียวกัน เช่น เซนติเมตร หรือมิลลิเมตร เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ไม่ว่าจะอยู่ห้องเรียนใดก็ตาม หลักการนี้เองถูกยกระดับขึ้นในโลกอุตสาหกรรมเป็น ‘ระบบมาตรฐานสากล’ ไม่ว่าจะเป็น ISO, JIS หรือ ASTM ที่กำหนดเกณฑ์การวัด การทดสอบ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เหมือนกันทั่วโลก หากไม่มีมาตรฐานเหล่านี้ ผลิตภัณฑ์จากประเทศหนึ่งอาจไม่สามารถใช้งานร่วมกับอีกประเทศได้ หรืออาจไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพในตลาดโลก

ลองนึกถึงชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น น็อต สกรู หรือชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หากไม่มีการกำหนดมาตรฐาน ทุกโรงงานอาจผลิตตามขนาดที่ตัวเองใช้ ผลลัพธ์คืออะไหล่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ รถยนต์ที่ส่งออกอาจประกอบไม่ได้ในอีกประเทศหนึ่ง เช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การผลิตแผงวงจร PCB ต้องอ้างอิงมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ชิ้นส่วนจากหลายซัพพลายเออร์สามารถประกอบเข้าด้วยกันและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อพูดถึงมาตรฐาน เรามักนึกถึงกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่นเดียวกับไม้บรรทัดที่ช่วยกำหนดเส้นตรงให้เรา แต่ในความเป็นจริง ‘มาตรฐาน’ ไม่ได้มีแค่แบบเดียว ไม้บรรทัดเองก็เช่นกัน มีหลากหลายประเภทออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่าง ไม่ต่างจากเครื่องมือในอุตสาหกรรมที่เลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน บางแบบเน้นความเรียบง่าย บางแบบเน้นความทนทาน และบางแบบก็ยกระดับความแม่นยำไปสู่ระดับดิจิทัล

ประเภทของไม้บรรทัด

ไม้บรรทัด อาจดูเหมือนเครื่องมือพื้นฐานที่ใคร ๆ ก็มี แต่หากมองลึกลงไปจะพบว่า “ไม้บรรทัด” มีหลากหลายประเภท แต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่งานออกแบบเชิงศิลป์ไปจนถึงงานวิศวกรรมความละเอียดสูง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักไม้บรรทัดแต่ละประเภท จุดเด่น และเทคนิคการเลือกใช้

เมื่อเข้าใจแล้วว่าไม้บรรทัดไม่ใช่เพียงเครื่องมือวัด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของมาตรฐานที่ทุกคนยึดถือ ในการใช้งานจริง ไม้บรรทัดก็มีหลากหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการ ทั้งในห้องเรียน งานช่าง ไปจนถึงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาลองเปรียบเทียบคุณสมบัติของไม้บรรทัดแต่ละแบบกันในตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบไม้บรรทัดแต่ละประเภท

ประเภทไม้บรรทัด

เหมาะกับใคร ข้อดี ข้อเสีย
ไม้ (Wooden Ruler) นักเรียนทั่วไป งานเขียน/วาดพื้นฐาน ราคาถูก ใช้ง่าย น้ำหนักเบา บิดงอง่ายเมื่อเจอความชื้น ตัวเลขลบเลือน
พลาสติก (Plastic Ruler) นักเรียน นักออกแบบเบื้องต้น โปร่งใส มองเห็นเส้นงาน ใช้ง่าย ราคาย่อมเยา แตกหักง่ายเมื่อกดแรง
สแตนเลส Stainless (Steel Ruler) งานออกแบบ งานช่าง
งานอุตสาหรรม
ทนทาน ไม่โก่ง ไม่หักง่าย หนัก อาจบาดมือถ้าขอบไม่เรียบ
สามเหลี่ยม (Triangular/Drafting Ruler) สถาปนิก วิศวกร นักเขียนแบบ มีหลายสเกลในไม้เดียว ใช้กับงานเขียนแบบ หนัก เกะกะบนโต๊ะ
ไม้บรรทัดพับ (Folding Ruler) ช่างไม้ ก่อสร้าง งานภาคสนาม ยาวแต่พกสะดวก พับเก็บได้ ข้อต่ออาจหลวมเมื่อใช้บ่อย ความแม่นยำลด
ดิจิทัล (Digital Ruler) วิศวกร งานอุตสาหกรรมความละเอียดสูง วัดแม่นยำ แสดงผลบนจอ ส่งข้อมูลได้ ราคาสูง ต้องใช้แบตเตอรี่
แฟนซี/ดีไซน์ (Designer Ruler) นักเรียน คนรักเครื่องเขียน ดีไซน์สวย บางรุ่นรวมฟังก์ชันหลายอย่าง อาจไม่ทนหรือแม่นยำ

 

ปัญหาที่ผู้ใช้ไม้บรรทัดทั่วไปมักเจอ หลายคนอาจเคยประสบปัญหาจากไม้บรรทัดธรรมดาที่เราใช้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น
การใช้ไม้บรรทัดในชีวิตประจำวันอาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่หลายคนต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพงาน ดังนี้

  • ปัญหาด้านความแม่นยำ ไม้บรรทัดราคาถูกหลายชิ้นมีข้อบกพร่องในการผลิต ทำให้ขนาดที่วัดได้คลาดเคลื่อนจากค่าจริง ส่งผลให้งานที่ต้องการความแม่นยำสูงเกิดความผิดพลาดได้
  • ปัญหาด้านการมองเห็น ตัวเลขและเครื่องหมายบนไม้บรรทัดมักจางหายไปเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผู้ใช้ต้องเพ่งมองหรือวัดซ้ำหลายครั้ง ซึ่งเป็นการเสียเวลาและลดประสิทธิภาพการทำงาน
  • ปัญหาด้านความทนทาน ไม้บรรทัดพลาสติกมักบิดงอหรือแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน ขอบที่ไม่ตรงอีกต่อไปจะส่งผลต่องานที่ต้องการความแม่นยำ

Shinwa ทางออกสำหรับคนที่ต้องการความแม่นยำ

ไม้บรรทัด Shinwa ผลิตตามมาตรฐาน JIS ให้ความแม่นยำระดับ ±0.15 มม. และตัวเลขคมชัด เคลือบฮาร์ดโครมป้องกันการลบเลือน ใช้งานได้นานหลายปีโดยไม่เสียความเที่ยงตรง

ไม้บรรทัด Shinwa – มาตรฐานญี่ปุ่นที่มืออาชีพเลือกใช้

หากพูดถึงไม้บรรทัด Shinwa จากญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มืออาชีพไว้วางใจ โดยเฉพาะในวงการงานช่างและงานอุตสาหกรรม จุดเด่นคือการผลิตที่อ้างอิงมาตรฐาน JIS (Japanese Industrial Standards) ทำให้มีความแม่นยำสูงและทนทาน

คุณสมบัติเด่นของไม้บรรทัด Shinwa

  • วัสดุ สแตนเลสสตีล คุณภาพสูง
  • ผิวเคลือบ ฮาร์ดโครม (Hard Chrome Plating) ป้องกันรอยขีดข่วน ตัวเลขไม่ลอก
  • ความแม่นยำ: ±0.15 มม. ตามมาตรฐาน JIS

รายละเอียดสเปกไม้บรรทัด Shinwa แต่ละรุ่น

Code No. Description ขนาด (ยาว x กว้าง x หนา) วัสดุ
H-101A 15 cm 175 × 15 × 0.5 mm Stainless Steel
H-101C 30 cm 335 × 25 × 1.0 mm Stainless Steel
H-101E 60 cm 640 × 30 × 1.2 mm Stainless Steel
H-101F 1.0 m 1,050 × 35 × 1.5 mm Stainless Steel
H-102G 1.5 m 1,565 × 40 × 2.0 mm Stainless Steel
H-102H 2.0 m 2,065 × 40 × 2.0 mm Stainless Steel
H-401A 15 cm / 6” 175 × 15 × 0.5 mm Stainless Steel
H-401C 30 cm / 12” 335 × 25 × 1.0 mm Stainless Steel
H-401E 60 cm / 24” 640 × 30 × 1.2 mm Stainless Steel
H-401F 1.0 m / 36” 1,050 × 35 × 1.5 mm Stainless Steel

ไม้บรรทัด Shinwa จึงเหมาะสำหรับ วิศวกร ช่างเทคนิค นักออกแบบ และโรงงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ใช้งานได้ทั้งในงานตรวจสอบ (Inspection) และงานผลิต (Production)

สรุป

การเลือกไม้บรรทัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรเลือกให้เหมาะกับงาน ถ้าต้องการความแม่นยำสูงในงานอุตสาหกรรม การเลือกไม้บรรทัดสแตนเลสคุณภาพสูงอย่าง Shinwa จะช่วยให้มั่นใจในผลการวัด ลดความผิดพลาด และเพิ่มความน่าเชื่อถือของงาน

 

 

Ref.

Eley Metrology

ResearchGate

RGB Elektronika

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

ดูโปรโมชั่นไม้บรรทัด บริการสอบเทียบด้านมิติ