คลังเก็บป้ายกำกับ: Elec’s Article

2 เรื่องมักทำพลาด ในการใช้งาน Multimeter

มัลติมิเตอร์(MULTIMETER)

เป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า (Electrical) ที่ต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำ สามารถแยกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ มัลติมิเตอร์แบบเข็ม (Analog Multimeter) และ มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข (Digital Multimeter) โดยที่ ดิจิตอล มัลติมิเตอร์(DIGITAL MULTIMETER) นั้นสามารถวัดค่าแรงดัน (V), วัดกระแส (I), วัดความต้านทาน (Ω) และ สามารถใช้กับไฟฟ้ากระแสตรง (DC) หรือไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ได้
การใช้งานอนาล็อก มัลติมิเตอร์ (Analog Multimeter) และ ดิจิตอล มัลติมิเตอร์(Digital Multimeter)

ซึ่งการใช้งาน MULTIMETER แบบเข็ม (Analog) และ MULTIMETER แบบตัวเลข (Digital)มีความแตกต่างกัน คือ

ปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการวัดไหลเข้าสู่วงจร หากเป็น MULTIMETER เป็นแบบเข็ม (Analog) จะเปลี่ยนปริมาณไฟฟ้าที่วัดเป็นปริมาณทางกลทำให้เข็มที่ยึดติดไว้เคลื่อนที่ไปยังค่าที่วัดได้ ส่วน MULTIMETER แบบตัวเลข (Digital) นั้นจะเปลี่ยนปริมาณทางไฟฟ้าที่ได้รับส่งผ่านไปยังวงจรสัญญาณดิจิตอล และส่งต่อไปยังหน้าจอแสดงผลเป็นตัวเลขให้อ่านค่าคุณสมบัติของ MULTIMETER แบบตัวเลข(Digital) ซึ่งมีความแตกต่างกันกับแบบเข็ม(Analog)

การสอบเทียบ เครื่องมือวัด มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

เครื่องมือวัดทุกรายการที่นำไปใช้ในการทดสอบ ตรวจเช็คค่าต่างๆของอุตสาหกรรมตามบริษัทหรือในงานโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ควรต้องนำเครื่องมือส่งสอบเทียบกับห้องแล็ปที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC17025 แบบถูกต้องและชัดเจนเพื่อนำผลการสอบเทียบมาเป็นตัวชี้วัดในแต่ละอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะเมื่อมีการนำเครื่องมือวัดเหล่านี้ไปใช้งานเราจะทราบได้อย่างไรว่าค่าที่เราได้มาคือค่าที่ถูกต้องและแม่นยำ เนื่องจากเครื่องมือวัดสามารถเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ทุกรายการ ถ้าไม่นำเครื่องมือวัดที่เราใช้ส่งเข้ารับบริการดังนั้นการส่งสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ชิ้นงานที่เราใช้

ดิจิตอล มัลติมิเตอร์ (DIGITAL MULTIMETER) ในการสอบเทียบและตรวจสอบนั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 6 FUNCTION ได้แก่

  1. FUNCTION ACV
  2. FUNCTION ACI
  3.  FUNCTION DCV
  4. FUNCTION DCI
  5. FUNCTION RESISTANCE
  6. FUNCTION FREQUENCY

การใช้งานที่ผิดวิธีที่ทาง Calibration Laboratory (แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี) มักพบอยู่เสมอ คือเรื่อง ช่วงของการวัดและการใช้งาน โดยที่ CLC แนะนำให้ เลือกใช้มัลติมิเตอร์(MULTIMETER) ที่มีช่วงของค่าปริมาณอยู่ในช่วงที่ต้องการวัดและใช้งานจริงๆ เพราะหากนำ มัลติมิเตอร์ไปวัดในช่วงปริมาณที่มีกระแสไฟฟ้าสูงเกินไปอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องมือวัดได้

การเสียบ PROBE MULTIMETER นั้นควรหมุน FUNCTION SWITCH ให้ตรงกับค่าที่เราต้องการวัด และควรเสียบ PROBE ให้ถูกช่องของการใช้งาน ซึ่ง PROBE ที่ได้มาตรฐานจะมีความยาวอยู่ที่ 19 มิลลิเมตร มาตรฐานความปลอดภัยของ PROBE จะมีโลหะที่สัมผัสอยู่ที่ 4 มิลลิเมตร(สามารถช่วยป้องกันการเกิดการลัดวงจรได้)

ตารางต่อไปนี้แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง ดิจิตอล มัลติมิเตอร์ (DIGITAL MULTIMETER) และ อนาล็อกมัลติมิเตอร์ (ANALOG MULTIMETER)

 

 

ประเภทของเครื่องมือ

Digital Multimeter (มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข)

Analog  Multimeter (มัลติมิเตอร์แบบเข็ม)

ความแม่นยำ

มีการประมวลผลและอ่านค่าได้แม่นยำ แบบ ไมโครโปรเซสเซอร์ จึงทำให้การอ่านค่าที่ได้ในแต่ละครั้งแม่นยำและนิ่งมากกว่าแบบเข็ม

หลังจากการใช้งานไปได้สักระยะหนึ่งระบบ ANALOG ภายในตัวเครื่องจะส่งผลให้ความแม่นยำในการอ่านค่าลดน้อยลง

การอ่านค่า

สะดวกและง่ายต่อการใช้งานและอ่านค่า

อาจเกิดการอ่านค่าผิดพลาดได้ง่ายเนื่องจากการนิ่งของเข็มในแต่ละครั้งอาจไม่คงที่ค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้

การเก็บข้อมูล

สามารถเก็บข้อมูลผ่านสาย USB และสามารถอ่านค่าจากหน้าจอซอฟแวร์ได้

ไม่มีระบบการเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติและเก็บ        ข้อมูลได้นอกจากอ่านแล้วจดด้วยมือ

 

 

ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ใช้เครื่องมือ STANDARD ในการสอบเทียบดิจิตอลมัลติมิเตอร์ (DIGITAL MULTIMETER) โดยใช้เครื่องมือ MULTI PRODUCT CALIBRATOR Brand TRANSMILLE ในการสอบเทียบ ซึ่งขอบข่ายในการออก ACCREDITED ที่ทาง Calibration Laboratory (CLC) สามารถออก ACCREDITED ได้นั้นคือทั้ง ACCREDITED TISI (สมอ.) และ ACCREDITED ANAB โดยในการสอบเทียบเครื่องมือวัดนั้นมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในการสอบเทียบอยู่ที่ Temperature : (23 +-2) C Humidity : (55+-15) % RH

การเปลี่ยนแบตของเครื่องมือวัดมัลติมิเตอร์ (MULTIMETER)

  • แบตเตอรี่ที่ใช้ในตัวมัลติมิเตอร์ (MULTIMETER) โดยทั่วไปจะเป็นถ่านขนาด AA หรือ AAA ซึ่งเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละครั้งมีข้อควรปฏิบัติคือ
  • ต้องตั้ง FUNCTION ของตัวเครื่องมือวัดที่ FUNCTION SWITH ไปที่ตำแหน่ง OFF ก่อนเสมอ
  • ทำการขันน็อตที่ฝาหลังออกแล้วจึงเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เข้าไป
  • ควรวางขั้วของแบตเตอรี่ให้ถูกขั้ว -ไม่ควรนำแบตเตอรี่ใหม่และแบตเตอรี่เก่ามาใช้ร่วมกัน

การดูแลรักษาเครื่องมือวัดมัลติมิเตอร์ (MULTIMETER) หลังจากการใช้งานเสร็จ

  • ควรทำการตรวจเช็คสภาพของเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์และทำความสะอาดทั้งก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้ง
  • ถ้าไม่มีการใช้เครื่องมือวัดเป็นระยะเวลานานๆ ควรทำการถอดแบตเตอรี่ของมัลติมิเตอร์ออกเพื่อเป็นการป้องกันสารเคมีจากแบตเตอรี่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือเกิดความเสียหายได้
  • ควรใช้งานหรือเก็บเครื่องมือวัดให้ห่างจากบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก เพราะผลของสนามแม่เหล็กจะทำให้การวัดค่าจากมัลติมิเตอร์นั้นมีความคลาดเคลื่อนได้
  • ไม่ควรวางเครื่องมือวัดในบริเวณที่มีการสั่นสะเทือน เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนอาจทำให้อุปกรณ์ภายในของเครื่องมือวัดเกิดความเสียหายได้
  • ควรมั่นตรวจสอบเครื่องมือวัดอยู่เสมอว่าค่าที่วัดเริ่มมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ และควรนำไปทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate) ตามเวลาที่กำหนดไว้หรือตามความเหมาะสมเพื่อให้มั่นใจถึงค่าที่วัดของมัลติมิเตอร์ว่ามีความแม่นยำอยู่เสมอ

ผู้เขียน Gaem Yui

 

 

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

การทำงานในการวัดความต้านทานฉนวน และการบำรุงรักษา

การทำงานในการ วัดความต้านทานฉนวน และการบำรุงรักษา

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ วันนี้ทางผู้เขียนก็มีเครื่องมือที่น่าสนใจมาแนะนำกันอีกหนึ่งตัวค่ะ อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเป็นเครื่องมืออะไร และจะใช้เจ้าเครื่องมือนี้ทำอะไรได้บ้าง งั้นเราไปดูกันเลยค่ะ  

รูปที่ 1

ตัวอย่างเครื่อง INSULATION TESTERS ทั้งแบบ ANALOG และ DIGITAL

 

เครื่องทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้า (Insulation Tester)

คือ เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบดูว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือเครื่องใช้ทางไฟฟ้าของทุกท่านมีความผิดปกติเกี่ยวกับฉนวนไฟฟ้าหรือไม่ค่ะ  ซึ่งในปัจจุบันก็มีทั้งแบบ ANALOG และ DIGITAL ทุกท่านก็สามารถเลือกใช้ได้ตามสะดวกเลยค่ะ (เลือกได้ตามราคาที่เหมาะสมนะ)

หรือจะเรียกว่าเป็น เครื่องมือ ที่ใช้วัดความต้านทานชนิดพิเศษ โดยการวัดนั้นเครื่องมือวัดก็จะแสดงค่าเป็นหน่วยของความต้านทานที่มีค่าสูงมาก ซึ่งเรียกกันว่า เมกะโอห์ม (M) นั่นเองค่ะ โดยไอ้เจ้าค่าความต้านทานดังกล่าวที่พูดถึงเนี่ย ก็จะเป็นค่าที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติการเป็นฉนวนไฟฟ้าหรือเป็นเครื่องชี้บ่งว่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ท่านหรือเพื่อนร่วมงานใช้อยู่มีกระแสไฟฟ้ากำลังรั่วลงดินอยู่หรือเปล่า (ถ้ารั่วนี่อันตรายมากนะคะทุกคน) ซึ่งถ้าอุปกรณ์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ทางไฟฟ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับฉนวนไฟฟ้าก็อาจจะทำให้ผู้ใช้งานถูกไฟฟ้าดูดจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือถ้ายิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้เกิดเพลิงไหม้เนื่องจากไฟฟ้าลัดวงจรได้เลยนะคะ เห็นไหมว่าเครื่องมือตัวนี้มีความสำคัญไม่น้อยเลย

รูปที่ 2

หลักการทำงานในการ วัดความต้านทานฉนวน

          เครื่องทดสอบความเป็นฉนวน Insulation Tester  ทุกท่านเคยเห็นการทดสอบการหารอยรั่วของท่อน้ำประปาไหมคะ เมื่อใส่แรงดันน้ำสูงๆเข้าไปในท่อ เมื่อตรงไหนรั่วตรงนั้นก็จะมีน้ำไหลออกมา ลักษณะเดียวกันเลยค่ะ การทดสอบหลักๆของเครื่องทดสอบความเป็นฉนวนก็จะคล้ายกับการตรวจสอบหารอยรั่วของท่อประปา โดยถ้าเราอยากรู้ว่าอุปกรณ์นั่นๆมีไฟรั่วหรือไม่เราก็จะป้อนแรงดันสูงๆเข้าไป โดยใช้เครื่องทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้าเป็นตัวจ่ายแรงดันดังกล่าว เพื่อหาจุดรั่วไหลของกระแสไฟ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟ  220 โวลต์   ทดสอบโดยใช้แรงดันไฟ  500  โวลต์  ซึ่งมีย่านการวัดได้ถึง 200 เมกะโอห์ม(MΩ)   อุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟ  380 โวลต์  ทดสอบโดยใช้แรงดันไฟ  1000  โวลต์ ซึ่งมีย่านการวัดได้ถึง 1000 เมกะโอห์ม(MΩ)

โดยการทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้าสามารถอธิบายได้ดังรูป

รูปที่ 3 ที่มา : https://mall.factomart.com

มื่อป้อนแรงดันกระแสตรงที่มีค่าสูงๆ ให้กับตัวต้านทานฉนวนที่ต้องการวัด (Rx) ทำการวัดค่ากระแส (I) และค่าแรงดันที่ตกคร่อม (V) ตัวต้านทานฉนวน (Rx) หลังจากนั้นนำค่าแรงดันตกคร่อมที่ได้ (V) หารด้วยกระแส (I) ก็จะได้ค่าความต้านทานฉนวน (Rx)

เราสามารถใช้ เครื่องมือวัด นี้ทำอะไรได้บ้าง

  1. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนของอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือตัวรถยนต์เอง ตามศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์
  2. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนของสายเคเบิ้ล
  3. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนของเครื่องมือเครื่องใช้ใหม่ในไลน์ผลิต หรือสายไฟเลี้ยง
  4. เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ หม้อแปลงไฟฟ้าในเครื่องจักร ฯลฯ
  5. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนในอุปกรณ์ไฟฟ้าของเครื่องจักรเก่าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น หม้อแปลง ฉนวนของมอเตอร์ไฟฟ้า สายไฟภายในโรงงาน ฯลฯ

การวัดความต้านทานฉนวนใช้วัดเพื่ออะไร

อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าเครื่องมือเครื่องใช้ทางไฟฟ้า หรือเครื่องจักรต่างๆเองก็ดี ทุกอย่างล้วนมีสายไฟ  มอเตอร์  หรือแม้กระทั่งหม้อแปลง สิ่งเหล่านี้ล้านมีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา 

สาเหตุของการเกิดฉนวนเสื่อม

  • ความเสียหายทางกล (การกระแทก การเจาะ การสั่น)
  • ความร้อนหรือความเย็นสูงเกินไป
  • ฝุ่น, สิ่งสกปรก
  • น้ำมัน
  • ไอกัดกร่อน
  • ความชื้นหรือเปียก

การเสื่อมสภาพต่างๆเหล่านี้ หรือเรียกว่ามีอายุการใช้งานที่จำกัดอยู่แล้ว ซึ่งหากอุปกรณ์ที่กล่าวมาเกิดการชำรุดเสียหายก็จะทำให้เกิดไฟรั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร เราจึงใช้ เครื่องมือวัด ความต้านทานฉนวน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงาน ที่ทำงานนั้นๆ รวมทั้งป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียตามมาภายหลัง

การวัดค่าความเป็นฉนวนไฟฟ้าควรทำบ่อยๆ และสม่ำเสมอและควรมีการจดบันทึกค่าความต้านทานของฉนวนไว้ด้วยทุกครั้งเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยง หรือใช้เป็นข้อมูลเพื่อให้สามารถเช็คได้ว่าควรมีการเปลี่ยนมอเตอร์ หรือสายไฟนั้นหรือยัง ซึ่งค่าความต้านทานของฉนวนไม่ควรต่ำกว่า 100 MΩ หลังจากที่มีการ Apply Volt ที่ 1.0 kV  เป็นเวลา 60 วินาที ถ้าไม่ผ่านควรเตรียมเปลี่ยนสายไฟพันหรือเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่ทันที  ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานทุกคนนะคะ

 

การบำรุงรักษาเครื่องมือวัด     

ถ้าเราอยากให้เครื่องมือวัดนี้อยู่กับเราไปนานๆ หรือมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น สิ่งที่ควรตรวจสอบก็มีดังนี้นะคะ

  1. หมั่นเช็ดทำความสะอาดเครื่องมือเป็นประจำ
  2. เก็บเครื่องให้อยู่ในที่ที่สะอาดไม่มีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น น้ำหรือ น้ำมัน และไม่อยู่ในที่ที่มีอากาศชื้น
  3. ควรตรวจดูรางถ่านเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมสภาพของถ่านเพราะจะทำให้เครื่องมือเสียหายได้
  4. ไม่จัดเก็บเครื่องมือให้อยู่ในสภาพอากาศที่เย็นหรือร้อนเกินไป
  5. ไม่จัดเก็บเครื่องมือให้อยู่ใกล้เครื่องจักรที่มีการทำงาน หรือมีแรงสั่นสะเทือน จากการเจาะ การกระแทก
  6. สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าค่าที่วัดได้จะถูกต้อง เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการวัดที่ผิดเพี้ยน

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มและยืดอายุการใช้งานเครื่องมือได้ยาวนานยิ่งขึ้นแล้วค่ะ

เห็นไหมล่ะคะว่า เครื่องมือวัด นี้มีความจำเป็นไม่น้อยเลย หากเราหมั่นทำการตรวจเช็คสภาพของอุปกรณ์ที่เราใช้แล้วก็สามารถช่วยป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดกับตัวเราเองและเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วย

 

ทั้งนี้ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราก็ยังมีเครื่องมือประเภทนี้จำหน่ายกันด้วยนะคะรวมทั้งยังสามารถ สอบเทียบเครื่องทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้า (Insulation tester) ได้ โดยได้รับการรับการรับรอง ISO/IEC 17025 (ANAB) หากท่านใดสนใจในบริการของเราสามารถติดต่อเราได้ทุกช่องทางการติดต่อเลยนะคะ

Katai

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ไฟฟ้าคืออะไร เครื่องมือวัดด้านไฟฟ้าเบื้องต้นมีอะไรบ้าง

ไฟฟ้าคืออะไร

ไฟฟ้า คือ พลังงานรูปหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกตัวออกมา หรือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน หรือโปรตอน หรืออนุภาคอื่นที่มีสมบัติแสดงอํานาจคล้ายคลึงกับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ใช้ประโยชน์ ก่อให้เกิดพลังงานอื่น เช่น ความร้อน แสงสว่าง การเคลื่อนที่ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ชาติในปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาทุก ๆ ด้านจำเป็นต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น

1.แหล่งกำเนิดไฟฟ้า

แหล่งกำเนิดไฟฟ้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

             1.1 ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  เช่น  ไฟฟ้าสถิต (Static  Electricity) โดยมากจะเกิดจากการเสียดสี (Friction) เช่น การเสียดสีของวัตถุบางชนิด การหวีผมในบางฤดูทำให้หวีสามารถดูดเศษกระดาษเล็กๆได้หรือการเกิดปรากฏการทางธรรมชาติ เช่น  ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ซึ่งเกิดจากการสะสมของประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน  ก้อนเมฆในท้องฟ้าและเกิดการถ่ายเทของประจุไฟฟ้าจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง  การถ่ายเทดังกล่าว  ประจุไฟฟ้าที่เหมือนกันจะผลักกัน  เช่น  ประจุลบกับประจุลบจะผลักกัน  ประจุบวกกับประจุบวกจะผลักกัน  ประจุไฟฟ้าที่ต่างกันจะดูดกัน

             1.2 ไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้น แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

      • 1.2.1 ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current) อักษรย่อ AC
      • 1.2.2 ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) อักษรย่อ DC

1.2.1 ไฟฟ้ากระแสสลับ

                          ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าที่นำมาใช้  ตามอาคารบ้านเรือน อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ขนาดแรงดันไฟฟ้า และความถี่ที่ใช้อยู่ตามอาคารบ้านเรือนจะมีขนาดแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ ความถี่  50 เฮิรตซ์
(220 V / 50 Hz) ส่วนอาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการใช้ขนาดแรงดัน ไฟฟ้า 380 โวลต์ความถี่50 เฮิรตซ์
(380 V / 50 Hz) สำหรับจ่ายให้เครื่องจักรทำงาน และ 220 โวลต์ 50 เฮิรตซ์ (220 V / 50 Hz) สำหรับจ่ายให้เครื่องใช้ในสำนักงาน

 1.2.2 ไฟฟ้ากระแสตรง  

                          ไฟฟ้ากระแสตรง คือ ไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลทางเดียว มีขั้วบวก ขั้วลบคงที่ ใช้เป็นพลังงานจ่ายให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ละอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง

      แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
  • เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี เช่น แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย
  • เกิดจากโซลาร์เซลล์ หรือโฟโต้เซลล์ (อุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า)
  • เกิดจากการ Rectifier คือการเรียงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง

2. หน่วยวัดทางไฟฟ้า

ในระบบหน่วยวัดนานาชาติ (International System of Units (SI)) หน่วยวัดทางไฟฟ้าพื้นฐานที่สำคัญและหน่วยวัดทางไฟฟ้าในทางปฏิบัติอื่นๆ

  • แรงดันไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น โวลต์ (V)
  • กระแสไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น แอมแปร์ (A)
  • กำลังไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น วัตต์ (W)
  • ความถี่ไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น เฮิรตซ์ (Hz)
  • ความต้านทานมีหน่วยวัดเป็น โอห์ม (Ω)

ทั้งนี้ที่กล่าวมา ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าหรือจับต้องได้ ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะที่ใช้ในการตรวจวัดค่าทางไฟฟ้า เพื่อให้เรารู้ปริมาณความมากน้อยของพลังงานไฟฟ้านั้นๆ

เครื่องมือวัดไฟฟ้า เบื้องต้น

1.เครื่องวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltmeter) 

เครื่องวัดชนิดนี้เป็นเครื่องมือวัดความต่างศักย์ของไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดในวงจรไฟฟ้าแรงดันไฟฟ้าเป็นค่าหนึ่งที่ต้องวัดในการคํานวณการใช้งานด้านไฟฟ้ามีทั้งประเภทที่ติดตั้งบนแผงควบคุมและชนิดเคลื่อนที่ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

2.เครื่องวัดกระแสไฟฟ้า (Ampmeter)  

ใช้วัดกระแสไฟฟ้า มีทั้งประเภทที่ติดตั้งบนแผงควบคุมและชนิดคล้องสายเคลื่อนที่ได้ มีทั้งชนิดที่เป็นอนาล็อกและดิจิทัล

 

 

 

 

 

 

 

3.เครื่องวัดกําลังไฟฟ้า (Wattmeter)

เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่วัดค่าความต้องการกำลังไฟฟ้าได้โดยตรง ทำให้การหาปริมาณการใช้ไฟฟ้าสะดวกยิ่งขึ้น

   

 

 

 

 

 

 

 

4. โอห์มมิเตอร์ (Ohmmeter)

โอห์มมิเตอร์ คือมิเตอร์ที่สามารถวัดค่าความต้านทาน โดยการดัดแปลงจากแอมมิเตอร์ให้สามารถวัดค่าและแสดงค่าออกมาเป็นค่าความต้านทานได้โดยตรง กรณีการวัดค่าความต้านทานสูงๆ (High resistance) ที่มีค่าเป็นเมกกะโอห์มขึ้นไป เช่น ใช้วัดค่าความต้านทานของฉนวนสายไฟฟ้า (Insulation) หรือค่าความต้านทานของดิน เรียกว่า เมกกะโอห์มมิเตอร์ (Mega ohmmeter) หรือเมกเกอร์ ( Megger) และ เครื่องวัดค่าความต้านทานหลักดิน เรียกว่า Earth Test Meter

 

 

 

 

 

 

 

 

 

5. มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

มัลติมิเตอร์ (Multimeter) เป็นเครื่องมือวัดปริมาณทางไฟฟ้าหลายประเภทรวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว Multimeter จะสามารถใช้วัดปริมาณ แรงดันไฟฟ้า กระแสตรง (DC voltage) แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ปริมาณกระแสไฟตรง (DC current) ความต้านทานไฟฟ้า (Electrical Resistance) และ Multimeter บางรุ่นสามารถใช้วัดปริมาณอื่นๆได้อีก เช่น กำลังออกของสัญญาณความถี่เสียง (AF output) การขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์ (DC current amplification, hFE) กระแสรั่วของทรานซิสเตอร์ (leakage current, ICEO) ความจุทางไฟฟ้า (Capacitance) ฯลฯ 

     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อควรระวังในการใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้า

  1. การใช้ เครื่องมือวัด ต้องให้ตรงประเภทกับที่จะใช้วัด
  2. ตรวจสอบความเรียบร้อย ครบถ้วนของชุดเครื่องมือวัดก่อนนําไปใช้งานทุกครั้ง
  3. ก่อนนําเครื่องมือไปใช้งานต้องแน่ใจว่าไม่ใช้เครื่องมือวัดผิดประเภท และต้องคำนึงถึงย่านการวัดด้วย
  4. การเสียบสาย ต่อสายเครื่องมือวัดต้องแน่ใจว่าต่อขั้วถูกต้อง

และความถูกต้อง เที่ยงตรงของค่าที่เครื่องมือวัดอ่านได้ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพของสินค้าและผลิตภัณฑ์แล้วผู้อ่านจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องมือวัดของผู้อ่านอ่านค่าตรงหรือไม่ ทางบริษัท Calibration Laboratory มีบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ต่างๆ รวมถึงเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าด้วย แล้วทางบริษัทก็ยังได้การรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI) และจาก ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยใช้ Multi-Product Calibrator เป็น Standardในการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีความละเอียดสูง

Multi-Product Calibrator

 

ผู้เขียน Tik sang

 

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

คุณลักษณะของ Process Calibrator ในการเป็นเครื่องมือวัดค่าอะไรได้บ้าง

PROCESS CALIBRATOR

เครื่องมือวัด Process Calibrator หรือ Multifunction Process Calibrator เป็นเครื่องมือวัดค่าและกำเนิดสัญญาณสำหรับการสอบเทียบอเนกประสงค์ เครื่องมือวัด นี้สามารถวัดและกำเนิดสัญญาณได้หลายพารามิเตอร์และให้ผลลัพธ์ที่อ่านค่าหรือตีความได้ทันที ช่วยลดระยะเวลาและปัญหาการสอบเทียบในกระบวนการผลิตจากการใช้เครื่องมือสอบเทียบหลายแบบหลายรุ่นทำให้เกิดความสับสนในการเลือกใช้ และยังสามารถช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการสอบเทียบที่ Site งานได้อีกด้วย

คุณลักษณะของ Process Calibrator ในการเป็นเครื่องมือวัดค่า

  • วัดค่าอุณหภูมิจาก Thermocouple (Type R, S, K, E, J, T, N, B)
  • วัดค่าอุณหภูมิจาก Resistance Temperature Detector (Pt100, Pt1000, Pt200, Pt500, Cu10, Cu50)
  • วัดค่าแรงดันไฟ DC
  • กระแสไฟ DC
  • ความต้านทานไฟฟ้า
  • ความต่อเนื่องแบบมีเสียง
  • ความถี่
  • สวิทช์

 

คุณลักษณะของ Process Calibrator ในการเป็นเครื่องกำเนิดสัญญาณ

  • กำเนิดสัญญาณสำหรับสอบเทียบค่าอุณหภูมิของเทอร์โมคัพเปิ้ล (Thermocouple )Type R, S, K, E, J, T, N, B)
  • กำเนิดสัญญาณสำหรับสอบเทียบค่าอุณหภูมิของ Resistance Temperature Detector (Pt100, Pt1000, Pt200, Pt500, Cu10, Cu50),
  • แหล่งกำเนิดแรงดันไฟ DC
  • แหล่งกำเนิดกระแสไฟ DC
  • แหล่งกำเนิดความต้านทานไฟฟ้า
  • แหล่งกำเนิดความต่อเนื่องแบบมีเสียง
  • แหล่งกำเนิดความถี่
  • แหล่งกำเนิดสวิทช์
  • แหล่งกำเนิด Pulse และ Loop

การสอบเทียบ เครื่องมือวัด และบำรุงรักษา Process Calibrator

  1. มีการกำหนดช่วงระยะเวลาสำหรับการบำรุงรักษาเครื่องมือ ทั้งการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และการบำรุงรักษาเชิงแก้ไข
  2. ควรจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวัด ได้แก่ บันทึกเครื่องมือ วิธีการวัด การสอบเทียบเครื่องมือวัด ที่สามารถยืนยันการวัดว่าถูกต้องและสามารถสอบกลับได้สู่มาตรฐานการวัดแห่งชาติ (SI Units) เอกสารเหล่านี้จะเป็นประจักษ์พยานของการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า ทั้งที่เกิดมาแล้วในอดีตจนถึงปัจจุบัน และต่อเนื่องไปในอนาคต
  3. การ สอบเทียบเครื่องมือวัด จะต้องทำก่อนนำมาติดตั้งเพื่อใช้งาน และกำหนดช่วงระยะเวลาความถี่ในการสอบเทียบ เช่น ทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะของการใช้งาน ความถี่ในการใช้งาน การบำรุงรักษา และคุณสมบัติเฉพาะของเครื่องมือ เป็นต้น
  4. แม้จะมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด แล้ว ผลการวัดก็ยังมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้เสมอ สิ่งที่ผู้ใช้งานจะต้องคำนึงถึงอยู่คือ ระบบการวัดจะต้องมีความถูกต้องมากกว่าความถูกต้องที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ที่นำมาวัด ตั้งแต่ 3 เท่าขึ้นไป รวมถึงการตรวจสอบเครื่องมือก่อนการใช้งานเสมอ (Daily Check)
  5. ควรเลือกใช้บริการจากห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรองความสามารถ (Accredit) ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017

มีหน่วยวัดอะไรบ้าง Process Calibrator ได้รับการออกแบบมาให้พร้อมสอบเทียบได้ในแทบทุกงาน Process Calibrator จะจ่ายและวัดค่าพารามิเตอร์ในกระบวนการเกือบทุก Process บันทึกเอกสารเป็น Version ต่างๆ รวมถึงบันทึกผลลัพธ์ในตัวครื่องและดึงข้อมูลออกมาได้ รองรับการทำงานของเครื่องมือหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายสัญญาณ การจำลองสัญญาณและการวัดแรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิ และสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบได้ทุกหน่วยการวัดของเครื่องมือเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบได้ครอบคลุมทุกหน่วยการวัดที่กล่าวมาข้างต้นและได้รับการรับรอง มาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI) และจาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งในรูปแบบ In Lab และ Onsite เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยขอบข่ายการวัดสามารถสอบเทียบได้
ด้วยวิธีการ Direct Measurement with Multi Product Calibrator

ผู้เขียน Keaw VIP

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

หน้าที่ของ เครื่องมือวัด Watt Meter

Watt Meter (วัตต์มิเตอร์)

สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ เครื่องมือวัด ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ในด้านงานด้านไฟฟ้า คือ Watt Meter (วัตต์มิเตอร์) ซึ่งหลายๆท่านอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดีกับ เครื่องมือวัด ชนิดนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของปริมาณค่าพลังงานไฟฟ้าที่ต้องจ่ายให้กับวงจรและในระบบไฟฟ้า โดยจะมีการแสดงผลในหน่วยวัตต์  (Watt) ซึ่งเป็นหน่วยวัดแบบมาตรฐานที่ใช้สำหรับการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบซึ่งจะมีแบ่งออกเป็นสองประเภทที่ใช้กันทั่วไปในภาคอุตสาหกรรมหรือระบบอาคาร ดังนี้

  1. Analog Watt Meter (อนาล็อกวัตต์มิเตอร์) เป็นตัวที่แสดงผลการอ่านค่าแสดงแหล่งจ่ายไฟผ่านเข็มและมาตรวัดระดับน้ำ
  2. Digital Watt Meter (ดิจิตอลวัตต์มิเตอร์)เป็นตัวที่จะมีการแสดงการใช้พลังงานบนจอแสดงผลคริสตัลเหลว (LCD)

โดยทั่วไปแล้ว Watt Meter จะถูกจัดเรียงลำดับสำหรับช่วงแรงดันไฟฟ้าที่ถูกตั้งไว้ แต่อาจรวมถึงคุณลักษณะต่างๆเอาไว้ เช่น ตัวก๊อกขดลวดซึ่งมีแรงดันไฟฟ้าหลายตัว

โดยปกติทั่วไปแล้วอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆนั้นจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่ขึ้นอยู่กับชุดของค่าแรงดันไฟฟ้าที่มีกำหนดการใช้งานในปัจจุบันที่จะมีการแสดงเป็นแอมป์ (A) ในส่วนของการใช้พลังงานโดยรวมนั้นที่มีค่าแสดงผลเป็นวัตต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่มีติดตั้งใช้งานพลังงานที่มากกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆแล้วนั้น ตัว Watt Meter (วัตต์ มิเตอร์) ก็จะสามารถช่วยให้ตรวจสอบอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อที่จะได้กำหนดว่า วงจรในระบบ ทำงานอย่างถูกต้องครบวงจรถูกต้องหรือไม่

ซึ่งข้อมูลนี้จะมีความสำคัญในการติดตั้งระบบหรือกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้โหลดตัวต้านทานขนาดใหญ่ ซึ่งวัตต์ในการติดตั้งระบบการทำงานดังกล่าวนั้นจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้ดูแลงานสามารถติดตามผลของการทำงานในระบบไฟฟ้าของแต่ละวงจรได้สมบูรณ์และมีความสมดุลของพลังงานไฟฟ้าโดยรวม

รูปแบบพื้นฐานของวัตต์  (Watt) ถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ

  1. วัตต์แบบดั้งเดิม หรืออนาล็อก เป็นเครื่องมือทางไฟฟ้า ประกอบด้วยสามขดลวดภายใน และแบบสองขดลวดคงที่ในปัจจุบันและยังมีแบบขดลวดที่มีศักยภาพที่สามารถเคลื่อนย้ายซึ่งมีเข็มตัวบ่งชี้ที่จะแนบมา เมื่อมีกระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งผ่านมาทั้งสองขดลวดโดยในปัจจุบันสนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้นจะถูกสร้างขึ้น ฟิลด์นี้ทำให้ขดลวดเคลื่อนที่และแสดงค่าบนสเกลด้านหลังเข็ม

  2. วัตต์มิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิตอล อุปกรณ์เหล่านี้นั้นจะมีความแตกต่างจากเครื่องวัดไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งในวิธีที่พวกเขาคำนวณการใช้พลังงานไฟฟ้านั้น เครื่องวัดดิจิตอลจะมีวิธีการคือ ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์เพื่อประเมินค่าแรงดัน และแอมแปร์จากวงจรไฟฟ้าที่มีความถี่หลายพันตัวอย่างต่อวินาที โดยตัวอย่างเหล่านี้ก็จะมีการใช้เพื่อคำนวณหาค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าเฉลี่ยหรือค่าการใช้พลังงานไฟฟ้า การอ่านค่าก็จะถูกแสดงผลออกมาในรูปแบบดิจิตอลบนจอแอลอีดี

วัตต์มิเตอร์ เป็นเครื่องมือประเภทที่ค่อนข้างอ่อนไหวและแปรผันค่อนข้างมากและอาจจะได้รับความเสียหายจากค่ากระแสไฟฟ้าที่มีมากเกินไป เช่นเดียวกับเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อค่าวัตต์นั้น ก็จะถูกจัดอันดับเอาไว้สำหรับช่วงแรงดันไฟฟ้าที่มีความจำเพาะ แต่ มิเตอร์ระดับไฮเอนด์หลายประเภทก็จะมีอุปกรณ์พวกก๊อกคอยล์หรือสวิตช์กระแสแบบอนุกรม
หรือแบบขนาน ที่จะนำมาช่วยช่วยให้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถใช้งานสำหรับช่วงค่าแรงดันไฟฟ้าหลายๆช่วง

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือ Watt Meter (วัตต์มิเตอร์)

  1. ทำความสะอาดเครื่องมือหลังการใช้งาน โดยขจัดสิ่งสกปรก, เศษผงออกให้หมดก่อนจัดเก็บเครื่องมือ
  2. ห้ามดัดแปลงเครื่องมือในการใช้งานนอกเหนือจากคู่มือการใช้งานเพื่อป้องการเสียหายต่อผู้ใช้งานและระบบการทำงานของไฟฟ้า
  3. จัดเก็บเครื่องมือและป้องกัน เครื่องมือวัด ไม่ให้เกิดสนิม, การกระแทก, การกดทับ, การตกจากที่สูง หรือสิ่งใดๆที่จะทำให้เกิดความเสียหาย
  4. ควรมีการสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความแม่นยำในการอ่านค่าของเครื่องมือวัด สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ความสมบูรณ์ ค่าความถูกต้องและความแม่นยำของเครื่องมือวัด ที่มีความสำคัญที่สุด ถามว่าต้องทำอย่างไรนั้น ทางผู้ใช้งานจะมีวิธีดังนี้คือ เมื่อซื้ออุปกรณ์มาติดตั้งแล้วเสร็จนั้น ทางผู้ใช้งานเองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอบเทียบ (Calibration)  เพื่อทางผู้ใช้งานจะได้สามารถรู้ค่าความแม่นยำความถูกต้อง ว่าค่าที่แสดงที่จอแสดงผลนั้น มีความถูกต้องตรงตามสเปคหรือไม่ หรือหากผิดเพี้ยนไปจากสเปคที่ทางผู้ใช้งานใช้วัดชิ้นงานนั้น ทางผู้ใช้งานก็จะได้มีการแก้ไขก่อนที่จะนำไปใช้วัดกับตัวชิ้นงาน เพื่อลดความเสียหายและความผิดพลาดจากการติดตั้งอุปกรณ์

โดยทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (CLC) มีให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) เครื่องมือด้านไฟฟ้าหลากหลายประเภท รวมถึง เครื่องมือวัตต์มิเตอร์
ซึ่งทางบริษัทแคลิเบรชั่น ให้ บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) มีบริการทั้งรูปแบบ รับส่งเครื่องฟรี และ การบริการ Onsite Service
และได้การรับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน สมอ. และ ANAB

 

ผู้เขียน THM_Melo

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

การเลือกใช้ Accuracy ของเครื่องมือวัดไฟฟ้า

ความถูกต้องของเครื่องมือวัดไฟฟ้า (Accuracy of a measurement instrument)

หากเราพูดถึง เครื่องมือวัดด้านไฟฟ้า ในด้านของความถูกต้องของค่าที่วัดได้ เราจำเป็นต้องคำนึงถึงค่า Accuracy ซึ่ง Accuracy คือ ความสามารถของเครื่องมือวัดที่จะให้ผลการวัดเข้าใกล้ค่าจริง

ตัวอย่าง  Accuracy จาก Specification ของเครื่องมือ

  1. (…) % of Full Scale
  2. (…) % of Range
  3. (…) % of indication
  4. (…) % of  span
  5. (…) % of reading
  6. (…) % of reading + (…) % of range
  7. (…) % of reading + (…) digit
  8. (…) ppm of reading + (…) ppm of range                                                                                                                                                    

เช่น Digital Multimeter   ฟั่งชั่น DCV   Range 1000 V  Resolution 0.1 V มี Accuracy  0.1 % of reading +2digit

Accuracy = ± (0.1/100 ×1000) +0.2 V

                = ±1.2 V

เช่น Digital Multimeter ฟั่งชั่น DCV   Range 1000 V   มี Accuracy  0.0045 % of reading + 0.0010 % of range

Accuracy =  ± (0.0045/100 ×1000) + (0.0010/100 ×1000) 

                =  ±0.055V

เช่น Digital Multimeter   ฟั่งชั่น DCV   Range 1000 V   มี Accuracy  10 ppm of reading +0.2 ppm of full scale

Accuracy = ±(10/1000000  ×1000)  + (0.2/1000000  ×1000) 

                = ±0.0102 V

การเลือกใช้ Accuracy ของเครื่องมือวัด ควรเลือกจาก Specification ที่คู่มือของเครื่องมือตัวนั้นๆ  ไม่ควรเลือกจาก Best Accuracy

ผู้เขียน Switch_24

 

 

CLAMP METER และวิธีการใช้

โดยทั่วไปการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันนี้ หากระบบไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ไม่ได้มาตรฐานหรือมีการติดตั้งไม่ดีแล้วละก็ อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆตามมาได้ง่าย ดังนั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจเช็ค หรือตรวจสอบระบบไฟฟ้าที่เราใช้งาน เพื่อให้เราสามารถใช้งานระบบไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยและอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุเครื่องมือวัดที่เรานำมาใช้วัดและทดสอบค่าทางไฟฟ้าก็จะมีหลากหลาย ยกตัวอย่าง เช่น Clamp Meter หรือ

  • Leakage Clamp Meter
  • Insulation Tester
  • Earth Resistance Tester
  • Loop Tester
  • PSC, RCD Tester
  • Multi-function Tester
  • Portable Infrared Thermometer
  • Recorder

และวันนี้เราจะนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับ แคลมป์มิเตอร์ กันค่ะ

แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

แคลมป์มิเตอร์ เป็น เครื่องมือวัด ที่ใช้สำหรับวัดระดับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านสายไฟและสามารถวัดค่าอื่นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องจักร ส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้งานวัดไฟฟ้าตามอาคาร บ้านเรือน และอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้สามารถตรวจหากระแสไฟฟ้ารั่วไหลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยทั่วไปแคลมป์มิเตอร์จะมีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 แบบ คือ

แบบดิจิตอลที่แสดงผลเป็นตัวเลข (DIGITAL)

แบบอนาล็อกแสดงผลด้วยเข็ม (ANALOG)

ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวกในการวัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่แคบหรือบริเวณที่มีสายไฟเยอะ มีขนาดกะทัดรัด จับได้ถนัดมือ เครื่องมือวัด มีลักษณะเป็นปากคีบจะเป็นรูปหยดน้ำมีช่องไว้สำหรับคล้องเข้ากับสายไฟเพียงเส้นเดียวก็สามารถอ่านค่าได้ทันที จึงกล่าวได้ว่าแคลมป์มิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดอีกชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นมากในงานด้านไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น หรืองานซ่อมบำรุง ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ เป็นต้น จึงจำเป็นเป็นอย่างมากในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ชนิดนี้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการวัดที่ผิดพลาดด้วยค่ะ

ที่มา : https://th.misumi-ec.com/th/pr/recommend_category/clamp_meter201905/#ClampmeterType

นอกจากนี้ในปัจจุบันทางผู้ผลิต ยังพัฒนาให้เครื่องมือแต่ละรุ่นมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เช่น สามารถวัดได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้ากระแสสลับและความต้านทานที่ทนต่ออุณหภูมิสูง สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ และสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ได้ ดังนั้น เพื่อการตรวจวัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ละเอียดแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ใช้งานจึงควรเลือกใช้แคลมป์มิเตอร์ให้ถูกต้องกับลักษณะของงานเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ประเภทของแคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

แคลมป์มิเตอร์จะแบ่งออกตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:

  • แคลมป์มิเตอร์แบบอนาล็อก (Analog AC) เป็นแคลมป์มิเตอร์ที่แสดงค่ากระแสไฟฟ้าด้วยเข็ม ใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงหรือใช้ในการวัดอุณหภูมิ
  • แคลมป์มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital AC) เป็นแคลมป์มิเตอร์ที่แสดงค่าเป็นตัวเลข ค่าที่ได้จะมีความแม่นยำสูงกว่าแคลมป์มิเตอร์แบบอนาล็อก ใช้สำหรับการวัดไฟฟ้ากระแสสลับ
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบดิจิตอล (Digital AC/DC) ใช้วัดค่ากระแสไฟฟ้าแรงสูง สามารถวัดได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบ RMS (Digital AC/DC RMS) ใช้วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง กระแสสลับ ความถี่ ความต้านทานและกำลังไฟฟ้า สามารถเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้
  • แคลมป์มิเตอร์วัดค่ากระแสรั่วไหล (Leakage Current) ใช้ตรวจวัดค่ากำลังไฟฟ้าและคุณภาพไฟฟ้า
  • แคลมป์มิเตอร์วัดกำลังไฟฟ้า (AC Power) ใช้วัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง กระแสสลับ ตัวเก็บประจุและตัวต้านทาน

ประโยชน์ของแคลมป์มิเตอร์

            แคลมป์มิเตอร์โดยทั่วไปแล้ว จะถูกนำมาใช้งานในการวัดกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าต่างๆ โดยการนำแคลมป์มิเตอร์ไปคล้องกับสายไฟที่ต้องการวัด ก็จะทำให้สามารถทราบค่ากระแสไฟฟ้าได้จากจอแสดงผลบนแคลมป์มิเตอร์ ในปัจจุบันแคลมป์มิเตอร์ได้มีการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการวัดได้ทั้ง ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และไฟฟ้ากระแสตรง (DC) นอกจากนั้น แคลมป์มิเตอร์ที่มีการใช้ในปัจจุบันนี้ยังมีความสามารถในการวัดกำลังไฟฟ้า (Power) ต่อเข้ากับเครื่องบันทึกกราฟ (Recorder) หรือเครื่องออสซิลโลสโคป (Oscilloscope) เพื่อใช้ในการตรวจสอบ และวิเคราะห์รูปคลื่นไฟฟ้าได้อีกด้วย

วิธีการใช้แคลมป์มิเตอร์

  • ก่อนทำการใช้งานแคลมป์มิเตอร์ควรศึกษาอุปกรณ์และข้อมูล วิธีการใช้งานให้ละเอียด
  • การสวมถุงมือป้องกันไฟฟ้า รองเท้าเซฟตี้ และหมวกนิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายของตัวบุคคลและอุปกรณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานได้
  • จากนั้นทำการใช้งานแคลมป์มิเตอร์โดยการคล้องสายไฟที่ต้องการจะตรวจสอบเข้ากับแคลมป์มิเตอร์
  • หมุนปุ่มปรับเพื่อเลือกโหมดการวัดให้เรียบร้อยและอ่านค่ากระแสไฟฟ้าที่หน้าจอแสดงผล โดยแคลมป์มิเตอร์สามารถนำไปใช้งานได้ทุกที่ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แคบหรือในที่มืดและยังสามารถใช้สำหรับการวัดแบตเตอรี่รถยนต์หรือวัดมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกด้วย

ข้อแนะนำในการใช้งาน

  • ตรวจสอบว่าอุปกรณ์เป็นแบบดิจิตอลหรือแบบอนาล็อก
  • เนื่องจากอุปกรณ์นี้มีหลายประเภท เช่น ประเภทกระแสสลับอย่างเดียว ประเภทกระแสสลับและกระแสตรง ประเภทวัดกระแสรั่วแบบสลับ จึงควรเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับกระแสไฟฟ้าที่ต้องการวัด
  • เนื่องจากส่วนใหญ่รูปคลื่นของกระแสไฟฟ้ามักมีการเพี้ยน จึงแนะนำให้เลือกเครื่องที่วัดค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของการเรียงกระแสของแคลป์มิเตอร์

            เนื่องจากแคลมป์มิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดที่สามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าตรงและกระแสไฟฟ้าสลับได้ โดยการวัดค่ากระแสไฟฟ้าสลับจะต้องมีการเปลี่ยนจากสัญญาณสลับให้กลายเป็นสัญญาณกระแสไฟฟ้าตรงก่อน ดังนั้นภายในของ เครื่องมือวัด จะประกอบด้วยวงจรเรียงกระแสไฟฟ้าอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ True RMS Method กับ Mean Method โดยประเภท True RMS Method จะมีประสิทธิภาพในการวัดสูงกว่าแบบ Mean Method เนื่องจากสามารถวัดแรงดันได้กับสัญญาณคลื่นทุกประเภท (Wave Form) แต่ Mean Method จะวัดค่าได้เฉพาะอินเวอร์เตอร์เพียวซายน์เวฟ (Pure-Sine Wave) เท่านั้น ซึ่งเหมาะใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเร็วของอุปกรณ์

            ทั้งนี้ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราก็สามารถให้บริการทางด้านการ สอบเทียบเครื่องมือวัด โดยได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 และยังมีจำหน่ายแคลมป์มิเตอร์อีกด้วย หากท่านผู้อ่านสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทางเลยนะคะ

ผู้เขียน KATAI

 

 

ไฟฟ้าสถิตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิตกัน

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

วิธีเลือกอุณหภูมิสีเคลวินที่เหมาะสม

เคลวินของแสงคืออะไร? (Kelvin)

คำจำกัดความของเคลวินคือ “หน่วยฐาน SI ของอุณหภูมิทางอุณหพลศาสตร์ ซึ่งมีขนาดเท่ากับองศาเซลเซียส” นอกจากศัพท์ทางวิทยาศาสตร์แล้วเคลวินยังใช้ในการให้แสงเพื่อวัดอุณหภูมิสีของหลอดไฟบางประเภทอีกด้วย กล่าวโดยสรุป ยิ่งระดับเคลวินสูง
(แสดงเป็น K) เท่าใด แสงก็จะยิ่งขาวขึ้นเท่านั้น การทดสอบสามารถทำได้โดยใช้เครื่อง Color Light Box 

วิธีเลือกอุณหภูมิสีเคลวินที่เหมาะสม

อุณหภูมิสีของหลอดไฟแสดงเป็นหน่วยของอุณหภูมิสัมบูรณ์เคลวิน สังเกตด้วยสัญลักษณ์ K เครื่องใช้ในครัวเรือนมักพบในอุณหภูมิสีเคลวินที่ 2700K (warm incandescent), 3000K (warm white halogen) และ 3500K (warm white halogen)

โดยทั่วไปแล้วอุณหภูมิสีที่สูงกว่า 3500K จะใช้สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์และในโรงพยาบาล เนื่องจากแสงสว่างจ้าและมีแสงสีฟ้าที่ส่องผ่านเข้ามาซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการตกแต่งภายในของบ้านได้ แต่ไฟส่องสว่างสำหรับงานจะมีประโยชน์ที่ 4000K ขึ้นไปเมื่อเลือกระบบไฟส่องสว่างใหม่สำหรับบ้าน อย่าลืมคำนึงถึงอุณหภูมิสีเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังเลือกอุณหภูมิสีที่เหมาะสม

แผนภูมิอุณภูมิสี

อุณหภูมิสีที่เหมาะสมเริ่มต้นด้วยหลอดไฟ ใช้มาตราส่วนสีอุณหภูมิเคลวินด้านล่างเพื่อช่วยกำหนดสีโดยประมาณที่หลอดไฟจะให้

อุณหภูมิสีของหลอดไฟ 

นอกจากประเภทของหลอดไฟแล้ว การใช้อุณหภูมิเคลวินยังสามารถช่วยแนะนำคุณในการพิจารณาว่าหลอดไฟชนิดใดที่เหมาะกับแต่ละห้อง

ไม่ว่าคุณจะต้องการแหล่งกำเนิดแสงแวดล้อมหรือแหล่งแสงสำหรับงานที่มีโฟกัสสูง ให้คำนึงถึงช่วงเคลวินต่อไปนี้ : ห้องนอนและพื้นที่กลางแจ้ง

  • น้อยกว่า 2,000K : ให้แสงสลัว คล้ายกับจากแสงเทียนเหมาะสำหรับบริเวณที่มีแสงน้อย
  • 2000K – 3000K : ให้แสงสีขาวนวล มักมีสีเหลืองเหมาะสำหรับห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร
  • 3100K – 4500K : ให้แสงสีขาวในปริมาณที่สว่างเหมาะสำหรับห้องครัวสำนักงาน พื้นที่ทำงานและโต๊ะเครื่องแป้ง ที่ต้องการแสงสว่างที่เหมาะสม
  • 4600K – 6500K : ให้แสงสีน้ำเงิน-ขาวในปริมาณที่สว่างคล้ายกับแสงกลางเหมาะสำหรับพื้นที่แสดงผลและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ต้องการแสงมาก
  • 6500K ขึ้นไป : ให้แสงสีน้ำเงินสว่าง ซึ่งมักพบใน การใช้งานเชิงพาณิชย์ เหมาะสำหรับงานที่ใช้แสงที่สว่างมาก

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด Color Light Box  ทางบริษัท Calibration Laboratory ได้ให้บริการสอบเทียบที่ Range 50 to 99990 Lux และ 2000 to 20000 K  โดยใช้  Chroma Meter Konica Minalta/CL-200A ในการ สอบเทียบเครื่องมือ
ซึ่งได้การรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จาก ANAB ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

ผู้เขียน BABOO

 

ถอดรหัสฟังก์ชั่นและคุณลักษณะ True-RMS Digital Multimeter

สอบเทียบเครื่องมือวัดด้านไฟฟ้า

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

ถอดรหัสฟังก์ชั่นและคุณลักษณะ True-RMS Digital Multimeter

วันนี้เรามี เครื่องมือวัด ทางด้านไฟฟ้ามาแนะนำกันค่ะ เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่นิยมกันมาก นั่นก็คือ Digital Multimeter  รุ่น Fluke 179

Fluke 179 เป็น เครื่องมือวัด ทางไฟฟ้าของยี่ห้อ FLUKE นำเข้ามาจากประเทศอเมริกา เป็นที่นิยมใช้กันมากในการวัดไฟฟ้าขั้นพื้นฐาน เหมาะกับการใช้ในงานอุตสาหกรรมทุกประเภท เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมทางด้านผลิตชิ้นส่วนและอีกหลายอุตสาหกรรม หรือจะนำไปใช้วัดในงานทั่วๆไปก็สามารถใช้งานได้ เช่น งานช่างไฟฟ้า งานช่างปรับอากาศ งานรับเหมา และงานอื่นๆ อีกมากมาย มีจุดเด่นในการใช้งานง่าย พกพาสะดวก มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ มีหลากหลายฟังก์ชั่น นอกจากคุณสมบัติพื้นฐาน เช่นวัด แรงดันไฟฟ้า (Voltage AC / DC), กระแสไฟฟ้า (Current AC / DC) และความต้านทาน (Ω) แล้ว Fluke 179 ยังมีฟังก์ชั่นพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการทำงานอีกด้วย ตามไปดูกันเลยค่ะว่ามีฟังก์ชั่นการทำงานอะไรบ้าง

ฟังก์ชั่นและคุณลักษณะสำคัญ Fluke 179 True-RMS Digital Multimeter

  • ฟังก์ชั่นการวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า True RMS
  • ฟังก์ชั่นการวัดความถี่และการเก็บประจุ
  • ฟังก์ชั่นการวัดความต้านทาน ความต่อเนื่องและไดโอด
  • ฟังก์ชั่นการบันทึกค่าต่ำสุด/สูงสุด (Min/Max) และค่าเฉลี่ย

ทำให้สามารถรู้ค่าของจุดที่ต้องการวัดได้หรือทำให้รู้สาเหตุเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเกิดแรงดันกระชาก หรือขณะเปิดสวิตซ์สามารถวิเคราะห์ค่าที่บันทึกไว้ได้ว่าเครื่องมือกินกระแสไฟมากน้อยเพียงใด

  • ฟังก์ชั่น AC ที่สามารถวัด AC แบบ TRUE RMS ได้ โดยมิเตอร์ทั่วไปที่ไม่ใช่ Fluke 179 กรณีที่แรงดันหรือกระแสไฟที่วัดไม่เป็นรูปซายน์ 100% จะวัดค่า TRUE RMS ผิดเพื้ยน ในตัวที่เป็นฟังก์ชั่น AC TRUE RMS นี้จะได้ค่าที่แม่นยำ แม้เรงดันในวงจรสวิตชิ่ง
  • ฟังก์ชั่นจอแสดงผล ในรุ่น Fluke 179 นี้จะมีจอแสดงผล 6000 จำนวนนับ ซึ่งจะสูงกว่าในรุ่นเดิมที่มีจอแสดงผลเพียง 4000 จำนวนนับเท่านั้น
  • ฟังก์ชั่น Backlight ในรุ่น Fluke 179 นี้จะมีฟังก์ชั่นมีไฟดูในที่มืด ซึ่งจะมีแสงสำหรับส่องจอแสดงผลเพื่อสะดวกในการทำงานในที่มืด หรือแม้แต่ในที่ที่มีแสงสว่างน้อยก็สามารถทำงานได้
  • มีความแม่นยำมาก : ที่ DC Basic Accuracy เท่ากับ 0.09%
    (ยกเว้นเฉพาะรุ่น 175 จะเท่ากับ 0.15%)
  • ฟังก์ชั่น CAT IV 600V/CAT III 1000V : มีระดับความปลอดภัยสูงสุดในมิเตอร์สำหรับงานไฟฟ้า
  • ฟังก์ชั่นโหมดปรับเรียบทำให้สามารถกรองอินพุตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
  • การสอบเทียบแบบปิดตัวเครื่องผ่านแผงด้านหน้า
  • เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่ายดายโดยไม่ต้องเปิดกระเป๋า
  • วัดได้เร็วกว่ามัลติมิเตอร์ชนิดอื่นถึงสองเท่า

Specifications หรือข้อมูลเฉพาะของ Fluke 179 Fluke 179 True-RMS Digital Multimeter

แรงดันไฟฟ้า DC

(Voltage DC)

 
ความแม่นยำ*  (Accuracy*)  ± (0.09%+2)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.1 mV
สูงสุด (Maximum) 1000V
แรงดันไฟฟ้า AC

(Voltage AC)

 
ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (1.0%+3)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.1 mV
สูงสุด (Maximum) 1000V
กระแสไฟฟ้า DC

(Current DC)

 
ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (1.0%+3)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.01 mA
สูงสุด (Maximum)  10 A
กระแสไฟฟ้า AC

(Current AC)

 
ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (1.5%+3)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.01 mA
สูงสุด (Maximum)  10 A
ความต้านทาน

(Resistance)

 
ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (0.9%+1)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.1 Ω
สูงสุด (Maximum)  50 MΩ
การเก็บประจุ

(Capacitance)

 
ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (1.2%+2)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  1 nF
สูงสุด (Maximum)  10,000 µF
ความถี่

(Frequency)

 

 

ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (0.1%+1)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.01 Hz
สูงสุด (Maximum)  100 kHz
อุณหภูมิ

(Temperature)

 
179 – ความแม่นยำ* (Accuracy*)  ± (1.0%+10)
โหลดแบบเก็บประจุไฟฟ้า ความละเอียด (Resolution)  0.1°C
ช่วง (Range)  -40°C/400°C
หมายเหตุ *ค่าความแม่นยำเป็นค่าความแม่นยำสูงสุดสำหรับแต่ละฟังก์ชัน

ข้อควรสังเกต

โหมดพักของแบตเตอรี่ : เป็นการประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือไม่มีการกดปุ่มใดๆ เป็นเวลานานประมาณ 20 นาที ตัวเครื่องจะเข้าสู่ “โหมดพัก” และจอแสดงผลจะว่างเปล่า และถ้าหากต้องการใช้งานต่อให้กดปุ่มสีเหลืองค้างไว้ ขณะที่เปิดใช้เครื่องมือ โหมดประหยัดพลังงานจะไม่ทำงานเมื่อ เครื่องมือวัด อยู่ในโหมด MIN, MAX, AVG และ AutoHOLD

สุดท้ายนี้หวังว่า ผู้อ่านจะได้ประโยชน์ในการเลือกซื้อ เลือกใช้ เครื่องมือวัด ด้านไฟฟ้า Digital Multimeter  รุ่น Fluke 179 บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ หรือหากเพื่อนๆท่านไหนสนใจต้องการสั่งซื้อ Digital Multimeter  รุ่น Fluke 179 นี้
ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราก็มีจำหน่ายด้วยนะคะ พร้อมกับใบรับรอง Certificate ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 ด้วยค่ะ และสามารถส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด ได้เช่นกัน สนใจติดต่อเข้ามาที่ฝ่ายขายของเรากันได้เลยนะคะ แล้วอย่าลืมติดตามกันในครั้งต่อไปด้วยนะคะว่าเราจะแนะนำเป็นเครื่องมือวัดเครื่องมือไหนอีก วันนี้ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน Suphanun BDS

 

 

ไฟฟ้าสถิตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิตกัน


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

ไฟฟ้าสถิตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิตกัน

เครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Field Meters) 

เครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Field Meters) เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้ในการตรวจจับไฟฟ้าสถิต ซึ่งถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์เกิดความเสียหาย ไม่สามารถใช้ได้ เช่น อุปกรณ์จำพวก IC ที่ทำจากสารกึ่งตัวนำมักมีความไวต่อไฟฟ้าสถิตรวมถึงเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ต่าง ๆ ที่มีแผงวงจรอิเล็กทรอนิคส์อยู่ภายใน เมื่อการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า เครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิต Electrostatic Field เป็นเครื่องมือวัดชิ้นหนึ่ง ที่ใช้วัดไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นบริเวณใดบริเวณหนึ่งได้ สามารถแสดงค่าความต่างศักย์ออกมาเป็นแรงดัน (Volt) ใช้งานได้ง่าย

เครื่องวัดไฟฟ้าสถิต เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่ง ที่ใช้วัดไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นได้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ได้ถูกออกแบบให้สามารถวัดไฟฟ้าสถิตของพื้นผิววัสดุ โดยที่ไม่ต้องสัมผัสกับชิ้นงาน เครื่องสามารถตรวจวัดค่าไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นบนวัสดุต่างๆ เช่น พลาสติกเส้นใยเคมี ขนสัตว์ และร่างกายมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานได้ง่ายและพกพาสะดวก เป็นเครื่องมือวัดที่จำเป็นต้องมีในกระบวนการการควบคุมและป้องกันปัญหาไฟฟ้าสถิตและ ESD ที่เกิดขึ้น โดยการใช้เครื่องมือวัดชี้ไปที่บริเวณที่ต้องการวัดห่างประมาณ 1 เมตร เพื่อให้ทราบว่าตรงนั้นมีไฟฟ้าสถิตอยู่เท่าใด ซึ่งเป็นบริเวณที่มีประจุไฟฟ้าคงค้างอยู่ มีผลเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์หรือไม่ เพื่อจะได้หาวิธีทางแก้ไขต่อไปและอีกวิธีหนึ่งคือการวัดความต้านทานของพื้นผิว เพื่อให้ทราบว่าพื้นผิวนั้นสามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตหรือไม่ มีการวัดความเป็นฉนวนที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ หรือใช้วัดพื้นที่การทำงาน รวมถึงถุงเท้า รองเท้า ที่ใช้ในการป้องการเกิดไฟฟ้าสถิตขณะทำงานด้วย

 

ไฟฟ้าสถิต (Static electricity หรือ Electrostatic Charges)

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าไฟฟ้าสถิตคืออะไร มีผลอย่างไรกับอุปกรณ์ชนิดไหนบ้าง

ไฟฟ้าสถิต คือ การสะสมไฟฟ้าไว้ในตัวของวัตถุหรือปรากฎการณ์ที่เกิดจากประจุไฟฟ้าโดยที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันปกติจะแสดงในรูปแบบของการดึงดูด การผลักกัน และการเกิดประกายไฟ

การเกิดไฟฟ้าสถิต

การที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงดึงดูดเมื่อวัตถุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุต่างชนิดกันหรือเกิดแรงผลักกัน  เมื่อวัสดุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุชนิดเดียวกันเราสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตโดยการนำผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน  พลังงานที่เกิดจากการขัดสีกันทำให้ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน  โดยจะเกิดกับวัสดุประเภทที่ไม่นำไฟฟ้าหรือที่เรียกว่าฉนวน มีการเข้าใจกันว่าไฟฟ้าสถิตมักจะเกิดในฤดูหนาว แต่ที่จริงแล้วไฟฟ้าสถิตเกิดได้ตลอดทั้งปีในอาคารที่ใช้แอร์หรือพื้นที่ที่มีอากาศแห้ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในช่วงของฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูหนาว จะมีอากาศแห้งทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่ายจึงทำให้เราเห็นได้บ่อย และส่งผลให้เกิดปัญหามากมายในโรงงานผลิต เช่น เป็นสาเหตุให้เกิดการระเบิดเนื่องจากการปลดปล่อยประจุ มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ หรือว่าเป็นสาเหตุทำให้ฝุ่นหรือขยะมาจับเกาะภายในแผงวงจรต่างๆ

            ไฟฟ้าสถิตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในกระบวนการผลิตอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิคส์นั้น มีทั้งปัญหาที่เกิดจากไฟฟ้าสถิต และกระบวนการที่นำไฟฟ้าสถิตมาใช้ สำหรับโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ไฟฟ้าสถิตถือเป็นสิ่งที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆเสียหายและส่งผลให้อัตราการผลิตแย่ลง ในโรงงานผลิตจอภาพผลึกเหลวหรือที่เราเรียกกันว่าจอ LCD ในตอนที่ลอกฟิล์มออกจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต มีฝุ่นมาเกาะ และทำให้กลายเป็นของเสีย ไฟฟ้าสถิตยังเป็นสาเหตุที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ทำงานผิดพลาดหรือชำรุดเสียหายได้ อีกทั้งการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าของไฟฟ้าสถิตก็ยังเป็นสาเหตุให้เกิดระเบิดได้อีกด้วย
            กระบวนการที่นำไฟฟ้าสถิตมาใช้ประโยชน์ก็ ได้แก่ เทคนิคการพ่นสีแบบไฟฟ้าสถิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร หรือรถยนต์ การทำให้ก๊าซไฮโดรเจนและน้ำมันเบนซินติดไฟได้โดยไม่ต้องจุดไฟ เครื่องดักจับฝุ่นแบบไฟฟ้า เป็นต้น ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าไฟฟ้าสถิตก็มีทั้งข้อดีละข้อเสีย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ประโยชน์อย่างไร

การป้องกันไฟฟ้าสถิต

ในความเป็นจริงแล้วคนเราไม่สามารถมองเห็นประจุไฟฟ้าบวกและลบได้ด้วยตาเปล่า สิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้นในตัวเรา คือ การไม่สัมผัสกับวัตถุที่เกิดประจุไฟฟ้า ไม่สะสมไฟฟ้าสถิตเอาไว้ ปัจจุบันในโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ มีการใส่สายรัดข้อมือ (wrist strap) สวมใส่เสื้อและรองเท้าต้านไฟฟ้าสถิต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดประจุไฟฟ้าในร่างกาย ซึ่งความดันไฟฟ้าที่เกิดจากประจุไฟฟ้าตอนเดินเมื่อใส่เสื้อและรองเท้าต้านไฟฟ้าสถิตจะต่ำกว่าตอนเดินใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น ถ้ามีการใช้พื้นป้องกันการเกิดประจุไฟฟ้า เพิ่มเติมจากการใช้เสื้อและรองเท้า

ต้านไฟฟ้าสถิตแล้วก็จะทำให้มีประสิทธิผลดียิ่งขึ้น จะเกิดไฟฟ้าสถิตที่แผ่นฉนวนไฟฟ้าอคริลิคตอนที่ลอกแผ่นออก หรือตอนยกกล่องโลหะที่วางไว้บนแผ่นอคริลิคขึ้นมา ไฟฟ้าสถิตที่เกิดบนแผ่นอะคริลิคจะลดลงและกำจัดออกไปตามเวลา ถ้าความชื้นสัมพัทธ์สูง การต้านการรั่วไหลของประจุไฟฟ้าจะเล็กลง ทำให้เวลาในการกำจัดไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากประจุไฟฟ้าของแผ่นอคริลิคสั้นลง ถ้าใช้สารลดแรงตึงผิวก็จะได้ผลเช่นกัน

การดูแลรักษาเครื่องมือ

1.จัดเก็บเครื่องมือไม่ให้อยู่ในที่ร้อนหรือชื้นเกินไป

2.หมั่นทำความสะอาดเครื่องมืออยู่เสมอไม่เก็บเครื่องมือไว้ในที่ที่มีฝุ่น

3.ตรวจเช็คสภาพเครื่องมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังจากใช้งานเสร็จ

4.ส่งสอบเทียบอย่างน้อย 1ปี/ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมืออ่านค่าได้แม่นยำ

การควบคุมไฟฟ้าสถิต มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้

1.ลดหรือขจัดเหตุในการเกิดไฟฟ้าสถิต มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น 

  • พื้น / วัสดุปูพื้น
  •  ความชื้นของอากาศในห้อง
  • เก้าอี้
  •  รองเท้า 
  • ชุดที่สวมใส่
  • วิธีทำความสะอาด 

2.สลายไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้น 

วิธีการนี้คือการต่อสายดิน (Grounding) เป็นการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นให้มีศักดิ์เป็นศูนย์ (0) เท่ากับพื้นดิน เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตได้โดยการให้พนักงานในสายการผลิตใช้ สายรัดข้อมือ (Wrist Strap) การใช้กระเบื้องยางปูพื้นชนิด Static Dissipative PVC หรือ Static Conductive PVC เป็นการป้องกันอีกวิธีหนึ่งที่ทำกันมาก

            ทั้งนี้ทาง บริษัทแคลิเบรชั่นแลบอราทอรี จำกัด  ของเรายังสามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิต และได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 (ANAB) อีกด้วยนะคะ หากลูกค้าท่านใดสนใจส่งเครื่องมือตรวจเช็คค่าสาใรถติดต่อได้ทุกช่องทางเลยนะคะ 

ผู้เขียน Katai

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

 2 เรื่องมักทำพลาด ในการใช้งาน Multimeter


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา