คลังเก็บป้ายกำกับ: Pressure’s Article

Air และ Gas Flow Meter วัดลมให้ตรง ลดต้นทุนจริง

เครื่องมือวัด Air flow meter และ Gas Flow Meter มาทำความรู้จักกับเครื่องมือทั้ง 2 ชนิดและการสอบเทียบเครื่องมือวัดกัน

Air flow meter และ Gas Flow Meter คืออะไร

เครื่องมือวัด Air and Gas Flow Meter คือ เครื่องมือวัดที่จะทำให้ทราบว่า ลมในระบบเราไหลอยู่เท่าไร หน้าที่คือบอก “อัตราการไหล” ของลมหรือก๊าซในรูปปริมาตรต่อเวลา เช่น สมมุติว่าวัดค่าได้ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อนาที (m3/min) ก็แปลว่าใน 1 นาทีมีลมผ่านท่อนั้น 5,000 ลูกบาศก์เมตร จริงๆหน่วยวัดที่พบว่ามีการใช้กันบ่อยๆก็คือ ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m3/h) และ ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที (cfm) ส่วนการวัดค่า Flow Rate ที่สูงมากๆก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเจอหน่วยวัดเป็นลูกบาศก์เมตรต่อนาที (m3/min) หรือมิลลิลิตรต่อนาที (ml/min) ตามความเหมาะสม

ไขข้อข้องใจ ทำไมค่าอัตราการไหลมาตรฐานไม่เท่ากัน?

ต่อให้เราพูดคำว่า “อัตราการไหลแบบมาตรฐาน” กี่ครั้ง ถ้าไม่บอกอุณหภูมิและความดันที่ใช้อ้างอิง ค่าที่สื่อสารกันจะคลาดเคลื่อนทันที เพราะปริมาตรก๊าซเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิและความดันเสมอ เอกสารบริการสอบเทียบของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ระบุชัดเจนว่าเมื่อพูดถึงอัตราการไหลเชิงปริมาตรแบบมาตรฐานในเอกสารนั้น เขาจะใช้อุณหภูมิ 20°c และความดัน 101,325 Pa เป็นเงื่อนไขอ้างอิงตลอดทั้งเล่ม ซึ่งการใช้วิธีนี้เลยทำให้ตัวเลข “มาตรฐาน” ที่รายงานกลับมาเทียบกันได้ตรงกันจริงๆ

หากต้องเปลี่ยนหน่วยระหว่าง cfm (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที) ไปเป็น m3/h (ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง) หรือ l/min (ลิตรต่อนาที) ให้ยึดปัจจัยแปลงที่หน่วยงานด้านมาตรวิทยากำหนดไว้ สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติให้ค่าคงที่ว่า 1 ฟุตเท่ากับ 0.3048 เมตรแบบแน่นอน ทำให้ 1 ลูกบาศก์ฟุตมีค่าเท่ากับ 0.02831684652 ลูกบาศก์เมตร จากนั้น x60 เพื่อเปลี่ยน “ต่อนาที” เป็น “ต่อชั่วโมง” หรือ x 1,000 เพื่อเปลี่ยน “ลูกบาศก์เมตร” เป็น “ลิตร” หลักการนี้เป็นเพียงการแปลงหน่วย ไม่ได้เปลี่ยนเงื่อนไขอ้างอิงของอุณหภูมิและความดัน ดังนั้นถ้าข้อมูลต้นทางเป็นค่ามาตรฐานภายใต้อุณหภูมิและความดันชุดหนึ่ง ค่าที่แปลงหน่วยแล้วก็ยังอ้างอิงชุดเดียวกันเสมอ

ดังนั้นแนะนำว่า ให้เขียนค่าปริมาตรหรืออัตราการไหลของก๊าซทุกครั้งพร้อมบอกอุณหภูมิและความดันที่เป็นเงื่อนไขอ้างอิง เช่น หากทำงานในภาคก๊าซธรรมชาติที่ใช้อุณหภูมิ 15°c เป็นค่าฐาน ให้ระบุเงื่อนไขนั้นให้ชัดเจนตามมาตรฐานสากลของอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติด้วย เพื่อป้องกันความสับสนในงานซื้อขายหรือการคุมคุณภาพ

แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC สามารถสอบเทียบได้ที่ Scope ใดบ้าง?

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (CLC) สามารถสอบเทียบ Air Flow Meter and Gas Flow Meter ได้รับการรับรอง Scope ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน ANAB จากสหรัฐอเมริกา สามารถสอบเทียบได้ทั้งแบบสอบเทียบ ณ ห้องปฏิบัติการ (In lab flow meter calibration service) และนอกสถานที่ (On-site flow meter ได้ที่ Scoper calibration service)

 

ประโยชน์ที่ได้จากการวัดอัตราการไหล

การวัดอัตราการไหลคือรากฐานของการคุมต้นทุน คุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมดในโรงงาน ดังนั้นการใช้งาน Air and Gas Flow Meter นั้นสามารถ

  1. มองเห็นและลดต้นทุนได้จริง

เป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่ลดพลังงานที่สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์เพราะ Flow Rate ทำให้มองออกว่าเกิดการรั่ว การปรับแรงดันเกินความจำเป็น หรือแต่ละจุดใช้ลมมากไปหรือน้อยไป จึงทำให้สามารถแก้ไขระบบได้ (อ้างอิงคู่มือของภาคอุตสาหกรรมกระทรวงพลังงานประเทศอเมริกา) มีการแนะนำให้ใช้ Flow Meter เป็นเครื่องมือหลักในการหาพร้อมทั้งติดตามการรั่ว รวมถึงใช้วิเคราะห์ระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบลมอัด ไม่ใช่เพียงแก้เป็นจุดจุด ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้ลึกในระดับสายการผลิตหรือแผนก โรงงานก็คิดต้นทุนตามการใช้จริงได้ สามารถนำมาใช้ในการบริหารให้แต่ละฝ่ายลดการใช้พลังงานลง รวมถึงวิศวกรสามารถวิเคราะห์เพื่อวางแผนคาดคะเนสัญญาณเตือนในการบำรุงรักษาล่วงหน้า โดยสังเกตุได้จากรูปแบบการไหลหรือความดันที่ผิดปกตินั้นสามารถบอกถึงการอุดตัน การสึกหรอ หรืออุปกรณ์เสื่อมก่อนที่จะเกิดความเสียหาย

แนวทางปฏิบัติด้านการใช้เครื่องและบำรุงรักษาแนะนำให้ทำตั้งแต่ช่วงเริ่มเดินเครื่องและช่วงปรับจูน การเห็นผลของการเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วแบบ Real time ช่วยให้ตั้งค่าระบบควบคุมได้แม่นยำและทำงานได้อย่างปลอดภัยภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ

แนะนำว่าในการลดต้นทุนและเพิ่มการผลิตให้มีประสิทธิภาพนี้ให้มองภาพทั้งระบบ เพื่อหาจุดปรับที่ให้ผลคุ้มทุนมากที่สุด ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของวงจร จากการวัดที่ดีและจูนค่าที่ถูกต้องทำให้โรงงานวิเคราะห์ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ช่วยลดความแปรปรวนของกระบวนการ เพิ่มผลผลิต และลดเวลาปรับจูนอย่างได้

  1. ควบคุมปริมาณและคุณภาพการผลิต

ถ้าอยากให้สินค้ามีคุณภาพนิ่งๆ ทุกล็อต พอเราตามค่า Flow rate แบบเรียลไทม์ เราจะลดความแปรปรวนได้ กล้าเดินเครื่องใกล้สเปกมากขึ้น เป็นตัวชี้วัดว่า Air Flow Rate อยู่ในปริมาณที่เราต้องการหรือไม่ หลายกระบวนการต้องอาศัยส่วนผสมของก๊าซที่พอดี ผลคือความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาซ้ำงาน และผู้ควบคุมก็ตัดสินใจบนข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่คาดเดาจากความรู้สึก ในเชิงเทคนิคสิ่งนี้คือการควบคุมตัวแปรกระบวนการให้นิ่ง การใช้แนวทาง โครงสร้างสูตร การเรียงลำดับขั้นตอน และการบันทึกซ้ำได้แบบเดิมทุกครั้ง ทำให้ซ้ำงานแล้วได้ผลเหมือนกัน ลดความเสี่ยงล็อตดีล็อตเสีย และยังขยายกำลังผลิตได้โดยที่คุณภาพไม่ตก

สุดท้าย ทุกตัวเลขที่เราเอาไปยืนยันกับฝ่ายคุณภาพ ลูกค้า หรือผู้ตรวจ ต้องสามารถสอบกลับได้ หมายถึงผลการวัดต้องโยงถึงมาตรฐานผ่านการสอบเทียบที่ชัดเจน โปร่งใส ไม่อย่างนั้นข้อมูลเดียวกันอาจตีความกันคนละแบบ

 

Ref.

National Institute of Standards and Technology

Physical Measurement Laboratory

U.S. DEPARTMENT OF ENERGY

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

Pressure Transducer ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง?

ถ้าจะกล่าวถึงเครื่องมือวัดที่ชื่อว่า Pressure Gauge เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีแล้ว และก็เคยมีบทความที่เคยลงในเว็บแห่งนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ (ย้อนกลับไปหาอ่านกันได้) แต่ในวันนี้ทางผู้เขียนจะขอหยิบยกเอาเรื่อง Pressure มานำเสนอกันอีกรอบ…แต่จะให้พูดเรื่องเดิมก็ยังไงๆอยู่ นอกจาก Pressure Gauge แล้วนั้น ในโรงงานอุตสาหกรรมยังมี Pressure อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาใช้งานกันเป็นอย่างมากพอสมควร นั่นก็คือเจ้า Pressure Transducer นั่นเอง ก่อนจะไปลงรายละเอียดนั้นเราไปดูรูปร่างหน้าตาของเจ้า Pressure Transducer กันก่อน ตัวอย่างรูปที่ 1

รูปที่ 1

จากตัวอย่างของรูปที่ 1 พอจะเริ่มคุ้นหน้าคุณตากันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ แต่โดยรวมแล้วหน้าตาก็จะหล่อเหลาประมาณนี้  Pressure Transducer ในรูปนี้ยังไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีนะครับ ต้องติดตั้งควบคู่กับสายสัญญาณและตัวอ่าน (Display) หรือ ต่อเข้ากับตู้ Controller อีกที แต่ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกกับการใช้งานและเหมาะสมกับหน้างานบางจุด ทางผู้ผลิตก็ยังมี Pressure Transducer With Indicator หรือ With Display มาพร้อมเลย เพื่อเพิ่มความสะดวกไปอีก ดังตัวอย่างรูปที่ 2

รูปที่ 2

แต่ก่อนจะไปลงรายละเอียดต่อไป เรามาทำความรู้จักกับคำว่า Transducer กันซักหน่อย บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำนี้มานานแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ทราบว่าคืออะไร ส่วนท่านที่ทราบแล้วก็ถือซะว่ามาปัดฝุ่นรื้อฟื้นความรู้กันสักหน่อยครับ Transducer (ทรานสดิวเซอร์) มีหน้าที่ในการแปลงพลังงานจากรูปแบบนึง ไปเป็นพลังงานในอีกรูปแบบนึง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, อากาศ, แรงกด, อัตราการไหล เป็นต้น แปลงไปเป็นพลังงานในรูปแบบต่างๆเช่น แรงดันไฟฟ้า, ความร้อน, แสงสว่าง, ความต้านทาน…

ถ้าจะพูดให้เป็นภาษาบ้านๆให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นคือ อุปกรณ์ทุกตัวที่เป็นเซ็นเซอร์ (Sensor) มันก็คือทรานสดิวเซอร์ (Transducer) ดีๆนี่เองครับท่าน แต่ก็ยังมีหลายๆคนยังสับสนกันระหว่าง Transducer (ทรานสดิวเซอร์) กับ Transmitter (ทรานสมิตเตอร์) สำหรับ Transmitter นั้นมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากเครื่องมือวัดต่างๆไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ, ความชื้น, แรงดัน…ให้เป็นสัญญาณในรูปแบบ Analog มาตรฐานที่มีสัญญาณ Output 4-20 mA, 0-10 VDC

 

เกณฑ์เลือกใช้งาน Pressure Transducer

การเลือก Pressure Transducer ที่เหมาะสมไม่ได้ดูแค่ยี่ห้อหรือราคาเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักสามอย่างคือ ความแม่นยำ (Accuracy), ผลกระทบจากอุณหภูมิ (Temperature Effect) และความเข้ากันได้กับตัวกลาง (Media Compatibility)

ความแม่นยำ (Accuracy)

หมายถึงความใกล้เคียงระหว่างค่าที่วัดได้กับค่าความดันจริง โดยทั่วไปผู้ผลิตจะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของช่วงการวัด (Full Scale) เช่น ±0.1% FS หรือ ±0.5% FS หากเลือกช่วงกว้างเกินไป ความคลาดเคลื่อนก็จะยิ่งมาก ดังนั้นควรเลือกช่วงที่ค่าความดันใช้งานอยู่บริเวณกึ่งกลางของสเกล และเผื่อไว้ประมาณ 40–50% เพื่อให้ทั้งแม่นยำและปลอดภัย

ผลกระทบจากอุณหภูมิ (Temperature Effect)

ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจาก Transducer มักถูกสอบเทียบที่อุณหภูมิห้อง แต่ในงานจริงอาจเจอความร้อนสูงหรือเย็นจัด ส่งผลให้ค่าที่อ่านได้ผิดเพี้ยน วิธีแก้ไขคือใช้วัสดุหุ้มป้องกันความร้อน ติดตั้งท่อ buffer ก่อนถึงเซนเซอร์ หรือเลือก Transducer ที่มีระบบชดเชยอุณหภูมิอัตโนมัติ ซึ่งผู้ผลิตบางราย เช่น Ashcroft และ Dynisco ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อรักษาความเสถียรของการวัด

ความเข้ากันได้กับตัวกลาง (Media Compatibility)

เพราะวัสดุของส่วนที่สัมผัสตัวกลาง (wetted parts) ต้องไม่ถูกกัดกร่อนหรือทำปฏิกิริยากับสารที่วัด เช่น หากวัดน้ำทะเลหรือสารเคมีเข้มข้น ควรเลือกวัสดุอย่าง 316 Stainless Steel หรือ Inconel® 718 ซึ่งทนทานกว่าเหล็กทั่วไป หรือถ้าต้องการป้องกันเซนเซอร์ไม่ให้สัมผัสกับสารโดยตรงก็สามารถใช้ Diaphragm Seal ได้ แต่ควรสอบเทียบใหม่ทุกครั้งที่มีการติดตั้ง

 

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา

  • หมั่นตรวจสอบสภาพของเครื่องมือให้อยู่ในสภาพปกติอยู่เสมอ
  • ไม่ใช้งานจนเกิน Max Range ของเครื่องมือเพื่อป้องกันความเสียหาย
  • ต้องแน่ใจว่าใช้งานเครื่องมือถูกประเภทกับ Media  เช่น Hydraulic (น้ำมัน) หรือ Pneumatic (ลม)
  • การติดตั้ง ต้องแน่ใจว่าไม่มีการรั่วซึมตรงบริเวณข้อต่อหรือเกลียวต่างๆ
  • ห้ามแก้ไขดัดแปลงเครื่องมือด้วยตนเอง ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญการ
  • หมั่นส่งสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานอยู่เสมอตามแผนประจำปี

ทางบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory Co.,Ltd.) หรือ CLC ของเรานั้น มีบริการสอบเทียบ Pressure Transducer ในรูปแบบ Accredit 17025 ทั้ง In Lab และ On Site (สมอ. และ ANAB) โดยทีมเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการในเรื่องนี้โดยตรง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าผลการสอบเทียบและการออก Certificate จะเป็นมาตรฐานสากล และสอบกลับได้ถึงมาตรฐานระดับชาติ รวมทั้ง CLC ยังมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้งานและการสอบเทียบ Pressure Transducer กับท่านผู้สนใจติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้ ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำ(ฟรี)

มาถึงวรรคนี้สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวมาทั้งหมดคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อยนะครับ บทความของเราอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดมากมายอะไร เพราะถ้าลงลึกและเยอะไปก็อาจจะดูน่าเบื่อ(ไม่อยากอ่าน55) เป็นเพียงการให้ความรู้เบื้องต้นพอสังเขปเท่านั้น เพราะฉะนั้นย้ำอีกครั้งครับว่า สอบถามเพิ่มเติมกันเข้ามาได้ ตามช่องทางการติดต่อทุกๆช่องทางของทาง CLC ได้เลย แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า ขอบคุณและสวัสดีครับ

 

Ref.

Ashcroft

Dynisco

 

ผู้เขียน CHOK_AM

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านความดันและสุญญากาศ

 

หลักการทำงานและตัวอย่างของ Manometer

Manometer

Manometer (มาโนมิเตอร์) คือ เครื่องมือที่ใช้ในการวัด Pressure ที่มีค่าแรงดันต่ำ อย่างกรณีนี้เป็นการวัดโดยอาศัยหลักการวัดของของเหลวในท่อใส เช่น น้ำ, ปรอทหรือของไหลอื่นๆ แบบทั่วไปจะมีลักษณะที่เป็นหลอดใสที่มีของไหลอยู่ด้านในหลอดแก้ว การวัดค่า Pressure หลักการจะมีความคล้ายกันกับ Differential Pressure โดยจะเป็นแบบ 2 ด้านที่เป็น Pressure หรือ Vacuum

หลักการทำงานพื้นฐานของ Tube Manometer

การวัดค่าของPressureของ Tube Manometer จะเป็นการวัดการเคลื่อนที่ของ ของเหลวภายในตัวเครื่องโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นท่อใสที่สามารถมองเห็นการไหลเคลื่อนที่ของ ของเหลวได้อย่างชัดเจนและส่วนปลายของท่อมี 2 ด้านจะเป็นส่วนที่มี Pressure เข้ามาโดยที่การไหลเคลื่อนที่ของของเหลวจะเปลี่ยนแปลงตามปริมาณของ Pressure ที่ไหลเข้ามาจากปลายทั่ง 2 ด้าน

ตัวอย่างเช่น

  • เมื่อ P1 มีค่า Pressure เท่ากันกับ P2 ระดับของเหลว ทางฝั่ง P1 และ P2 จะมีระดับที่เท่ากัน
  • เมื่อ P1 มีค่า Pressure มากกว่า P2 ระดับของเหลว ทางฝั่ง P2 จะอยู่สูงกกว่า P1
  • เมื่อ P1 มีค่า Pressure น้อยกว่า P2 ระดับของเหลว ทางฝั่ง P1 จะอยู่สูงกกว่า P2

การใช้งานของมาโนมิเตอร์

โดยทั่วไปจะใช้วัด Pressure ที่มีแรงดันไม่มากและสามารถวัดการเปลี่ยนแปลง ของ Pressure ที่เล็กน้อยได้ดีสังเกตุเห็นได้ง่าย มีการบำรุงรักษาที่ง่าย เพราะเป็นเพียงแท่งพลาสติกหรือแก้วใส ไม่มีชิ้นส่วนประกอบที่ซับซ้อน โดยส่วนใหญ่มักใช้ในอุตสาหกรรม ต่างๆ

  • วัดแรงดันในระบบงานที่มี Pressure ที่มีแรงดันต่ำ
  • สามารถใช้วัด Pressure ทั้ง 2 ด้าน
  • สามารถใช้งานเป็น Vacuum ที่มี Range ไม่สูงมาก

ตัวอย่างของ TubeManometer ลักษณะที่พบได้ทั่วไป มีหลักๆอยู่ 3 ชนิด

1.U-Tube Manometer

มีลักษณะรูปทรงเป็นกับตัวยู (U) ความสูงของปลายท่อเท่ากัน เมื่อไม่มีแรงดัน Pressure หรือ Vacuum ที่ปลายท่อ ระดับของเหลวจะ มีระดับที่เท่ากัน เมื่อตัวเครื่องมือ ถูกวางหรือตั้งในระดับที่เรียบไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

2.Well-Type Manometer

มีรูปร่างเป็นแท่งทรงแนวตั้งมีส่วนบริเวณที่มีไว้เก็บของเหลวมีลักษณะเป็นเหมือนถังเก็บของเหลว จะมี Scale วัดค่า Pressure และ Vacuum 1 ด้าน และอีก 1 ด้านจะไม่มี Scale

3.Incline-Tube Manometer

มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับ Well-TypeManometer มี Scale วัดค่า Pressure และ Vacuum แบบเอียง แตกต่างจากแบบ Well-TypeManometer ทีมี Scale แนวตั้ง

การสอบเทียบมาโนมิเตอร์

                การเลือกวิธีการสอบเทียบสามารถดูได้จาก Scale ของตัวเครื่องและหน่วยของตัวเครื่องมือ แต่ในบางรุ่น บางแบรนผู้ผลิตจะมีการกำหนดเป็น Scale ของหน่วยวัดด้านมิติ (Dimension) เช่น mm, cm เป็นต้น แต่จะมีการคำนวณเพื่อที่จะหาค่า Pressure ต่อไปตามที่ผู้ผลิตกำหนด

ตัวอย่างเช่น มาโนมิเตอร์ตัวนี้มี Scale 0-100 และข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่าตัวเครื่องมือมี Range อยู่ที่ 100-0-100 mmWC
จากตัวอย่างนี้ สามารถกำหนดจุดสอบเทียบได้ตาม Scale ที่เครื่องมือได้ 0-100 mmWC [Low ,High] หรือ (-100)-0 mmWC และ 0-100 mmWC

มาโนมิเตอร์ตัวนี้มี Scale 0 – 40 mmH2O ก็สามารถกำหนดจุดสอบเทียบ ได้ตาม Main Scale ของเครื่องมือ

การกำหนดเกณฑ์การยอมรับ (MPE)

          เป็นเครื่องมือที่ไม่มีการกำหนด MPE ที่ชัดเจนจากผู้ผลิต แต่ส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ ½ -1 ของช่อง Scale เล็กสุดที่เครื่องมือสามารถอ่านค่าได้ เช่น มาโนมิเตอร์ มี Range อยู่ที่ 40 mmH2O และมีช่อง Scale เล็กสุดที่เครื่องมืออ่านค่าได้อยู่ที่ 1 mmH2O ทำให้สารถระบุได้ว่า เครื่องมือวัดนี้มีค่าเกณฑ์การยอมรับอยู่ที่ 0.5 – 1 mmH2O

 

ผู้เขียน L1 Pressure

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

Differential Pressure ต่างจาก Pressure อื่นอย่างไร การสอบเทียบเหมือนกันหรือไม่

การสอบเทียบ Differential Pressure Gauge และ Differential Pressure Transmitter

เครื่องมือวัด Differential Pressure gauge เป็น Pressure ที่มีการวัดแตกต่างจาก Pressure ปกติทั่วไปโดยจะมีการวัดค่า Pressure แบบ 2 ทางคือจะมีด้านที่เป็น Pressure ด้านฝั่ง HIGH หรือ บวก Positive (+) และ Pressure ด้านฝั่ง LOW หรือ ลบ Negative (-) โดยการวัด Pressure ของทั้ง 2 ฝั่งทั้งบวกและลบจะเป็นการวัดความแตกต่างกันของ Pressure ทางฝั่งบวก (+) และลบ (-)

หลักการทำงานเบื้องต้นของเครื่องมือวัด Differential Pressure

  • เมื่อในฝั่ง HIGH มีค่า Pressure ที่สูงกว่าฝั่ง LOW ค่าของ Pressure ที่วัดได้จะมีค่าเป็น บวก Positive (+)
  • เมื่อในฝั่ง LOW มีค่า Pressure ที่สูงกว่าฝั่ง HIGH ค่าของ Pressure ที่วัดได้จะมีค่าเป็น ลบ Negative (-)
  • เมื่อในฝั่ง HIGH และ LOW มีค่า Pressure ที่เท่ากัน ค่าของ Pressure ที่วัดได้จะมีค่าเป็น ศูนย์ (ZERO)

ตัวอย่าง ลักษณะงานและในส่วนงานที่สามารถจะพบเห็น Differential Pressure ในอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น

  • ใช้วัดค่า Pressure ภายในห้อง Clean Room กับทางเดินหน้าห้อง Clean Room ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พบเครื่องมือลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการผลิตยา การผลิตอาหาร การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

  • ใช้วัดค่า Pressure ของแรงดันลม ภายระบบระบายอากาศ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พบเครื่องมือลักษณะนี้จะมีอยู่ทั่วไปแทบทุกอุตสาหกรรม

  • ใช้วัดค่า Pressure ภายในถังสารเคมี เพื่อหาระดับปริมาณผลิตภัณฑ์หรือสารเคมีในถังส่วนใหญ่เครื่องมือลักษณะนี้มักจะพบเห็นได้ในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องเก็บผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของเหลว

ลักษณะของ Differential Pressure

ที่พบได้ทั่วไปจะมีอยู่หลากหลายแบบ เช่น Differential Pressure แบบอ่านค่า Pressure ได้ ทั้ง Positive (+) และ Negative (-)


การสอบเทียบ Differential Pressure ลักษณะนี้มีหลักการพิจารณาดูวิธีการสอบเทียบเหมือน Pressure ทั่วไป คือ Range, Media และ MPE

  • Differential PressureGauge แบบอ่านค่า Pressure เป็น Positive (+)


  • Differential Pressure Transmitter แบบมีหน้าจออ่านค่า Pressure

  • Differential Pressure Transmitter แบบไม่มีหน้าจอ อ่านค่า Pressure

การสอบเทียบ Differential Pressure Gauge และ Differential Pressure Transmitter

  • Differential Pressure Gauge จะมีการพิจารณาวิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด คล้ายกับ PressureGauge และ Pressure Transmitter แบบมีหน้าจออ่านค่า Pressure ซึ่งได้แก่ Point, Media และ MPE
  • Differential Pressure Transmitter แบบไม่มีหน้าจออ่านค่า Pressure จะมีการพิจารณาวิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด คล้ายกับ Pressure Transmitter แต่จะรายงานผลเป็นค่าทางไฟฟ้า เช่น มิลลิแอมป์ (mA), โวลต์ (V)

 

ผู้เขียน L1 Pressure

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

เกจวัดแรงดัน (pressure gauge) คืออะไร? ข้อดีข้อเสียของเกจแบบอนาล็อกและดิจิตอลต่างกันอย่างไร?

เกจวัดแรงดัน (pressure gauge) คือ อุปกรณ์ที่ใช้วัดหรืออ่านค่าแรงดันก๊าซและของเหลว ในงานวิศวกรรมหรืออุตสาหกรรมที่มีการใช้ของไหล เช่น อุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องตรวจความดันในหม้อไอน้ำ, ระบบท่อ อุตสาหกรรมยานยนยานยนต์เช่นการใช้เพื่อวัดลมยางรถยนต์ หรืออุตสาหกรรมทางการแพทย์ เช่น วัดความดันเลือด (สฟิกโมมาโนมิเตอร์) เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องวัดความดันเพื่อควบคุมประสิทธิภาพและความปลอดภัย เกจวัดแรงดันแบ่งออกเป็นหลายประเภทมาก การจะเลือกซื้อเกจวัดแรงดันไปใช้ให้ถูกงานนั้นต้องคำนึงถึงชนิดต่างๆของเกจวัดความดันดังนี้

ประเภทของเกจวัดแรงดัน

เกจวัดแรงค่าดันจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน คือ

1.General pressure gauge

คือ เครื่องมือวัดความดันที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมและระบบ เพื่อตรวจสอบความดันของของเหลวหรือก๊าซในสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าบวก ไม่เหมาะกับสารกัดกร่อนหรือของไหลที่มีความหนืดสูงๆ

2. Vacuum gauge

คือ เครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับตรวจสอบความดันต่ำกว่าความดันบรรยากาศ(สุญญากาศ) ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าลบ โดยสามารถแบ่งประเภทของ Vacuum Gauge ได้เป็น เกจเชิงกล (Mechanical Vacuum Gauges) เกจไฟฟ้า (Electrical Vacuum Gauges) และ เกจความจุไฟฟ้า (Capacitance Manometer) ซึ่งการเลือกใช้งานนั้นขึ้นอยู่กับช่วงความดันสุญญากาศและสภาพแวดล้อมการทำงาน

3. Compound gauge

คือ เครื่องมือวัดความดันที่วัดแรงดันได้ทั้งค่าบวกและลบได้ในตัวเดียวกัน ซึ่งใช้ในงานประเภทการตรวจสอบแรงดันในระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างแรงดันบวกและแรงดันลบเช่น การใช้เพื่อวัดความดันสารทำความเย็นในแอร์ ในระบบดูดอากาศเครื่องยนต์ วัดแรงดูดในปั๊มสุญญากาศ หรือตรวจสอบแรงดันในหม้อต้มไอน้ำ เป็นต้น ลักษณะของหน้าปัดจะสามารถแสดงหน่วยวัดได้ทั้งฝั่งแรงดันบวก (PSI, Bar ฯลฯ) และแรงดันลบหรือสุญญากาศ (inHg หรือ mmHg)

 

เกจวัดแรงดัน เป็นเครื่องมือวัดที่ทนต่อแรงสั่นสะเทือนเพื่อใช้ในการวัดความดันซึ่งควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยสามารถแบ่งเกจได้เป็นทั้งแบบอนาล็อกและเกจดิจิตอล

เกจวัดแรงดัน อนาล็อกหรือดิจิตอล

1. เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล 

จะมีราคาสูงกว่าเพจอนาล็อกแต่จะมีข้อดีกว่าตรงเกจแบบดิจิตอลมีความแม่นยำมากกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการการวัดความดันแม่นยำสูง นอกจากนั้นเกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลในหลายรุ่นสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถอ่านค่าได้จากระยะไกลได้ด้วย

เพรสเชอร์เกจแบบดิจิตอล เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล

2. เกจวัดแรงดันแบบอนาล็อก (แบบเข็ม) 

มีข้อดีคือราคาถูกกว่าไม่ต้องการการบำรุงรักษามากเมื่อเทียบกับเกจแบบดิจิตอล โดยเกจวัดแรงดันแบบอนาล็อกนั้นแบ่งออกอีกเป็น 2 ประเภท คือ

2.1 เกจวัดแรงดันอนาล็อกปรกติ มีข้อดีคือ ราคาถูก แต่จะรับแรงสั่นสะเทือนสูงไม่ได้

2.2 เกจวัดแรงดันอนาล็อก แบบมีน้ำมัน มีข้อดีคือทนทานกว่า เหมาะกับงานมีแรงสั่นสะเทือนสูง เพราะน้ำมันจะช่วยลดการสั่นของเข็มอ่าน ทำให้อ่านค่าได้แม้มีการสั่นสะเทือนสูง และยังเป็นตัวซับแรงทำให้เข็มอ่านค่าไม่หัก

 

ขนาดหน้าปัดของเกจ

ข้อมูล ณ ปัจจุบันตามมาตรฐานอุตสาหกรรมปี 2024 ที่สามารถครอบคลุมการใช้งานส่วนใหญ่ได้อย่างครบถ้วน
ขนาดหน้าปัดของเกจวัดแรงดันมีหลากหลายขนาดให้เลือก มีตั้งแต่ 1-1/2″, 2″ 2-1/2″, 3″ 3-1/2″, 4″, 6″, 8″ ไปถึงขนาดหน้าปัด 10″ ตามความเหมาะสมของการใช้งาน

ขนาดหน้าปัด (นิ้ว) ขนาดหน้าปัด (มิลลิเมตร) ความละเอียด การใช้งานโดยทั่วไป ข้อแนะนำ
1.5″ (1½ นิ้ว) 38-40 mm ปานกลาง – อุปกรณ์พกพา
– ระบบลมยาง
– เครื่องมือช่าง
ไม่เหมาะสำหรับการอ่านค่าจากระยะไกล
2″ (2 นิ้ว) 50-51 mm ปานกลาง – ระบบเคลื่อนที่
– อุปกรณ์ขนาดเล็ก
– HVAC ขนาดเล็ก
ขนาดมาตรฐานสำหรับงานทั่วไป
2.5″ (2½ นิ้ว) 63-65 mm ดี – งานอุตสาหกรรมทั่วไป
– เครื่องจักรกล
ขนาดที่พบมากที่สุดในโรงงาน
4″ (4 นิ้ว) 100-102 mm ดีมาก – ระบบท่อหลัก
– หม้อไอน้ำ
– ระบบไฮดรอลิก
เหมาะสำหรับการอ่านค่าจากระยะ 2-3 เมตร
6″ (6 นิ้ว) 150-152 mm ยอดเยี่ยม – ระบบควบคุมกลาง
– ห้องควบคุม
– งานที่ต้องการความแม่นยำสูง
สามารถอ่านค่าจากระยะ 4-5 เมตรได้ชัดเจน
8″ (8 นิ้ว) 200-203 mm ยอดเยี่ยม – โรงงานขนาดใหญ่
– ระบบพลังงาน
– แผงควบคุมหลัก
มักใช้กับระบบความดันสูงหรืออันตราย
10″ (10 นิ้ว) 250-254 mm ยอดเยี่ยม – โรงไฟฟ้า
– ระบบปิโตรเคมี
– ห้องควบคุมกลาง
สำหรับงานที่ต้องการการมองเห็นในระยะไกลมาก

 

 

การพิจารณาและเลือกใช้เกจวัดแรงดัน

1. ควรพิจารณาจากประเภทของเกจวัดแรงดันและ การนำไปใช้ ควรเลือกใช้ให้ตรงกับการใช้งาน เช่น ใช้วัดลม,วัดน้ำ ,วัดน้ำมัน หรือ วัดสารกัดกร่อน หากต้องการใช้วัดลมและน้ำ ควรเลือกแบบย่านวัดต่ำ ที่มีความละเอียดสูง หากต้องการนำเกจไปใช้วัดน้ำมัน ควรเลือกแบบที่มีช่วงวัดสูง หรือ ถ้าต้องการนำไปใช้วัดสารที่มีการกัดกร่อน ควรพิจารณาจากตัวเรือนที่ทำจากวัสดุที่แข็งแรงทนการสึกกร่อนได้ดี

2. พิจารณาจากงบประมาณ ความสำคัญและความสามารถในการใช้งานของเกจวัดแรงดัน หากมีงบประมาณมากและต้องการความแม่นยำ ให้ค่าความละเอียดสูง ในงานที่มีความสำคัญควรเลือกใช้เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลแทนเกจแบบอนาล็อก เพราะเกจแบบดิจิตอลจะวัดค่าได้ละเอียดกว่า ใช้งานง่าย และสะดวกสบายกว่าเกจแบบอนาล็อก

3. พิจารณาจากคุณลักษณะเฉพาะของเกจวัดแรงดัน เช่น หน่วยวัดเป็นแบบไหน?,ย่านความต่ำสุด และสูงสุดของอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆเป็นอย่างไร ขนาดความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือนหน้าปัดที่เหมาะสมต่อการนำไปใช้งาน วัสดุที่ใช้ขึ้นรูปประกอบร่าง ชนิดเกลียวที่จะใช้ประกอบกับท่อหรือข้อต่อต่างๆ และฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ ตามความเหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น มีระบบล็อคด้วยรหัสพิเศษ มีการป้องกันการสั่นสะเทือน เป็นต้น

 

Calibration Laboratory  ผู้แทนจำหน่ายเกจวัดแรงดันแบรนด์ระดับโลกอย่างเป็นทางการ สามารถเลือกซื้อเกจวัดแรงดันแบบต่างๆได้ตามลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ

 

Ref.

Omega

Ashcroft

Dwyer-OMEGA

 

 

บริการสอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

รู้จักกับ BLOOD PRESSURE และข้อควรระวังในการใช้งาน

BLOOD PRESSURE MONITOR (เครื่องวัดความดันโลหิต)

BLOOD PRESSURE MONITOR (เครื่องวัดความดันโลหิต) เป็น เครื่องมือวัด ชนิดหนึ่งที่ใช้วัดค่าความดันโลหิตในร่างกายมนุษย์ เราพบมากในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะไปตรวจร่างกายประจำปีเราก็ต้องวัดความดันโลหิต หรือแม้แต่เราไปขอรับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกก็จะมีเจ้าหน้าที่มาวัดความดันโลหิตเราก่อนเข้ารับการตรวจ โดยใช้เครื่องมือดังกล่าวในการวัด เพื่อดูว่าค่าความดันโลหิตเราอยู่ในค่าเกณฑ์ปกติหรือไม่ หากเรามีความดันโลหิตที่ต่ำ หรือสูงมากกว่าเกินไป เจ้าหน้าที่อาจไม่ให้เราเข้ารับบริการต่อ เพราะอาจมีผลต่อการรักษา เพราะหากรักษาหรือให้บริการฉีดยาใดๆไป อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าเครื่องวัดความดันโลหิตมีความจำเป็นต่อการแพทย์ และสุขภาพของเรามาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด ความดันโลหิตนี้ เพื่อยืนยันว่าค่าที่แสดงผลนั้นให้ค่าที่เที่ยงตรง บุคลากรทางการแพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงของร่างกายในการเข้ารับบริการของเราได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ตามโรงงานอุตสาหกรรมในส่วนของห้องพยาบาลเองก็จำเป็นที่จะต้องมี เครื่องมือวัด ดังกล่าวเพื่อใช้วัดค่าความดันโลหิตของพนักงานในโรงงาน หรือแม้กระทั่งตรวจวัดบุคคลที่จะเข้ามาในพื้นที่โรงงาน ที่เข้าทำงานในพื้นที่ที่มีความอับ พื้นที่เสี่ยง พื้นที่สูง เป็นต้น

ประเภทของ BLOOD PRESSURE MONITOR (เครื่องวัดความดันโลหิต)

ที่พบเห็นทั่วไป มี 2 ลักษณะ

    1. แบบสายรัดพกพา แบบนี้หาซื้อได้ง่าย และใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพราะราคาไม่สูง หาซื้อได้ง่าย ซึ่งตอนนี้หาซื้อได้ตาม Lazada, Shopee ทั่วไป ราคาอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท
    2. แบบเอาแขนสอดเข้าไปด้านใน แบบนี้มักพบใช้ตามโรงพยาบาล แบบนี้แม่นยำกว่าแบบแรก และสามารถรายงานผลออกเป็นสลิปออกมาได้เลยว่าค่าที่วัดได้เท่าไหร่ นอกจากอ่านค่าหน้าจอ ไม่ต้องมารัดสายเอง ซึ่งบางทีการรัดสายเองอาจจะหลวมไปหรือแน่นไปก็ได้ แบบนี้ราคาสูงกว่า และเคลื่อนย้ายลำบากกว่าแบบแรก ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่กับที่

หน่วยของเครื่องวัดความดันโลหิตที่เราพบ คือ mmHg (มิลลิเมตรปรอท)

การใช้งาน BLOOD PRESSURE MONITOR 

  1. เอาแขนสอดเข้าไปในเครื่อง หรือ เอาสายรัดมาพันที่ต้นแขน
  2. กดปุ่มเริ่ม
  3. เครื่องจะทำการรัดที่ต้นแขนเราและคลาย และรัดใหม่อีกรอบ
  4. แสดงค่าความดันโลหิตที่หน้าจอ

ทาง CLC (Calibration Laboratory) สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ดังกล่าวได้ โดยทาง CLC ยังสามารถสอบเทียบเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆได้อีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ตู้อบเด็กทารก, เครื่องช่วยหายใจ, เครื่องดูดของเหลว เป็นต้น โดยทาง CLC ได้มีบริการไปสอบเทียบถึงที่ ณ โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชน

ข้อควรระวังในการใช้งาน เครื่องมือวัด

  1. ควรปิดเครื่องทุกครั้งหลังการใช้งาน
  2. เครื่องวัดความดันโลหิตแบบที่เป็นสายรัดควรหมุนเก็บให้เหมาะสม ไม่ยัดใส่กล่องจนทำให้สายรัดยับหรือทับซ้อนมาก
  3. ควรวางไม่ให้โดนแสงแดดมากเกินไป
  4. หมั่นทำความสะอาดทุกครั้งหลังการใช้งาน

ผู้เขียน JubJub VIP

 

 

 

บริการ สอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

วิธีการสอบเทียบ Pressure Gauge มีวิธีพิจารณาอย่างไร

Pressure Gauge

          เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดค่า Pressure ในอุตสาหกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและสามารถหาซื้อได้ง่าย และเมื่อเทียบเรื่องราคากับ Digital Pressure Gauge ถือว่าราคาถูกมากๆ นิยมใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่การใช้ในระบบเครื่องจักรที่มีขนาดเล็ก เช่น ปั้มลม, เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงไปจนถึงใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ระบบงานไฟฟ้า, ระบบงานปิโตรเลียม เป็นต้น

วิธีการสอบเทียบ Pressure Gauge
การพิจารณาวิธีการที่จะใช้ สอบเทียบ Pressure มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้ให้เหมาะสมมีดังต่อไปนี้

  • ย่านการวัด (Range) ของเครื่องมือที่จะสอบเทียบ ในที่นี้จะใช้หน่วย Pa, kpa, Mpa
  • Pressure Gauge ที่จะนำมาสอบเทียบใช้กับตัวกลาง (Media) แบบไหน เช่น ลม (Air), ไนโตรเจน, (N2),น้ำ (Water), น้ำมัน (Oil)
  • ค่าความผิดพลาด (Error) หรือ เกณท์การยอมรับ MPE (Maximum Permissible Error) ของ Pressure Gauge ที่จะสอบเทียบนั้นมีค่าที่เท่าไหร่

เครื่องมือวัดทางด้าน Pressure เช่นในบทความนี้ ขอยกตัวอย่างเป็น Pressure Gauge จะมีวิธีการพิจารณา วิธีการสอบเทียบ Pressure Gauge ได้ดังต่อไปนี้
ลูกค้าไม่มีรายละเอียดที่ต้องการ ให้ทางห้องปฏิบัติการพิจารณาการสอบเทียบให้ ทางเราจะพิจารณาจาก รายละเอียดของเครื่องมือที่ลูกค้าส่งมาสอบเทียบดังต่อไปนี้

  1. เลือกจุดสอบเทียบของ เครื่องมือวัด

    จากย่านการวัดต่ำสุด(min)ของเครื่องมือลูกค้า ไปจนถึง ย่านการวัดสูงสุดของเครื่องมือลูกค้า (max) ที่ต้องการจะสอบเทียบ หากมี pointใช้งานเป็นประจำที่อยู่ในย่าน Min – Max ที่ต้องการสอบเทียบ ก็สามารถแจ้งเพิ่มPointได้

  2. เลือกประเภท Media ของ Pressure ที่จะนำมาใช้สอบเทียบ

    โดยปรกติแล้ว ลูกค้าจะต้องแจ้งประเภทของตัวกลาง (Media) ของ Pressure Gauge ที่ต้องการสอบเทียบ ทางห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถพิจารณาเลือกให้ได้ เนื่องจากการสอบเทียบ หากใช้ประเภทตัวกลาง (Media) ของ Pressure Gauge ที่ไม่ตรงกับการใช้งานจริงในบางลักษณะงาน อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD) และส่งผลเสียก่อให้เกิดการปนเปื้อนเมื่อลูกค้านำเครื่องมือกลับไปใช้งานหลังสอบเทียบเสร็จ ยกตัวอย่างเช่น
    เครื่องมือลูกค้าใช้กับตัวกลาง (Media) น้ำมัน (Hydraulic Oil) แต่มาให้สอบเทียบด้วยตัวกลางลม(Air) ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ เมื่อสอบเทียบไปแล้ว จะทำให้น้ำมัน (Hydraulic Oil) ที่ยังมีเหลือตกค้างในเครื่องมือของลูกค้า มาปนเปื้อนกับระบบการสอบเทียบของเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD)ของห้องปฏิบัติการ จะเกิดความเสียหายต่อเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD)ได้
    เครื่องมือลูกค้าใช้กับตัวกลาง (Media) ลม(Air)แต่มาให้สอบเทียบด้วยน้ำมัน (Hydraulic Oil) ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ เมื่อสอบเทียบไปแล้วลูกค้านำเครื่องมือกลับไปใช้งาน จะทำให้น้ำมัน (Hydraulic Oil) จากการสอบเทียบไหลออกจากเครื่องมือลูกค้ามาปนเปื้อน ทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องจักรและระบบงานของลูกค้า

  3. เลือกค่าของเกณท์การยอมรับ (MPE)

    กรณีที่ลูกค้าไม่ได้แจ้งทางห้องปฏิบัติการจะรายงานค่าตามจริงหรือพิจารณาจากค่าความถูกต้องเเม่นยำในการวัดของเครื่องมือ (Accuracy)

ตัวอย่างการสอบเทียบ เครื่องมือวัด Pressure ลูกค้าแจ้งว่าสอบเทียบกับตัวกลาง (Media) ลม(Air)

รูปที่ 1

ตัวเครื่องมือที่จะนำมาสอบเทียบอยู่ใน Range 0 -10 bar สามารถสอบเทียบได้โดยกำหนดดังนี้
Cal: 0-10 bar by Air
MPE: (3) กรณีลูกค้าต้องการให้รายงานค่าตามจริง หรือ MPE(2) 1% F.S (±0.1bar) ตามสเปคเครื่องมือ โดยที่สเปคเครื่องมือ
ในบางกรณีสามารถตรวจสอบได้ที่ หน้าปัด ของตัวเครื่องมือ (ถ้ามี)

 

ตัวอย่างการ สอบเทียบ Pressure ที่ลูกค้าแจ้งว่าสอบเทียบกับตัวกลาง (Media) น้ำมัน(OIL)

รูปที่ 2

ตัวเครื่องมือที่จะนำมาสอบเทียบอยู่ใน Range 0-250 bar สามารถสอบเทียบได้โดยกำหนดดังนี้
Cal: 0-250 bar by OIL
MPE:(3) กรณีลูกค้าต้องการให้รายงานค่าตามจริง หรือ MPE(2) 1.6% F.S (± 4 bar) ตามสเปคเครื่องมือ โดยที่สเปคเครื่องมือ ในบางกรณีสามารถตรวจสอบได้ที่หน้าปัดของตัวเครื่องมือ (ถ้ามี)

  • โดยในละ point การสอบเทียบ โดยส่วนมากจะแบ่งตามช่องสเกลทั้งหมดของหน้าปัดหรือแบ่งตาม Main Scale ซึ่งก็คือ 0,50,100,150,200,250 bar ในรูปที่ 2 หรือ 0,2,4,6,8,10 bar ในรูปที่ 1
    หมายเหตุ
    กรณีที่มี Point ที่ต้องการจะสอบเทียบเป็นพิเศษก็สามารถแจ้งได้ แต่จะต้องอยู่ในช่อง Scale ที่ตัวเครื่องมือสามารถอ่านค่าได้ เช่น Pressure Gauge ในรูปตัวอย่างด้านล่าง

 

รูปที่ 1 ตัวอย่าง Pressure Gauge Range 0-10 bar                   รูปที่ 2 ตัวอย่าง Pressure Gauge Range 0-250 bar

ตัวอย่าง Pressure gauge ที่มี สเปคระบุที่เครื่องมือ

ในกรณีที่ตัวเครื่องมือนั้นไม่มีค่า MPE ระบุที่หน้าปัดสามารถดูจากช่องสเกลความละเอียดของเครื่องมือโดยจะมีค่า Accuracy ที่ใกล้เคียงกันกับความละเอียดจริงที่เครื่องมือสามารถวัดค่าPressureได้ ขอยกตัวอย่างดังนี้

 

ตัวเครื่องมือ pressure gauge มีค่า ความละเอียด อยู่ที่ 0.01 MPa สามารถสังเกตดูจากจำนวนช่อง Scale ที่หน้าปัดแสดงค่าการวัดของตัวเครื่องมือในกรณีนี้ ช่วงค่า Pressure ระหว่าง 0.1 – 0.2 MPa มีช่อง Scale 10 ช่อง จึงสามารถคำนวณค่าของ Pressure ที่ตัวเครื่องมือ สามารถอ่านค่าได้ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 0.01 MPa
จึงสามารถตั้ง MPE คร่าวๆ ได้ 0.01 MPa
หมายเหตุ : วีธีการนี้สามารถใช้ในกรณีที่ไม่สามารถหาสเปคเครื่องมือได้เท่านั้น

 

ผู้เขียน L1 Pressure

 

Pressure Transmitter คืออะไร เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

Pressure Transmitter คือ อะไรพร้อมวิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

Pressure Transmitter คือ อุปกรณ์วัดความดัน (Pressure) ของ ของเหลว เช่น น้ำ (Water) ,น้ำมัน (Oil) และ ก๊าซ (Air , N2)

โดยจะมีลักษณะการทำงานที่ตรวจวัดความดันและจะทำการแปลงสัญญาณเป็นสัญญาณมาตรฐานซึ่งมีหลายแบบ เช่น สัญญาณอนาล็อค 4-20 mA , 0-10V , 0-5V เป็นต้น โดยสัญญาณเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักร หรือ กระบวนการต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เช่น

  • อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
  • อุตสาหกรรมอาหาร
  • อุตสหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
  • อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ตัวอย่างลักษณะงานที่เรามักจะพบเห็นการใช้งานตัว เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์

  • วัดแรงดันในระบบอัดอากาศ
  • วัดแรงดันภายในท่อลมก่อนปล่อยเข้าสู่ระบบการผลิต
  • วัดแรงดันไอน้ำในระบบ Boiler
  • วัดแรงดันน้ำมันในกระบอก Hydraulic

วิธีการสอบเทียบ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์

การพิจารณาหาวิธีการสอบเทียบ นั้นมีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อเลือกวิธีการสอบเทียบ ตัวอย่างเช่น

  •  ย่านการวัดสูงสุด (Max Range)
  • Media ที่ใช้งาน สามารถสังเกตได้ที่ตัวเครื่องมือ ยกตัวอย่าง เช่น
  • การใช้งานกับ Media เช่น  ลม (Air), ไนโตรเจน (N2), น้ำ (Water), น้ำมัน (Oil)

หลักเกณฑ์ในการเลือกประเภทตัวกลาง (Media) ของ ความดัน ที่จะนำมาใช้สอบเทียบ ลูกค้าจะต้องแจ้งประเภทของตัวกลาง (Media) ของ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์ ว่าต้องใช้ตัวกลาง (Media) ไหน
ในการสอบเทียบ ทางห้องปฏิบัติการไม่สามารถพิจารณาเลือกให้ได้ เนื่องจากการสอบเทียบหากใช้ ประเภทของตัวกลาง (Media) ของ Pressure Transmitter  ที่ไม่ตรงกับการใช้งานจริง ในบางลักษณะงานอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวของเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD) และส่งผลเสียก่อให้เกิดการปนเปื้อน เมื่อลูกค้านำเครื่องมือกลับไปใช้งานหลังสอบเทียบเสร็จ ยกตัวอย่างเช่น

  •  เกณฑ์การยอมรับ MPE (Maximum Permissible Error)  คือ ค่าความผิดพลาด (Error) สูงสุดที่สามารถยอมรับได้ สามารถใช้ค่า Accuracy ของเครื่องมือเป็นเกณฑ์ได้โดยที่สามารถดูได้จากที่ตัวเครื่องมือหรือคู่มือจากผู้ผลิต ในหัวข้อที่บอกถึงรายละเอียดข้อมูลทางเทคนิค (Technical Data) หรือต้องสอบถามกับทางผู้ใช้งาน

 

การกำหนดวิธีการสอบเทียบ Pressure Transmitter แบบมีหน้าจอ Display อ่านค่าความดัน

1. พิจารณาจากย่านการวัดสูงสุด (Max Range) ของเครื่องมือ

สามารถสังเกตได้ที่ตัวเครื่องมือโดยปกติแล้วจะมีระบุเอาไว้ โดยพิจารณาสอบเทียบตาม Max Range โดยจะเฉลี่ยในแต่ละ Point
ในช่วงของความดันที่เท่ากัน เช่น Max Range มีค่าเท่ากับ 10 bar การสอบเทียบก็จะเฉลี่ย เป็น Point ที่เท่ากัน
โดยที่ความต้องการขั้นต่ำสุด ซึ่งก็คือ การสอบเทียบไม่ต่ำกว่า 5 Point สามารถกำหนด Point ได้ดังนี้คือ  0, 2 ,4, 6, 8, 10 bar

หากไม่สามารถหาได้ที่ตัวเครื่องมือ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการใช้งานเป็นเวลานานทำให้เกิดการลบเลือน เช่น สีของตัวอักษรรายละเอียด ซีดจาง เสียหาย จะต้องหาคู่มือมาเพื่อตรวจสอบ Max Range ก่อนการสอบเทียบ

นอกจากนี้ ยังสามารถกำหนดจุดสอบเทียบโดยกำหนดจากช่วงของการใช้งานจริงได้ กรณีที่ไม่ทราบ Range ที่นำมาสอบเทียบ เช่น

เครื่องมือมีช่วง Range  ของการใช้งานอยู่ที่ 8 – 16 bar สามารถกำหนด Point ของ การสอบเทียบ ได้ ดังนี้ 8, 10, 12, 14, 16 bar
เพื่อหลีกเลี่ยงการสอบเทียบ เกิน Max Range

หมายเหตุ

  •  กรณีที่ไม่สามารถหารายละเอียดอ้างอิง Range ของ เครื่องมือวัด ได้เลย จะทำให้การกำหนดจุดสอบเทียบทำได้ยากและอาจทำให้เครื่องมือเสียหายหากกำหนดจุดสอบเทียบเกิน Max Range

2. พิจารณาจากตัวกลาง (Media) ที่ เครื่องมือวัด ใช้งานอยู่

การเลือกใช้ Media ในการสอบเทียบนั้นจะต้องใช้ตามการใช้งานจริงเท่านั้น การสอบเทียบโดยใช้ Media ที่ไม่ตรงกับการใช้งานจริงจะทำให้เกิดการปนเปื้อนและเสียหายต่อระบบของการสอบเทียบหรืออาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในระบบการใช้งานที่นำมาสอบเทียบ

 

3. พิจารณาจาก MPE ของ เครื่องมือวัด

                  กำหนดจากข้อมูลจากทางผู้ผลิตดูที่คู่มือ หรือ จากผู้ใช้งานเป็นผู้กำหนดให้ ตามเกณฑ์การยอมรับ (MPE) โดยสามารถดูได้ที่ตัวเครื่องมือ

 

การกำหนด วิธีการสอบเทียบ Pressure Transmitter แบบไม่มีหน้าจออ่านค่าความดัน

การสอบเทียบจะมีวิธีการพิจารณาคล้ายกันกับ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์ แบบมีหน้าจออ่านค่า แต่การรายงานค่าจะเป็นค่าทางไฟฟ้าที่เป็น Current (mA) หรือ Voltage (V)

การพิจารณาจุดสอบเทียบ, Media, MPE จะต้องมีการพิจารณาเหมือนกันกับ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์ แบบมีหน้าจอ Display อ่านค่าความดัน ตามที่ได้กล่าวไว้ด้านบน

ผู้เขียน L1 Pressure

 

Pressure Transmitter คืออะไร เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ควรอ่าน!! รู้ครบ จบเรื่องเกจวัดความดัน ที่นี่เท่านั้น

เกจวัดความดัน (Pressure Gauge)

 วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าตัว เครื่องมือวัด เกจวัดความดัน ที่สามารถใช้วัดแรงดัน ที่สำคัญคือเครื่องมือนี้ จำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำด้วยนะครับ แต่ก่อนที่เราจะมาทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดที่ว่ากันนี้ เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ คำจำกัดความของคำว่า “แรงดัน (Pressure) กันก่อนครับ เราจะได้นึกภาพออกเมื่อถึงเวลาที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับ ตัวเกจวัดความดัน (Pressure Gauge)

แรงดัน คือ  อัตราส่วนระหว่างแรงที่จะกระทำให้เกิดการตั้งฉากซึ่งจะทำโดยของแข็ง ของเหลว แก๊ส หรือ อากาศ ต่อพื้นที่ของสารใดๆ โดยความดันจะเป็นปริมาณที่มีแต่ขนาดแบบไม่มีทิศทางนั้นเอง โดยแรงดัน (Pressure, P) คือค่าที่บ่งบอกถึงจำนวนแรง (Force, F) หรือน้ำหนัก (Weight, W) ที่กดลงในทิศทางที่ตั้งฉากกับพื้นที่มีหน่วยเป็นแรงต่อพื้นที่ เช่น นิวตันต่อตารางเมตร (N/m2), กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (kg/cm2), ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (Psi) เป็นต้น 

ในระบบ SI ความดัน มีหน่วยเป็นนิวตันต่อตารางเมตร (N/m2) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “ปาสคาล” (pascal) นั่นคือ 1 pascal = 1 Pa = 1 N/m2 (บางครั้งเราอาจพบหน่วย ปอนด์ต่อตารางนิ้ว: lb/in2) แต่ 1 Pa เป็นขนาดที่เล็กมาก โดยทั่วไปเรามักพบขนาด 10Pa ซึ่งเรียกว่า 1 bar ดังนั้น 100 Pa คือ 1 millibar

โดยหน่วยในการอ่าน แรงดัน จะมีคร่าวๆดังนี้

  • psi : ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
  • kPa : กิโลปาสคาล
  • kg/cm2 : กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร
  • cm of H2O : น้ำเซนติเมตร
  • inches of Hg : นิ้วปรอท
  • mm of Hg : มิลลิเมตรปรอท
  • inches of H2O : นิ้วน้ำ
  • atmospheres : บรรยากาศมาตรฐาน
  • bar : บาร์
  • mbar : มิลลิบาร์
  • Mpa : เมกะปาสคาล

ซึ่งชนิดของ ความดัน นั้น (Pressure type) จะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ดังนี้

  1. ความดันสัมบูรณ์ (Absolute Pressure)
  2. ความดันดิฟเฟอเรนเชียล (Differential Pressure)
  3. ความดันต่ำกว่าบรรยากาศหรือสุญญากาศ (Vacuum)
  4. ความดันเกจ (Gauge Pressure)

ความดันเกจ (Gauge Pressure) คือ ความดันที่ใช้วัดเปรียบเทียบกับ ความดัน ของบรรยากาศ ซึ่งถ้าต่ำกว่า ความดันบรรยากาศ ก็จะเรียกว่า ความดันเกจลบ (Negative Gauge Pressure หรือ Vacuum Gauge) แต่ถ้าสูงกว่า ความดัน ของบรรยากาศ ก็จะเรียกว่า ความดันเกจบวก (Positive Gauge Pressure)

โดยส่วนใหญ่นั้นในงานภาคอุตสาหกรรมจะบอกเป็นความดันเกจแทบทั้งสิ้น และความดันเกจตัวนี้จึงต้องมีเจ้าตัวเครื่องมือที่มาใช้วัดแรงดันที่เรากำลังจะมาทำความรู้จักก็ คือ เกจวัดความดัน (Pressure Gauge)

เกจวัดความดัน (Pressure Gauge) คือ เครื่องมือวัดที่สามารถนำมาใช้วัดค่าแรงดันสูง ต่ำ ได้ และควบคุมแรงดันภายในระบบการทำงานของเครื่องจักรต่างๆ ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงตัวอุปกรณ์หรือเครื่องมือ ที่มีความเกี่ยวข้องกับแรงดันเกจ ซึ่งนิยมนำมาใช้งานกันในภาคอุตสาหกรรม โดยจะทำหน้าที่แสดงค่าแรงดันออกมาในรูปแบบหน่วยต่างๆได้ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถอ่านค่าที่แสดงผลเป็นทั้งแบบเข็ม หรือแบบดิจิตอล ที่หน้าปัดของตัวเกจและทราบถึงสถานะการทำงานได้ทันที และส่วนท้ายเป็นข้อต่อเกลียวไว้ต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการอ่านค่าได้อีกด้วย ปัจจุบัน เกจวัดความดัน ทางผู้ผลิตจะมีการออกแบบ และให้เลือกใช้งานหลากหลายรูปแบบทั้งแบบอนาล็อกและแบบดิจิตอล ซึ่งทางผู้ใช้งานควรเลือกใช้เกจวัดความดันให้เหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ และใช้วัดค่าความดัน ใช้ควบคุม และอ่านค่าได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากที่สุด

โดยเกจวัดความดัน จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบดิจิตอลและแบบอนาล็อก

ซึ่งจะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันดังนี้

1. เกจวัดความดัน แบบดิจิตอล คือ จะมีการแสดงผลที่หน้าจออ่านเป็นแบบตัวเลขดิจิตอลซึ่งทำให้ผู้ใช้งานนั้นอ่านค่าได้ง่ายและแม่นยำกว่าแบบอนาล็อกซึ่งก็จะเหมาะกับงานที่ต้องการ การวัดค่าความดันที่มีความแม่นยำสูง นอกจากนั้นเกจวัดความดันแบบดิจิตอลในหลายรุ่นปัจจุบันทางผู้ผลิตได้ออกแบบมาให้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ซึ่งจะทำให้สามารถอ่านค่าได้จากระยะใกล้และระยะไกลรวมถึงรูปแบบไร้สายด้วย และเก็บข้อมมูลย้อนหลังในการอ่านค่าแรงดันได้ด้วย และจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงตามฟั่งชั่นการใช้งานต่างๆที่รวบรวมอยู่ในเกจวัดแบบดิจิตอลนั้นเอง

2. เกจวัดความดัน แบบอนาล็อก (แบบเข็ม)  คือ จะมีการแสดงผลที่หน้าจออ่านในรูปแบบที่เป็นเข็มที่คล้ายเข็มนาฬิกา ซึ่งการอ่านค่าในมุมของความแม่นยำนั้นก็จะมีปัจจัยในการคลาดเคลื่อนที่สูงกว่าแบบดิจิตอล เพราะในแต่ละมุมหรือองศาในการมองดูอ่านค่าก็ส่งผลต่อการคลาดเคลื่อนได้ แต่มีข้อดีก็คือ ราคาถูกกว่าแบบดิจิตอลมาก และอาจจะไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก เมื่อเทียบกับเกจแบบดิจิตอล โดยเกจวัดความดันแบบอนาล็อกนั้นแบ่งแยกออกอีกเป็น 2 ประเภท คือ

2.1 เกจวัดความดันอนาล็อกแบบมีน้ำมัน คือ จะมีน้ำมันอยู่ที่หน้าปัดเข็มเพื่อที่จะช่วยลดการสั่นสะเทือนของเข็มในการอ่านค่าได้ ซึ่งทำให้อ่านค่าได้ดี แม้มีการสั่นสะเทือนสูงของเครื่องจักรหรือจุดใช้งานที่มีการสั่นสะเทือนได้ และยังเป็นตัวซับแรงทำให้เข็มอ่านค่าไม่ให้เกิดการคลาดเคลื่อนและเสียหายนั้นเอง

2.2 เกจวัดความดันอนาล็อกแบบไม่มีน้ำมัน คือ ที่หน้าปัดเข็มจะไม่มีน้ำมันอยู่ที่หน้าปัด จึงทำให้มีข้อจำกัดในการใช่งานค่อนข้างสูง ไม่เหมาะในจุดที่เครื่องจักรหรือจุดที่มีการสั่นสะเทือนต่างๆ อาจจะต้องเลือกจุดในการใช้งานที่ไม่มีการสั่นสะเทือนหรือมีเล็กน้อยเท่านั้นแต่มีข้อดีคือ ราคาถูก หาเลือกซื้อได้ง่าย

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผู้เขียนหวังท่านผู้อ่านจะได้ความรู้และได้ทำความรู้จักกับเจ้าตัว เกจวัดความดันมากขึ้น และสามารถเลือกใช้งานได้แบบเหมาะกับงานและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานเอง พร้อมทั้งต้องไม่ลืมส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำ เพื่อการใช้งานได้อย่างถูกต้องแม่นยำครับ

 

ผู้เขียน THM Melo

 

Absolute Pressure นั้นแตกต่างจาก Pressure แบบอื่นยังไง พร้อมข้อควรระวังและการสอบเทียบ

บริการสอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

Pressure Transmitter คืออะไร เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ในยุคปัจจุบันที่อุตสาหกรรมการผลิตส่วนใหญ่จะมีการนำเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจวัดแรงดัน (Pressure Transmitter) มาใช้กันอย่างหลากหลาย ทั้งรูปแบบของตัววัดแรงดันให้เหมาะสมกับงานหรืออุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่พบการนำPressure Transmitterใช้ในกระบวนการผลิต เช่น อาหาร ยา เครื่องดื่ม ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีผลเกี่ยวกับการวัดแรงดันลมและเพื่อควบคุมแรงดัน ของปั้มน้ำและวัดแรงดันของน้ำในหม้อน้ำ

การสอบเทียบเครื่องมือวัด เครื่องมือPressure Transmitterในส่วนของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) เป็นห้องปฎิบัติการที่ให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ให้กับลูกค้ามีทั้งบริการสอบเทียบในห้องปฎิบัติการ (IN LAB) และมีบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด นอกสถานที่ (ON SITE)  

Pressure Transmitter คือ เครื่องมือวัด สำหรับใช้แขนงการวัดแรงดันหรือความดัน (Pressure) และแปลงสัญญาณไฟฟ้าด้านเอาต์พุต (Output) ออกมาเป็นสัญญาณอนาล็อกมาตรฐาน เช่น 4-20 mA, 0-10 VDC นั้นหมายถึงPressure Transmitterมีขีดความสามารถวัดได้หลาย Media ทั้งเหลว (Liquid) ยกตัวอย่างเช่น น้ำ (Water) และน้ำมัน (Oil) รวมไปถึงการวัดความดันของลม (Pneumatic) และแก๊ส (Gas)

Pressure Sensor ที่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใช้กันนั้นจะมีด้วยกัน 3 ประเภท คือ Pressure Gauge, Pressure Switch, Pressure Transmitterโดยเราจะพูดถึงในส่วนของ

Pressure Transmitter แบ่งประเภทให้ตรงตามหลักการทำงานและการนำไปใช้ 

Strain Gauge : หลักการทำงานโดยอาศัยการยืดหดตัวของ Strain gauge ที่ยึดติดอยู่กับแผ่นไดอะแฟรมและต่อวงจรไปยังวงจร วิทสโตนบริดจ์ (Wheatstone Bridge) เพื่อแปลงความดัน (Pressure) ไปเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า

Thin Film : หลักการทำงานโดยเป็นเซ็นเซอร์ลักษณะแผ่นฟิล์มบางๆ ที่จะรับแรงกดแล้วแสดงค่าแรงดันออกมา ซึ่งหลักการนี้จะเป็นที่นิยมนิยมใช้กับอุตสาหกรรมที่มีแรงดันต่ำ

Thick Film : หลักการทำงานโดยไดอะแฟรมจะผลิตจากวัสดุ เช่น เซรามิก นิยมใช้กับอุตสาหกรรมที่แรงดันสูง มีความแข็งแรงมากกว่าประเภท Thin Film นิยมใช้ในงานไฮดรอลิค

หน่วยในการแสดงผลของค่าแรงดันที่วัดได้ เช่น bar, mbar, kpa, psi, mmHg

การพิจารณาและเลือกใช้Pressure Transmitter 

  1. โดยพิจารณาจากประเภทของอุตสาหกรรมที่จะนำ เครื่องมือวัดPressure Transmitterไปใช้งาน และเลือกใช้ให้ตรงกับใช้กับตัวกลางอะไร เช่น ของเหลว ก๊าซ ลม ในงานที่จะนำไปวัด และความแม่นยำ ให้ค่าความละเอียดสูงให้เหมะสมกับงานที่จะวัด
  2. แหล่งจ่ายที่ใช้งาน และสัญญาณ output เป็นอะไร เช่น Analog 4-20 mA, 0-10 VDC, 0-5 VDC วงจรตัดต่อการใช้งาน เช่นใช้แบบกี่สาย 2,3,4 สาย
  3. คำนึงถึง Thread (ขนาดเกลียว) ที่จำนำไปต่อเข้าในระบบ ชนิดของเกลียวเป็นแบบไหน เช่น NPT, G1/8”
  4. 4.พิจารณาจากงบประมาณที่ตั้งไว้และความสำคัญเพื่อประเมิณความเหมาะสมก่อนตัดสินใจ

ผู้เขียน Ple

 

หากต้องการนำ Pressure Safety Valve มาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา