คลังเก็บป้ายกำกับ: Dimension’s Article

ทำไมมาตรฐานโลกถึงเริ่มต้นจากเครื่องมือธรรมดาอย่างไม้บรรทัด?

ไม้บรรทัดสู่มาตรฐานสากล เข้าใจเครื่องมือวัดและการเลือกใช้ ไม้บรรทัดมาตรฐาน ให้เหมาะกับงาน

ไม้บรรทัดในห้องเรียนสู่เครื่องมือวัดในสายการผลิต ทั้งหมดล้วนสะท้อนหลักการเดียวกัน คือ ‘การสร้างมาตรฐาน’ หากไม้บรรทัดให้ความแม่นยำระดับมิลลิเมตร เครื่องมืออย่างเวอร์เนียร์ ไมโครมิเตอร์ หรือ CMM ก็ยกระดับความแม่นยำไปถึงไมโครเมตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยุคใหม่

ไม้บรรทัดที่เราคุ้นเคยทุกเส้นต่างก็อ้างอิงกับมาตราส่วนเดียวกัน เช่น เซนติเมตร หรือมิลลิเมตร เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ไม่ว่าจะอยู่ห้องเรียนใดก็ตาม หลักการนี้เองถูกยกระดับขึ้นในโลกอุตสาหกรรมเป็น ‘ระบบมาตรฐานสากล’ ไม่ว่าจะเป็น ISO, JIS หรือ ASTM ที่กำหนดเกณฑ์การวัด การทดสอบ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เหมือนกันทั่วโลก หากไม่มีมาตรฐานเหล่านี้ ผลิตภัณฑ์จากประเทศหนึ่งอาจไม่สามารถใช้งานร่วมกับอีกประเทศได้ หรืออาจไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพในตลาดโลก

ลองนึกถึงชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น น็อต สกรู หรือชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หากไม่มีการกำหนดมาตรฐาน ทุกโรงงานอาจผลิตตามขนาดที่ตัวเองใช้ ผลลัพธ์คืออะไหล่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ รถยนต์ที่ส่งออกอาจประกอบไม่ได้ในอีกประเทศหนึ่ง เช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การผลิตแผงวงจร PCB ต้องอ้างอิงมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ชิ้นส่วนจากหลายซัพพลายเออร์สามารถประกอบเข้าด้วยกันและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อพูดถึงมาตรฐาน เรามักนึกถึงกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่นเดียวกับไม้บรรทัดที่ช่วยกำหนดเส้นตรงให้เรา แต่ในความเป็นจริง ‘มาตรฐาน’ ไม่ได้มีแค่แบบเดียว ไม้บรรทัดเองก็เช่นกัน มีหลากหลายประเภทออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่าง ไม่ต่างจากเครื่องมือในอุตสาหกรรมที่เลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน บางแบบเน้นความเรียบง่าย บางแบบเน้นความทนทาน และบางแบบก็ยกระดับความแม่นยำไปสู่ระดับดิจิทัล

ประเภทของไม้บรรทัด

ไม้บรรทัด อาจดูเหมือนเครื่องมือพื้นฐานที่ใคร ๆ ก็มี แต่หากมองลึกลงไปจะพบว่า “ไม้บรรทัด” มีหลากหลายประเภท แต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่งานออกแบบเชิงศิลป์ไปจนถึงงานวิศวกรรมความละเอียดสูง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักไม้บรรทัดแต่ละประเภท จุดเด่น และเทคนิคการเลือกใช้

เมื่อเข้าใจแล้วว่าไม้บรรทัดไม่ใช่เพียงเครื่องมือวัด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของมาตรฐานที่ทุกคนยึดถือ ในการใช้งานจริง ไม้บรรทัดก็มีหลากหลายประเภทให้เลือกตามความต้องการ ทั้งในห้องเรียน งานช่าง ไปจนถึงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาลองเปรียบเทียบคุณสมบัติของไม้บรรทัดแต่ละแบบกันในตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบไม้บรรทัดแต่ละประเภท

ประเภทไม้บรรทัด

เหมาะกับใคร ข้อดี ข้อเสีย
ไม้ (Wooden Ruler) นักเรียนทั่วไป งานเขียน/วาดพื้นฐาน ราคาถูก ใช้ง่าย น้ำหนักเบา บิดงอง่ายเมื่อเจอความชื้น ตัวเลขลบเลือน
พลาสติก (Plastic Ruler) นักเรียน นักออกแบบเบื้องต้น โปร่งใส มองเห็นเส้นงาน ใช้ง่าย ราคาย่อมเยา แตกหักง่ายเมื่อกดแรง
สแตนเลส Stainless (Steel Ruler) งานออกแบบ งานช่าง
งานอุตสาหรรม
ทนทาน ไม่โก่ง ไม่หักง่าย หนัก อาจบาดมือถ้าขอบไม่เรียบ
สามเหลี่ยม (Triangular/Drafting Ruler) สถาปนิก วิศวกร นักเขียนแบบ มีหลายสเกลในไม้เดียว ใช้กับงานเขียนแบบ หนัก เกะกะบนโต๊ะ
ไม้บรรทัดพับ (Folding Ruler) ช่างไม้ ก่อสร้าง งานภาคสนาม ยาวแต่พกสะดวก พับเก็บได้ ข้อต่ออาจหลวมเมื่อใช้บ่อย ความแม่นยำลด
ดิจิทัล (Digital Ruler) วิศวกร งานอุตสาหกรรมความละเอียดสูง วัดแม่นยำ แสดงผลบนจอ ส่งข้อมูลได้ ราคาสูง ต้องใช้แบตเตอรี่
แฟนซี/ดีไซน์ (Designer Ruler) นักเรียน คนรักเครื่องเขียน ดีไซน์สวย บางรุ่นรวมฟังก์ชันหลายอย่าง อาจไม่ทนหรือแม่นยำ

 

ปัญหาที่ผู้ใช้ไม้บรรทัดทั่วไปมักเจอ หลายคนอาจเคยประสบปัญหาจากไม้บรรทัดธรรมดาที่เราใช้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น
การใช้ไม้บรรทัดในชีวิตประจำวันอาจดูเป็นเรื่องง่าย แต่หลายคนต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพงาน ดังนี้

  • ปัญหาด้านความแม่นยำ ไม้บรรทัดราคาถูกหลายชิ้นมีข้อบกพร่องในการผลิต ทำให้ขนาดที่วัดได้คลาดเคลื่อนจากค่าจริง ส่งผลให้งานที่ต้องการความแม่นยำสูงเกิดความผิดพลาดได้
  • ปัญหาด้านการมองเห็น ตัวเลขและเครื่องหมายบนไม้บรรทัดมักจางหายไปเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผู้ใช้ต้องเพ่งมองหรือวัดซ้ำหลายครั้ง ซึ่งเป็นการเสียเวลาและลดประสิทธิภาพการทำงาน
  • ปัญหาด้านความทนทาน ไม้บรรทัดพลาสติกมักบิดงอหรือแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน ขอบที่ไม่ตรงอีกต่อไปจะส่งผลต่องานที่ต้องการความแม่นยำ

Shinwa ทางออกสำหรับคนที่ต้องการความแม่นยำ

ไม้บรรทัด Shinwa ผลิตตามมาตรฐาน JIS ให้ความแม่นยำระดับ ±0.15 มม. และตัวเลขคมชัด เคลือบฮาร์ดโครมป้องกันการลบเลือน ใช้งานได้นานหลายปีโดยไม่เสียความเที่ยงตรง

ไม้บรรทัด Shinwa – มาตรฐานญี่ปุ่นที่มืออาชีพเลือกใช้

หากพูดถึงไม้บรรทัด Shinwa จากญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มืออาชีพไว้วางใจ โดยเฉพาะในวงการงานช่างและงานอุตสาหกรรม จุดเด่นคือการผลิตที่อ้างอิงมาตรฐาน JIS (Japanese Industrial Standards) ทำให้มีความแม่นยำสูงและทนทาน

คุณสมบัติเด่นของไม้บรรทัด Shinwa

  • วัสดุ สแตนเลสสตีล คุณภาพสูง
  • ผิวเคลือบ ฮาร์ดโครม (Hard Chrome Plating) ป้องกันรอยขีดข่วน ตัวเลขไม่ลอก
  • ความแม่นยำ: ±0.15 มม. ตามมาตรฐาน JIS

รายละเอียดสเปกไม้บรรทัด Shinwa แต่ละรุ่น

Code No. Description ขนาด (ยาว x กว้าง x หนา) วัสดุ
H-101A 15 cm 175 × 15 × 0.5 mm Stainless Steel
H-101C 30 cm 335 × 25 × 1.0 mm Stainless Steel
H-101E 60 cm 640 × 30 × 1.2 mm Stainless Steel
H-101F 1.0 m 1,050 × 35 × 1.5 mm Stainless Steel
H-102G 1.5 m 1,565 × 40 × 2.0 mm Stainless Steel
H-102H 2.0 m 2,065 × 40 × 2.0 mm Stainless Steel
H-401A 15 cm / 6” 175 × 15 × 0.5 mm Stainless Steel
H-401C 30 cm / 12” 335 × 25 × 1.0 mm Stainless Steel
H-401E 60 cm / 24” 640 × 30 × 1.2 mm Stainless Steel
H-401F 1.0 m / 36” 1,050 × 35 × 1.5 mm Stainless Steel

ไม้บรรทัด Shinwa จึงเหมาะสำหรับ วิศวกร ช่างเทคนิค นักออกแบบ และโรงงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ใช้งานได้ทั้งในงานตรวจสอบ (Inspection) และงานผลิต (Production)

สรุป

การเลือกไม้บรรทัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรเลือกให้เหมาะกับงาน ถ้าต้องการความแม่นยำสูงในงานอุตสาหกรรม การเลือกไม้บรรทัดสแตนเลสคุณภาพสูงอย่าง Shinwa จะช่วยให้มั่นใจในผลการวัด ลดความผิดพลาด และเพิ่มความน่าเชื่อถือของงาน

 

 

Ref.

Eley Metrology

ResearchGate

RGB Elektronika

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

ดูโปรโมชั่นไม้บรรทัด บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

เทียบชัด Stainless Steel Rule ความต่างของ Hard Chrome Finish VS. Polish Finish แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ?

ไม้บรรทัดสแตนเลส เป็นเครื่องมือวัดที่ช่างและวิศวกรนิยมใช้ เนื่องจากความแม่นยำ ความทนทาน และอายุการใช้งานยาวนาน ในตลาดมีหลายรูปแบบ แต่สองประเภทที่ได้รับความนิยมสูงคือ ไม้บรรทัดสแตนเลส ชนิด Hard Chrome Finish และชนิด Polish Finish ซึ่งแม้จะดูคล้ายกัน แต่มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

Stainless Steel Rule Hard Chrome Finish

ไม้บรรทัดประเภทนี้เคลือบผิวด้วย ฮาร์ดโครม (Hard Chrome) โดยใช้เทคโนโลยีการผลิต Etching และ Plating
หนึ่งในจุดเด่นของไม้บรรทัดสแตนเลสชนิด Hard Chrome Finish คือการทำสเกลด้วยกระบวนการ Etching หรือการกัดกรดลงบนผิวสแตนเลส เพื่อให้ร่องสเกลฝังอยู่ในเนื้อโลหะโดยตรง ทำให้ตัวเลขและเส้นวัดไม่ลอกจาง แม้ใช้งานเป็นเวลานาน จากนั้นจะผ่านขั้นตอน Plating หรือการชุบผิวฮาร์ดโครม เพื่อเพิ่มความแข็ง ทนรอยขีดข่วน และป้องกันการกัดกร่อน กระบวนการนี้ช่วยให้ไม้บรรทัดคงประสิทธิภาพการวัดได้แม้ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น ความชื้น หรือสารเคมี

คุณสมบัติเด่นของชนิด Hard Chrome Finish

1.ป้องกันแสงสะท้อน (Anti-Glare) ผิวเคลือบเป็นลักษณะด้าน (Matte Finish) ลดการสะท้อนของแสง ทำให้สามารถอ่านสเกลได้ชัดเจนแม้อยู่ในพื้นที่สว่างมาก

2.ความทนทานสูง (High Durability) การเคลือบฮาร์ดโครมช่วยให้ผิวทนต่อการขีดข่วนและการสึกหรอ เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หนักหน่วง

3.ความแม่นยำระดับ JIS Grade 1 ให้ค่าการวัดที่แม่นยำตามมาตรฐานญี่ปุ่น

4.กระบวนการผลิตแบบ Etching และ Plating ทำให้สเกลคงทน ไม่หลุดลอก แม้ใช้งานเป็นเวลานาน

5.มีทั้งหน่วย Metric (เมตริก) และ Inch (นิ้ว) สะดวกสำหรับงานที่ต้องใช้ระบบหน่วยผสมการใช้งาน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงในสภาพแวดล้อมที่อาจมีฝุ่น ความชื้น หรือการกระแทก เช่น งานเครื่องกล งานประกอบชิ้นส่วน และงานตรวจสอบคุณภาพ ดูรายละเอียดไม้บรรทัดสแตนเลสคลิก

Stainless Steel Rule Polish Finish

รุ่นนี้ทำจากสแตนเลสขัดเงา คุณภาพสูง  ราคาย่อมเยากว่า Hard Chrome Finish

คุณสมบัติเด่นของชนิด Polish Finish

  1. ผิวมันเงามีแสงสะท้อน ผิวสัมผัสเรียบ เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
  2. ราคาประหยัดกว่า เนื่องจากกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อนเท่าการเคลือบฮาร์ดโครม
  3. ความแม่นยำระดับ JIS Grade 1 แม่นยำเช่นเดียวกับรุ่น Hard Chrome Finish
  4. สเกล หน่วย Metric (เมตริก) เหมาะกับงานที่ใช้หน่วยเมตรเป็นหลัก การใช้งานเหมาะกับงานวัดทั่วไปในสำนักงาน โรงเรียน

สรุปความแตกต่างหลักๆ

คุณสมบัติ Hard Chrome Finish Polish Finish
แสงสะท้อน ป้องกัน ไม่ป้องกัน
ความทนทาน สูง ปานกลาง
หน่วยวัด Metric + Inch Metric
วัสดุ Stainless steel Stainless steel
มาตรฐาน JIS JIS
การใช้งาน งานอุตสาหกรรม งานทั่วไป

 

เลือกแบบไหนดี ข้อแนะนำการเลือกใช้

  1. ในกรณีที่คุณต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า หรืองานที่ทำนั้นมีความเสี่ยงต่อการขีดข่วนไม้บรรทัดสแตนเลสแนะนำว่าควรเลือกแบบ Hard Chrome Finish เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันแสงสะท้อนและมีความทนทานสูง
  2. ในกรณีที่คุณใช้สำหรับงานทั่วไปและต้องการความคุ้มค่า Polish Finish เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะยังคงได้รับมาตรฐาน JIS ทำให้มั่นใจว่าค่าที่วัดนั้นแม่นยำ

สรุป

พื้นผิวของไม้บรรทัดสแตนเลสทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันชัดเจน โดย ผิวขัดเงา (Polish Finish) เป็นสแตนเลสแบบปกติ เหมาะกับงานทั่วไป ชนิดฮาร์ดโครม (Hard Chrome) มีผิวด้าน (Matte Finish) ที่ช่วยป้องกันแสงสะท้อนและทำให้สามารถอ่านสเกลได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงและใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า หรือเสี่ยงต่อการขีดข่วน

 

Ref.

Shinwa Measuring

Nihonsantools

 

 

ผู้เขียน BDS TEAM

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

Standard Plate คืออะไร? ประโยชน์และการใช้งานในงานอุตสาหกรรมที่ควรรู้

Standard Plate หรือ “แผ่นมาตรฐาน” คือ เครื่องมือวัดที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดและรูปร่างที่แม่นยำตามมาตรฐานกำหนด(มาตรวิทยา)  ใช้สำหรับการสอบเทียบ (Calibration) หรือเป็นแม่แบบในการตรวจสอบความแม่นยำของอุปกรณ์วัดอื่นๆ เช่น เครื่องมือวัดขนาด เครื่องมือวัดระยะ หรือใช้เป็นมาสเตอร์ในสายงานควบคุมคุณภาพ

แผ่นมาตรฐานนี้มักทำจากวัสดุที่มีความคงตัวสูง เช่น เหล็กกล้า หรือเซรามิก ผ่านการผลิตด้วยกรรมวิธีที่ควบคุมความละเอียดและขนาดมาก เพื่อให้ค่าขนาดและพื้นผิวมีความแม่นยำ สามารถนำมาใช้สอบเทียบเครื่องมือวัดระดับสูง

Standard Plate ใช้สำหรับทำอะไร

Standard Plate สามารถเอามาใช้งานได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับทางผู้ใช้งานที่จะสร้างชิ้นงาน Standard Plate ขึ้นมาเพื่ออะไร เช่น เป็นมาสเตอร์ (Standard) ที่เอาใช้กำหนดความยาวและความกว้างของเนื้องาน

Standard Plate เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำในการผลิตและการวัด เช่น

  • อุตสาหกรรมยานยนต์
    เช่น การผลิตยางรถยนต์ ชิ้นส่วนช่วงล่าง หรือชิ้นงานที่ต้องควบคุมขนาด
  • อุตสาหกรรมแม่พิมพ์และการผลิตชิ้นส่วนโลหะ
    เช่น โรงงานผลิตแม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์โลหะ ที่ต้องใช้มาตรฐานขนาดในการตั้งเครื่องจักรหรือทวนสอบชิ้นงาน
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนความละเอียดสูง
    ที่ต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัดขนาดและเครื่องมือวัดระยะต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นงานที่ผลิตได้มาตรฐานสากล

ตัวอย่างงานที่ใช้ แผ่นมาตรฐาน

เช่น ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ เมื่อจะผลิตยางขนาดต่างๆ จะต้องมีการตั้งมาตรฐานขนาดสำหรับเครื่องจักร โดยใช้ Standard Plate เป็นแม่แบบวัดหรือจุดอ้างอิง เพื่อให้ทุกชิ้นงานออกมาตรงตามมาตรฐานเดียวกัน ลดความเสี่ยงเรื่องของเสียและเพิ่มความน่าเชื่อถือในคุณภาพ

ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัด มีผลต่อลูกค้าอย่างไร

Standard Plate เป็นชิ้นงานที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษจากความต้องการของลูกค้า ฉะนั้นควรที่จะทำการส่งสอบเทียบเพื่อวัดค่าของชิ้นงานที่สร้างขึ้นมาเพราะจะได้รู้ว่าขนาด (Dimension) ของ Standard Plate ที่ใช้งานอยู่ได้ค่าตรงตามความต้องการหรือไม่

ประเภทของเครื่องมือ

แบ่งออกเป็นได้ 2 ประเภท ได้แก่

    • Standard Plate ที่มีขนาดใหญ่ไม่สามารถรับกลับมาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการได้ ต้องไป ONSITE ที่หน้างาน
    • Standard Plate ที่มีขนาดเล็กสามารถรับกลับเข้ามาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการได้และสามารถเอาขึ้นสอบเทียบกับเครื่อง Coordinate Measuring Machine (CMM) ได้

วิธีการสอบเทียบ Standard Plate ในห้องปฏิบัติการของ CLC เบื้องต้น

จะนำชิ้นงานขึ้นบนเครื่อง Coordinate Measuring Machine (CMM) โดยเวลาสอบเทียบจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง

  • T (TOP) – บน
  • C (CENTER) – กลาง
  • B (BOTTOM) – ล่าง

ใช้ Probe CMM ลากวัดระยะเพื่อหาค่าความยาวของตัวชิ้นงานในแต่ละช่วงที่แบ่งไว้ทั้ง 3 ตำแหน่ง การวัดจะทำให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของ Standard Plate
ตามรูปด้านล่าง

ลักษณะของ Standard Plate (สอบเทียบในห้องแลป)

ขนาดชิ้นงานที่มีความยาวไม่เกิน 1000 mm. เพราะถ้าเกิน 1000 mm. จะไม่สามารถนำขึ้นสอบเทียบบนเครื่อง CMM ได้และตัวเครื่องมือสามารถที่จะเคลื่อนย้ายนำกลับมาสอบเทียบภายในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ ในรูปจะเป็น Standard Plate ขนาด 200 mm , 600 mm

ปัจจัยที่จำเป็นต่อการสอบเทียบ

การสอบเทียบเครื่องมือวัดแผ่นมาตรฐานจำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมสำหรับการสอบเทียบ (สอบเทียบในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ)

  • Temperature : 20 ± 1 ºC
  • Humidity : 55 % ± 10 % RH

Standard ที่ใช้ในการสอบเทียบ Standard Plate (สอบเทียบในปฏิบัติการสอบเทียบ)

ตัวอย่างเครื่อง Coordinate Measuring Machine, Zeiss Model Contura G2/7106 RDS ของบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

ลักษณะของ Standard Plate (สอบเทียบแบบ ON SITE)

ขนาดชิ้นงานจะมีความยาวตั้งแต่ 1000 mm. ขึ้นไปเคลื่อนย้ายในการสอบเทียบจะค่อนข้างลำบากเพราะมีขนาดใหญ่ไม่ควรที่จะส่งเข้ามาสอบเทียบภายในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ ในรูปด้านล่างจะเป็น Standard Plate ขนาด 2000 mm , 2500 mm , 3500 mm

Standard ที่ใช้ในการสอบเทียบ Standard Plate ในแบบประเภท (ON SITE)

ตัวอย่างเครื่อง Laser Tracker, Faro Model Vantage ของบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

การสอบเทียบแบบ Onsite สำหรับเครื่องมือวัด Plate Standard

สิ่งที่จำเป็นคือการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในการสอบเทียบ (ON SITE) ให้อยู่ที่

  • Temperature: 25 ºC to 27 ºC
  • Humidity: 65% RH   to 72% RH

ขอบข่ายในการออก ACCREDITED จากห้องปฏิบัติการ Calibration Laboratory

  • สามารถออก ACCREDITED ANAB ในส่วนของ ON SITE จะใช้ SCOPE [CLC-CPCMM-04]
  • สามารถออก ACCREDITED ANAB ในส่วนของสอบเทียบในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ (In Lab) จะใช้ SCOPE [CLC-CPCMM-01]

CLC สามารถสอบเทียบอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง

วัดระยะหาค่าความยาวของตัวเครื่องมือแต่ละ Range ที่ลูกค้ากำหนดมาที่ตัวชิ้นงาน หน่วยการวัดจะออกมาเป็นหน่วย mm (มิลลิเมตร)

ลักษณะการใช้งานของ Standard Plate

ตัวชิ้นงานในรูปจะเป็น  Standard Plate ที่นำเอามาใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทยางรถยนต์ ซึ่งขนาดของยางจะมีไม่เท่ากันมีทั้งใหญ่และเล็ก ทางกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมยางเลยมี Standard Plate อยู่หลายขนาดขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละขนาดแตกต่างกันออกไป Standard Plate จะถูกนำมา Set และใช้ Laser ยิงระยะไปที่ตัว Standard Plate เพื่อให้ได้ค่าที่ Set ไว้ของแต่ละขนาดออกมาได้มาตรฐานการผลิตที่กำหนด

 

Ref.
Mitutoyo

Metrology Mahr

Pubmed Central

 

ผู้เขียน MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

OD vs ID ต่างกันอย่างไร? รู้ให้ชัดก่อนเลือกใช้งานจริง

งานอุตสาหกรรม วิศวกรรม หรือแม้กระทั่งงานออกแบบชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัตถุทรงกระบอก ไม่ว่าจะเป็นท่อ เพลา หรือถัง กลุ่มคำว่า OD และ ID มักถูกพูดถึงและใช้งานอยู่เสมอ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมาย และความแตกต่างที่ชัดเจนของทั้งสองคำนี้ บทความนี้จะช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายและชัดเจน เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้งานได้ถูกต้องและเหมาะสมกับงานจริง

OD คืออะไร?

OD หรือ Outer Diameter หมายถึง เส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก ของวัตถุทรงกระบอก ซึ่งเป็นระยะห่างระหว่างขอบด้านนอกฝั่งหนึ่งถึงขอบด้านนอกฝั่งตรงข้าม ผ่านจุดศูนย์กลางของวัตถุ
การวัด OD เป็นสิ่งสำคัญเพื่อกำหนดขนาดภายนอกของชิ้นงาน และมักใช้สำหรับการออกแบบพื้นที่การติดตั้ง การประกอบชิ้นส่วน หรือการเลือกอุปกรณ์ที่ต้องพอดีกับชิ้นงานนั้นๆ

ID คืออะไร?

ID หรือ Inner Diameter หมายถึง เส้นผ่านศูนย์กลางภายใน ของวัตถุทรงกระบอก เป็นระยะห่างระหว่างขอบด้านในฝั่งหนึ่งถึงขอบด้านในฝั่งตรงข้าม ผ่านจุดศูนย์กลาง
การวัด ID สำคัญในการออกแบบและควบคุมคุณภาพชิ้นงานที่มีลักษณะกลวง เช่น ท่อ กระบอกสูบหรือถัง ที่ต้องการขนาดภายในเพื่อคำนวณปริมาตร หรือการไหลของของเหลว

ทำไมต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OD และ ID?

ในงานอุตสาหกรรม วิศวกรรม หรือแม้แต่การใช้งานทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนทรงกระบอก เช่น ท่อ เพลาหรือถัง เรามักได้ยินคำว่า OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) ซึ่งเป็นขนาดที่สำคัญและจำเป็นต้องเข้าใจให้ชัดเจน แต่ทำไมเราถึงต้องรู้และเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OD และ ID?

1. เพื่อการเลือกใช้ชิ้นส่วนที่เหมาะสม

การเลือกชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในระบบท่อ ระบบเครื่องจักร หรือระบบประกอบอื่น ๆ จำเป็นต้องรู้ขนาด OD และ ID อย่างแม่นยำ เพื่อให้ชิ้นส่วนที่นำมาใช้มีขนาดพอดี ไม่หลวมจนทำให้เกิดการรั่วซึมหรือเสียความแข็งแรง และไม่แน่นเกินไปจนประกอบไม่ได้

2. เพื่อการออกแบบและคำนวณที่ถูกต้อง

OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) มีผลโดยตรงต่อการคำนวณปริมาตร น้ำหนัก หรือแรงดันในระบบ เช่น ID จะใช้ในการคำนวณพื้นที่หน้าตัดสำหรับของไหลที่ไหลผ่านในท่อ OD จะใช้ในการคำนวณความหนาของผนังท่อและความแข็งแรงของวัสดุ หากไม่เข้าใจความแตกต่าง อาจส่งผลให้คำนวณผิดพลาดและเกิดปัญหาตามมา

3. เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

ขนาดที่ไม่เหมาะสม เช่น ท่อที่มี ID (Inner Diameter)  เล็กเกินไป อาจทำให้เกิดแรงดันสะสมจนระเบิด หรือ OD (Outer Diameter)  ที่ไม่พอดีกับอุปกรณ์อื่นอาจทำให้เกิดการรั่วซึม ทำงานผิดปกติหรือเกิดอุบัติเหตุได้

4. เพื่อการควบคุมคุณภาพและตรวจสอบงาน

ในการผลิตหรือซ่อมบำรุง จำเป็นต้องวัด OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter)  อย่างแม่นยำเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า หรือชิ้นส่วนผ่านมาตรฐานที่กำหนด การวัดผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ต้องเสียเวลาซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่

5. เพื่อประหยัดเวลาและลดต้นทุน

ความเข้าใจที่ถูกต้องช่วยลดข้อผิดพลาดในการสั่งซื้อ และการใช้งาน ลดการส่งคืนสินค้า และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานโดยรวม

การเลือกใช้งาน Pi Tape ให้เหมาะกับการวัด OD และ ID

Pi Tape (เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง หรือ Diameter Tape) เป็นเครื่องมือวัดที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกหรือวงกลม โดยแปลงค่าความยาวรอบวงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางได้อย่างแม่นยำ นิยมใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ท่อ ถังแรงดัน และชิ้นงานขนาดใหญ่ที่เครื่องมือวัดทั่วไปเข้าถึงได้ยาก

Pi Tape แบ่งการใช้งานหลักออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะของชิ้นงานที่ต้องการวัด คือ

  1. PRECISION OUTSIDE DIAMETER TAPES (OD) – สำหรับวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก
  2. PRECISION INSIDE DIAMETER TAPES (ID) – สำหรับวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน

สรุป

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่มีผลโดยตรงกับความสำเร็จของงานตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการประกอบและการใช้งานจริงไม่ว่าจะเป็นช่างเทคนิค วิศวกร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การมีความรู้และความเข้าใจในขนาด OD และ ID จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมืออาชีพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การเลือกใช้ Pi Tape ให้เหมาะสมกับ OD หรือ ID จะช่วยให้การวัดมีความแม่นยำ ปลอดภัย และใช้งานได้ยาวนาน โดยควรพิจารณาจากลักษณะของชิ้นงาน, หน่วยวัด, ความละเอียด และวัสดุของเทป รวมไปถึงควรสอบเทียบก่อนใช้งานเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือมีความน่าเชื่อถือในการวัดค่าจริงในกระบวนการผลิต

 

BDS TEAM

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

ทำไม ‘1 °C’ ทำให้เกจบล็อกคลาดเคลื่อนได้เป็นล้าน? คำตอบที่มืออาชีพมองข้าม

คำถามนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าตกใจ แต่สะท้อนว่า การดูแลเกจบล็อกอย่างถูกต้องไม่ใช่แค่การเช็ดให้สะอาด แต่ต้องควบคุม “อุณหภูมิ” อย่างแม่นยำ เพราะแม้ความเปลี่ยนแปลงเพียง 1 องศาเซลเซียสก็สามารถทำให้ค่าความยาวคลาดเคลื่อนระดับไมโครเมตรได้ซึ่งมากพอจะสะสมเป็นความผิดพลาดในระดับชิ้นส่วนล้านชิ้นในสายการผลิต นี่จึงเป็นเหตุผลที่การเก็บ ใช้งาน และสอบเทียบเกจบล็อกต้องอยู่ภายใต้สภาวะ 20 °C คงที่เสมอ เพื่อให้สามารถรักษา”ค่ามาตรฐาน”ไว้ได้อย่างแท้จริง

การดูแลรักษา Gauge Block อย่างมืออาชีพ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่คนทำงานวัดละเอียดต้องเข้าใจ

Gauge Block หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “เกจบล็อก” คือเครื่องมือวัดมาตรฐานความยาวที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่งที่เคยใช้งานมาของสายงานสอบเทียบ แม้จะดูเหมือนชิ้นโลหะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แต่ความผิดพลาดเพียงไม่กี่ไมโครเมตรจากการดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้อง สามารถนำไปสู่ความเสียหายเชิงระบบในสายการผลิตได้ทันที และเกิดขึ้นมาแล้วในหลายโรงงาน

ความเข้าใจผิดเรื่อง Gauge Block ที่หลายคนยังมองข้าม

จากประสบการณ์ในงานสอบเทียบ พบว่าหลายคนเข้าใจว่าเกจบล็อกไม่จำเป็นต้องดูแลมาก เพราะมันเป็นวัสดุแข็งแรง ไม่ค่อยขยับหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ซึ่งไม่จริงเลย ความเป็นจริงคือเกจบล็อกทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ทังสเตนคาร์ไบด์ หรือเซรามิก ต่างมีพฤติกรรมทางกายภาพที่ตอบสนองต่อความชื้น อุณหภูมิ และสารเคลือบผิวที่เราใช้ทาอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะเกจบล็อกที่ทำจากเหล็ก ซึ่งพบได้บ่อยในโรงงาน ถ้าไม่ได้รับการเคลือบกันสนิมอย่างถูกวิธีหรือเคลือบมากเกินไป จนกลายเป็นคราบแข็ง ๆ บนผิว นอกจากจะทำให้วริง (Wringing) ไม่ได้ดี ยังทำให้ค่าจริงคลาดเคลื่อนได้เกินเกณฑ์สอบเทียบอีกด้วย มีที่เคยเจอก้อนที่วริง (Wringing)ไม่ได้เลย ทั้งที่ภายนอกดูสะอาด เพราะภายในมีคราบน้ำมันที่เช็ดไม่ออกฝังอยู่ตั้งแต่การเก็บรักษาครั้งก่อน

ความแตกต่างในการดูแลรักษาแต่ละวัสดุ

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ แม้เกจบล็อกจะมีหน้าตาคล้ายกัน แต่วัสดุที่ใช้ผลิตนั้นแตกต่างกันชัดเจน ทั้งแบบเหล็ก เซรามิก และคาร์ไบด์ การดูแลก็ไม่สามารถเหมารวมได้

ตัวอย่างเช่น

  • เหล็กจะไวต่อความชื้นและสนามแม่เหล็กตกค้างมากที่สุด เวลาใช้งานในห้องที่มี RH สูงหรืออยู่ใกล้แม่เหล็กถาวร สนามตกค้างจะดึงเศษโลหะหรือฝุ่นเหล็กเข้าผิวเกจโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้าไม่ demagnetize ก่อนใช้งาน โอกาสที่ค่าจะคลาดเคลื่อนมีสูงมาก
  • คาร์ไบด์ แม้จะทนต่อการสึกหรอได้ดีกว่าเหล็กหลายเท่า แต่มีน้ำหนักมาก และเปราะกว่าที่คิด ถ้าเผลอทำตกพื้น โอกาสบิ่นสูง โดยเฉพาะตามขอบ หรือจุดที่ใช้วริง (Wringing)
  • เซรามิก แม้ไม่เป็นสนิมเลยก็จริง แต่ก็ไวต่อแรงกระแทกไม่แพ้กัน เคยแค่ตกจากขอบโต๊ะ ยังเห็นรอยร้าวเล็ก ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกต ก็อาจนำไปใช้ต่อได้โดยไม่รู้ว่าผิวบล็อกเสียไปแล้ว

อุณหภูมิ 1 °C ที่สร้างความคลาดเคลื่อนมหาศาล

สิ่งที่มักถูกละเลยที่สุดคือเรื่องอุณหภูมิ หลายๆโรงงานที่คิดว่าการนำเกจบล็อกออกจากกล่องแล้ววัดได้เลย เป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วถ้าเกจบล็อก เกจบล็อกคลาดเคลื่อน นั้นเป็นไปได้ยากมาก หรือแทบไม่เกิดขึ้น ความจริงแล้วเครื่องมือวัด และชิ้นงานที่ไม่ได้อยู่ในอุณหภูมิ 20 °C อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนใช้งาน ค่าความยาวที่ได้อาจคลาดเคลื่อนได้ในระดับไมโครเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัดในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การสอบเทียบ Master หรือการตั้ง Zero บนเครื่อง CMM เป็นต้น

เคยมีกรณีที่ค่าความยาวคลาดไปถึง 2 ไมครอนจากการเร่งใช้งานทั้งที่อุณหภูมิห้องยังไม่คงที่ พอเจาะดูย้อนกลับไป ปรากฏว่าเกจบล็อกเพิ่งถูกนำออกจากกล่องในคลังที่อุณหภูมิเพียง 17 °C ซึ่งเป็นความต่างเพียง 3 องศา แต่ผลสะท้อนในระบบคุณภาพกลับสูงจนต้องสอบเทียบใหม่ทั้งล็อต

การสอบเทียบที่ต่อเนื่องและไม่ละเลย คือหัวใจของความแม่นยำ

การสอบเทียบไม่ใช่แค่การส่งเกจบล็อกไปที่ห้องแล็บปีละครั้ง แต่คือกระบวนการรักษาความน่าเชื่อถือของทุกเครื่องมือวัดที่ใช้อ้างอิง ถ้าใช้เกจบล็อกเป็น Master ในการตั้งค่า Zero หรือทำการวัดสำคัญ แล้วปล่อยให้ค่าจริงเปลี่ยนโดยไม่มีการตรวจสอบ สุดท้ายความเสียหายจะย้อนกลับมาที่ระบบ QC ของโรงงานแน่นอน

สำหรับเกจบล็อกที่ใช้งานทุกวัน แนะนำว่าให้มีการตรวจสอบเบื้องต้นอย่างน้อยเดือนละครั้ง เช่น ตรวจคราบบนผิว ตรวจแม่เหล็กตกค้าง และเช็คการวริง (Wringing) ว่าทำได้เต็มหน้าเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนการสอบเทียบกับห้องแล็บภายนอก ควรเว้นไม่เกิน 6–12 เดือนสำหรับการใช้งานปกติ หรือ 12–24 เดือนสำหรับบล็อกที่ใช้เฉพาะสอบเทียบเท่านั้น

หมายเหตุ ในกรณีที่ต้องการความแม่นยำในการใช้งานมากๆ ต้องคำนึงถึงการ Demagnetize หรือคือการ เตรียมผิวทางแม่เหล็กก่อนล้างเกจบล็อกโดยใช้สนามแม่เหล็กสลับ-ลดกำลังเพื่อลบสนามตกค้าง (Residual Magnetism) ให้เหลือต่ำกว่า ≈ 1 – 2 เกาส์ เมื่อแรงดึงดูดผงโลหะหมดไป ผิวจึงเปิดรับสารละลายและแรงกลได้เต็มที่ จึงจะทำให้ขั้นตอนเคมีกลอย่างการเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรืออัลตราโซนิกจึงจะสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้หมดจดและไม่ทิ้งอนุภาคโลหะฝังแน่น การตรวจสอบและปฏิบัติตามขั้นตอนนี้จะเพิ่มทั้งความสะอาดและความแม่นยำของบล็อกในคราวเดียว

โดยสรุป “ขั้นตอนพื้นฐาน” การทำความสะอาด, การควบคุมอุณหภูมิ 20 °C, การเก็บในกล่องปิดสนิท, การหลีกเลี่ยงแรงกระแทก/การขีดข่วน และการสอบเทียบตามรอบ เหมือนกันทุกชนิด แต่ “รายละเอียดข้อควรระวัง” จะแตกต่างตาม วัสดุ (Steel, Ceramic, Tungsten Carbine ฯลฯ) และ เกรด (K, 00, 0, 1, 2 หรือ AS-1  Workshop)

สรุป

  • หลักการพื้นฐานเหมือนกัน คือ ต้อง สะอาด แห้ง เก็บในที่ที่อุณหภูมิคงที่และเก็บรักษาไว้ในกล่อง
  • จุดต่างสำคัญ การ ป้องกันสนิม (เฉพาะ Steel), การเลือก หินลบคม และ ความเปราะ,แม่เหล็ก ของแต่ละวัสดุ
  • มาตรฐานอ้างอิงตาม

ถ้าถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Gauge Block เสื่อมเร็วที่สุด คำตอบไม่ใช่แค่ความชื้นหรือการเก็บไม่ดี แต่คือ “ความเข้าใจผิด” และ “ความรีบ” ที่พนักงานหลายคนมีเวลาใช้งาน พอใช้ผิด ไม่ทำความสะอาด หรือไม่ควบคุมอุณหภูมิ ค่าที่ได้ก็เริ่มคลาด และการวัดทุกอย่างที่ตามมาก็จะผิดตามไปโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น การดูแลเกจบล็อกไม่ใช่เรื่องของความละเอียดเกินจำเป็น เพราะ เกจบล็อกคลาดเคลื่อน เกิดขึ้นได้เสมอ มันคือการปกป้องความแม่นยำตั้งแต่จุดเริ่มต้น ถ้าคุณเชื่อว่า “วัดแม่นตั้งแต่ต้น ผลลัพธ์ย่อมแม่นถึงปลาย” Gauge Block ก็เป็นเครื่องมือที่ต้องใส่ใจให้มากที่สุดในระบบวัดของคุณ

การยึดหลักวิธีดูแลรักษาดังกล่าวจะยืดอายุการใช้งาน Gauge Block ทุกชนิด พร้อมคงความถูกต้องในระดับไมโครเมตรได้ยาวอย่างนาน

 

ผู้เขียน L2GB

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

Pi TAPE เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง สายวัดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา มีดีแค่ความแม่นยำจริงหรือ?

คุณรู้จัก Pi TAPE หรือไม่?

Pi Tape หรือชื่อเต็มว่า Pi Tape Measure (เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง, เทปพาย, เทป Pi) คือ เครื่องมือวัดที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการวัดเส้นรอบวงหรือเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกอย่างแม่นยำ เช่น ท่อ ถังทรงกระบอก เพลา โดยมีจุดเด่น คือสามารถวัดเส้นรอบวงแล้วแปลงค่าทันทีเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางด้วยความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความเที่ยงตรง โดยในงานทางอุตสาหกรรมเราจะแยก Pi Tape ออกเป็นคนละประเภทจาก Measuring Tape อย่างชัดเจนเพื่อความถูกต้อง

ในโลกของอุตสาหกรรมที่ต้องการความเที่ยงตรงในการวัดโดยเฉพาะกับวัตถุทรงกระบอก เช่น ท่อ ถังทรงกระบอก หรือเพลา Pi TAPE ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความสะดวก ความแม่นยำ และการใช้งานที่หลากหลาย

จุดเริ่มต้นของ Pi Tape

Pi Tape มีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) โดยเริ่มถูกพัฒนาและจดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี 1944 โดย Oscar E. Lindholm ผู้ก่อตั้งบริษัท Pi Tape International ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมือง Dayton รัฐ Ohio

เขาเป็นผู้ริเริ่มไอเดียของเครื่องมือวัดที่สามารถใช้เส้นรอบวงมาคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางได้อย่างแม่นยำ ด้วยการใช้ค่า π (pi) ที่เป็นค่าคงที่ในคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “Pi Tape”

การคิดค้นนี้เกิดจากความต้องการเครื่องมือวัดที่สามารถใช้งานได้ง่าย พกพาสะดวก และให้ค่าที่แม่นยำในการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุขนาดใหญ่หรือวัตถุที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าหาเครื่องมือวัดแบบดั้งเดิมได้

การพัฒนาและความสำคัญในอุตสาหกรรม

หลังจากการเปิดตัว Pi Tape ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องมือนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมหลายแขนง เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ การผลิตเหล็ก โรงงานเครื่องกล ไปจนถึงห้องแล็บที่ต้องการวัดวัตถุทรงกระบอกด้วยความละเอียดสูง

เทปพายถูกผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เช่น สแตนเลสสตีล และถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องให้มีค่าความแม่นยำสูงถึงระดับ ±0.001 นิ้ว ทำให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และได้รับการรับรองโดยสถาบันมาตรวิทยาหลายแห่งทั่วโลก

ความสำคัญของ Pi Tape

เทปพายมีความสำคัญคือ

  • ความแม่นยำสูง ลดความผิดพลาดในการแปลงค่าจากเส้นรอบวงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง
  • ประหยัดเวลา วัดแล้วอ่านค่าได้โดยตรง ไม่ต้องคำนวณ
  • ใช้งานง่ายและสะดวก ขนาดเล็ก พกพาง่าย ใช้งานได้ในพื้นที่แคบหรือภาคสนาม
  • รองรับการสอบเทียบ เป็นเครื่องมือที่สามารถสอบเทียบได้ตามมาตรฐานสากล

เทปพายไม่ใช่เพียงแค่สายวัดธรรมดา แต่เป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแนวทางการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกในอุตสาหกรรม ด้วยจุดเริ่มต้นจากความคิดสร้างสรรค์ของ Oscar Lindholm จากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ปัจจุบัน Pi Tape กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือวัดที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก และยังคงเป็นที่ต้องการสูงในทุกวงการที่ต้องการความแม่นยำในการวัด จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในรัฐ Ohio ของสหรัฐอเมริกา วันนี้ Pi Tape ได้กลายเป็นเครื่องมือวัดระดับโลกที่ยังคงครองใจผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมมานานหลายทศวรรษ

แต่เทป Pi ไม่ได้มีดีแค่ความแม่นยำ แล้วเราจะใช้งานยังไงให้ถูกต้อง? และจะดูแลรักษาอย่างไรให้อุปกรณ์นี้คงคุณภาพสูงสุดไปนาน ๆ

Pi Tape มีดีอย่างไร

  1. วัดเส้นรอบวงโดยไม่ต้องหมุนชิ้นงาน
    หลายโรงงานมีปัญหาเรื่อง “วัดไม่ได้” เพราะชิ้นงานใหญ่มาก หนักมาก หรืออยู่ในตำแหน่งที่หมุนไม่ได้เลย ซึ่งถ้าใช้สายวัดธรรมดา หรือเวอร์เนียแบบวงกลม ก็ต้องขยับ หรือหมุนชิ้นงานเสมอ  แต่ Pi TAPE ไม่ต้อง แค่พันรอบ วางให้ถูก อ่านค่าได้เลย ง่าย เร็ว และปลอดภัย สำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูงหรือเข้าถึงยาก
  1. บางแต่ทน แถมคืนตัวแม่นยำ
    ตัวเทปผลิตจากวัสดุพิเศษที่บางแต่ทนต่อแรงดึงและแรงกระแทก แถมมีการ “Pre-tension” มาจากโรงงาน ทำให้เมื่อวัดแล้วตัวเทปจะคืนตัวได้ตรงตามมาตรฐานเดิม ไม่ยืดย้วยเหมือนสายวัดทั่วไปที่ใช้ไปนาน ๆ แล้วค่าจะเพี้ยน นี่คือสิ่งที่ช่างหรือวิศวกรหลายคนไม่รู้ จับดูอาจคล้าย ๆ กัน แต่ผลวัดต่างกันโดยสิ้นเชิง
  1. ใช้ได้แม้พื้นที่แคบหรือมุมอับ
    งานบางประเภทอย่างเช่นวัดท่อใต้เครื่องจักร วัดชิ้นงานที่ติดผนัง หรือโครงสร้างที่อยู่ในตำแหน่งอับ ถ้าใช้เครื่องวัดขนาดใหญ่ก็เข้าไม่ถึง แต่เทป Piด้วยความบางและยืดหยุ่นสูง สามารถเลื้อยเข้าไปวัดได้แบบไม่ต้องรื้ออะไรเลย
  1. ปรับใช้งานเฉพาะทางได้หลากหลาย
    หลายคนไม่รู้ว่าเทปพายมีรุ่นเฉพาะทาง เช่น  สำหรับวัดขนาดที่อุณหภูมิสูง สำหรับวัดวัตถุทรงรี (ไม่กลมเป๊ะ) หรือแม้แต่วัดในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีรุนแรง
    ซึ่งถ้าเลือกใช้ให้เหมาะกับลักษณะงาน จะช่วยลดเวลาการทำงานและลดความผิดพลาดได้แบบไม่น่าเชื่อ

แล้วทำไมต้องใช้ Pi Tape?

เหตุผลที่เลือกใช้เพราะเทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลางคือเครื่องมือที่สามารถให้คำตอบสำหรับการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกอย่างแม่นยำ

เมื่อคุณต้องการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อ เพลา หรือชิ้นงานทรงกระบอก การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อความแม่นยำของงาน โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานสูง เช่น การบิน น้ำมัน ปิโตรเคมี หรือโรงงานผลิตชิ้นส่วนที่ต้องควบคุมขนาดอย่างเข้มงวด

หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและยอมรับทั่วโลกคือ Pi Tape  เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลางที่แม่นยำที่สุดในกลุ่มเครื่องมือวัดพกพา

วัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ทันที ไม่ต้องคำนวณ

ต่างจากสายวัดทั่วไปที่ต้องวัดความยาวรอบวงก่อน แล้วนำมาหารด้วยค่า π (3.1416) เพื่อหาค่าเส้นผ่านศูนย์กลาง เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง มีการปรับสเกลให้แสดงค่าด้านผ่านศูนย์กลางโดยตรง เพียงแค่พันรอบวัตถุแล้วอ่านค่า ไม่ต้องคำนวณเอง ลดโอกาสผิดพลาดจากการคิดเลขผิด

ความแม่นยำระดับอุตสาหกรรม

เทปพายผลิตจากสแตนเลสคุณภาพสูง พร้อมระบบสเกลแบบเวอร์เนียร์ (Vernier scale) ที่มีความละเอียดสูงถึง ±0.001 นิ้ว หรือ ±0.03 มิลลิเมตร แม้กับชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ถึง 144 นิ้ว จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น งานตรวจสอบคุณภาพ หรือการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration)

ใช้กับวัตถุที่ไม่ได้กลมเป๊ะ (Out-of-round)

อย่างที่บอกไว้ข้างต้น Pi Tape สามารถใช้ในกรณีที่วัตถุมีลักษณะเบี้ยวเล็กน้อย ไม่ได้กลมสมบูรณ์ (ซึ่งพบได้บ่อยๆในงานอุตสาหกรรม) การใช้เวอร์เนียหรือไมโครมิเตอร์ที่วัดได้เพียงจุดเดียวอาจให้ค่าที่ไม่แม่นยำ แต่ Pi Tape จะวัดรอบทั้งวง ทำให้ได้ค่าเฉลี่ยของเส้นผ่านศูนย์กลางจริงที่แม่นยำกว่า

รวมฟังก์ชันวัดรอบวงและแปลงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางไว้ในเครื่องมือตัวเดียว

คุณไม่จำเป็นต้องใช้สายวัดหนึ่งเส้น แล้วมานั่งคิดเลขหาค่าด้านผ่านศูนย์กลางอีกต่อไป เพราะ Pi Tape รวมทุกขั้นตอนให้เรียบร้อย ในเครื่องมือเดียว เหมาะสำหรับการใช้งานภาคสนาม การตรวจสอบซ้ำ และงานที่ต้องใช้เวลาน้อยแต่ความแม่นยำสูง

 

ทาง CLC เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Pi TAPE Taxas ที่ได้รับการรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 Accreditation Cert โดยมีการสอบเทียบตาม ISO/IEC 17025 และ traceable to NIST สามารถเลือก ดูสินค้า Pi Tape ได้จากเรา หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดตามมาตรฐานที่เราได้ผ่านการรับรองทั้งจาก สมอ. และ ANAB ได้ที่นี่ เลือก Pi Tape ทั้งซื้อและสอบเทียบครบวงจรจาก CLC

 

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)
ANAB
มาตรฐานการรับรอง ISO/IEC 17025

Pi Tape Accreditations
Metritools
Pi Tape Texas Accreditations

 

 

 

 

 

BDS Team

 

 


บริการสอบเทียบ Dimension    สินค้า Pi Tape

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

เจาะลึก!! รู้เรื่อง CMM แบบทะลุทะลวง ต้องอ่าน!

CMM (Coordinate Measuring Machine)

Coordinate Measuring Machine หรือ ที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนาม CMM ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าเรื่อง เครื่องมือวัด ประเภท CMM ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC ของเรานั้น เคยได้ลงบทความไปแล้วก่อนหน้านี้ (ตามหาอ่านกันได้) แต่ในครั้งนี้ทางผู้เขียนอยากหยิบยก หรือขยายความในรายละเอียดบางอย่าง เพื่อให้ท่านผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจ ได้มีความเข้าใจและเห็นภาพมากยิ่งขึ้น

ตามที่เราเข้าใจกันนั้น CMM เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก เป็นเครื่องมือวัดอีกชนิดที่มีความแม่นยำสูง (High Precision)และความถูกต้องสูง (High Accuracy) สามารถวัดได้ถึงสามมิติ ( X Axis, Y Axis and Z Axis) เป็นเครื่องมือที่รวมความสามารถของเครื่องมือชนิดอื่นๆทางด้านมิติไว้หลายประเภท และเป็นเครื่องมือที่มีความสลับซับซ้อนในการใช้งานพอสมควร และสามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมประเภท AutoCAD สามารถวัดงานตามแบบที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำและถูกต้องมากกว่าเครื่องมือวัดชนิดอื่นอีกหลายประเภท

ทีนี้เรามาดูกันหน่อยครับว่า เครื่องมือวัดประเภท CMM จริงๆแล้วมีกี่ประเภท ถ้าจะให้แบ่งตามลักษณะการใช้งานและรูปร่างหน้าตา ก็จะพอแบ่งได้ประมาณ 4 ประเภท

CMM มีประเภทอยู่ 4 ประเภท

  1. Bridge Type เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมสูง พบเจอได้บ่อย (บ่อยมากๆ) โครงสร้างมีความแข็งแรง มองแล้วคล้ายกับตัวอักษร U กลับหัว หรือ คล้ายกับสะพาน CMM ประเภทนี้มีความถูกต้องแม่นยำสูง แต่ก็ไม่สามารถวัดชิ้นงานขนาดใหญ่เกินไปได้
  2. Cantilever Type มีความแม่นยำและถูกต้องค่อนข้างสูง แต่ประเภทนี้จะเคลื่อนที่ได้น้อยกว่าและถ้าเทียบกับ CMM ประเภทอื่นนั้นถือว่ามีความยืดหยุ่นในการใช้งานน้อยกว่า ข้อดีคือ ใช้พื้นที่ไม่มาก เหมาะกับวัดชิ้นงานขนาดเล็ก หรือชิ้นงานที่มีลักษณะบางและยาว
  3. Horizontal Arm Type ประเภทนี้ความถูกต้องแม่นยำจะสู้สองแบบด้านบนไม่ได้ แต่สร้างมาเพื่อวัดชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์, โครงสร้างรถยนต์ทั้งคัน, หรือชิ้นส่วนเครื่องจักร หน้าตาถ้ามองเผินๆจะคล้าย Layout Machine
  4. Gantry Type ประเภทนี้ถือว่าได้รวมคุณสมบัติของ CMM ของทั้งสามประเภทด้านบนไว้ในเครื่องเดียว มีความถูกต้องแม่นยำสูง เหมาะกับการวัดงานชิ้นใหญ่ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินนิยมใช้ บางรุ่นบางยี่ห้ออาจมี Range แกน X 1500-5000 mm, แกน Y 3000-10000 mm, แกน Z 1500-3000 mm เลยทีเดียว!
  5. Column Type ส่วนมากเราจะเห็นในห้องทดสอบหรือห้องแล็บต่างๆ

เป็นไงกันบ้างครับรูปร่างหน้าตาและรายละเอียด (พอสังเขป) ของ เครื่องมือวัด CMM แต่ละประเภทที่ได้กล่าวมาด้านบน พอจะเห็นภาพและความแตกต่างด้านรายละเอียดกันไปบ้างแล้ว แต่การเลือกใช้งาน เครื่องมือวัด ประเภท CMM ให้เหมาะสมกับชิ้นงานที่ต้องการวัดนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้ สิ่งนึงที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้กันก็คือ เรื่องของโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ ที่ใช้งานร่วมกับ CMM ของเรา และการฝึกอบรมวิธีการใช้งานในแต่ละ Function ของเครื่อง CMM ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อการใช้งานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพของเครื่องมือระดับนี้ เพราะราคาของ CMM นั้น เป็นเครื่องมือวัดที่ราคาสูงมาก ถ้าใช้งานไม่ชำนาญก็เหมือนกับซื้อมาใช้งานไม่คุ้มค่า..และอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งตัวเครื่องและชิ้นงานที่นำมาวัดและจำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำอีกด้วย

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา (Coordinate Measuring Machine)

  • CMM ควรติดตั้งในพื้นที่หรือห้องที่มีการควบคุมเรื่องอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม เช่น ในห้องLab หรือ ห้อง QA, QC เป็นต้น
  • ผู้ใช้งานต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้งาน CMM เครื่องนั้นๆ
  • ไม่นำชิ้นงานหรือสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินกว่าคู่มือเครื่องนั้นๆกำหนด ขึ้นวางบนพื้นโต๊ะวัดงานของ CMM
  • รักษาความสะอาดของเครื่องและบริเวณห้องที่ติดตั้ง CMM อยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นและความชื้น
  • ไม่แก้ไขดัดแปลงเครื่องเอง ควรดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการโดยตรง
  • หมั่นสอบเทียบจากห้องปฎิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 อย่างน้อยปีละครั้ง

     ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC ของเรา ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องการใช้งาน CMM และทาง CLC ก็ยังรับ สอบเทียบเครื่องมือ CMM รวมถึงตรวจวัดชิ้นงาน หรือ JIG ชนิดต่างๆในรูปแบบ Accredit ISO/IEC 17025:2017 อีกด้วย ทั้งหมดดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการเรื่องนี้โดยตรง ประสบการณ์นับสิบปี (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบเทียบเครื่องมือวัด) ลองติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้เลยครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย แล้วพบกันครั้งหน้าครับ

 

ผู้เขียน CHOK_AM

 

เครื่อง CMM คืออะไร มีประเภทใดบ้าง

วิดีโอ การเทียบค่าความคลาดเคลื่อน CMM วิธีที่วิศวกรเลือกใช้

 บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

รู้ก่อนใช้! เครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ Coating Thickness Gauge ทำงานอย่างไร

วันนี้ผู้เขียนมีตัวอย่างการใช้เครื่อง Coating thickness gauge (เครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ) ที่มักจะสับสนจนถูกใช้งานไม่ถูกวิธีมาฝากกันครับ และอย่าลืมว่าเครื่องมือวัดทุกชนิดจำเป็นต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เพื่อความแม่นยำของค่าการวัดในการใช้งานด้วยครับ

 

Coating Thickness Gauge คือ เครื่องมือใช้ตรวจวัดค่าความหนาของผิวเคลือบสีที่อยู่บนโลหะ (Ferrous) เช่น สี, พลาสติก, สังกะสี หรืออโลหะ (Non Ferrous)  เช่น อลูมิเนียม, ทองแดง ที่เคลือบด้วยสารไม่นำไฟฟ้า ใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพการเคลือบของงาน เช่น การพ่นสี, แลคเกอร์, สังกะสี, โครเมียม, พลาสติก ชุบโลหะ,  การเคลือบกันสนิม หรือชั้นฟิล์มต่างๆ เป็นต้น

บ่อยครั้งที่พบว่ายังมีคนใช้งานจำนวนไม่น้อยที่ใช้เครื่องมือวัดชนิดนี้ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่และก็เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเครื่องนี้เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาก็สามารถนำ Probe ไปแตะบนผิวเคลือบหรือสีที่อยู่บนโลหะและทำการอ่านค่าที่หน้าจอแสดงผลและบันทึกผลการวัดได้เลยแต่หารู้ไม่ว่า..การกระทำเช่นนั้นเป็นการใช้เครื่องอย่างไม่ถูกต้องโดยไม่สมกับราคาค่าตัวของเอาซะเลย (ราคาหลักหลายหมื่น) นอกจากนี้ยังทำให้การวัดค่าครั้งนั้นคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากกกกกอีกด้วย

การใช้งาน เครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ ให้ถูกวิธี

เรามาดูกันครับว่าการใช้งาน เครื่องมือวัดความหนาผิวเคลือบให้ถูกวิธีนั้นควรทำอย่างไร

การใช้งานเครื่องวัดนี้ทางผู้เขียนขออธิบายพอสังเขปแล้วกันนะครับเพราะแต่ละ Brand Model นั้นมีการใช้งานที่แตกต่างกันอยู่บ้างขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละรุ่นแต่โดยรวมแล้วหลักการไม่หนีกันสักเท่าไหร่ครับ

  • หลังจากเปิดเครื่อง Coating Thickness Gauge ให้ทำการ Set Zero โดยการนำ Probe กดลงบน Zero Plate ซึ่งจะมีทั้งแบบ โลหะ (Ferrous) และ อโลหะ (Non-Ferrous) จากนั้นทำการบันทึกค่า Zero เพื่อให้เครื่อง Coating Thickness Gauge ทราบค่าและจดจำค่า Zero
  • นำ Standard Foil มาวางบน Zero Plate นำ Probe กดลงบน Standard Foil จากนั้นทำการ Set ค่าของ Standard Foil และทำการบันทึกค่า Standard Foil เพื่อให้เครื่อง Coating Thickness Gauge ทราบค่าและจดจำค่าของ Standard Foil
  • นำ Coating Thickness Gauge ไปทำการวัดความหนาของสีหรือผิวเคลือบของชิ้นงาน

การเลือกใช้ Coating thickness gauge จะต้องทราบอะไรบ้าง

1. ความหนาของสีหรือผิวเคลือบของชิ้นงานที่ต้องการวัด

ความหนาของสีหรือผิวเคลือบมีตั้งแต่ 20 ไมโครเมตร(µm) ไปจนถึง 10,000 ไมโครเมตร (µm)โดยทั่วไปแล้วความหนาของผิวเคลือบมักไม่เกิน 2,000 ไมโครเมตร µm) การทราบค่าความหนาที่ต้องการวัดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากต้องใช้ Standard Foil ที่เหมาะสมในการตั้งค่าเครื่อง Coating Thickness Gauge

การเลือกใช้ Standard foil แต่ละขนาด ในการ Memory ในแต่ละครั้งให้ผู้ใช้งานคำนึงถึงความหนาผิวเคลือบหรือสีที่อยู่บน โลหะ(Ferrous) หรืออโลหะ (Non Ferrous) ของตัวชิ้นงานที่เราต้องการวัดเป็นสำคัญ โดยต้องเหมาะกับประเภทวัสดุ ต้องให้มีความใกล้เคียงกับความหนาจริงของชั้นเคลือบ เพราะเครื่องมือจะมีค่า Accuracy ที่ดีแค่ช่วง Range แคบๆ เช่นถ้าต้องการวัดความหนาผิวเคลือบที่ Spec ประมาณ 500 ไมโครเมตร(µm) ผู้ใช้งานต้องเลือก Standard Foil ที่มีความหนาใกล้เคียงกับชิ้นงานที่จะวัดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจาก Standard Foil มีหลายความหนา (เช่น 50 μm, 100 μm, 200 μm) บวกลบไม่ควรเกิน 50-100 ไมโครเมตร จึงจะทำให้ค่าที่วัดออกมากถูกต้องมากที่สุด

Standard foil สำคัญอย่างไร ?

หลังจากเก็บค่าศูนย์แล้วสิ่งที่ทุกคนควรต้องมีคือ Standard foil หรือ Calibration Foil ตามแต่จะเรียก (ต้องหมั่นส่งสอบเทียบเป็นประจำนะครับ) นำ Standard Foil ไปวางบน Zero plate (Ferrous, Non Ferrous) แล้วใช้ Probe แตะไปบน Standard foil เพื่อทำการ Memory ให้เครื่องมือจำค่าของ Standard foil ที่เราวางไปบน Zero plate (ตามคู่มือแต่ละรุ่น) ตามตัวอย่างรูปที่ 3

รูปที่ 3

2. ลักษณะของงานว่าเป็นแบบไหน

Coating Thickness Gauge จะมี 2 แบบ คือ

  • แบบที่เป็นสาย Probe แยกออกมาจากตัวเครื่อง โดยแบบนี้เหมาะกับงานที่เป็นจุดที่แคบๆ Probe จะมีให้เลือกค่อนข้างหลายแบบ เช่น แบบเป็นแท่งตรงๆธรรมดา หรือแบบคล้ายๆ ปากกา
  • แบบ Probe ติดอยู่กับตัวเครื่อง จะสะดวกต่อการใช้งานและพกพาง่ายคล้ายๆ แต่มีข้อจำกัด เพราะถ้าเจองานที่มีลักษณะเป็นช่องแคบๆก็ทำการวัดลำบาก หรือไม่สามารถวัดได้เลย

3. งานที่ต้องการวัดเป็นโลหะ (Ferrous) หรือ อโลหะ (Non-Ferrous) 

  • โลหะ (Ferrous) คือ เหล็ก สังกะสี หรือ สังเกตง่ายๆ แม่เหล็กจะสามารถดูดได้
  • อโลหะ (Non-Ferrous) คือ อลูมิเนียม ทองแดง สังเกตง่ายๆ แม่เหล็กจะไม่สามารถดูดได้

Coating thickness gauge บางรุ่นสามารถวัดได้ทั้ง โลหะ (Ferrous) และ อโลหะ (Non-Ferrous) ใน Probe หรือเครื่องเดียวกัน

การดูแลบำรุงรักษา Coating thickness gauge

  • ก่อนและหลังการใช้งานควรทำความสะอาด Probe, Zero Plate, Standard Foil
  • ควรทำความสะอาดผิวของชิ้นงานก่อนทำการวัด
  • หากไม่ได้ใช้เครื่องมือเป็นระยะเวลานาน ควรถอด Battery ออกเพื่อป้องกัน Battery เสื่อมสภาพ
  • ระมัดระวังการใช้งานและการเก็บแผ่น Standard Foil ที่มีความบาง เพราะอาจทำให้ Standard Foil ยับหรือขาด
  • ควรสอบเทียบ Standard Foil ว่าความหนายังอยู่ในเกณฑ์หรือไม่
  • ควรสอบเทียบ Coating Thickness Gauge ว่ายังสามารถอ่านค่าได้ถูกต้องหรือไม่

สำหรับการ สอบเทียบเครื่องมือวัด บริษัท Calibration Laboratory เรามีให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ และ Standard foil (Calibration Foil) ด้วยครับ สนใจสอบถามราคา คลิกเลย –> บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

 

ผู้เขียน Chok_AM, SMT

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

คู่มือการสอบเทียบ Dry Block ที่คุณต้องรู้! วิเคราะห์ทุกมิติของความแม่นยำ

Dry Block สอบเทียบอะไรบ้าง?

                การสอบเทียบ Dry Block โดยปกติแล้วจะแยกเป็น 2 ลักษณะคือเพื่อหาความถูกต้องของตัวแสดงผลของเครื่องมือวัด (Accuracy Test) และเพื่อหาประสิทธิภาพของเครื่องมือวัด (Evaluation Test)

การสอบเทียบ Dry Block

2 ลักษณะคือ

1.Accuracy Test

การสอบเทียบเพื่อหา Accuracy Test จะใช้ Standard Thermometer จุ่มลงไปยังก้นหลุมของเครื่องมือวัด เพื่อเปรียบเทียบผลกับตัวแสดงผล

รูปที่  1 แสดงการสอบเทียบเพื่อหา Accuracy Test

 

2. Evaluation Test

การสอบเทียบเพื่อหา Evaluation Test ประกอบด้วย

2.1 การประเมินความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลา (Stability with time)

2.2 การประเมินความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมี (Radial Inhomogeneity)

2.3 การประเมินค่าความเป็นหนึ่งเดียวกันของอุณหภูมิแนวแกน (Axial Inhomogeneity)

2.4 การประเมินผลกระทบของอุณหภูมิเนื่องจากภาวะโหลด (Loading Effect)

การประเมินความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลา (Stability with time) และการประเมินความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมี (Radial Inhomogeneity)

สอบเทียบเครื่องมือวัด โดยใช้ Standard Probe 2 ตัว จุ่มลงยังก้นหลุมของ Insert ในหลุมที่ห่างกันมากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนครอบคลุมอุณหภูมิของหลุมอื่นๆทั้งหมด เพื่อหาค่าความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมีและสามารถนำข้อมูลเดียวกันมาประเมินหาค่าความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลา โดยที่การประเมินความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลานั้นจะต้องมีช่วงเวลาที่เสถียรแล้วไม่น้อยกว่า 30 นาที

.

รูปที่ 2 แสดงการสอบเทียบเพื่อหา Stability with time และ Radial Inhomogeneity

การประเมินค่าความเป็นหนึ่งเดียวกันของอุณหภูมิแนวแกน (Axial Inhomogeneity)

หลังจากสอบเทียบความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมี จะดึง Standard Probe ขึ้นตามแนวแกนตั้งหนึ่งตัว ที่ระยะ 1, 2, 3 cm ตามลำดับ เพื่อประเมินผลต่างของอุณหภูมิตามแนวแกนเปรียบเทียบกับตำแหน่งก้นหลุม

รูปที่ 3 แสดงการสอบเทียบเพื่อหาAxial Inhomogeneity ที่ระยะ 1, 2, 3 cm ตามลำดับ

การประเมินผลกระทบของอุณหภูมิเนื่องจากภาระโหลด (Loading Effect)

สอบเทียบโดยใช้ Standard Probe 2 ตัว จุ่มลงยังก้นหลุมของ Insert ในหลุมที่ห่างกันมากที่สุดและนำ Dummy Probe จุ่มลงไปยังหลุมที่เหลือที่ตำแหน่งก้นหลุม เพื่อประเมินผลต่างของอุณหภูมิระหว่างการใช้งานแบบมีโหลดเพียงหนึ่ง Probe และการใช้งานแบบมีโหลดเต็มทุกหลุม

รูปที่ 4 แสดงการสอบเทียบเพื่อหา Loading Effect

* เครื่องมือวัดที่ทาง CLC สามารถสอบเทียบได้จะต้องมีขนาดของ Insert ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 mm อย่างน้อย 1 หลุม เนื่องจาก Standard Probe มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 mm ในการสอบเทียบเพื่อหาความถูกต้องของตัวแสดงผล (Accuracy Test) และหากต้องการ Accredit จะต้องมี Insert ที่มีหลุมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 mm มากกว่า 2 หลุมในการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ (Evaluation Test)

 

ผู้เขียน L3

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

V-Anvil Micrometer ใช้งานอย่างไร?

 V-Anvil Micrometer คือ เครื่องมือ ไมโครมิเตอร์ ชนิดหนึ่ง มีทั้งแบบ Digital และแบบ Scale มีหน่วยการวัดทั้ง mm และ inch โดย mm จะมีความละเอียด 0.01 mm และ 0.001 mm, inch จะมีความละเอียด 0.001 inch 0.0001 inch และ 0.00005 inch มีลักษณะคล้ายๆกับ Micrometer แบบมาตรฐานทั่วๆไป  ชิ้นส่วนหลักประกอบด้วย Ratchet, Knurled grip, Thimble, Sleeve, Lock nut, C-Frame, Spindle และ Anvil

V-Anvil Micrometer แตกต่างจากไมโครมิเตอร์อย่างไร

สิ่งที่ทำให้ V-Anvil Micrometer แตกต่างจาก Micrometer ทั่วๆไป คือ

1.รูปร่างของ Anvil ซึ่งมีรูปร่างเหมือนตัวอักษร V ปลายของ Spindle มีลักษณะแบนราบหรือเป็นทรงกรวยโดยมีองศาของจุดสัมผัสที่ปลาย Spindle ที่แตกต่างกัน

2.V-Anvil Micrometer มีความแม่นยำมาก สำหรับการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง เนื่องจากวิธีการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแต่ละครั้งจะวัดจากจุดสัมผัสสามจุด (ด้านของ V-Anvil 2 จุด ด้าน Spindle 1 จุด) การมีจุดสัมผัส 3 จุดนั้น จะทำให้การวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมีความแม่นยำมากกว่าเครื่องมือที่มีจุดสัมผัสแบบ 2 จุด เช่น Vernier Caliper หรือ Micrometer ทั่วไป

การใช้งานสำหรับไมโครมิเตอร์ V-Anvil มีการใช้งานทั่วไป 2 แบบ

1.ใช้สำหรับวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของเครื่องมือคมตัด (Cutting Tool)

การวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของเครื่องมือคมตัดที่มีจำนวนฟันเป็นเลขคี่ เช่น ดอก Tap ดอก Reamer และดอก End mill การใช้ ไมโครมิเตอร์ หรือ Vernier Caliper ทั่วไปนั้นทำได้ยาก เนื่องจากพื้นผิวชิ้นส่วนที่จะทำการวัดนั้นมีลักษณะเป็นผิวโค้ง ทำให้เป็นข้อได้เปรียบของไมโครมิเตอร์ V-Anvil เนื่องจากด้าน Anvil ของไมโครมิเตอร์ V-Anvil นั้นมีเป็นลักษณะตัว V จึงสามารถวัดเครื่องมือคมตัดที่มีฟันเป็นเลขคี่ได้อย่างง่ายดาย เพียงวางเครื่องมือคมตัดบนด้าน V-Anvil แล้วหมุน Spindle เข้าไปเพื่อทำการวัดขนาด

รูปแสดง การวัดขนาด Pitch Diameter ดอก Tap

 

2.ใช้สำหรับการตรวจสอบความกลม

การตรวจสอบความกลมของชิ้นงาน โดยทำการวัดชิ้นงานทรงกลมหรือทรงกระบอกในตำแหน่งต่างๆ หลายๆ ครั้ง เช่น ลูกสูบหรือเพลา แล้วนำค่าที่วัดได้มาประเมินความกลมของชิ้นงาน

รูปแสดง Standard Micrometer for V-Anvil Micrometer

รูปแสดง การใช้ Standard Micrometer for V-Anvil Micrometer ในการ Set V-Anvil Micrometer

วิธีการสอบเทียบ V-Anvil Micrometer

วิธีการสอบเทียบจะแบ่งเป็น 2 วิธี โดยจะแตกต่างกันที่ Standard ที่ใช้สำหรับสอบเทียบ

  1. สอบเทียบโดยการใช้ Pin Gauge เป็น Standard ในการสอบเทียบ Range 1 mm ถึง 15 mm วิธีการนี้จะใช้ Pin Gauge ที่มีขนาดต่างๆ ที่กำหนดเป็น Standard ในการสอบเทียบไมโครมิเตอร์ V-Anvil 
  1. สอบเทียบโดยการใช้ Gauge Block เป็น Standard ในการสอบเทียบ Range 15 mm ขึ้นไป
    วิธีการนี้จะใช้ Gauge Block ที่มีขนาดต่างๆ ที่กำหนดเป็น Standard ในการสอบเทียบไมโครมิเตอร์ V-Anvil โดยจะใช้ไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งต้องสอบเทียบไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer เพื่อให้ทราบค่าที่ถูกต้อง จากนั้นจะใช้ Gauge Block ต่อกับไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer เพื่อให้ได้ค่าที่ต้องการสอบเทียบ โดย Gauge Block นำมาใช้ต่อกับ Gauge Block นั้นต้องใช้วิธีการคำนวณเพื่อให้ได้ขนาดของ Gauge Block ที่ต้องการ สามารถสอบเทียบ V-Anvil Micrometer ได้ทุกขนาด

การดูแลรักษา เครื่องมือวัด V-Anvil Micrometer ก่อนและหลังใช้งาน

  • ควรทำความสะอาดไมโครมิเตอร์ V-Anvil และปากวัดทั้งด้าน Anvil และด้าน Spindle ทุกครั้งทั้งก่อนและหลังใช้งาน
  • การทำความสะอาดหลังใช้งานไมโครมิเตอร์ V-Anvil ควรทาวาสลีน หรือน้ำมันที่ปากวัดทั้งด้าน Anvil และด้าน Spindle ทุกครั้งก่อนเก็บ เพื่อป้องกันสนิม
  • ควรเก็บไมโครมิเตอร์ V-Anvil ไว้ในกล่องเพื่อป้องกันฝุ่น, ความชื้นและแสงแดด

ข้อควรระวังในการใช้งานไมโครมิเตอร์ V-Anvil 

  • ก่อนการใช้งานทุกครั้งต้อง Set ค่าเริ่มต้นหรือการตรวจสอบค่าความถูกต้องของ Scale ด้วยไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil เพื่อป้องกันการอ่านค่าผิดพลาด
  • ระวังอย่าให้ไมโครมิเตอร์ V-Anvil และไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer ตกหล่น เพราะจะทำให้เกิดการเสียหาย
  • ห้ามวัดชิ้นงานที่กำลังหมุนและผิวชิ้นงานที่ยังไม่ได้ปรับสภาพ

ข้อแนะนำเมื่อต้องการส่งไมโครมิเตอร์ V-Anvil มาสอบเทียบ

ควรส่งไมโครมิเตอร์ V-Anvil พร้อม Standard Micrometer for V-Anvil Micrometer มาเพื่อ สอบเทียบเครื่องมือวัด

ผู้เขียน SMT

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา