คลังเก็บป้ายกำกับ: Elec’s Article

Stroboscope ช่วยอะไรได้บ้าง ตรวจสอบคุณภาพงานแบบไม่ต้องหยุดเครื่อง

Stroboscope

เครื่อง Stroboscope  คืออะไร

เครื่อง Stroboscope คือเ ครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับการวัดความเร็วรอบชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถมองเห็นวัตถุที่เคลื่อนที่เป็นรอบแบบรวดเร็วได้เหมือนกับวัตถุนั่นอยู่นิ่งๆ โดยแสดงค่าการวัดออกมาเป็นหน่วย  RPM

เครื่อง Stroboscope มีหลักการทำงานอย่างไร

เครื่อง Stroboscope มีหลักการทำงานโดยใช้หลักการของแสงกระพริบอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการจับภาพของวัตถุที่เคลื่อนที่  หรือที่เราเรียกว่า  แสงแฟรต  โดยใช้เครื่องมือส่องไปยังวัตถุที่กำลังหมุน แล้วนำความถี่ในการจับภาพ (จำนวนเฟรมต่อวินาที) มาคำนวนความเร็วของวัตถุที่กำลังหมุน โดยส่วนใหญ่จะโชว์ค่าแบบ Digital

เครื่อง Stroboscope ต่างจาก เครื่อง Tachometer  อย่างไร

ความแตกต่างระหว่างสโตโปสโคปกับ Tachometer คือ ลักษณะการทำงานของเครื่องมือวัดความเร็วรอบแบบ Stroboscope จะใช้แสงแฟรช ส่องไปยังวัตุที่กำลังหมุน แล้วนำความถี่ในการจับภาพมาคำนวณหาความเร็วของวัตถุนั่นๆที่กำลังหมุน แต่สำหรับเครื่องวัดความเร็วรอบแบบ  Tachometer จะแบ่งเป็นสองแบบ คือ Contract Tachometer และ Photo Tachometer (Non-Contact Tachometer) หรือที่เรียกว่าใช้แสงอินฟราเรดส่องไปยังวัตถุเพื่อคำนวนหารอบการหมุน เครื่องวัดความเร็วรอบทั้งสองแบบจะใช้หลักการวัดที่ไม่เหมือนกัน แต่เครื่องมือสามารถวัดค่าความเร็วรอบได้เหมือนกัน

การเลือกใช้งานเครื่อง Stroboscope และเครื่อง Tachometer 

การเลือกใช้งานเครื่องมือวัดประเภทวัดความเร็วรอบขึ้นอยู่กับชิ้นงานที่ต้องการวัด เช่น วัดรอบเครื่องหมุนด้าย ควรเลือกเป็น เครื่องวัดความเร็วรอบแบบ Stroboscope  แต่หากต้องการวัดความเร็วรอบมอเตอร์ เพลารถยนต์ ควรเลือกเป็น เครื่องวัดความเร็วรอบแบบ Tachometer  โดยข้อดี ของเครื่องมือวัดความเร็วรอบแบบ Stroboscope คือ เราไม่จำเป็นต้องสัมผัสชิ้นงานก็สามารถวัดความเร็วรอบได้ ทำให้ไม่ทำลายชิ้นงาน และเหมาะกับงานที่ไม่สามารถสัมผัสชิ้นงานได้

การใช้งาน สโตรโบสโคป ในภาคอุตสาหกรรม

  1.  อุตสาหกรรมการพิมพ์

    ในโรงพิมพ์ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา ความต่อเนื่องของลายพิมพ์ และความแม่นยำของสีถือเป็นหัวใจสำคัญ เครื่องสโตโบสโคปจึงเข้ามามีบทบาท เพราะช่วยให้ผู้ควบคุมเครื่องจักรมองเห็นรายละเอียดงานพิมพ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องกำลังหมุนทำงานอยู่เต็มกำลัง ไม่จำเป็นต้องหยุดเครื่องก็สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของลายพิมพ์หรือการจัดวางตำแหน่งได้ทันที ซึ่งช่วยลดทั้งเวลาสูญเสียและต้นทุนการผลิต

  2. อุตสาหกรรมสิ่งทอ

    ในสายการผลิตสิ่งทอ ความสม่ำเสมอของเส้นด้ายและแรงตึงถือเป็นตัวกำหนดคุณภาพของผืนผ้า การใช้เครื่องมือวัดนี้ทำให้ผู้ตรวจสอบสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของโรลเลอร์หรือเส้นด้ายที่หมุนด้วยความเร็วสูงได้อย่างชัดเจน ราวกับภาพเคลื่อนไหวถูกทำให้ช้าลง สิ่งนี้ช่วยให้ควบคุมคุณภาพเส้นใยและผืนผ้าได้แม่นยำมากขึ้น ลดโอกาสที่สินค้าจะมีตำหนิหรือเสียหาย

  3. งานบำรุงรักษาเครื่องจักร

    เครื่องจักรที่มีชิ้นส่วนหมุนอย่างพัดลม มอเตอร์ เกียร์ สายพาน หรือเพลา มักเสี่ยงต่อการสึกหรอ และความเสียหาย การใช้สโตโบสโคปทำให้วิศวกรหรือช่างบำรุงรักษาสามารถตรวจจับความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น การหมุนผิดจังหวะ การสั่น หรือการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วน โดยไม่จำเป็นต้องหยุดเครื่องจักรลง เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในงาน Predictive Maintenance ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและลดความเสี่ยงของการหยุดทำงานแบบไม่คาดคิด

คำแนะนำและวิธีดูแลเครื่องมือวัด Stroboscope

  1. ควรทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว เนื่องจากถ้าเครื่องมือสกปรกจะทำให้วัดค่าได้ผิดไป
  2. ระมัดระวังอย่าให้เครื่องมือได้รับการกระแทกแรงๆเพราะจะให้เครื่องมือเกิดการชำรุดได้
  3. ไม่ควรมองแสงแฟลชโดยตรง เพราะอาจะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้

สอบเทียบเครื่อง Stroboscope

ทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถให้ บริการสอบเทียบเครื่อง Stroboscope  โดยสามารถให้บริการได้ทั้งแบบรับกลับเข้ามาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการของบริษัทฯ (In Lab) และสามารถให้บริการแบบนอกสถานที่ไปสอบเทียบให้กับลูกค้าที่หน้างาน (Onsite)โดยเครื่องมือ Standard ที่ CLC ใช้คือ Universal Counter 

ถ้าต้องการส่งเครื่องสโตรโบสโคป มาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

  1. ตรวจเช็คปริมาณของแบตเตอรี่ หรือส่งสายชาร์จมาพร้อมกับเครื่องมือ
  2. ตรวจเช็คปุ่มกดของเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่
  3. ควรห่อเครื่องมือด้วยอุปกรณ์กันกระแทก หรือนำเครื่องมือเก็บในกระเป๋าของเครื่องมือ เพื่อไม่ให้เครื่องมือได้รับความเสียหาย

 

Ref.

Merriam Webster

RS Components

Strobox

Cleveland Clinic

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านอิเล็กทริคอล

 

Wrist Strap and Footwear Tester คืออะไร มีเทคนิคยังไงให้ใช้ได้แม่นยำ

Wrist Strap and Footwear Tester (เครื่องวัดไฟฟ้าสถิตย์แบบสายรัดข้อมือและทดสอบรองเท้า)

วันนี้เราจะมาขอกล่าวถึงเจ้าเครื่องมือวัดอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Wrist Strap and Footwear Tester กันซักหน่อยนะครับ แต่ก่อนอื่นนั้นกระผมต้องขอเกริ่นแบบนี้ครับว่า อุตสาหกรรมในบ้านเราในยุคปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปไกลพอสมควรแล้ว  โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เป็นอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของชิ้นงานที่ผลิตได้เป็นอย่างมาก และยิ่งยุคปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีต่างๆก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตชิ้นงานให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยิ่งเทคโนโลยีก้าวไกลเพียงใด ก็จะพบว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีขนาดเล็กลงเท่านั้น ส่งผลให้ขั้นตอนในการผลิตยิ่งต้องมีความเข้มงวดขึ้นไปเป็นเงาตามตัวกันเลยทีเดียว และในการผลิตชิ้นส่วนหรือแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีมาตรฐานตัวนึงเข้ามาเกี่ยวข้องนั่นก็คือ การควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ การควบคุมนี้จะค่อนข้างซีเรียสมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ชิ้นงานเกิดความเสียหายหรือนำไปใช้งานแล้วประสิทธิภาพลดลง อันเนื่องมาจากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าจากผู้ปฎิบัติงานสู่ชิ้นงานระหว่างปฏิบัติงาน ทั้งนี้รวมถึงทุกๆส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น โต๊ะปฎิบัติงาน, เก้าอี้, พื้นหรือแม้กระทั่งชุดเสื้อผ้า, รองเท้าที่สวมใส่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ล้วนแล้วมีส่วนสำคัญและต้องเป็นไปตามมาตรฐานของการควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ทั้งนั้น แต่หากคุณเป็นผู้ทำงานในไลน์ผลิต อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนฯ ห้องคลีนรูม หรือประกอบชิ้นส่วนที่ไวต่อไฟฟ้าสถิต (ESD) เป็นสิ่งที่คุณอาจคุ้นเคยกับคำว่า Wrist Strap Tester และ Footwear Tester สองสิ่งนี้คือ “เครื่องเช็กความพร้อมของคนก่อนเข้าพื้นที่ ESD” ว่าง่าย ๆ คือเช็กว่า สายรัดข้อมือ หรือ รองเท้า/ส้น ESD ของเรายังระบายประจุได้ตามเกณฑ์หรือไม่ เพื่อกันไฟฟ้าสถิตทำลายชิ้นงาน และวันนี้เราจะขอหยิบยกมาคุย 2 ชนิดที่เรากล่าวถึง คือ Wrist Strap Tester ดังรูปตัวอย่างที่ 1 และ Footwear Tester ดังรูปตัวอย่างที่ 2

รูปตัวอย่างที่ 1 Wrist Strap Tester

รูปตัวอย่างที่ 2 Footwear Tester

จากรูปตัวอย่างที่ 1 และ 2 จะเห็นได้ว่าเครื่องมือทั้ง Wrist Strap Tester และ Footwear Tester นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งสองรูปนั้น จุดประสงค์เดียวกันคือวัดไฟฟ้าสถิตย์ของผู้ปฏิบัติงาน แตกต่างกันที่รูปแรกจะใช้ร่วมกับสายรัดข้อมือ แต่รูปที่สองผู้ที่ทดสอบจะต้องขึ้นไปยืนบนแป้นที่มีรูปเท้าทั้งสองข้าง(ยืนทั้งใส่รองเท้า) โดยเครื่องมือพวกนี้ส่วนใหญ่จะแสดงผลการวัดเป็นไฟแสดงสถาณะสีต่างๆ เช่น สีแดง สีเขียว สีส้มหรือเหลือง

  • สีแดง = Low
  • สีเขียว = Pass, OK
  • สีส้มหรือเหลือง = High

ทำไมต้องทดสอบ? ไม่ใส่เฉย ๆ ได้ไหม

แม้อุปกรณ์ ESD จะดูแข็งแรง แต่ ยาง, สาย, ขั้วต่อ เสื่อมสภาพได้จากการใช้งาน, เหงื่อ, ความชื้น, การดึงรั้ง การทดสอบจึงเป็นการ พิสูจน์สภาพจริง ก่อนสัมผัสชิ้นงานราคาแพง ลดของเสีย (scrap/rework) และเก็บหลักฐาน traceability เวลาโดนออดิท

ถ้าเป็นกระบวนการสอบเทียบเครื่องมือวัดของทางห้องปฏิบัติการ Calibration Laboratory Co.,Ltd. (CLC) เวลา Report ผลการสอบเทียบใน Certificate จะรายงานเป็นหน่วย kΩ, MΩ เนื่องจาก CLC ใช้เครื่องมือ Standard เป็นเครื่อง Decade Resistance Box เป็นตัวสอบเทียบ รูปแบบการรายงานผลการสอบเทียบก็จะประมาณตัวอย่างรูปที่ 3 และ 4 (รูปตัวอย่างเป็นเพียงผลการสอบเทียบแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะการรายงานผลการสอบเทียบอาจแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมกับเครื่องมือ Brand, Model นั้นๆด้วย)

รูปตัวอย่างที่ 3

รูปตัวอย่างที่ 4

วิธีใช้งานที่ถูกต้อง (วิธีช่วยให้ผลแม่นยำยิ่งขึ้น)

  1. ถอดเครื่องประดับโลหะ ที่อาจรบกวนการสัมผัส
  2. ใส่สายรัดให้แนบผิว (ไม่แน่นจนเจ็บ ไม่หลวมจนเลื่อน)
  3. เสียบหัวสาย/ยืนบนแผ่นเท้าให้เต็มฝ่าเท้า
  4. แตะปุ่ม/แผ่นสัมผัส รอไฟหรือเสียงบอกสถานะ

บันทึกผล ตามระบบโรงงาน (ถ้ามี) แล้วค่อยเข้าพื้นที่
ทริกเล็กๆ  ถ้า FAIL ให้เช็กความแนบผิว เช็ดเหงื่อ คราบมัน เปลี่ยนจุดสัมผัสแล้วลองใหม่ ถ้ายังไม่ผ่านค่อย เปลี่ยนสายหรือรองเท้า หรือแจ้งทางวิศวกร ESD ให้ทราบ

หมายเหตุ เว็บไซต์ Bondline ให้คำแนะนำว่า สายรัดข้อมือ ESD ควรทดสอบทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานประจำ เพื่อป้องกันการล้มเหลวของระบบกราวด์ และช่วยลดโอกาสเกิดอันตรายต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ไวต่อไฟฟ้าสถิตย์ 

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา

  • ในการใช้งานต้องแน่ใจว่ามือหรือเท้าผู้ทดสอบไม่เปียกน้ำ
  • ก่อนใช้งานควรตรวจสอบว่าเครื่องมือพร้อมใช้งานหรือไม่
  • หมั่นทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสก่อนและหลังใช้งานอยู่เสมอ
  • เมื่อพบเห็นความผิดปกติของเครื่อง ให้รีบแจ้งหัวหน้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทันที
  • ไม่ควรแก้ไข /ดัดแปลงเครื่องมือด้วยตัวเอง
  • หมั่นส่งเข้ารับการสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานตามระยะเวลาที่กำหนด

บริษัท Calibration Laboratory Co.,Ltd. (CLC) ของเรานั้นมีบริการสอบเทียบ Wrist Strap Tester and Footwear Tester ซึ่งได้รับการรับรอง Accredit ISO/IEC 17025:2017 ทั้ง สมอ. และ ANAB ในรูปแบบ In-Lab และ On-Site โดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์ รวมทั้งมีบริการให้คำปรึกษาตอบคำถามต่างๆเกี่ยวกับการสอบเทียบหรือการใช้งาน Wrist Strap Tester and Footwear Tester อีกด้วย ลองติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้เลยนะครับ ตามช่องทางการติดต่อทุกๆช่องทาง

ก็หวังว่าบทความเรื่อง Wrist Strap Tester and Footwear Tester ที่เขียนขึ้นมาพอสังเขปในครั้งนี้ จะพอให้ท่านที่สนใจมีความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องมือดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ….แล้วพบกันครั้งต่อไป ขอบคุณครับ

 

Ref.

Desco industries

 

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านไฟฟ้า

 

 

หยุด ปัญหาระบบไฟฟ้าเสื่อม ก่อนสาย ด้วยเครื่องมือบำรุงรักษาที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีในทุกโรงงาน เพราะเป็นหัวใจของการควบคุมคุณภาพ, ความปลอดภัย, และประสิทธิภาพในการทำงานของระบบไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องมือวัด ที่ใช้ต้องแม่นยำ, ผ่านการสอบเทียบ และใช้งานอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผลการวัดมีความน่าเชื่อถือจริง และเป็นการป้องกันการเกิด ปัญหาระบบไฟฟ้าเสื่อม ในอีกทางหนึ่งด้วย

การใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าในการตรวจจับปัญหาเบื้องต้น

การตรวจสอบปัญหาทางไฟฟ้าเบื้องต้นเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เครื่องมือวัดไฟฟ้า (Electrical Measurement Tools) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า โดยสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติหรือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ บทความนี้จะอธิบายถึงวิธีการใช้งานเครื่องมือวัดไฟฟ้าในการตรวจจับปัญหาต่าง ๆ ในการทำงานเบื้องต้น

1.การใช้มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

เพื่อตรวจวัดแรงดันไฟฟ้า, กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน

รูปตัวอย่าง Multimeter

มัลติมิเตอร์เป็นเครื่องมือที่มีความหลากฟังก์ชันหลากหลาย สามารถใช้วัดค่าต่าง ๆ เช่น

แรงดันไฟฟ้า (Voltage)

การใช้มัลติมิเตอร์ในการตรวจวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจรหรืออุปกรณ์ช่วยให้เรารู้ว่ามีการส่งแรงดันไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์อย่างถูกต้องหรือไม่ หากค่าแรงดันผิดปกติ เช่น ต่ำกว่าค่าที่ควรจะเป็น ก็อาจหมายถึงว่ามีการขาดการเชื่อมต่อหรืออุปกรณ์มีปัญหา

กระแสไฟฟ้า (Current)

การตรวจวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรสามารถบ่งชี้ถึงการมีโหลดเกินหรือกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการลัดวงจรหรือการทำงานหนักของอุปกรณ์

ความต้านทาน (Resistance)

การวัดความต้านทานในวงจรช่วยในการหาจุดที่มีการตัดการเชื่อมต่อหรือการลัดวงจร ซึ่งสามารถช่วยตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสายไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า

2. การใช้แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) ตรวจจับกระแสไฟฟ้าโดยไม่ต้องตัดสาย


รูปตัวอย่างการใช้งาน Clamp Meter

Clamp Meter เป็นเครื่องมือที่สะดวกและปลอดภัยในการวัดกระแสไฟฟ้าโดยไม่ต้องตัดหรือเปิดวงจร สามารถตรวจวัดกระแสไฟฟ้าในสายไฟฟ้าได้ทันที ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของวงจรไฟฟ้าโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสายหรือละเมิดความปลอดภัย ตัวอย่างการใช้งานคือ

  • การตรวจสอบกระแสไฟฟ้าในวงจรที่ทำงานผิดปกติ เช่น วงจรที่มีโหลดมากเกินไป
  • การตรวจสอบกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าโรงงาน หรือในเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือการใช้ไฟฟ้าเกิน

วิธีการวัดโดยไม่ต้องตัดสาย?

เครื่องมือวัดนี้สามารถวัดกระแสได้โดยไม่ต้องเปิดวงจร คุณเพียงคีบให้รัดรอบสายไฟหนึ่งเส้นและปิดปากคีบให้สนิท จับให้อยู่กึ่งกลางปากคีบเพื่อลดความผิดพลาด ใกล้แผง Main หรือรางบัสให้เพิ่มความระวังในเรื่องระยะห่างไฟฟ้า ควรสวมถุงมือกันไฟและแว่นนิรภัยให้ครบ และระมัดระวังอย่าให้สายไฟใหญ่เกินขนาดปากคีบที่เครื่องรองรับ

ในกรณีที่สงสัยว่ามีกระแสรั่ว ให้คีบรวมสายเฟสและสายนิวทรัลพร้อมกัน ถ้าระบบสมบูรณ์กระแสทั้งสองเส้นจะหักล้างกันจนเกือบเป็นศูนย์ ถ้าจอแสดงผลที่ Clamp Meter ขึ้นตัวเลขชัดเจนหมายถึงมีกระแสไหลลงดินอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ให้ใช้วิธีการไล่คีบย่อยลงไปทีละช่วง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แคลมป์เพื่อดูช่วงกระชากตอนมอเตอร์เริ่มหมุนได้ด้วย โดยเลือกจากตัวเลือกโหมดวัดกระแสกระชาก เครื่องจะทำการจับค่าสูงสุดช่วงสตาร์ตให้อัตโนมัติ

คุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่รึเปล่า – ไฟชอบดับตอนช่วงการใช้งานเยอะๆ

เราแนะนำว่าให้คุณเริ่มสำรวจที่จุดรับไฟหลักของโรงงานก่อน วัดกระแสของแต่ละเฟสและของสายนิวทรัล แล้วเปรียบเทียบกับค่าที่อุปกรณ์และสายไฟรองรับ หากเฟสหนึ่งสูงผิดปกติ หรือสายนิวทรัลมีกระแสมากกว่าที่ควร ให้ตามต่อไปที่ตู้ย่อยของเครื่องจักรขนาดใหญ่ เปิดโหมดบันทึกค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดไว้ทั้งวัน จะเห็นชัดว่าจุดไหนดึงกระแสพุ่งจนทำให้แรงดันตก แล้วค่อยวางแผนย้ายโหลด แยกวงจร หรือปรับวิธีสตาร์ตเครื่องให้กินกระแสนุ่มขึ้น

3. การใช้เครื่องวัดความต้านทานดิน (Earth Resistance Tester) ในการตรวจสอบระบบดิน

รูปตัวอย่าง Earth Resistance Tester

ระบบดินที่ไม่ดีหรือมีความต้านทานสูงอาจทำให้เกิดปัญหาทางไฟฟ้า เช่น การช็อตไฟฟ้า หรือความไม่เสถียรในระบบไฟฟ้า การใช้เครื่องวัดความต้านทานต่อดินช่วยในการตรวจสอบว่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับดินนั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ เครื่องมือประเภทนี้จะช่วยตรวจวัดค่าความต้านทานของระบบดินและแนะนำว่าควรทำการปรับปรุงอย่างไร

วิธีการทดสอบด้วยเครื่องวัดความต้านทานดิน

ก่อนทดสอบระบบดิน ให้ถอดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เซนซิทีฟออกจากกราวด์ชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหาย จากนั้นเลือกตำแหน่งปักหมุดทดสอบให้อยู่ในระยะที่ไกลจากท่อโลหะ สายไฟฝังดิน และฐานราก ในการทดสอบควรทดสอบในวันที่สภาพอากาศคงที่ ไม่ใช่ช่วงพายุฝนฟ้าคะนอง หากตรวจสอบพื้นดินแล้วมีความแห้งมากๆอาจทำให้จุดสัมผัสหมุดไม่แน่นเพียงพอ แก้ไขได้โดยการพรมน้ำเฉพาะจุดที่ต้องสัมผัสเล็กน้อยเพื่อให้ค่าทดสอบนิ่งขึ้น วิธีที่กล่าวมานี้เป็นวิธีสำหรับช่วยในกรณีทดสอบเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ระบบกราวด์ถาวร

ขณะวัด ให้ขยับตำแหน่งหมุดรับสัญญาณแล้วดูว่าค่าที่อ่านนิ่งหรือไม่ ถ้ากราฟนิ่งในช่วงระยะที่เครื่องมือแนะนำแสดงว่าค่าที่ได้เป็นตัวแทนของระบบจริง หากโรงงานหรือพื้นที่ที่ต้องตรวจวัดมีจุดต่อกราวด์หลายเส้นทางจนกระแสไหลขนานกันมาก วิธีการวัดแบบใช้คีบรอบตัวนำกราวด์โดยไม่ต้องถอนสายออกจากระบบ จะช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วและปลอดภัยขึ้น หากต้องการปรับปรุงระบบกราวด์ควรเริ่มจากการวัดเพื่อเก็บค่าอย่างสม่ำเสมอทั้งในฤดูฝนและหน้าร้อน แล้วนำผลที่ได้มาประกอบการตัดสินใจเพื่อปรับปรุงถาวร จะทำให้ได้ข้อมูลในทุกๆช่วง ไม่หลงทางจากค่าชั่วคราวในช่วงใดช่วงหนึ่ง

4. การใช้เครื่องวัดกำลังไฟฟ้า (Power Meter) เพื่อตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้า

รูปตัวอย่างการใช้งาน Power Meter

พาวเวอร์มิเตอร์ หรือเครื่องวัดกำลังไฟฟ้าสามารถช่วยในการตรวจสอบการใช้พลังงานในวงจร หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถใช้ในการตรวจสอบว่ามีการใช้พลังงานเกินหรือไม่ โดยการวัดกำลังไฟฟ้าในเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือระบบไฟฟ้า เช่น

  • การตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้ามากเกินไปหรือมีการใช้พลังงานผิดปกติ
  • การตรวจวัดความคุ้มค่าในการใช้งานพลังงานของระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์

นอกจากนั้นเครื่องมือนี้ยังช่วยจับเหตุการณ์ไฟตก ไฟเกิน และไฟดับแว้บสั้นๆได้ด้วย การติดตั้งต้องต่อหม้อแปลงวัดกระแสและหม้อแปลงวัดแรงดันให้ถูกเฟสและถูกขั้ว และตั้งอัตราทดให้ตรงกับของจริง ที่สำคัญคืออย่าปล่อยให้ขั้วรองของหม้อแปลงวัดกระแสเปิดวงจรขณะระบบทำงาน ควรสั้นวงจรผ่านจุดที่เตรียมไว้ก่อนถอดหรือเปลี่ยนการต่อทุกครั้ง

 

5. การใช้เครื่องมือวัดความต้านทานของวงจร (Circuit Tester) เพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อ

รูปตัวอย่างการใช้งาน Circuit Tester

เครื่องมือวัดความต้านทานของวงจรหรือ “Circuit Tester” สามารถใช้ในการตรวจสอบการเชื่อมต่อของวงจรไฟฟ้า โดยเฉพาะในการหาจุดที่วงจรขาดหรือไม่สมบูรณ์ หากวงจรมีความต้านทานสูงหรือไม่มีการเชื่อมต่อที่ถูกต้อง เครื่องมือชนิดนี้จะช่วยบ่งชี้ให้ทราบได้

วิธีการตรวจสอบด้วย Circuit Tester

ในการใช้เพื่อวัดความต้านทาน จะใช้ได้เฉพาะตอนที่ไม่มีไฟเท่านั้น พอคุณดับไฟและถอดสายออกจากอุปกรณ์ทั้งสองด้านแล้ว ให้ลองวัดจากปลายหนึ่งไปอีกปลายหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเงียบสนิทแปลว่าสายขาด แต่ถ้าวัดค่าได้ต่ำจนเกือบเท่ากับศูนย์ทั้งๆที่ไม่ควรต่อถึงกัน แสดงว่าเกิดการลัดวงจรอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เทคนิค ที่ได้ผลดีคือบิดหรือขยับสายเบาๆขณะวัด คุณจะสามารถจับจุดต่อหลวมได้ง่ายขึ้น

หากในกรณีที่สายยาวมากจนตามยาก ให้ใช้เครื่องส่งสัญญาณปลายหนึ่ง แล้วใช้เครื่องรับเสียงตามแนวเดินสาย วิธีนี้จะทำให้คุณรู้ทิศทางและตำแหน่งคร่าวๆของสายได้เร็วขึ้น การหากระแสรั่วก็ทำได้โดยใช้แคลมป์คีบรวมสายไปกลับพร้อมกัน ถ้าตัวเลขที่วัดไม่เท่ากับศูนย์แสดงว่ากระแสมีการรั่วลงดิน ให้ค่อยๆแบ่งช่วงแล้วคีบซ้ำเพื่อตีวงให้แคบลงเรื่อยๆ

สำหรับวิธีการตรวจฉนวนว่าเสื่อมสภาพหรือไม่นั้น จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและแยกอุปกรณ์ออกจากวงจรก่อนเสมอ และให้ทำโดยผู้ที่ผ่านการฝึกมาเท่านั้น

6. การใช้เครื่องมือวัดเพื่อหาจุดลัดวงจรหรือไฟฟ้ารั่ว

การใช้เครื่องมือวัดเพื่อหาจุดลัดวงจรหรือไฟฟ้ารั่วในระบบไฟฟ้าสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ได้ เช่น

  • ใช้เครื่องมือวัดความต้านทานเพื่อหาจุดที่มีการลัดวงจรในสายไฟ
  • ใช้มัลติมิเตอร์เพื่อตรวจหาการรั่วของไฟฟ้าในอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น สายไฟที่มีการเสียหายหรือชำรุด

สรุป

การใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าในการตรวจจับปัญหาไฟฟ้าเบื้องต้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ป้องกันการเกิด ปัญหาระบบไฟฟ้าเสื่อม โดยสามารถใช้เครื่องมือวัดต่าง ๆ เช่น มัลติมิเตอร์, แคลมป์มิเตอร์, เครื่องวัดความต้านทานดิน และเครื่องมือวัดกำลังไฟฟ้าในการตรวจสอบปัญหาต่างๆ ในระบบไฟฟ้า หัวใจของงานตรวจวัดคือ ความปลอดภัย วิธีการทำในทุกๆขั้นตอนให้ทำอย่างช้าๆแต่ต้องใช้ความระมัดระวัง ทำให้ถูกต้อง ในกระบวนการตรวจสอบให้เริ่มจากการปิดแหล่งจ่ายไฟ ล็อกสวิตช์ มีการติดป้ายเตือน และตรวจเครื่องมือก่อนและหลังงาน ผู้ตรวจต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันให้ครบถ้วน จากนั้นให้เลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงานที่ต้องการวัด ใช้มิเตอร์สำหรับแรงดันและความต้านทาน ใช้แคลมป์เมื่ออยากรู้กระแสโดยไม่ตัดสาย ใช้เครื่องวัดความต้านทานดินเพื่อยืนยันว่าระบบกราวด์ยังทำงานดี และใช้เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าเพื่อจับเหตุการณ์ไฟตก ไฟเกิน และเพื่อดูรูปแบบการใช้พลังงาน การปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้โรงงานจะลดการหยุดเครื่องโดยไม่จำเป็น ลดอุบัติเหตุ และตัดสินใจซ่อมได้ตรงจุดมากขึ้น ทั้งหมดนี้เริ่มจากการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถหาปัญหาหรือความผิดปกติในระบบไฟฟ้าได้เร็วขึ้น และช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

Ref.

Fluke

Keysight

Yokogawa

Instrumentcs

 

 

 

ผู้เขียน Tik sang L5

 

 

 

ละเอียดยิบ!! ประเภท ความแตกต่างและข้อดีข้อเสียของเครื่องเชื่อม (Weld Machine) แต่ละประเภท?

Weld Machine หรือ เครื่องเชื่อม ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ระดับอู่ซ่อมรถ, สถานที่ก่อสร้าง, ไปจนถึงระดับภาคอุตสาหกรรม และมีให้เลือกมากมายหลายแบบตามแต่ความเหมาะสมของหน้างาน และทุนในกระเป๋าที่สามารถจะควักจ่ายได้ และระยะหลังๆก็มีเครื่องเชื่อมจากประเทศจีนเข้ามาจำหน่าย มีทั้งคุณภาพดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วไปที่ไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก ก่อนซื้อก็ควรหาข้อมูลและสเปคต่างๆจากผู้ผลิตให้ดี เพื่อจะได้เครื่องเชื่อมที่ตรงความต้องการมากที่สุด เรามาดูกันครับว่า Weld Machine (เครื่องเชื่อม) ที่นิยมใช้งานกันในภาคอุตสาหกรรมมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร

ประเภทและความแตกต่างกันของเครื่องเชื่อม(Weld Machine)

1. ตู้เชื่อมอาร์กอน 

ตู้เชื่อม หรือเครื่องเชื่อมอาร์กอน หรือ TIG (Tungsten Inert Gas Welding หรือ GTAW) จะมีกระบวนการเชื่อมแบบอาร์คที่ใช้แท่งอิเล็กโทรดเป็นทังสเตนในการเชื่อม
เครื่องเชื่อมประเภทนี้เหมาะสําหรับงานคุณภาพที่ต้องอาศัยความปราณีตของช่างที่มีประสบการณ์ในการเชื่อม เหมาะกับการเชื่อมสแตนเลสและอลูมิเนียม ตู้เชื่อม TIG มีทั้งแบบเชื่อมอาร์กอนเพียงระบบเดียว และแบบเชื่อมอาร์กอนกับเชื่อมระบบอื่น ได้แก่ ตู้เชื่อม 2 ระบบ คือเชื่อมอาร์กอนและเชื่อมธูปหรือทั่วไปเรียกกันว่า เชื่อมเหล็กกับตู้เชื่อม 3 ระบบ คือ เชื่อมอาร์กอน เชื่อมธูป และเชื่อมอลูมิเนียมหรือระบบ AC ที่เราเรียกกันทั่วๆ ไปว่า ตู้เชื่อมระบบ AC/DC

ตู้เชื่อมอาร์กอนที่มี 2 ระบบ จะมีสวิตช์เปลี่ยนระบบเชื่อม TIG และ ARC ถ้าเราเชื่อม TIG สายดินจะอยู่ที่ขั้วบวก สายเชื่อมจะอยู่ที่ขั้วลบ แต่เมื่อเรานำมาเชื่อมไฟฟ้าหรือเชื่อมธูป สายดินจะต้องเปลี่ยนมาใส่ที่ขั้วลบ  และสายเชื่อมจะต้องไปอยู่ที่ขั้วบวกแทน ดังตัวอย่างรูปที่ 1

 

รูปที่ 1

2. ตู้เชื่อมมิก (MIG) 

เครื่องเชื่อมมิก, ตู้เชื่อมมิก (MIG) Metal Inert Gas หรือหลายๆท่านเรียกว่า ตู้เชื่อมคาร์บอน (CO2) การเชื่อมลักษณะนี้ของตู้เชื่อมมิก อาจจะต้องใช้แก๊สผสมผสานของคาร์บอนด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับชิ้นงานที่ต้องการเชื่อมด้วย เพราะการเชื่อมแบบนี้จะสามารถเชื่อมชิ้นงานที่มีความบางได้ดีกว่าเครื่องเชื่อมไฟฟ้าที่ใช้กับธูปเชื่อม ดังตัวอย่างรูปที่ 2

รูปที่ 2

ข้อดีและข้อเสียของตู้เชื่อมแบบมิก (MIG)

  • ข้อดีของตู้เชื่อมแบบมิก (MIG) คือ สามารถเชื่อมโลหะได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก, สแตนเลส, อลูมิเนียม, ทองแดง และการเชื่อมแบบมิก(MIG) จะสามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบเชื่อมไฟฟ้าด้วยธูปเชื่อม ทำให้ประหยัดเวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนลวดเชื่อม เพราะสามารถเดินแนวเชื่อมได้ยาวและต่อเนื่องกว่าการเชื่อมไฟฟ้าด้วยธูปเชื่อม
  • ข้อเสีย คือ ราคาค่อนข้างสูง, ใช้อุปกรณ์มากกว่า ทำให้ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้ายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหน้างานไม่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อย ตู้เชื่อมแบบมิก(MIG) ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะจะได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดีและที่สำคัญประหยัดเวลากว่า

3. เครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA 

จะเป็นกระบวนการเชื่อมแบบอาร์คโลหะด้วยมือ (MMA : Manual Metal Arc Welding) คือ การต้องการต่อโลหะให้ติดกัน โดยวิธีนี้จะให้ความร้อนอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูงมาก อุณหภูมิที่เกิดขึ้นที่บริเวณปลายลวดเชื่อมนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5000-6000 °C เลยทีเดียว  โดยการเชื่อมลักษณะนี้เป็นการเติมโลหะลงไปในแนวเชื่อม และเป็นการทำให้ฟลักซ์ที่หุ้มลวดเชื่อมนั้นจะได้รับความร้อน และหลอมละลายไปปกคลุมโลหะตลอดแนวเชื่อมเอาไว้ เพื่อไม่ไห้อากาศเข้าไปในแนวเชื่อม จึงจะทำให้ช่วยชะลอการเย็นตัวของแนวเชื่อมโลหะ เพื่อให้แนวเชื่อมโลหะประสานกันได้ดี และ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้นเองตัวอย่างรูปที่ 3

รูปที่ 3

 

ข้อดีและข้อเสียของเครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA

ข้อดี

  • ให้ชิ้นงานคุณภาพสูง (ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ใช้งาน)
  • ไม่ยุ่งยาก
  • ลดเสียงขณะปฎิบัติงาน
  • เครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำ

ข้อเสีย

  • ต้องตรวจสอบแนวเชื่อมทุกขั้นตอน
  •  เครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA อาจทำให้คุณสมบัติของโลหะบางชนิดเปลี่ยนแปลง
  •  อาจเกิดการบิดตัวหรือหดตัวของชิ้นงาน (ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ใช้งาน)

การดูแลรักษา Weld Machine (เครื่องเชื่อม)

  •  ก่อนและหลังใช้งาน ผู้ใช้งานควรตรวจสอบชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับเครื่องเชื่อม ให้อยู่ในสภาพที่ดี พร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปลั๊กไฟ, สายไฟ, ฉนวนต่างๆ หรือแม้กระทั่งธูปเชื่อม, ลวดเชื่อม, แว่นนิรภัย, หน้ากากเชื่อม และถุงมือป้องกันความร้อนและอื่นๆ
  • ไม่ควรเก็บไว้ในบริเวณใกล้กับแหล่งความร้อนสูงๆ หรือ บริเวณที่มีความชื้นและน้ำ ที่สำคัญที่สุดไม่ควรแก้ไข/ดัดแปลง ถ้าต้องการซ่อมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนของเครื่องเชื่อม ควรกระทำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญเพื่อความถูกต้องและปลอดภัย
  • นำเครื่องเชื่อม เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ แคลิเบรท (Calibrate) กับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือ ตามความถี่ของการใช้งาน

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับประเภทของ เครื่องเชื่อม รวมทั้งข้อดี-ข้อเสีย ของเครื่องแต่ละประเภท ที่ได้นำมาพูดคุยกันในครั้งนี้ จริงๆแล้ว ยังมีแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีกมากมาย แต่ที่ผู้เขียนได้หยิบยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขปแค่ 3 ประเภทนี้ เพราะตามภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ รวมถึงหน้างานก่อสร้างก็ตาม จะนิยมใช้กันอยู่ 3 ประเภทนี้เป็นหลัก

โดยเครื่องเชื่อม หรือตู้เชื่อม (Weld Machine) ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ในส่วนของงานซ่อมแซมหรือซ่อมบำรุงอาจจะมีความจำเป็นในการสอบเทียบ(Calibration) น้อย แต่ถ้าในกระบวนการก่อสร้างหรือผลิตสินค้าภาคอุตสาหกรรมนั้น มีความจำเป็นในเรื่องของการสอบเทียบ (Calibration) เป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สินค้าของท่านได้มีมาตรฐานในการผลิตหรือก่อสร้างที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดในส่วนของงานซ่อมแซมหรือผลิตสินค้าได้

สำหรับ บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ของเราก็มีบริการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ แคลิเบรท (Calibrate) ในรูปแบบ Accredit ตามมาตรฐาน ISO/IEC  17025 (ANAB)  เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเครื่องเชื่อมของท่านมีประสิทธิภาพที่ดี ควรหมั่นสอบเทียบอย่างน้อย 1 ปี/ครั้ง หรือ ตามความถี่ของการใช้งานเป็นหลัก

หากผู้อ่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานและการสอบเทียบเครื่องเชื่อมสามารถติดต่อเข้ามาปรึกษากับทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ได้เลยนะครับ เรามีเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสอบเทียบเครื่องมือวัด คอยให้คำแนะนำ..และที่สำคัญ ปรึกษาฟรีอีกเช่นเคยครับท่าน

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่กับบทความเรื่องต่อๆไปครับกระผม…ขอบคุณที่อ่านจนจบ^^…

 

 

 

CHOK_AM, THM Melo

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

การลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืนในจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม

การลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืนในจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม

ในยุคที่การแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมรุนแรงขึ้น การบริหารจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรมกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ ทำความรู้จักกับ

ไฟฟ้า การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดต้นทุนในการผลิต แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางในการจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้การควบคุมพลังงานไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. การติดตั้งระบบการตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้า (Energy Management System: EMS)

ระบบ EMS คือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม โดยระบบนี้จะช่วยให้โรงงานสามารถติดตามการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพ ระบบ EMS จะเก็บข้อมูลจากเครื่องมือวัดไฟฟ้า เช่น มิเตอร์ไฟฟ้าและเซ็นเซอร์ เพื่อแสดงผลการใช้พลังงานในรูปแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารสามารถระบุจุดที่มีการใช้พลังงานเกินความจำเป็น และสามารถวางแผนการลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น หากระบบ EMS ระบุว่าเครื่องจักรบางตัวใช้พลังงานมากเกินไป อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเครื่องจักรต้องการการบำรุงรักษาหรือการปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน และลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ข้อมูลจากระบบ EMS ในการเลือกเวลาการผลิตที่ค่าไฟฟ้าถูกเพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานได้อีกด้วย

2. การใช้ระบบแสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน

การใช้พลังงานไฟฟ้าผ่านระบบแสงสว่างในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้พลังงานโดยรวม การเปลี่ยนมาใช้หลอด LED ที่ประหยัดพลังงานและติดตั้งระบบควบคุมแสงอัตโนมัติที่สามารถปรับความสว่างตามสภาพแวดล้อมสามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมาก

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเช่น มิเตอร์ไฟฟ้า และเซ็นเซอร์วัดแสงจะช่วยในการตรวจสอบการใช้พลังงานของระบบแสงสว่างใหม่ โดยสามารถเปรียบเทียบการใช้พลังงานก่อนและหลังการติดตั้งระบบแสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีที่ลงทุนไปนั้นคุ้มค่าและช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว

3. การติดตั้งเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูง

การใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถช่วยลดการใช้ พลังงานไฟฟ้า ได้อย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องจักรที่มีระบบปรับความเร็วมอเตอร์ (Variable Frequency Drive: VFD) ที่สามารถปรับการทำงานของมอเตอร์ให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานในแต่ละช่วงเวลา การลงทุนในเครื่องจักรเหล่านี้อาจจะมีต้นทุนที่สูงในระยะแรก แต่ในระยะยาวจะช่วยลดการใช้พลังงานและช่วยให้โรงงานประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเช่น มิเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องมือวัดพลังงานอื่นๆ จะช่วยในการติดตามและวัดการใช้พลังงานของเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้บริหารสามารถประเมินประสิทธิภาพของเครื่องจักรใหม่และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

4. บทบาทของ เครื่องมือวัดไฟฟ้า ในการจัดการพลังงาน

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น มิเตอร์ไฟฟ้าแบบดิจิทัล เซ็นเซอร์วัดกระแสไฟฟ้า และอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพพลังงาน (Power Quality Analyzer) เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้โรงงานสามารถเก็บข้อมูลการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องในการปรับปรุงระบบ

การวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือวัดไฟฟ้ายังช่วยให้สามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การสูญเสียพลังงานจากสายไฟที่เสื่อมสภาพ หรือการทำงานผิดปกติของเครื่องจักร ซึ่งส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา

ทำไมการสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงสำคัญในการจัดการพลังงาน?

เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ไม่ผ่านการสอบเทียบหรือไม่ได้มาตรฐานสามารถส่งผลให้ข้อมูลที่ได้ไม่แม่นยำ ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานไม่ถูกต้อง เช่น การคำนวณการใช้พลังงานของเครื่องจักรหรือระบบไฟฟ้าต่างๆ อาจจะผิดพลาด ส่งผลให้ผู้บริหารตัดสินใจในการปรับปรุงระบบการใช้พลังงานผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

การสอบเทียบเครื่องมือวัดไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดข้อมูลนั้นมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ โดยการเปรียบเทียบค่าที่เครื่องมือวัดได้กับค่ามาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง เช่น ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการสอบเทียบเครื่องมือวัด ช่วยให้โรงงานสามารถมั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดไฟฟ้าในระบบ EMS หรือเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบการใช้พลังงานนั้นให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด

การสอบเทียบเครื่องมือวัดและการประหยัดพลังงาน

การใช้เครื่องมือวัดที่ได้รับการสอบเทียบแล้วมีความแม่นยำสูงจะช่วยให้ข้อมูลการใช้พลังงานที่ได้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากเครื่องมือวัดไฟฟ้าชี้ให้เห็นว่าเครื่องจักรบางตัวใช้พลังงานสูงเกินไป การวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำจะช่วยให้สามารถระบุสาเหตุได้อย่างถูกต้อง และอาจพบว่ามีปัญหาจากการทำงานที่ผิดปกติหรือการขาดการบำรุงรักษา ซึ่งจะช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาได้ทันเวลา และลดการสูญเสียพลังงานที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ การสอบเทียบเครื่องมือวัดยังมีบทบาทในการยืนยันผลลัพธ์จากการใช้เทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือการใช้มอเตอร์ที่มีระบบควบคุมความเร็ว เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการใช้พลังงานก่อนและหลังการปรับปรุงได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้สามารถประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างชัดเจน

5. การใช้พลังงานจากแหล่งทดแทน (Renewable Energy)

ในยุคที่ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น การนำพลังงานจากแหล่งทดแทนมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ การใช้พลังงานจากแหล่งทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) หรือพลังงานลม (Wind Energy) สามารถช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนสูงและเป็นมลพิษ

การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น แผงโซลาร์เซลล์สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะในโรงงานที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก การใช้พลังงานจากแหล่งทดแทนยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม

เครื่องมือวัดไฟฟ้าช่วยในการตรวจสอบการผลิตพลังงานจากแหล่งทดแทน เช่น ระบบแผงโซลาร์เซลล์ และสามารถเปรียบเทียบการใช้พลังงานไฟฟ้าก่อนและหลังการติดตั้งแหล่งพลังงานทดแทนได้ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนนี้

6. การฝึกอบรมและสร้างความรู้ให้กับพนักงาน

การจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถสำเร็จได้โดยการใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือวัดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว การสร้างความรู้และการฝึกอบรมให้กับพนักงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะพนักงานที่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องมือวัดไฟฟ้าและการลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตสามารถช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องจักรได้

การจัดฝึกอบรมให้พนักงานรู้จักวิธีการตรวจสอบเครื่องจักรและระบบต่างๆ เช่น การตรวจสอบอุปกรณ์ที่มีการใช้พลังงานสูง การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างถูกต้อง รวมถึงการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้โรงงานมีความสามารถในการควบคุมการใช้พลังงานได้ดียิ่งขึ้น

7. การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ

การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักรที่ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้นและใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลงในระยะยาว

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเช่น เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าและเครื่องมือวัดความต้านทานจะช่วยตรวจสอบว่ามีการสูญเสียพลังงานในระบบไฟฟ้าหรือไม่ เช่น การสูญเสียไฟฟ้าจากสายไฟที่มีการเสื่อมสภาพ การตรวจสอบเหล่านี้จะช่วยให้สามารถทำการบำรุงรักษาได้ทันเวลา และลดการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็น

8. การใช้เทคโนโลยีการควบคุมอัตโนมัติ (Automation) ในการบริหารจัดการพลังงาน

เทคโนโลยีการควบคุมอัตโนมัติ (Automation) สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมได้ โดยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องจักรหรือระบบแสงสว่างโดยอัตโนมัติ ตามความต้องการใช้งานในแต่ละช่วงเวลา เทคโนโลยีนี้สามารถทำให้การใช้พลังงานถูกใช้อย่างเหมาะสมที่สุดโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์ ทำให้ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต

9. การตั้งเป้าหมายและการตรวจสอบผลการจัดการพลังงาน

การตั้งเป้าหมายในการจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะช่วยให้โรงงานสามารถประเมินความสำเร็จในการลดการใช้พลังงานได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายให้โรงงานลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 10% ภายในปีถัดไป โดยการใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าและการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ EMS สามารถช่วยติดตามและวัดผลความสำเร็จของการดำเนินการได้อย่างแม่นยำ

การตรวจสอบผลการจัดการพลังงานไม่เพียงแต่ช่วยวัดประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยในการปรับปรุงกระบวนการและวางแผนในอนาคตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุป

การจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้า เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการปรับปรุงกระบวนการผลิตจะช่วยให้โรงงานสามารถควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฝึกอบรมพนักงาน การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นอีกแนวทางที่สำคัญในการบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

การบำรุงรักษาเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ถูกต้อง

การบำรุงรักษาเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ถูกต้อง

การบำรุงรักษา เครื่องมือวัดทางไฟฟ้า อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เครื่องมือทำงานได้อย่างแม่นยำและมีอายุการใช้งานยาวนาน การดูแลรักษาเครื่องมือวัด เช่น การทำความสะอาด การตรวจสอบความถูกต้องของการวัด และการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การวัดค่าทางไฟฟ้ามีความแม่นยำและเชื่อถือได้ รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดความผิดพลาดในการวัดที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการจัดการพลังงานและการผลิตในองค์กร การบำรุงรักษาที่ดีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าในระยะยาว

ความปลอดภัยทางไฟฟ้า (Electrical Safety) 

  • ฟังก์ชน Self-Test เป็นฟังก์ชันเป็นการตรวจเช็คเครื่องมือเบื้องต้นเท่านั้น (อาจไม่พบปัญหา 100% และไม่สามารถรับประกันได้ว่าเครื่องมือทำงานอย่างถูกต้อง)
  • เลือกแรงดันไฟฟ้าที่ถูกต้อง
  •  ควรใช้ฟิวส์ที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นชนิด Fast Blow หรือ Slow Blow โดยแนะนำให้ศึกษาคู่มือจากผู้ผลิตก่อนใช้งาน

ด้านสิ่งแวดล้อม

  • อุณหภูมิและความชื้นในห้องปฏิบัติการที่เหมาะสมสำหรับการสอบเทียบ อุณหภูมิเฉลี่ยอาจถูกต้อง แต่หากอุณหภูมิและความชื้นมีการเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลกระทบต่อความแม่นยำ
  • มัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Multimeter) และเครื่องสอบเทียบมัลติฟังก์ชั่น (Multi-Function Calibrator) ใช้ระบบระบายความร้อนประกอบด้วยตัวกรองอากาศทำหน้าที่สำคัญในการป้องกันฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกเข้าสู่ภายในเครื่อง การบำรุงรักษาตัวกรองอากาศเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานไม่ควรมองข้าม เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของอุปกรณ์
    เมื่อตัวกรองอากาศเกิดการอุดตัน จะส่งผลให้การไหลเวียนของอากาศลดลง ทำให้อุณหภูมิภายในเครื่องเพิ่มสูงขึ้น ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความแม่นยำในการวัดและการสอบเทียบเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงต่อองค์ประกอบภายในเครื่อง โดยในกรณีร้ายแรงอาจเกิดการเผาไหม้ของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้

คำเตือน ! ควรถอดตัวกรองอากาศออกและทำความสะอาดทุกๆ 30 วันหรือบ่อยกว่านั้นหากใช้งานเครื่องสอบเทียบในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมาก

  • หลีกเลี่ยงการวางเครื่องมือซ้อนกัน และไม่ควรวางสิ่งของปิดกั้นช่องระบายอากาศของเครื่องมือใดๆ กรณีที่ต้องใช้พื้นที่ร่วมกันบนชั้นวางหรือโต๊ะปฏิบัติการ การจัดวางอาจปรับเปลี่ยนไปตามรูปทรงและขนาดของโต๊ะ แต่ควรคำนึงถึงการระบายอากาศที่เพียงพอสำหรับทุกเครื่องมือเสมอ การจัดวางอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เครื่องมือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย
  • สัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า Electromagnetic Interference – EMI) อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการวัด เช่น คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์พร้อมทำงานในสภาพแวดล้อมเดียวกับที่ต้องการสอบเทียบ และควรใช้ Function  ให้เหมาะสมกับตัวรับสัญญาณ
  • การตรวจสอบจอแสดงผลดิจิตอล เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลรักษาเครื่องมือ ควรสังเกตระหว่างการเปิดเครื่อง เนื่องจากเครื่องมือส่วนใหญ่จะเปิดแสดงผลทุกส่วนในช่วงเริ่มต้นทำงาน ขั้นตอนนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้อย่างครบถ้วนว่าทุกส่วนของจอแสดงผลทำงานได้อย่างถูกต้อง ไม่มีจุดที่แสดงผลผิดปกติหรือส่วนใดเสียหาย หากพบความผิดปกติของจอแสดงผลควรดำเนินการซ่อมบำรุงทันที เพื่อป้องกันปัญหาในการอ่านค่าที่อาจส่งผลต่อความแม่นยำในการใช้งาน
  • GPIB หรือ Serial Interface ควรตรวจสอบว่าข้อมูลอินเทอร์เฟซและจอแสดงผลของอุปกรณ์ตรงกัน และจอแสดงผลหรือเอาต์พุตของอุปกรณ์ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเชื่อมต่อสายอินเทอร์เฟซหรือถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์และคอมพิวเตอร์

  • Guard terminal หรือขั้วต่อ Guard ควรได้รับการตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง

ตัวอย่างการบำรุงรักษา เครื่องมือวัดทางไฟฟ้า

True RMS Clamp Meter Fluke 376

ขั้นตอนการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐาน

1.ทำความสะอาดเครื่องมือ : เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ที่กำลังทดสอบ ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพราะจะทำให้เคสอุปกรณ์เสียหาย ในการทำความสะอาดเครื่องมือ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆ

2.เปลี่ยนแบตเตอรี่ : เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต  และเพื่อป้องกันการวัดค่าที่ไม่ถูกต้อง ให้เปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่อ่อนแสดงขึ้น

True RMS Multimeter Fluke 187

ขั้นตอนการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐาน

1.ทำความสะอาดเครื่องมือ : เช็ดเคสด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ และน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆ ห้ามใช้สารกัดกร่อนหรือตัวทำละลาย การสะสมของฝุ่นละอองหรือความชื้นบริเวณเทอร์มินอลสามารถส่งผลเสียต่อความแม่นยำในการอ่านค่า และอาจกระตุ้นให้ระบบแสดงการแจ้งเตือนอินพุตผิดพลาด ซึ่งจะรบกวนการทำงานปกติของอุปกรณ์

  • ปิดเครื่องและถอดสายทั้งหมดออก
  • ปัดสิ่งสกปรกที่อาจอยู่ในขั้ว
  • เช็คทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ในแต่ละขั้ว

2.เปลี่ยนแบตเตอรี่ : เปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นแบตเตอรี่ AA สี่ก้อน เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • หมุนสวิตช์ไปที่ OFF และถอดสายออกจากขั้วต่อ
  • ถอดฝาแบตเตอรี่ออก
  • เปลี่ยนแบตเตอรี่และปิดฝาแบตเตอรี่

คำเตือน : เพื่อหลีกเลี่ยงการอ่านค่าที่ผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ไฟฟ้าช็อต ให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ทันทีที่ไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ปรากฏขึ้น 

ทดสอบฟิวส์

  • ก่อนวัดกระแส ให้ทดสอบฟิวส์ที่เหมาะสม หากการทดสอบให้ค่าที่อ่านได้นอกเหนือจากที่แสดงไว้ ให้นำมิเตอร์ไปซ่อมแซม
  • ควรถอดสายวัดเพื่อหลีกเลี่ยงไฟฟ้าช็อต
  • ควรปิดเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือฟิวส์ เพื่อป้องกันเครื่องมือเกิดความเสียหาย ให้ติดตั้งเฉพาะฟิวส์สำรองที่ระบุโดยมีอัตราแอมแปร์ แรงดันไฟฟ้า และความเร็วตรงตาม Spec เครื่องมือ

ผู้เขียน Lab 5

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

เทคนิคการสอบเทียบ นาฬิกาจับเวลา (Stopwatch) และ ตัวจับเวลา (Timer)

เทคนิคการสอบเทียบ นาฬิกาจับเวลา และ ตัวจับเวลา (Calibration Techniques for Stopwatch and Timer)

เครื่องมือวัด ประเภท นาฬิกาจับเวลา และตัวจับเวลา สามารถนำมาใช้ได้กับหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งทั้งสองประเภทนั้น
มีความแตกต่างกัน

นาฬิกาจับเวลาและตัวจับเวลา (Stopwatch and Timer)

นาฬิกาจับเวลา (Stopwatch)

  • เครื่องกลหรือดิจิตอล (Mechanical or digital)
  • ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ หรือ แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ Spring Drive
  • ใช้วัดเวลาที่ผ่านไปจากจุดเริ่มต้น
  • สามารถหยุดและอ่านเวลาที่ผ่านไปได้

ตัวจับเวลา (Timer)

  • เครื่องกลหรือดิจิตอล (Mechanical or digital)
  • ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ หรือ แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
  • สามารถตั้งค่าช่วงเวลาที่ต้องการวัด
  • นับถอยหลังถึงศูนย์ (Counts down to zero)
  • มีเสียงเตือนเมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้

ชนิดของนาฬิกาจับเวลา (Types of Stopwatch)

ชนิดที่ 1 นาฬิกาจับเวลาแบบ ดิจิตอล (Digital Stopwatch)

  • มีความแม่นยำสูง
  • ง่ายต่อการใช้งาน
  • ใช้แบตเตอรี่ และ คริสตัลควอทซ์ (quartz crystal)

ชนิดที่ 2 นาฬิกาจับเวลาแบบเครื่องกล (Mechanical Stopwatch)

  • ความละเอียด 1/5 วินาทีถึง 1/100 วินาที
  • โดยปกติขับเคลื่อนด้วยสปริง (Spring Drive) หรือ การเคลื่อนไหวทางกล (Mechanical movement)

 

ตัวจับเวลา (Timer)

 

 

วิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ประเภทตัวจับเวลาและนาฬิกาจับเวลา (Timer and Stopwatch Calibration Methods)

วิธีการที่ใช้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ภายใต้การทดสอบ (DUT) และมาตรฐาน (Standard) ที่มีอยู่

1.วิธีการสอบเทียบโดยใช้การเปรียบเทียบโดยตรง (Direct Comparison Method) 

แหล่งที่มาของเวลาที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceable Time Source) ใช้เพื่อเริ่มและหยุดนาฬิกาจับเวลา

  • สามารถตรวจสอบแหล่งที่มา (Source) ได้โดยใช้โทรศัพท์ (Telephone) หรือเครื่องรับวิทยุ (Radio Receiver)
  • เมื่อเวลาเดิน กดเริ่มนาฬิกาจับเวลาและบันทึกค่า
  • รอเวลาที่เหมาะสม
    • ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความแม่นยำของนาฬิกาจับเวลา
    • ยิ่งระยะเวลามาก ผลกระทบจากผู้ปฏิบัติงานยิ่งน้อย
  • รอเวลาที่เหมาะสม
  • เมื่อเวลาเดินถึงเป้าหมายที่ต้องการ กดหยุดนาฬิกาจับเวลาและบันทึกค่า
  • นำเวลาที่หยุดลบด้วยเวลาที่เริ่มจากแหล่งที่มา (Source) นำมาเปรียบเทียบกับเวลาที่หยุด ลบด้วยเวลาที่เริ่มจากนาฬิกาจับเวลา (Stopwatch)

2.วิธีการสอบเทียบโดยใช้การรวม (Totalize Method)

  • คล้ายกับการเปรียบเทียบโดยตรง ใช้มาตรฐานการรับรองท้องถิ่น
    • ห้องปฏิบัติการอ้างอิงความถี่ (Laboratory frequency reference)
    • เครื่องสังเคราะห์เสียง (Synthesizer)
    • ตัวนับช่วงเวลา (Time-interval counter)
    • เครื่องสังเคราะห์เสียงใช้อ้างอิงความถี่เป็นฐานเวลาภายนอก
  • ตั้ง Counter เป็น TOTALIZE
  • ใช้สัญญาณคลื่นสี่เหลี่ยม (Square wave signal) 1 kHz จากเครื่องสังเคราะห์เสียง
  • เปิด Gate ของ Counter และเริ่มจับเวลานาฬิการจับเวลา (Stopwatch) พร้อมกัน
    • ใช้ปุ่มเริ่ม/หยุดของนาฬิกาจับเวลาเพื่อกดปุ่ม Gate ของ Counter

 

 

3.วิธีการสอบเทียบโดยใช้ฐานเวลา (Time Base Method)

  • ใช้เครื่องสอบเทียบนาฬิกาจับเวลาที่ผ่านการรับรอง
  • โดยฐานเวลาของนาฬิกาจับเวลาวัดคือ
    • 32,768 Hz (215 Hz) สำหรับนาฬิกาคริสตัลควอตซ์ส่วนใหญ่
    • 4.19 MHz สำหรับนาฬิกา LED รุ่นเก่า
  • ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ต่ำสุดที่ 0.05 วินาที/วัน (± 5.80 x 10-7 หรือ 0.000058%)
  • ยังสามารถใช้เพื่อสอบเทียบนาฬิกาจับเวลาแบบกลไก (ขับเคลื่อนด้วยสปริง) ได้

 

ผู้เขียน L5

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

ทำความรู้จักกับฟังก์ชันหลักของ MULTIMETER

MULTIMETER (มัลติมิเตอร์) คือ เครื่องมือวัด อิเล็กทรอนิกส์อเนกประสงค์ที่รวมฟังก์ชันการวัดหลายอย่างไว้ในหน่วยเดียว สามารถวัดคุณสมบัติทางไฟฟ้าต่างๆ เช่น แรงดันไฟฟ้า (โวลต์มิเตอร์), กระแสไฟฟ้า (แอมมิเตอร์) และความต้านทาน (โอห์มมิเตอร์)
ดิจิตอล มัลติมิเตอร์ สามารถเลือกใช้งานได้อยู่ 2 แบบ คือ

  • DIGITAL MULTIMETER แบบ ย่านวัดอัตโนมัติ

จะมีปริมาณไฟฟ้าแต่ละชนิดที่จะทำการวัด มีย่านในการตั้งวัดเพียงย่านเดียวสามารถใช้วัดปริมาณไฟฟ้าตั้งแต่ค่าต่ำๆไปจนถึงค่าที่มันสูงสุดที่เครื่องมือสามารถแสดงค่าออกมาได้

  • DIGITAL MULTIMETER แบบ ย่านวัดปรับด้วยมือ

จะแตกต่างจากย่านวัดแบบอัตโนมัติเพราะผู้ใช้งานจะต้องเป็นคนปรับเลือกย่านในการวัดให้เหมาะสมกับค่าปริมาณไฟฟ้าในจุดนั้นๆถ้าเราเลือกและปรับไม่ถูกต้อง ตัวมัลติมิเตอร์จะไม่สามารถอ่านค่าที่วัดออกมาได้ ตัวมัลติมิเตอร์แบบย่านปรับด้วยมือจะใช้งานในรูปแบบคล้ายๆ Analog

MULTIMETER สามารถนำมาใช้วัดอะไรได้บ้างในเบื้องต้น

  • วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
  • วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
  • วัดความต้านทาน

มาทำความรู้จักอักษรที่ใช้งานบ่อยๆบนตัว มัลติมิเตอร์

  • Ω จะอ่านค่าความต้านทาน
  • VDC จะอ่านค่าโวลต์ไฟฟ้ากระแสตรง
  • VAC จะอ่านค่าโวลต์ไฟฟ้ากระแสสลับ
  • ขั้วต่อ Output จะเอาไว้ใช้วัดสัญญาณ Output
  • ขั้วต่อ – (ลบ) COM MEASURING TERMINAI-COM ใช้ต่อกับสาย PROBE สีดำ
  • ขั้วต่อ + (บวก) MEASURING TERMINAI ใช้ต่อกับสาย PROBE สีแดง

ในการใช้งานของตัวมัลติมิเตอร์จะมีสาย PROBE ใช้งานร่วมด้วย ซึ่งสาย PROBE นั้นจะมีลักษณะเป็นสายไฟ ดำ ,แดง เอาไว้ใช้วัดกระแสไฟสาย PROBE สีดำจะเป็นวัดขั้วลบ สาย PROBE สีแดงจะเป็นวัดขั้วบวกในส่วนของตัวเครื่องมือวัดหลักๆจะมีฟังก์ชัน Amp และ Ohm อยู่ในตัวเครื่อง

Amp Meter แอมป์มิเตอร์ คือ เครื่องมือวัด ที่ใช้วัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าที่สามารถวัดได้นั้นจะมี 2 แบบ คือ กระแส AC และกระแส DC มีหน่วยในการวัดออกมาเป็นแอมป์ (A)

Ohm Meter โอห์มมิเตอร์ คือ เครื่องมือวัดในส่วนของความต้านทานค่า  Ω

ข้อควรระวังในการใช้ มัลติมิเตอร์

  1. ก่อนการใช้งานควรศึกษาดูคู่มือในการใช้งานให้ดีก่อนจะได้ใช้งานไม่ผิดประเภท
  2. ควรนำไปใช้งานให้เหมาะสม ไม่ควรนำไปใช้งานเกินความสามารถของตัวเครื่องมือ
  3. เสียบสาย PROBE ให้ถูกต้อง ขั้วบวก ,ขั้วลบ ไม่ควรเสียบสลับกัน
  4. ต้องเอาสายวัดออกจากวงจรทดสอบก่อนที่จะปรับเปลี่ยนพิสัยการวัด
  5. ควรหาข้อมูลก่อนที่จะทำการวัดค่า ว่าจุดที่จะวัดมีไฟกี่โวลต์เพราะจะได้เลือกย่านในวัดใช้งานได้เหมาะสม
  6. กรณีต่อสายวัดผิดขั้วตัวมัลติมิเตอร์จะแจ้งให้ทราบว่าเรากำลังต่อผิดขั้วอยู่ ให้ทำการสลับสายวัดให้ถูกต้อง
  7. อย่าปรับโหมดฟังก์ชั่นการวัดขณะทำการวัด ห้ามปรับไปที่ย่านวัดอื่นๆเด็ดขาด ( มัลติมิเตอร์จะพัง) ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนโหมดฟังก์ชันในการวัดต้องถอดสายวัดออกจากจุดวัดก่อนทุกครั้ง
  8. หากค่าที่อ่านได้อ่านเกินสเกลจะต้องรีบเอาสาย PROBE ออกจากตัวมัลติมิเตอร์ทันที
  9. ถ้าไม่ได้ใช้งานตัวมัลติมิเตอร์ บ่อยๆ ควรเอาถ่าน หรือ แบตเตอรี่ออกด้วยทุกครั้ง
  10. ควรสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อความเที่ยงตรงแม่นยำของการใช้งาน

ผู้เขียน Gaem Yui

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

Lux meter หรือ Light Meter (เครื่องวัดแสง) นั้นสำคัญมากจริงหรือ? แล้วมีวิธีใช้อย่างไร?

  ความปลอดภัยในสถานที่ทำงานนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจขณะปฏิบัติงาน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญคือเรื่องแสงสว่าง ที่ควรมี ความสว่างเป็นไปตามกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาแวดล้อมในสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งความสว่างของแสงนั้นมีผลกระทบกับผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เช่น ถ้าแสงสว่างน้อยอาจทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักมากเกินไปจากการเพ่งมองวัตถุหรือชิ้นงานต่างๆ ทำให้มึนศรีษะได้ แต่ถ้าสว่างมากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อตาล้า พร่ามัว ปวดตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือส่งผลต่อสุขภาพทางสายตาของผู้ปฏิบัติงานได้ !!! แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแสงสว่างในที่ทำงานเรานั้น มีความสว่างมากน้อยเพียงใด ? และค่าที่วัดได้จากเครื่องมือวัดนั้น Lux meter (เครื่องวัดแสง) มีความแม่นยำถูกต้องหรือไม่จากการสอบเทียบเครื่องมือวัด วันนี้เรามาทำความรู้จักกับครื่องวัดชนิดนี้กัน ……

Light Meter แบบต่างๆ

 

ลักซ์ มิเตอร์ (หรือ Light Meter, เครื่องวัดแสง, เครื่องวัดแสงสว่าง) คือ เครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ใช้วัดปริมาณความเข้มของแสงสว่างในสภาพแวดล้อมที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งวัดค่าออกมาเป็นหน่วย Lux (ลักซ์) หรือ FC (Foot candle) โดย Lux meter (เครื่องวัดแสง) ปัจจุบันถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย มีความรวดเร็วในการวัด สามารถพกพาได้สะดวก เล็กนํ้าหนักเบาและมีความแม่นยำในการวัดสูง ซึ่งเหมาะในการวัดในโรงงานอุตสาหกรรม, อาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

 

เครื่องมือวัดแสง (Light Meter) ทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ Light Meter ทำงานโดยใช้ Photo Electric cell หรือตัว Sensor ซึ่งถูกติดตั้ง ในโคมพลาสติกสีขาวขุ่น เมื่อจับแสงที่กระทบได้แล้ว จะส่งข้อมูลประมวลผล แปลงคลื่นแสงเป็นประจุไฟฟ้า คำนวณค่าเป็นหน่วย Lux แสดงผลออกมาที่หน้าจอDigital เพื่อสะดวกในการอ่านค่าที่วัดได้ให้ผู้ใช้งานทราบ

 

Light Meter มีกี่ประเภท ?

เครื่องมือวัดแสงมี 2 ประเภท

  1. เครื่องมือวัดแสงประเภท Analog หน้าจอในการวัดเป็นเข็ม
  2. เครื่องมือวัดแสงประเภท Digital แสดงผลเป็นตัวเลขหน้าจอเป็น LED

ซึ่งแบ่งเป็นช่วงการวัดเฉลี่ย 5 point ของ Range ที่ใช้งาน โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้เครื่องมือวัดแบบ Digital โดยที่ Calibration Laboratory รับสอบเทียบ เครื่องวัดแสง ได้ถึง 25000 Lux

 

วิธีการใช้งาน เครื่องวัดแสง โดยทั่วไป

  1. กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง
  2. เปิดฝาครอบตัว Sensor ออก
  3. หัน Sensor ไปยังตำแหน่งแสงที่ต้องการวัด โดยหัน Sensor ตั้งฉากกับตัวกำเนิดแสง
  4. เลือกช่วงการวัดให้เหมาะสม
  5. สามารถปรับค่าหน่วยการวัด โดยกดปุ่มเปลี่ยนหน่วย Lux หรือ CD ได้ตามต้องการ
  6. สามารถบันทึกค่าสูงสุดในการวัดได้ โดยกดปุ่มบันทึกค่า
  7. หลังจากใช้งานเสร็จแล้วให้กดปุ่ม Off หรือปล่อยให้ปิดเองอัตโนมัติ และปิดฝาครอบ Sensor

 

**หมายเหตุ** เครื่องวัดแสง (แต่ละยี่ห้อหรือรุ่น มีปุ่มกดหรือฟังก์ชั่นแตกต่างกันบ้าง วิธีใช้งานสามารถเรียนรู้การใช้งานเพิ่มเติมจากคู่มือได้

 

ชมวิดีโอการใช้งานเครื่องมือวัด ลักซ์ มิเตอร์ และการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

 

 

 

ระดับความเข้มของแสงสว่างทั่วไปโดยประมาณ

  • แสงดวงอาทิตย์ 100,000 Lux
  • ภายนอกอาคาร 10,000 Lux
  • ในโรงงานอุตสาหกรรม 750 – 1,500 Lux
  • ใน Supermarket 500 – 1,000 Lux
  • Office สำนักงาน 350 – 750 Lux
  • บ้านที่อยู่อาศัย 150 – 250 Lux

โดย 1 Lux = 1 Lumen/M2 หรือ = 0.0929 FC

1 FC = 1 Lumen / Ft2 หรือ = 10.752 Lux

 

ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดแสง

เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดแสงซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อสายตาผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งต้องการความแม่นยำสูงมาก หากเครื่องมือมีการอ่านค่าผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนนั้น หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการ สูญเสียดวงตา เพราะหากการดูแลรักษาเครื่องมือหรือใช้งานเครื่องมือผิดวิธี อาจทำให้เครื่องมือมีการอ่านค่าคลาดเคลื่อน (error) ไปจากเดิมได้ เพราะฉะนั้นการสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง


วิธีเก็บรักษาและข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือวัด

  • ควรเก็บเครื่องมือไว้ในกล่องหรือซองที่ผู้จำหน่ายให้มาหลังใช้งานเสมอ
  • ควรเก็บไว้ในอุณภูมิที่ไม่สูงเกินไปและชื้นเกินไป
  • ระมัดระวังไม่ให้ เครื่องวัดแสง เกิดการตกหล่นระหว่างการใช้งานหรือหลังจากใช้งาน
  •  ควรศึกษาคู่มือก่อนการใช้งานเพื่อความแม่นยำในการตรวจวัด


วิธีเก็บบำรุงรักษาและข้อควรระวัง Lux meter

  1. หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นผงหรืออุณหภูมิสูง
  2. หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาในที่ชื้นอบเกินไปหรือถูกแสงแดดโดยตรง
  3. หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาโดยการวางใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าสูง
  4. การเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทำได้โดยถอดฝาด้านหลังของเครื่องมือออกและเปลี่ยนแบตเตอรี่ขนาด 9 v
  5. เช็ดทำความสะอาดเครื่องมือเสมอหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว


        ในภาคอุตสาหกรรมนั้นเครื่องวัดแสง มีบทบาทสำคัญในการวัดและควบคุมคุณภาพแสงในสถานที่ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนดไว้ ทำให้ทุกโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต้องมีเครื่องมือวัดนี้ไว้ใช้งาน และจะต้องมีการวัดปริมาณของแสงเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของสถานที่ทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ทาสีผนังใหม่ การเปลี่ยนหลอดไฟ หรือต่อเติมผนัง ฝา / เพดานเป็นต้น

        ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ เครื่องวัดแสงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่โรงงาน อุตสาหกรรมต่างต้องมีใช้ ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องมือวัดแสง Lux meterก็มีความสำคัญเพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน ต้องมีการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก.รวมทั้ง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การสอบเทียบเครื่องมือวัด ให้ได้มาตรฐานทุกปี โดย Calibration Laboratory สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดแสง ได้และได้รับการรับรองมาตรฐาน ANAB Range 1-20000 Lux และ 1 – 20000 cd/m 2


หากต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัด

ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี่ จำกัด (Calibration Laboratory) มีบริการให้การสอบเทียบเครื่องมือวัด Light Meter โดยใช้ Lux and Luminance Meter Calibration ใช้เป็น Standard ในการสอบเทียบ โดยทาง CLC สามารถให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดแสง ได้ถึง 25,000 ลักซ์ หากต้องการส่ง Calibrate เครื่องมือวัดกับทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี่สามารถสอบถามได้ตามช่องทางต่างๆได้เลยค่ะ

 

 

ผู้เขียน Timnorton และ THM 87

 

 

 

ความจำเป็นของการใช้ Lux meter กับการ ปลูกพืชออแกนิค

วิธีใช้งานเครื่องวัดแสง (Lux Meter) อย่างง่าย! พร้อมเจาะลึกการสอบเทียบอย่างละเอียด

ซื้อสินค้าด้าน Electrical   บริการสอบเทียบห้องปฏิบัติการไฟฟ้า

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ประโยชน์ของ แคลมป์มิเตอร์

แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) เป็น เครื่องมือทดสอบทางไฟฟ้าที่รวมดิจิตอลมัลติมิเตอร์พื้นฐานเข้ากับเซ็นเซอร์กระแส โดยที่ แคลมป์วัดกระแส โพรบวัดแรงดันไฟ การมีขาก้ามปูรวมอยู่ในมิเตอร์ไฟฟ้าช่วยให้ช่างเทคนิคสามารถหนีบก้ามปูไว้รอบๆ สายไฟ สายเคเบิล หรือตัวนำอื่นๆ ที่จุดใดก็ได้ในระบบไฟฟ้า จากนั้นวัดกระแสในวงจรนั้นโดยไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อหรือลดพลังงาน (ดังรูปที่ 1) จึงกล่าวได้ว่าแคลมป์มิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดอีกชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นมากในงานด้านไฟฟ้าต่าง ๆ หรืองานซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า เป็นต้น

รูปที่ 1: แคลมป์มิเตอร์

หลักการทำงานเบื้องต้น

ในขณะที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านสายไฟฟ้า รอบๆ สายไฟจะเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น ถ้าหากนำเอาก้ามปูของแคลมป์มิเตอร์ไปคล้องกับสายไฟฟ้าแล้ว จะทำให้ตัวตรวจจับ (Sensor) ที่อยู่ตรงก้ามปูส่งค่าที่ได้ไปแสดงผลที่ส่วนแสดงผลของแคลมป์มิเตอร์ต่อไป (ดังรูปที่ 2)

รูปที่ 2 การทำงานของแคลมป์มิเตอร์

ก้ามปู (Transformer Jaws)

เครื่องมือวัด ทุกชนิดจะมีตัวเซนเซอร์ (Sensor) สำหรับแคลมป์มิเตอร์ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีก้ามปู (Transformer Jaws) เป็นตัวเซนเซอร์สำหรับตรวจวัดกระแสไฟ ซึ่งรูปร่างลักษณะของก้ามปูจะมีให้เลือกใช้หลายแบบด้วยกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน เช่น แบบสี่เหลี่ยม แบบวงกลม แบบหยดน้ำ (ดังรูปที่ 3)

รูปที่ 3 ลักษณะของก้ามปูแบบต่าง ๆ

โครงสร้างภายในของก้ามปูจะประกอบด้วยแผ่นเหล็กที่ทำมาจากโลหะผสมพิเศษที่มีผลต่อสนามแม่เหล็กน้อย นำมาตัดเป็นรูปร่างที่กำหนดไว้เป็นแผ่นบางๆ วางซ้อนกัน และจะมีขดลวดทองแดงพันอยู่รอบๆ แผ่นเหล็กที่ประกบกัน (ดังรูปที่ 4)

รูปที่ 4 แสดงโครงสร้างของก้ามปู

 

ประเภทของแคลมป์มิเตอร์

แคลมป์มิเตอร์จะแบ่งออกตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:

Analog AC Clamp Meter (มิเตอร์วัดค่าทางไฟฟ้าแบบเข็ม)

Digital AC Clamp Meter (มิเตอร์วัดค่าทางไฟฟ้า AC แบบตัวเลข)

 

Digital AC/DC Clamp Meter RMS (มิเตอร์วัดค่าทางไฟฟ้าทั้ง AC/DC แบบ RMS)

Leakage Current Clamp Meter (มิเตอร์วัดค่ากระแสรั่วไหล)

AC Power Clamp Meter (มิเตอร์วัดกำลังไฟฟ้า)

ประโยชน์ของแคลมป์มิเตอร์

แคลมป์มิเตอร์โดยทั่วไปแล้ว จะถูกนำมาใช้งานในการวัดกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าต่างๆ โดยการนำแคลมป์มิเตอร์ไปคล้องกับสายไฟที่ต้องการวัด ก็จะทำให้สามารถทราบค่ากระแสไฟฟ้าได้จากจอแสดงผลบนแคลมป์มิเตอร์

ในปัจจุบันแคลมป์มิเตอร์ได้มีการพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น มีฟังก์ชันการวัดที่มากขึ้น ความแม่นยำที่มากขึ้นในการวัด และคุณสมบัติการวัดเฉพาะในบางกรณี เครื่องมือวัดปัจจุบันมีฟังก์ชันพื้นฐานส่วนใหญ่ของดิจิตอลมัลติมิเตอร์ (DMM) เช่น กระแสไฟฟ้า (Current), แรงดันไฟฟ้า (Voltage), ความต่อเนื่อง (Continuity), ความต้านทาน (Resistance), กำลังไฟฟ้า (Power) และสามารถต่อเข้ากับเครื่องบันทึกกราฟ (Recorder) หรือเครื่องออสซิลโลสโคป (Oscilloscope) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์รูปคลื่นไฟฟ้าได้อีกด้วย

แคลมป์มิเตอร์ได้กลายเป็นเครื่องมือวัดยอดนิยมด้วยเหตุผลสองประการคือ

  1. ความปลอดภัย แคลมป์มิเตอร์ช่วยให้ช่างไฟฟ้าสามารถเลี่ยงวิธีการเสียบสายวัดทดสอบของมิเตอร์เข้าไปในวงจรเพื่อทำการวัดกระแสอินไลน์ ก้ามปูของแคลมป์มิเตอร์ไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับตัวนำในระหว่างการวัด
  2. ความสะดวก ในระหว่างการวัดไม่จำเป็นต้องปิดวงจรที่มีกระแสไฟอยู่ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก

ข้อควรระวังในการใช้แคลมป์มิเตอร์

  1. การตั้งฟังก์ชั่นย่านวัดให้ตรงกับสิ่งที่จะวัด
  2. ในการวัดค่าไม่ควรวัดค่าที่เกิน Range ของเครื่องมือวัด
  3. ไม่ควรทำเครื่องมือวัดหล่นพื้นเพราะจะทำให้แกนเหล็กและวงจรด้านในเสียหายได้
  4. ควรทำความสะอาดเครื่องมือหลังใช้งานเป็นประจำ
  5. ระมัดระวังไม่ให้หน้าสัมผัสตรงก้ามปูเป็นสนิมเพราะจะมีผลกับค่าที่วัดได้

ทาง บริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory Co.,LTD) สามารถสอบเทียบแคลมป์มิเตอร์ดังฟังก์ชั่นต่อไปนี้

  • ฟังก์ชั่น AC Voltage Range 0 – 1000 V
  • ฟังก์ชั่น DC Voltage Range 0 – 1000 V
  • ฟังก์ชั่น AC Current Range 10 – 550 A
  • ฟังก์ชั่น DC Current Range 10 – 550 A
  • ฟังก์ชั่น Resistance Range 1 – 330 MΩ

**ได้รับการรับรองจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และได้รับการรับรองจาก ANSI National Accreditation Board (ANAB) **
ดูรายละเอียด Scope ได้ที่นี่ คลิก

ผู้เขียนTik Sang