คลังเก็บป้ายกำกับ: Elec’s Article

Power Meter คืออะไร สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้งาน Power Meter

Power Meter (พาวเวอร์มิเตอร์) หรือที่เรียกว่า “เครื่องวัดกำลังไฟฟ้า” คือ เครื่องมือที่ใช้วัดและแสดงค่าพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า สามารถใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้า(V) กระแสไฟฟ้า (I) กําลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (Reactive Power) กำลังไฟฟ้าจริง และ Harmonic และสามารถแสดงค่าเป็นพารามิเตอร์และปริมาณพลังงานไฟฟ้า เครื่องมือนี้มีความสำคัญมากในโรงงานอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่จะนำตัว Power Meter ไปใช้วัดค่าไฟฟ้าในขบวนการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดและยังสามารถช่วยจัดการด้านพลังงานไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อได้ข้อมูลสำหรับใช้ควบคุมหรือนำไปปรังปรุงการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด ช่วยประหยัดไฟ ลดต้นทุน และดูแลระบบให้ปลอดภัย ที่สำคัญคือเครื่องมือนี้จำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอเพื่อความเที่ยงตรงของการวัด  เพราะช่วยให้รู้ว่ามีการใช้พลังงานเท่าไร อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดีขึ้นอย่างเห็นผลได้จริง  

Power Meter เปรียบเสมือน การรวมเครื่องมือวัด Multimeter กับ Clamp Meter เข้าด้วยกันจึงสามารถวัดได้ทั้ง แรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (I), ความต้านทาน (Ω) และฟังชั่นอื่นๆ ของเครื่องมือทั้ง 2 ประเภทนี้อีกด้วย

Power meter จะใช้วิเคราะห์กำลังไฟฟ้าหลักๆ 3 ประเภทดังนี้

  1. Active Power (P) คือกำลังไฟฟ้าที่ใช้จริง ซึ่งเกิดการโหลดจากการต้านทาน จะมีหน่วยวัดเป็นวัตต์(W) หรือกิโลวัตต์(kW) ซึ่งจะมีวิธีคำนวณได้จากสมการ P= V x 1 x Cos(zeta)
  2. Reactive Power (Q) คือ กำลังไฟฟ้าที่ศูนย์เสียไปหลังจากการเกิดการโหลดตัวเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุซึ่งมีหน่วยเป็นวาร์(VAR) หรือ กิโลวาร์(kVAR) ซึ่งจะคำนวณได้จากสมการ  Q=V x Ax Sin (zeta)
  3. Apparent Power (A) คือกำลังไฟฟ้าที่ปรากฏ(Input) หรือผลรวมทางเวกเตอร์ของไฟฟ้าจริง และกำลังไฟฟ้าที่ศูนย์เสีย จะมีหน่วยเป็นโวลต์ แอมแปร์ (VA) หรือกิโลโวลต์ แอมแปร์ (kVA) ซึ่งจะคำนวณได้ตามสมการ Q= Vx A x Sin(zeta)

สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้งานพาวเวอร์มิเตอร์

  1. เราควรทราบข้อมูลด้านเทคนิค และศึกษารายละเอียด เพื่อที่จะได้เห็นข้อจำกัดของใช้งาน เช่น Input , Output ช่วงที่ต้องการวัดค่าพารามิเตอร์ต่างๆ รวมถึงอุณหภูมิ และความชื้น เป็นต้น
  2. วิธีการติดตั้งอุปกรณ์ ควรศึกษาคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดก่อนติดตั้ง ว่ามีอุปกรณ์เสริม หรือมีการต่อสายอย่างไร เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหาหลังจากการติดตั้ง
  3. ความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆบนหน้าจอ และวิธีการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ เพื่อการใช้งานได้ตรงตามความต้องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  4. เพื่อความถูกต้องและแม่นยำในการใช้วัดค่าต่างๆ ควรตรวจสอบเครื่องมือวัดก่อนการใช้งาน และควรนำเครื่องมือวัด เข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ การสอบเทียบเครื่องมือวัดซ้ำอีกครั้ง กับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน อย่างน้อยไม่ควรเกิน 1,000 ชม

การสอบเทียบและการรับรองความสามารถของห้องปฏิบัติการ

เพื่อให้ค่าที่วัดได้จากเครื่องวัดกำลังไฟฟ้าน่าเชื่อถือและตรวจสอบย้อนกลับได้ ควรส่งสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 โดยตรวจดูว่าใน Scope of Accreditation ของห้องปฏิบัติการครอบคลุมพารามิเตอร์และช่วงวัดที่เราต้องใช้จริง (แรงดัน/กระแส/กำลัง/เพาเวอร์แฟกเตอร์/ฮาร์มอนิก) และแสดง CMC (Calibration & Measurement Capability) ชัดเจน การสอบเทียบสามารถทำแบบจำลองกำลังโดยใช้ Multifunction Calibrator ที่จ่ายแรงดันและกระแพร่พร้อมควบคุมมุมเฟส เพื่อทวนสอบค่าที่พาวเวอร์มิเตอร์ในแนวทางนี้เป็นแนวปฏิบัติที่ผู้ผลิตอุปกรณ์สอบเทียบแนะนำอย่างเป็นทางการ

หากทางลูกค้าต้องการสอบเทียบเครื่องมืดวัด Power Meter (พาวเวอร์มิเตอร์) แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) มีบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ชนิดนี้ โดยใช้วิธีการสอบเทียบ Direct Measurement with Multifunction Calibrator และยังได้การรับรอง ISO/IEC 17025 จากสถาบัน สมอ. (TISI) อยู่ใน Scopeหน้าที่ 70,71และจากสถาบัน ANAB อยู่ใน Scope หน้าที่ 10,11 (ดูใบรับรอง)

การดูแลรักษาและการใช้งานอย่างถูกวิธี

การใช้เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าอย่างถูกต้องจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้มาก การติดตั้งควรติดในจุดที่ไม่มีความชื้นหรือความร้อนสูงเกินไป หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการสั่นสะเทือนมาก ก่อนต่อสายควรตรวจสอบว่าปิดเบรกเกอร์แล้วทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

หลังจากใช้งาน เครื่องมือวัด เสร็จควรถอดสายและทำความสะอาดเครื่องด้วยผ้าแห้ง ไม่ควรใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และควรส่งเครื่องเข้ารับการสอบเทียบตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ปีละ 1 ครั้ง หรือเร็วกว่านั้นหากใช้งานบ่อยหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพไฟฟ้าไม่คงที่

สรุป

Power Meter เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดและวิเคราะห์พลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ช่วยให้เข้าใจรูปแบบการใช้ไฟฟ้า ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักร และควบคุมการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากใช้อย่างถูกวิธี ดูแลรักษาสม่ำเสมอ และส่งสอบเทียบตามระยะ จะทำให้เครื่องมีความแม่นยำต่อเนื่องและช่วยให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัดที่สุด

Ref.

Fluke

IEEE Std.

 

ผู้เขียน THM Melo

 

 

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

Centrifuge เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน หลักการทำงานเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอนชนิดตั้งโต๊ะ

เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน (Centrifuge) คืออะไร

เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน Centrifuge เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่เกิดจาก การหมุนรอบจุดหมุน (center of rotation) ในความเร็วรอบที่สูงมาก เป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับเร่งอัตราการตกตะกอนของสารหรืออนุภาค (particle) ที่ไม่ละลายออกจากของเหลว หรือใช้แยกของเหลวหลาย ๆ ชนิดที่มีความถ่วงจําเพาะ (specific gravity) ต่างกันออกจากกันหรือแยกเป็นชั้น ทำให้สารละลายเข้มข้นขึ้น ฯลฯ โดยอาศัยหลักความแตกต่างของความหนาแน่น ขนาดของสารหรืออนุภาคนั้นๆ เครื่องหมุนเหวี่ยงมักใช้ในกระบวนการเตรียมตัวอย่างและใช้ปั่นแยกสารสำหรับวิเคราะห์ เป็นเครื่องมือที่ต้องการการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอ

หลักการทำงานของเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน

เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเร่งการตกตะกอนของอนุภาคที่ไม่ละลายออกจากของเหลว หรือใช้แยกของเหลวหลายๆ ชนิดที่มีความถ่วงจำเพาะต่างกันออกจากกัน โดยอาศัยแรงหนีศูนย์กลาง (centrifuge force) ที่เกิดจากการหมุนรอบจุดหมุน (center of rotation) เครื่องหมุนเหวี่ยงจะมีแกนหมุนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเข้ามาที่มอเตอร์จะเหนี่ยวนำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้แกนมอเตอร์หมุน ความเร็วรอบในการหมุน (rpm = round per miniutes) ควบคุมด้วยวงจรไฟฟ้า ส่วนเวลาที่ใช้ในการหมุนควบคุมด้วยสวิทซ์ปิด/เปิด หรือนาฬิกา สำหรับการใช้เครื่องหมุนเหวี่ยงนั้นก่อนใช้ควรทำการศึกษาจากคู่มือ และผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อลดความผิดพลาดเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

และเช่นเดียวกันกับเครื่องมือวัดอื่นๆ เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอนควรได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) กับห้องปฏิบัตการที่ได้มาตรฐานอย่าง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) เพื่อตรวจวัดมาตรฐานของรอบหมุนว่าเป็นไปตามที่ระบบเครื่องแสดงผลหรือไม่ สอบเทียบความถูกต้องของส่วนควบคุมเวลา (Timer) และสอบเทียบความถูกต้องของเซ็นเซอร์ตรวจสอบอุณหภูมิ เพื่อให้เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมที่มักพบการใช้งานเครื่อหมุนเหวี่ยงตกตะกอนบ่อยๆ

1. อุตสาหกรรมการแพทย์

a. กระบวนการวิเคราะห์ทางเคมี แยกชั้นเลือด

b. กระบวนการวิเคราะห์ทางเคมี แยกชั้นไขมัน/เลือด

c. ตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น

2. อุตสาหกรรมยา

a. กระบวนการกลั่นยา

3. อุตสาหกรรมอาหาร

a. แยกน้ำตาลแล็กโทส (lactose) ออกจากโปรตีนเวย์ (whey protein)

b. การแยกผลึกน้ำตาลซูโครส (sucrose) ในกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย

c. แยกน้ำมันและไขมัน (separation, degumming, clarification ของ fat and oil)

4. อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

a. การปรับมาตรฐานน้ำนม (standardization of milk)

b. การทำให้น้ำผลไม้ใส (clarification of fruit juice)

c. การทำให้ไวน์ใส (clarification of wine)

d. การแยกยีสต์ออกจากเบียร์ (removing yeast from beer)

e. การแยกกากออกในกระบวนการสกัดกาแฟและชา

5. หน่วยงานสิ่งแวดล้อมภายในอุตสาหกรรม

a. แยกน้ำมันในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย (waste water treatment)

การดูแลบำรุงรักษาเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน (Centrifuge)

1. การทำความสะอาดเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน รวมถึงเครื่องมือวัดทุกชนิด ต้องทำการดึงสายไฟเครื่องที่เสียบกับปลั๊กออกก่อนที่จะมีการทำความสะอาด และควรสวมถุงมือและชุดป้องกันร่างกายเสมอ

2. ห้ามทำการขัดหรือใช้สารละลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในการทำความสะอาด ไม่ควรพ่นหรือใช้ของเหลวในการทำความสะอาดภายในเครื่องเพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ภายในได้

3. ใช้ผ้าชุบสารละลายฆ่าเชื้อที่ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อน บีบผ้าให้แห้งหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดฝาเครื่องและส่วนต่างๆ ของเครื่องจากนั้น ใช้กระดาษหรือผ้าแห้งเช็ดเครื่องให้แห้งอีกที

4. ควรถอด Adapter (ปลอกรองทำจากโลหะ) ออกมาทำความสะอาดด้วยอย่างน้อยเดือนละครั้งหรือทำตาม ระเบียบข้อปฏิบัติของทางห้องปฏิบัติการ โดยทำการจับที่ด้านบนของ Adapter แล้วดึงขึ้นมาตามความเอียงของมุมของหัวปั่น หลังจากทำความสะอาดแล้วต้องตรวจดูให้แน่ใจว่า Adapter นั้นแห้งสนิทก่อนนำ ใส่กลับ เข้าไปในหัวปั่น เพราะน้ำหรือของเหลวจะเข้าไปทำ ให้ตัวเครื่องเสียหายได้

การตรวจสอบเพื่อดูแลรักษา (Centrifuge)

1. หมั่นทำการตรวจเช็คดูสภาพฝาเครื่อง ส่วนประกอบต่างๆ หัวปั่นและ Adapter ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ

2. หมั่นตรวจเช็คความแม่นยำของเครื่องมือด้วยการสอบเทียบตามลักษณะความถี่ในการใช้งาน 3 เดือน/ครั้ง, 6 เดือน/ครั้ง หรือ 1 ปี/ครั้ง ในส่วนของความเร็วรอบการหมุน (rpm = round per miniutes) ซึ่งมีผลโดยตรงกับอัตราการตกตะกอนของอนุภาค อาจส่งผลต่อการวิเคราะห์ผลปฏิบัติการ หรือส่งผลกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์

โดยทาง Calibration Laboratory CO.,LTD (แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC) ได้เห็นความสำคัญในจุดนี้ จึงเปิดให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ทั้งนอกสถานที่และในห้องปฎิบัติการสอบเทียบเครื่องมือวัด Centrifuge ในด้านอัตราความเร็วรอบการหมุน (rpm = round per miniutes) ตั้งแต่ range 100 rpm ไปจนถึง 15,000 rpm เพื่อรองรับการใช้งานทุกอุตสาหกรรม ภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ณ จุดสอบเทียบ 15 องศาเซลเซียส ถึง 35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพันธ์ 40% RH ถึง 70% RH อีกทั้งได้รับการรับรอง ACCREDITATION ISO/IEC 17025:2017 range 1000 rmp ถึง 13000 rpm อีกด้วย

 

 

 

ผู้เขียน Paemy Little

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

เปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นตัวเลขด้วยเครื่องมือวัด แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Clamp Meter แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) เป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าชนิดหนึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดค่ากระแสไฟฟ้า ( I ) (Current Measurement) ที่ไหลในวงจรโดยที่ไม่ต้องดับไฟและไม่ต้องตัดต่อสายไฟ เพื่อวัดค่ากระแส โดย Clamp Meter นี้จะมีส่วนที่คล้ายขากรรไกร เพื่อคล้องกับสายไฟและสามารถอ่านค่าได้ทันที ข้อดีของการใช้งาน Clamp Meter คือสามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตาม Clamp Meter ที่ผ่านการใช้งานมานาน อาจพบปัญหาการบอกค่าที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้งาน ดังนั้นผู้ใช้งานควรนำ Clamp Meter เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือที่เรียกว่า Calibrate (แคลิเบรท) ที่ได้มาตรฐาน ทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี (ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ) เพื่อให้ Clamp Meter อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และสามารถบอกค่าต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

หลักการทำงานของ แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

            Clamp Meter เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้หลักการของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อมีกระแสไหลผ่านตัวนำไฟฟ้า จะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้น โดยที่ภายในขากรรไกรของตัว Clamp Meter จะมีแกนเหล็กวงกลมและขดลวดเพื่อรับสนามแม่เหล็กและเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสและส่งไปที่วงจรเพื่อประมวลผลและแสดงค่าที่หน้าจอต่อไป

แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) มีความสามารถวัดได้ทั้ง ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และกระแสสลับ (AC) โดยในบางครั้งสัญญาณที่วัดอาจมีความถี่ปะปนอยู่ ในการวัดกระแสสลับต้องมีการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นกระแสตรงโดยใช้ สมการ RMS (Root mean square) ซึ่งใน Clamp meter จะมีวงจรเรียงกระแสอยู่ซึ่งจะใช้ได้ 2 วิธี คือ True RMS Method และ Mean Method ซึ่ง Clamp Meter ที่เป็นลักษณะ TRUE RMS จะให้ค่าที่แม่นยำกว่า Mean Method เพราะ TRUE RMS สามารถอ่านค่าได้ทุกย่านแรงดัน แล้วนำค่าเข้าสมการRMS เพื่ออ่านค่าแตกต่างจาก Clamp Meter ที่เป็นประเภท Mean จะวัดได้เพียงแรงดันแบบ Pure Sine เท่านั้น

 

ประเภทการใช้งานของ แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

Clamp Meter ถูกออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะและเงื่อนไขการทำงานที่แตกต่างกัน หากใช้งานเกินขีดจำกัด หรือ แตกต่างจากคุณสมบัติเฉพาะของ Clamp Meter อาจทำให้เกิดอันตรายได้ ซึ่ง แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) สามารถแบ่งลักษณะของการวัดได้ 4 กลุ่มหลัก เรียกว่า CAT (Measurement Category) ดังนี้

  • CAT I: การวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจรที่ผ่านการป้องกันแล้ว เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าพลังงานต่ำ เป็นต้น
  • CAT II: การวัดไฟกับอุปกรณ์ที่ต่อผ่านจุดแยกไฟในอาคาร เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน,เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบใช้สายถอดได้ เป็นต้น
  • CAT III: การวัดไฟฟ้าในอุปกรณ์ที่ติดตั้งโดยการต่อสายไฟโดยตรงกับระบบ เช่น เบรกเกอร์,แผงควบคุมไฟฟ้า เป็นต้น
  • CAT IV: การวัดไฟฟ้าที่จุดแยกไฟเข้าระบบหรืออาคาร เป็นจุดที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันหลัก เช่น ด้านหลังของหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น

และด้วยเงื่อนไขการทำงานและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันทำให้ผู้ใช้งานควรนำ Clamp Meter เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) กับห้องปฏิบัติการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐาน ทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี ตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

 

ประเภทของ แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) มีอะไรบ้าง

ประเภทของ Clamp meter มีให้เลือกหลากหลาย โดยหลักแล้วให้ยึดกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยจะมี 6 ประเภทด้วยกัน

  • แคลมป์มิเตอร์แบบเข็ม (Analog AC Clamp Meter)
  • แคลมป์มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital AC Clamp Meter)
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบดิจิตอล (Digital AC/DC Clamp Meter)
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบ RMS (Digital AC/DC Clamp Meter RMS)
  • แคลมป์มิเตอร์วัดค่ากระแสไฟรั่วไหล (Leakage Current Clamp meter)
  • แคลมป์มิเตอร์วัดกำลังไฟฟ้า (AC Power Clamp Meter)

 

 

            ทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory – CLC) สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดอะไรให้กับลูกค้าได้บ้าง

  1. ฟังก์ชั่น AC Voltage Rang 0-1000 V
  2. ฟังก์ชั่น DC Voltage Rang 0-1000 V
  3. ฟังก์ชั่น AC Current 10A-550A
  4. ฟังก์ชั่น DC Current 10A-550A
  5. ฟังก์ชั่น Resistance 1 Ω -330 MΩ **ได้รับการรับรองจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และได้รับการรับรองจากANSI National Accreditation Board (ANAB) **

***กรณีต้องการให้ Onsite สามารถให้การรับรองจาก ANSI National Accreditation Board(ANAB) ได้***

ต้องการส่ง แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) มาสอบเทียบเครื่องมือวัดกับทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ต้องทำอย่างไร

  1. ตรวจเช็คปริมาณของแบตเตอรี่ หรือส่งสายชาร์จมาพร้อมกับเครื่องมือ
  2. ตรวจเช็คปุ่มกดของเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่
  3. ควรห่อเครื่องมือด้วยอุปกรณ์กันกระแทก หรือนำเครื่องมือเก็บในกระเป๋าของเครื่องมือ เพื่อไม่ให้เครื่องมือได้รับความเสียหาย

 

 

 

ผู้เขียน Leader ลูกคิด

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

เครื่องบันทึกอุณหภูมิ (HYBRID RECORDER) เครื่องมือบันทึกข้อมูลและแสดงผลที่ขาดไม่ได้สำหรับเครื่องมือวัดในอุตสาหกรรม

เครื่องมือที่บันทึกข้อมูลอุณหภูมิและค่าทางไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Hybrid Recorder เป็นเครื่องมือที่ทำการบันทึกค่าที่วัดได้จากเครื่องมือวัดลงในเครื่องตามช่วงเวลาที่เรากำหนด ทำให้เราสามารถอ่านข้อมูลหรือค่าทางไฟฟ้าและอุณหภูมิและนำมาประมวลผลได้อย่างสะดวกและง่ายดายขึ้น ซึ่งเครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder) ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายวงการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร, อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ ทำให้เครื่องมือชนิดนี้ชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะการใช้งาน เช่น Temperature Recorder, Memory Recorder, Chart Recorder เป็นต้น และเพื่อความแม่นยำในการบันทึกจึงควร สอบเทียบเครื่องมือวัด (คาลิเบรท)อยู่เสมอ

เครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder)

มี 2 แบบ ได้แก่
• เครื่องมือวัดแบบบันทึกข้อมูลโดยใช้กระดาษ (Hybrid Recorder) โดยเครื่องจะทำการบันทึกข้อมูลลงในกระดาษในรูปแบบของกราฟกระดาษที่ใช้มีหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นสี่เหลี่ยม หรือ วงกลม แม้กระทั่ง ทรงกระบอก เป็นวิธีการรูปแบบเก่า ซึ่งจะมีข้อเสียคือจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอว่ายังมีกระดาษเพียงพอต่อการบันทึกหรือไม่

• เครื่องมือวัดแบบบันทึกข้อมูลโดยไม่ใช้กระดาษ (Paperless Recorder) พัฒนาการเก็บข้อมูลจากเดิมที่ต้องบันทึกผ่านกระดาษเป็นการเก็บค่าไว้ในหน่วยความจำ เช่น การ์ดหน่วยความจำ (Memory Card) Compact Flash(CF) / Multi Media Card (MMC) ,SD card , Mini Card , หรือ ฮาร์ดดิสค์ ซึ่ง Recorder ประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าแบบบันทึกข้อมูลโดยใช้กระดาษ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder)มี Function การวัดอะไรบ้าง ?

จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเครื่องมือวัดประเภทนี้มีชื่อเรียกได้หลากหลายตามลักษณะการใช้งาน นั่นหมายความว่า Recorder มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลายแบบ โดยจะขอยกตัวอย่างคร่าวๆ ที่พบเจอว่ามีการใช้งานบ่อยๆ ดังนี้

  • อุณหภูมิ (Temperature) RTD : PT50 , PT100 , PT1000 , JPT100 เป็นต้น
  • อุณหภูมิ (Temperature) Thermocouple (TC) Type K, J, E, T, R, S, N เป็นต้น
  • ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) .
  • แรงดัน(Pressure and Vacuum)
  • อัตราการไหล (Flow Rate)
  • ความเร็วรอบ (RPM)
  • ความถี่ (Frequency)
  • ช่วงเวลา (Time Interval)
  • กระแสไฟฟ้า (Current)
  • ความต่างศักย์ไฟฟ้า (Voltage)
  • กำลังไฟฟ้า (Power)

ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดเครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder)

แม้ว่า Hybrid Recorder จะไม่ใช่เครื่องมือวัดค่า แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้แสดงค่าและบันทึกข้อมูล แต่ตัวเลขต่างๆ ที่ถูกบันทึกและแสดงผลต่างก็มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิต หรือการตรวจสอบสภาวะต่างๆ ของกระบวนการผลิต หากการรับและส่งสัญญาณทางไฟฟ้าเพื่อแปลผลออกมาเป็นตัวเลขผ่านหน้ามีค่า Error เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด อาจส่งผลให้การแสดงผลและการบันทึกข้อมูลผิดเพี้ยนจนเกิดความเสียหายต่อกระบวนการผลิตได้ การ สอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องและแม่นยำของเครื่องมือวัด เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่า ผลที่เครื่อง Hybrid Recorder แสดงออกมานั้นถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน และนอกจากนี้ การส่งสัญญาณทางไฟฟ้าของแต่ละ Channel ก็มีความสำคัญ เพราะค่าสัญญาณทางไฟฟ้าของแต่ละ Channel ที่แสดงผลออกมาย่อมไม่เท่ากัน ดังนั้นหากลูกค้าใช้งานเครื่องมือหลาย Channel ก็ควรสอบเทียบเครื่องมือวัดให้ครบทุก Channel ที่ใช้งานเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้ามีเครื่องมือ Hybrid Recorder ตัวหนึ่งมี Channel ที่สามารถใช้งานได้ 100 Channel แต่ลูกค้า ใช้งานChannel ที่ 1-60 ดังนั้นลูกค้าควรสอบเทียบChannelที่ 1-60 เป็นอย่างน้อย หรือสอบเทียบChannel อื่นเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานได้เช่นกัน

บริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory – CLC) สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ประเภทเครื่องบันทึกอุณหภูมิ(Hybrid Recorder)ได้ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นที่กล่าวมาข้างต้น และได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025 :2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI)และจาก ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งในรูปแบบรับกลับมาสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ห้องปฏิบัติการ (In House Method) หรือเข้าไปสอบเทียบเครื่องมือวัดที่บริษัทของลูกค้า (Onsite)โดยใช้ Multi-Product Calibrator เป็น Standardในการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีความละเอียดสูง และทำการสอบเทียบเครื่องมือวัดให้กับเครื่องมือของลูกค้า(DUC) ด้วยวิธีการ Direct Measurement เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม ISO/IEC 17025 :2017ANSI National Accreditation Board (ANAB)

 

 

 

ผู้เขียน Keaw VIP

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

เครื่องมือวัดความเร็วรอบ Tachometer เครื่องมือวัดการหมุนของเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Tachometer

เครื่องมือวัดความเร็วรอบ ในขั้นตอนการผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีเครื่องจักรเคลื่อนที่ในลักษณะหมุนอยู่มากมายหลายประเภท มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันออกไป และมีบทบาทสำคัญในส่วนของขั้นตอนการผลิต เราจะทราบได้อย่างไรว่าการหมุนของเครื่องจักรดังกล่าวนั้น มีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานหรือไม่ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบในการผลิตเราจะตรวจสอบได้อย่างไร วันนี้เราจะมาแนะนำตัวช่วย นั้นก็คือ เครื่องมือวัดความเร็วรอบ Tachometer!!! ที่ต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำนั่นเอง

เป็นอุปกรณ์ในเครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้วัดอัตราความเร็วในการหมุนรอบของเครื่องจักรหรือวัตถุต่างๆเพื่อบ่งชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรหรือวัตถุนั้นๆโดยใช้หน่วยในการวัดเป็นความเร็วรอบต่อนาที หรือ RPM (Revolutions per minute) เครื่องมือวัดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และสิ่งทอ อุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เครื่องมือวัดความเร็วรอบนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในทางวิศวกรรมสามารถประยุกต์ใช้ในการใช้งานได้หลากหลายด้าน เช่น วัดความเร็วของมอเตอร์ ตรวจสอบสายการผลิต ความเร็วของใบพัด รอบของลูกกลิ้ง การตรวจสอบกังหัน การตรวจสอบรอบของเพลาล้อรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการควรนำ Tachometer หรือ เครื่องมือวัดความเร็วรอบ เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ (Calibrate – แคลิเบรท)อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ค่าความเร็วรอบที่วัดได้จะไม่คลาดเคลื่อนจนก่อให้เกิดความเสียหาต่อกระบวนการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์

เครื่องมืดวัดความเร็วรอบ Tachometer มีกี่ประเภท?


 

เครื่องมือวัดความเร็วรอบนั้นมีอยู่หลากหลายแบบ มีลักษณะและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าใช้งานประเภทไหน แต่ผู้เขียนจะแบ่งเอาหลักๆ ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ โดยจะแบ่งออกมาเป็น 3 แบบด้วยกัน ซึ่งจะอธิบายลักษณะและหลักการใช้งานคร่าวๆ ของเครื่องมือวัดแต่ละชนิดด้วยดังนี้

1. Analog Tachometer

เครื่องมืดวัดความเร็วรอบแบบอนาล็อก มีหน้าปัดแสดงผลเป็นแบบเข็มวัดและมีขีดสเกลเป็นตัวเลขสำหรับในการอ่านค่า แต่ไม่สามารถบันทึกค่าหรือคำนวณค่าทางสถิตได้ โดยหลักการใช้หัวสัมผัสกับเพลาหรือวัตถุโดยตรง ใช้ค่าความเร็วที่ได้จากการหมุนเคลื่อนที่แล้วถูกแปลงค่าเป็นแรงดันไฟฟ้า และมาอ่านแสดงค่าที่หน้าปัด แบบรุ่นนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่างในการใช้งาน

2. Stroboscope Tachometer

เครื่องมือวัดที่มีลักษณะคล้ายๆเหมือนไฟฉายหรือปืนวัดอุณหภูมิอินฟาเรดหน้าจอเป็น LCD แสดงผลเป็นตัวเลข Digital โดยใช้หลักการของแสงแฟลตเพื่อจับภาพ เพื่อส่องไปยังวัตถุที่กำลังหมุน แล้วนำความถี่ที่ได้รับในการจับภาพ (จำนวนเฟรมต่อวินาทีหรือ FPM) มาคำนวณความเร็วของวัตถุที่กำลังหมุนแล้วไปแสดงผลที่หน้าจอ Tachometer ซึ่งการวัดวิธีนี้มีข้อดีคือ ไม่ต้องหยุดเครื่องจักรไม่ต้องติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสง และไม่จำเป็นต้องสัมผัสชิ้นงานก็สามารถวัดรอบได้ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

3. Digital Contact & Non-contact Tachometer

จะมีหน้าจอแสดงผลอ่านค่าเป็นตัวเลข Digital แบบ LCD หรือ LED มีหัววัดทั้งสองฝั่ง ซึ่งสามารถเลือกใช้งาน Tachometer ได้ทั้งแบบ Contact และ Non-contact (แบบไม่สัมผัส) โดย Contact (แบบสัมผัส)จะเป็นฝั่งที่มีแกนเหล็กยื่นออกมาซึ่งจะมีหัวแบบต่างๆ ให้เลือกเปลี่ยนใช้งานตามความเหมาะสม โดยใช้เครื่องมืดวัดสัมผัสวัดกับแกนหรือเพลามอเตอร์โดยตรง แล้วประมวลค่าออกมาทางหน้าจอ ส่วน Tachometer แบบ Non-contact (แบบไม่สัมผัส) จะเป็นฝั่งที่มีกระจกใสครอบอยู่และจะมีสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงติดมาให้ด้วยเพื่อใช้ติดที่เพลาวัตถุที่ต้องการวัด หลักการเมื่อยิงแสงเลเซอร์ไปกระทบที่แผ่นสติ๊กเกอร์สะท้อนแสง ก็จะสะท้อนแสงกลับไปยังตัวรับเพื่อคำนวณหาค่าจำนวนรอบออกมาและแสดงผลไปที่หน้าจอ โดยแบบที่ 3 นี้เป็นเครื่องมือวัดที่นิยมนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถใช้วัดได้ทั้งสองแบบในเครื่องเดียวกัน รวมทั้งสามารถบันทึกค่าและคำนวณค่าทางสถิติได้อีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีบางรุ่นที่มีใช้งานเฉพาะ Contact หรือ Non-contact อย่างใดอย่างหนึ่งให้เลือกใช้งานกัน

ประโยชน์ของเครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer)

  1. เป็นเครื่องมือวัดที่เหมาะสำหรับการวัดรอบของเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นอันตรายช่วยให้ผู้ใช้งานอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
  2. เหมาะสำหรับการวัดงานในสถานที่ที่ยากต่อการเข้าถึงในระยะใกล้ หรือระยะไกล
  3. เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน ทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
  4. ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรได้อย่างละเอียด ทำให้แก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น
  5. Tachometer พกพาสะดวก เล็กกะทัดรัด สามารถนำไปใช้งานได้ทุกที่
  6. เครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer) วางเก็บได้สะดวก ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บ

วิธีการสอบเทียบและการรับรองเครื่องวัดความร็วรอบ (Tachometer)

การสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate – แคลิเบรท) คือ การเปรียบเทียบค่ากันระหว่างสองเครื่องมือวัด โดยเครื่องมือที่ต้องการสอบเทียบจะถูกเทียบกับเครื่องมือทางวิศวกรรมที่มีความละเอียดแม่นยำสูงสามารถสอบกลับไปสู่ค่าอ้างอิงมาตรฐานได้ โดยเครื่องมือเปรียบเทียบนี้เราจะเรียกว่า เครื่องมือสอบเทียบ (Calibrator) ซึ่งจะต้องทดสอบโดยห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าค่าที่ได้จากการวัดนั้นถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน หรือผิดเพี้ยน โดยบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory – CLC) สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer) และได้รับการรับรอง Accredited ISO 17025 ทั้งใน Scope การรับรองภายในประเทศจาก สมอ. และต่างประเทศ ANAB จากอเมริกา โดยได้รับการรับรองตั้งแต่ Range 1-99,999 RPM ได้ทั้ง Contact และ Non-contact (Photo) โดยใช้วิธีการสอบเทียบเครื่องมือวัดแบบ Direct Measurement with Synthesized Function Generator

คำแนะนำและข้อควรระวังการเก็บรักษาและการใช้งานเครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer)

  • การใช้เครื่องมือวัดอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สินหรือบาดเจ็บทางร่างกายได้ ควรอ่านและศึกษาทำความเข้าใจคู่มือให้ละเอียดก่อนใช้งาน
  • หากใช้งานเครื่องมือวัดผิดวิธีหรือไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในคู่มือ อาจทำให้เครื่องมือวัดมีความบกพร่องหรือพังเสียหายได้
  • เมื่อใช้งานเครื่องมือวัดนี้เสร็จแล้ว ควรเก็บไว้ห่างจากมือเด็กเนื่องจากเครื่องมือวัดนี้ไม่ใช่ของเล่นเด็กและมีชิ้นส่วนขนาดเล็กที่เด็กสามารถกลืนได้
  • ในกรณีที่เครื่องมือวัดม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานาน ควรถอดแบตเตอรี่ออกเพื่อยืดระยะการใช้งานของแบตเตอรี่
  • ไม่ควรเพ็งมองแสงเลเซอร์หรือเล็งแสงเลเซอร์ไปที่ดวงตาโดยตรงมันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้หากดูเป็นระยะเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงเลเซอร์โดยตรง
  • ควรนำเครื่องมือวัดไป สอบเทียบเครื่องมือวัด ทุกปีเพื่อตรวจสอบค่าความเที่ยงตรงเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดของเครื่องมือได้ดี

 

 

 

ผู้เขียน Timnorton

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

หลักการทํางานเครื่องมือวัดลําดับเฟส ( PHASE DETECTOR) เป็นอย่างไร

 เครื่องวัดลำดับเฟส ( PHASE DETECTOR )

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะกลับมาพบกันอีกเช่นเคยนะคะ ครั้งนี้ทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ก็มีเครื่องมือวัดตัวใหม่มาแนะนำกันอีกแล้วล่ะค่ะแต่ต้องขอบอกก่อนเลยว่าการใช้งานของเครื่องมือวัดตัวนี้จะมีการใช้งานวงจำกัดและใช้ในงานค่อนข้างเฉพาะทาง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลทั่วไปมากนัก จึงทำให้เราอาจไม่ค่อยเห็นการใช้เครื่องมือตัวนี้มากนัก แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามโรงงานใหญ่ๆ หรือตามสำนักงานที่มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่เยอะกว่าไฟบ้านปกติ จะต้องพบเห็นหรือเคยใช้งานอย่างแน่นอน และเครื่องมือตัวนี้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเราไม่ทำการตรวจสอบเครื่องจักรด้วยเครื่องมือตัวนี้ก่อนการใช้งาน ก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายและเสียเวลาอย่างมากได้เลยล่ะค่ะ อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเจ้าเครื่องนี้คือเครื่องมืออะไร และมีหลักการทำงานอย่างไร

ใช่แล้วล่ะค่ะวันนี้ผู้เขียนก็มีเครื่องวัดลำดับเฟส (PHASE DETECTOR) มาแนะนำกันนะคะ แน่นอนค่ะว่าคนส่วนใหญ่โดยทั่วไปจะไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกับเจ้าเครื่องนี้สักเท่าไรนัก นอกจากท่านที่มีการใช้งานเครื่องจักรที่ต้องขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ค่ะ เจ้าเครื่องมือนี้มักนิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมซะส่วนใหญ่แล้วใช้ทำอะไรและมีความสำคัญยังไง ซึ่งทาง CLC เรามีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด นี้ด้วยไปดูกันค่ะ

 

ก่อนอื่นเรามารู้จักระบบไฟฟ้าที่เราใช้กันก่อนดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง

  1. ระบบไฟฟ้า 1 เฟสทุกท่านทราบไหมคะว่าระบบไฟฟ้า1เฟสนั้นเป็นระบบไฟฟ้าที่เราใช้ตามบ้านเรือนทั่วๆไป โดยที่เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ พัดลม ทีวี ตู้เย็น หรืออื่นๆที่ใช้ไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส แบบสองสายและแรงดันอยู่ที่ 220 โวลต์ ทุกท่านสามารถสังเกตได้จากสายไฟที่เราใช้ทั่วไปจะมี 2 สายใช่ไหมคะ โดยที่สายหนึ่งจะเป็นสายที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ค่ะเรียกว่า (Current Line) ส่วนสายอีกหนึ่งเส้นที่ทุกท่านเห็นจะเป็นสายที่ไม่มีกระแสไฟเรียกว่า (Neutral Line) ดังนั้นปลั๊กไฟที่เราเห็นตามบ้านจึงมีสองช่องก็เพื่อให้กระแสไฟไหลได้ครบวงจรนั่นเองค่ะ และเพิ่มเติมอีกหนึ่งสายก็คือสายดินค่ะ ทุกท่านคงเห็นปลั๊กที่มีสามช่องด้วยใช่ไหมคะ ช่องที่สามนี่แหละค่ะที่เรียกว่าสายดิน (Ground) สายดินมีไว้ช่วยป้องกันหากเกิดไฟฟ้ารั่ว เป็นตัวเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านค่ะ
  2. ระบบไฟฟ้า 3 เฟส โดยส่วนใหญ่แล้วระบบไฟฟ้า 3 เฟสเป็นระบบไฟฟ้าที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าส่วนมากใช้กันค่ะ ซึ่งระบบไฟก็จะเป็นระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส 4 สาย มีแรงดัน 380 โวลต์ โดยแบ่งเป็นสายไฟ 3 เส้นจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านที่เรียกว่า (Current Line) ส่วนสายอีกหนึ่งเส้นก็จะเป็นสายที่เดินไว้เฉยๆแต่ไม่มีกระแสไฟ เรียกว่า (Neutral Line) เพราะทุกโรงงานมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มากกว่าไฟบ้านเยอะมาก ทุกท่านคงสังเกตเห็นแล้วใช่ไหมคะว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส มีความแตกต่างกันอย่างไร

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเรามองในส่วนของราคาค่าติดตั้ง ค่าไฟที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนรวมไปถึงค่าดำเนินการอื่นๆที่ต้องเสียตอนติดตั้งทำให้ ระบบไฟฟ้า 3 เฟส ดูจะมีราคาที่สูงกว่า ระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส ค่อนข้างมาก แต่ความสามารถในการใช้งานระบบไฟ 3 เฟส ก็เป็นที่นิยมนำมาใช้กับโรงงานมากกว่า เพราะโรงงานต้องการการใช้ไฟฟ้าที่มาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรต่างๆในไลน์ผลิต มอเตอร์ต่างๆ ระบบเครื่องทำความเย็น ระบบไฟส่องสว่าง หรืออื่นๆก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้แรงดันไฟฟ้าที่สูงทั้งนั้น แต่เมื่อเรามองในระยะยาวนั้นระบบไฟฟ้า 3 เฟสก็สามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้เพราะสามารถต่อใช้งานแบบ 1 เฟสได้เช่นกันในส่วนงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังไฟสูงๆเช่น สำนักงานทั่วไป เมื่อเรารู้จักกับระบบของไฟฟ้ากันแล้วต่อไปเรามาทำความรู้จักเจ้าเครื่องมือวัดลำดับสามเฟส (Phase Detector) กันต่อเลยดีกว่าค่ะ

 

ครื่องวัดลำดับเฟส (PHASE DETECTOR) คืออะไร

 

เครื่องวัดลำดับเฟส (Phase Detector) เป็น เครื่องมือวัด ที่นำมาใช้เพื่อทดสอบว่าในระบบไฟฟ้ากระแสสลับแบบสามเฟสที่ท่านใช้อยู่นั้นมีการเรียงเฟสได้ถูกต้องหรือไม่ เช่น งานระบบไฟจ่าย, มอเตอร์สามเฟส, วงจรขับต่างๆ เพราะเครื่องจักรบางเครื่องที่ใช้มอเตอร์สามเฟสในการขับเคลื่อนนั้น หากมีการสลับเฟสเกิดขึ้นก็จะทำให้โหลดของมอเตอร์หมุนสลับทิศทาง จนก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวของเครื่องจักรได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้ใช้งานเองเสียเวลาในการแก้ไขหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นด้วยนะคะ ดังนั้นก่อนมีการใช้งานเครื่องจักร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำการตรวจวัดลำดับของเฟสก่อนเสมอว่าเรียงลำดับถูกต้องหรือไม่นั่นเอง และนอกจากตรวจสอบลำดับเฟสของมอเตอร์แล้วนั้น หากโรงงานหรือสถานประกอบการณ์ไหนมีการต่อใช้งานเบรกเกอร์หลายๆตัว ซึ่งการต่อสายเมนในตู้สวิทช์บอร์ดที่ใช้สำหรับจ่ายไฟให้กับเบรคเกอร์เหล่านั้นก็ควรจะต้องมีการตรวจสอบลำดับเฟสเช่นกันและลำดับของเฟสก็ควรเป็นเฟสแบบบวกซึ่งถือเป็นมาตรฐานสำหรับมอเตอร์และตู้ไฟ

และนอกจากนี้ควรหมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องวัดลำดับเฟส และนำเข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ สอบเทียบเครื่องมือวัดกับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดลำดับเฟสสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รูปที่ 3

 

จากรูปที่ 3 ลักษณะการเรียงลำดับของเฟสที่ถูกต้องแบ่งออกดังนี้

ลำดับเฟสบวกลำดับเฟสลบ

R → S → T                      R → T → S

S→ T → R                      S → R → T

T→ R → S                      T → S → R

 

หลักการทำงานเครื่องวัดลำดับเฟส ( PHASE DETECTOR ) โดยทั่วไป

ตัวเครื่องจะมีตัวอักษร R, S, T หรือ L1, L2, L3 และแสดงสถานะเป็นไฟ LED หรือเป็นดิจิตอลแสดงลำดับเฟส พร้อมเสียงเตือน (แล้วแต่ลักษณะการใช้ของเครื่องนั้นๆนะคะ)ถ้าตามเข็มนาฬิกา (Clockwise) ก็คือลำดับเฟสบวก แต่ถ้าทวนเข็มนาฬิกา (Counter Clockwise)ก็คือลำดับเฟสลบ

ถ้ามีการเรียงลำดับเฟสผิด ยกตัวอย่าง เช่น ถ้ามอเตอร์ต้องการลำลับเฟสเป็นบวก เเต่ป้อนลำดับเฟสเป็นลบ ก็จะทำให้มอเตอร์หมุนกลับทิศทางเเละเกิดความเสียหายตามมาได้

 

รูปที่ 4 ตัวอย่างหัวแคลมป์

 

ปัจจุบันมี เครื่องมือวัด หลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้โดยมีหัวแคลมป์ (รูปที่ 4) หนีบลงบนฉนวนที่หุ้มสายไฟในขณะที่ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ ทำให้เราไม่ต้องสัมผัสกับเนื้อโลหะโดยตรงซึ่งก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเราจะได้ไม่ถูกไฟดูด

โดยทั่วไปเครื่องแต่ละรุ่นนั้นจะมีข้อจำกัดอยู่ว่าควรใช้กับแรงดันไฟฟ้าเท่าไร ก่อนการเลือกใช้งานสิ่งที่ผู้ใช้ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือแรงดันไฟฟ้า (Volt) ของระบบที่จะใช้วัดนะคะ

 

ในปัจจุบันเครื่องวัดลำดับเฟสมีจำหน่ายมากมายหลายรุ่นและยังมีหลายราคาให้เลือกมากมาย ซึ่งทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ของเราก็ยังมีเครื่องมือวัดลำดับเฟสไว้บริการลูกค้า พร้อมทั้งยังสามารถนำเครื่องมือวัดลำดับเฟส เข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ  สอบเทียบเครื่องมือวัด กับห้องปฏิบัติการของ แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับ ISO/IEC 17025 : 2017 (ANAB) อีกด้วยนะคะ หากลูกค้าท่านใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทางเลยนะคะ ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ

 ผู้เขียน KATAI

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา