คลังเก็บป้ายกำกับ: Torque’ Article

ขันผิดชีวิตเปลี่ยน – ทำไมงานโซลาเซลล์ต้องใช้ประแจปอนด์ที่แม่นยำ

ประแจปอนด์ กับอุตสาหกรรมผลิตโซล่าเซลล์

ในยุคที่พลังงานสะอาดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมโซล่าเซลล์ก็กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าของการผลิตพลังงานทางเลือก แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า “ความแม่นยำ” คือหัวใจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของระบบโซลาร์เซลล์แต่ละชุด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการประกอบแผง การติดตั้งโครงสร้าง หรือการต่อจุดเชื่อมต่างๆ หนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามาตรฐานความแม่นยำเหล่านี้ก็คือ “ประแจปอนด์” (Torque Wrench) 

ประแจปอนด์ คืออะไร

ประแจปอนด์เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับ ขันสกรูหรือน็อตให้ได้แรงบิด (Torque) ตามค่าที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการขันแน่นเกินไปหรือหลวมเกินไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแรงและความปลอดภัยของชิ้นงาน

ในงานทั่วไป อาจมองว่าการขันแน่น “นิดหน่อย” ไม่สำคัญ แต่ในงานพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการผลิตและติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ การควบคุมแรงบิดคือสิ่งที่ จำเป็นและขาดไม่ได้

บทบาทของประแจปอนด์ในงานโซล่าเซลล์

ในสายการผลิตและการติดตั้งระบบ Solar Cell ประแจปอนด์ถูกนำมาใช้ในหลายขั้นตอน เช่น

  1. การประกอบโครงสร้าง การขันสกรูยึดโครงอลูมิเนียมและเหล็ก ต้องใช้แรงบิดตามค่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น ในคู่มือของ Canadian Solar ระบุการขัน grounding bolt 3-7 N·m ใช้สำหรับงานติดตั้งโมดูล แผงSolar Cell เป็นต้น เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ทนต่อแรงลม และไม่เกิดการคลายตัวเมื่อเจอความร้อนจากแสงอาทิตย์
  2. การยึดโมดูลแผง Solar Cell นี่คือจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด การขันน็อตยึดแผงต้อง “พอดี” หากแน่นเกินไปอาจทำให้กระจกหรือเฟรมแผงแตกได้ในทันที แต่ถ้าหลวมเกินไปแผงอาจสั่นสะเทือนและหลุดในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเจอพายุหรือลมแรง
  3. การประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและตู้คอนโทรล ต้องใช้แรงบิดตามค่ามาตรฐานเพื่อให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อไฟฟ้ามีความแน่นหนาและปลอดภัย

แรงบิดในการขันอุปกรณ์โซล่าเซลล์

1. การขันโครงสร้างยึดแผง (Mounting Structure)

แรงบิดที่ใช้จะขึ้นอยู่กับวัสดุของโครง เช่น อลูมิเนียม และขนาดของสกรูหรือน็อต ตัวอย่างแรงบิดโดยประมาณที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ (หน่วยเป็น N·m)

ขนาดน็อต ค่าแรงบิดที่แนะนำ
M 6 5 – 7 N·m
M 8 12 – 15 N·m
M 10 35 – 45 N·m
M 12 65 – 75 N·m

ซึ่งในแต่ละอุตสาหกรรมจะใช้แรงบิดที่แตกต่างกันขึ้นกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน เพราะฉะนั้นการใช้งานจริงแนะนำว่าให้ยึดตามคู่มือผู้ผลิตของแต่ละรุ่นเพื่อการติดตั้งที่ถูกต้องแม่นยำ ตัวอย่างแรงบิดที่ใช้ขนาดน็อต M8 ในอุตสาหกรรมโซล่าเซลล์เช่น การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ของ Trina Solar ตามคู่มือระบุแรงบิดไว้สำหรับน็อตขนาด M8 ที่ค่าแรงบิด 16-20 N·m หรือ คู่มือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ จาก LONGi Solar ระบุค่าแรงบิดของสกรูยึดน็อต M8 ไว้ที่ 16-20 N·m และขนาดน็อต M10 ไว้ที่ 33-40 N·m เป็นต้น

2.การขันขายึดแผง

เป็นจุดที่ต้องระวังที่สุด เพราะแรงบิดที่มากเกินไปอาจทำให้ กระจกแผงแตก หรือเฟรมอลูมิเนียมเสียรูป โดยทั่วไปผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์แต่ละรายจะระบุแรงบิดแนะนำไว้ในคู่มือ

ข้อควรระวัง

หากขันแน่นเกินไป อาจทำให้โครงสร้างบิดตัว หรือเกลียวชำรุด ถ้าหลวมเกินไป อาจทำให้แผงสั่น หลุด หรือเกิดการเคลื่อนตัวเมื่อโดนลมแรง

ทำไมต้องใช้ “ประแจปอนด์”

เพราะการใช้แรงมือโดยประมาณไม่สามารถควบคุมแรงบิดได้แน่นอน
การใช้ ประแจปอนด์ (Torque Wrench) จะช่วยให้ขันได้ตามค่าที่กำหนดทุกครั้ง

  • ลดความเสียหายของแผง
  • ป้องกันโครงสร้างหลวม
  • เพิ่มความปลอดภัยในการเดินระบบ

การใช้ประแจปอนด์ในงานอุตสาหกรรมด้าน Solar Cell มีกำหนดไว้เพื่อเป็นมาตรฐานสากลสำหรับ Torque Wrench บ่งบอกชัดเจนว่า เครื่องมือวัดนั้นจำเป็นต้องผ่านการสอบเทียบตามข้อกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนที่ระบุตามมาตรฐาน INTERNATIONAL STANDARD ISO 6789-1

สำหรับผู้ที่ต้องการประแจปอนด์คุณภาพสูง ที่ให้ค่าความแม่นยำตามมาตรฐาน ISO 6789 และสามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดได้ บริษัทฯ ขอแนะนำ ประแจปอนด์แบรนด์ TONE จากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับและมีความนิยมในการใช้งานอุตสาหกรรมผลิตโซล่าเซลล์ ทั้งในขั้นตอนการผลิตและติดตั้ง

รุ่นที่แนะนำสำหรับงานแผงโซล่าเซลล์

สรุป

แรงบิดในงานติดตั้งแผงโซล่าเซลล์แม้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นจุดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบโดยตรง ทั้งในแง่ของ ความแข็งแรง และความปลอดภัย ดังนั้นผู้ติดตั้งและโรงงานผลิตจึงควรใช้ประแจปอนด์ที่ ผ่านการสอบเทียบอย่างถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าค่าแรงบิดที่ใช้งาน “แม่นยำ” และ “ได้มาตรฐาน” ทุกครั้ง

 

 

 

Ref.

INTERNATIONAL STANDARD ISO 6789-1

Torque wrench uses in the renewable energy industry

Trinasolar

 

 

 

BDS TEAM

 

สินค้าเครื่องมือประแจต่างๆ ราคาพิเศษ

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

ต้อง วัดแรงดึง แรงฉุด และน้ำหนักสูง เมื่อไรควรหยิบ Dynamometer มาใช้?

ในภาคส่วนอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นในการวัดค่าแรงดึงหรือแรงกดต่างๆ เพื่อทดสอบคุณสมบัติทางกลของวัสดุในการทนแรงดึงหรือแรงกดนั้น เครื่องมือที่รู้จักกันโดยทั่วไปจะมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและแรงที่ใช้ในการทดสอบ เช่น Push-Pull Gauge, Tensile Machine, Universal Testing Machine รวมถึง Dynamometer เป็นต้น

Dynamometer คืออะไร?

Dynamometer (ไดนาโมมิเตอร์ หรือ ไดโน) คือ เครื่องมือวัดค่าแรงดึงชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการทดสอบแรงดึง รูปร่างลักษณะมีความคล้ายกับ Push-Pull Gauge แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเนื่องจากมีความสามารถในการทดสอบแรงดึงที่สูงกว่าหลายเท่าตัว โดยสามารถทดสอบแรงดึงได้มากกว่า 200 ตัน ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่ากับเครื่อง Universal Testing Machine แต่มีคุณลักษณะและการใช้งานแบบพกพา มีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนย้ายและนำไปใช้นอกสถานที่ได้สะดวกง่ายดายเหมือน Push-Pull Gauge

ไดนาโมมิเตอร์โดยทั่วไปมีหน่วยวัดเป็น ปอนด์, กิโลกรัมและนิวตัน ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับลักษณะงานและการวัดค่าอื่นๆได้ เช่น การวัดค่าความตึง, การวัดค่าแรงฉุด และการวัดน้ำหนักของวัตถุที่มีค่าสูงๆ (ลักษณะการใช้งานเหมือน Crane Scale) ตามขนาดและสเปคที่ระบุมาของเครื่องมือในแต่ละรุ่น ซึ่งในปัจจุบันสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร มีทั้งระบบที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่, ระบบอ่านค่าแบบเข็ม, ระบบอ่านค่าแบบดิจิตอล, ระบบไร้สายอ่านค่าและสั่งงานผ่านอุปกรณ์เสริมหรือโทรศัพท์มือถือ ทำให้สะดวกรวดเร็วสำหรับผู้ใช้งาน การเลือกใช้งานเราจำเป็นต้องคำนึงถึงช่วงวัดค่าที่ใช้งานจริงและสิ่งสำคัญคือ ค่าเซฟตี้แฟคเตอร์ของเครื่องมือจะต้องมีค่าที่สูงและต้องระบุมากับเครื่องมือ เพราะจะเกิดอันตรายได้ง่าย ถ้าไม่มีการระบุค่าเซฟตี้แฟคเตอร์หรือมีค่าเซฟตี้แฟคเตอร์ที่ต่ำ

การใช้งานโดยทั่วไปของ Dynamometer

จะใช้กับหน่วยงานสาธารณูประโภค เช่น การวัดความตึงของสายไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูง, การเดินสายเคเบิ้ลและโทรคมนาคม, สะพานที่แขวนด้วยสายเคเบิ้ลที่จำเป็นต้องทดสอบความตึงของสายเคเบิ้ลในการรับแรง อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้งานไดโนมีดังนี้

  • เครนที่ใช้สำหรับชั่งน้ำหนัก
  • การขนส่งสินค้าและการชั่งน้ำหนักสินค้า
  • การผลิตทางด้านอากาศยานและเรือเดินทะเล
  • การทดสอบภาคสนามที่ต้องการความแม่นยำของ โซ่, เชือก, ลวด และวัสดุอื่นๆ
  • การก่อสร้าง, การขนส่ง, โลจิสติกส์ และการจัดการวัสดุ

จากกรณีศึกษาการใช้งานไดนาโมมิเตอร์ประเภทวัดแรงตึงสาย (Running Line Dynamometer / Cable Tension Dynamometer)

พบว่าหน้างานดึงสายสื่อสารยาวๆ เลือกใช้ Cable Safe แบบรันนิงไลน์เพราะวางอินไลน์กับเชือกแล้วอ่านค่าได้ต่อเนื่อง เริ่มงานจากการเช็กพื้นฐานก่อนทุกครั้ง ทั้งเส้นผ่านศูนย์กลางเชือกกับแรงที่คาดว่าจะดึงว่าตรงสเปกรุ่นไหม ตรวจสภาพตัวเครื่องว่ามีรอยแตก สึก หรือเพลาหลวมไหม (ลูกรอกเล่นได้ไม่เกินราว ๆ 1 มม. กำลังดี) จากนั้นให้ทีมจัดจุดยึดให้ตั้งฉากตั้งตรงที่สุด จะเป็นสลักเกลียว โซ่ หรือสลิงคล้องหูชากเกิลก็แล้วแต่หน้างาน ต่อมาก็ปิดไลน์ให้เชือกหย่อนก่อนร้อยเชือก เข้างานด้วยการถอดลูกรอกบนสองตัว ใส่เชือกลงลูกรอกล่างสามตัวให้เข้าร่อง แล้วใส่ลูกรอกบนกลับพร้อมล็อก lynch pin ให้แน่น ทุกคนใส่ PPE และระวังนิ้วให้ห่างร่องลูกรอกเสมอ เรื่องพลังงานใช้ถ่าน AA 4 ก้อน ใส่ถูกขั้วแล้วรุ่นนี้สามารถจับคู่กับแอป HHP/HHP2 ผ่าน Bluetooth ใช้ดูกราฟค่าแบบเรียลไทม์และเก็บล็อกได้ พอเริ่มดึงให้เพิ่มโหลดช้าๆ เลี่ยงช็อกโหลด และย้ำคนคุมวินช์ไม่ให้วิ่งเกินสเปก ถ้าตัวเลขขึ้นผิดปกติให้หยุดทันทีแล้วไล่ตรวจทุกจุด สำหรับงานกลางแจ้งไม่ต้องห่วงเพราะเครื่องมีการซีล IP67 แต่ถ้าต้องยกจากที่เย็นไปที่ร้อนจะพักให้เครื่องเสถียรสัก 20-30 นาที ถ้าเครื่องขึ้นเตือนว่า Overload ต้องปลดโหลดแล้วเช็กว่าเกิน WLL หรือไม่

สรุปการใช้งานสั้นๆคือ เลือกและตั้งเครื่องตามคู่มือ ร้อยเชือกและล็อกให้ถูกขั้นตอน และคุมการเพิ่มโหลดให้เรียบ อยู่ในกรอบความเร็วกับแรงที่กำหนด

สุดท้ายนี้การเลือกใช้ไดนาโมมิเตอร์ให้เหมาะสมกับงานควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการสอบเทียบเครื่องมือก็มีความจำเป็น เพื่อความถูกต้องแม่นยำของเครื่องมือและคุณภาพงานที่ดีเยี่ยม

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC สามารถสอบเทียบได้

แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด Dynamometer ได้รับการรับรอง Scope ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน ANAB ประเทศสหรัฐอเมริกา จะสามารถสอบเทียบได้ทั้งแบบ ทั้งในห้องปฏิบัติการ (In Lab service) และนอกสถานที่ (Onsite service)

 

Ref.

Dillon force

Eilon Engineering

Straightpoint

MKS

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

ข้อควรระวังในการใช้งาน Push-Pull Gauge

เครื่องวัดแรงดึงแรงกด (Push-Pull Gauge) คือ เครื่องมือวัดแรงดึงและแรงกดขนาดเล็ก เครื่องมือนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ บรรจุภัณฑ์ อาหาร เป็นต้น เพราะเป็นเครื่องมือวัดที่มีขนาดเล็ก และใช้งานได้ง่าย โดยเครื่องมือนี้อาศัยหลักการยืดและหดของตัวสปริงภายใน โดยถ้าเราถ่วงวัตถุหรือออกแรงดึงกับตะขอของเครื่องมือ สปริงก็จะถูกยืดออก ทำให้เข็มที่เครื่องมือหมุนไปยังแรงที่กระทำมากับตัวเครื่องมือ

ประเภทของเครื่องวัดแรงดึงแรงกด (Push-Pull Gauge)

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. เครื่องมือวัดแรงดึงแรงกดแบบอนาล็อก (Analog Push-Pull Gauge) จะมีหน้าจอเป็นแบบเข็มบนหน้าปัด
  2. เครื่องมือวัดแรงดึงแรงกดแบบดิจิตอล (Digital Force Gauge) จะมีหน้าจอเป็นแบบดิจิตอล

ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะมีหน่วยแสดงผลที่แตกต่างกันออกไปตามหน่วยที่เราต้องการจะวัด มีทั้ง N (นิวตัน), lb (ปอนด์), kg (กิโลกรัม) ผู้ใช้งานสามารถเลือกเครื่องมือที่หน่วยตรงกับการใช้งานของตนเองได้เลย เพื่อสะดวกในการใช้งาน สะดวกในการอ่านค่า โดยไม่ต้องแปลงหน่วยกลับไปกลับมาให้สับสน เพราะอาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการอ่านค่าได้

เราจำเป็นที่ต้องส่งสอบเทียบเครื่องมือวัดทุกตัวที่เราใช้วัดชิ้นงาน เพราะเป็นการยืนยันว่าเครื่องมือที่เราใช้วัดนั้นค่าที่หน้าจอแสดงผล ยังอ่านค่ายังตรงอยู่หรือไม่ เพื่อเป็นการการันตีความเชื่อมั่นได้ว่าเครื่องมือนั้นยังเที่ยงตรง พอนำไปวัดชิ้นงานของเรา ก็จะให้ค่าที่แม่นยำ

ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เอง CLC (Calibration Laboratory) สามารถสอบเทียบเครื่องมือดังกล่าวได้ และได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017  ทั้งของในประเทศไทยอย่าง TISI และต่างประเทศอย่าง ANAB (สหรัฐอเมริกา) โดยย่านการวัดที่ทาง CLC สอบเทียบได้และได้รับการรับรองนั้นอยู่ที่ 0-1000 N ในด้านดึง โดย Standard ที่ทาง CLC ใช้ในการสอบเทียบคือ Standard Weight

ภาพตัวอย่างการสอบเทียบ Push-Pull Gauge ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

วิธีการตรวจเช็คเครื่องมือก่อนการสอบเทียบ

  1. ตรวจเช็คเครื่องมือว่ามีอุปกรณ์ เช่น ตะขอดึง Jigกด ว่ามีมาหรือไม่
  2. ตรวจเช็คเข็มว่าเข็มหมุนเต็ม Range หรือไม่ เข็มหักหรือไม่ หมุนกลับไปที่ศูนย์หรือไม่
  3. ตรวจเช็คกายภาพของเครื่องมือว่า แตก หัก เสียหาย หน้าจอแตกหรือไม่
  4. กรณีเป็นเครื่องมือแบบหน้าจอดิจิตอล ตรวจเช็คว่าเครื่องมือเปิดติดหรือไม่ มี Adaptor หรือสายชาร์จมาหรือไม่ รางถ่านมีสนิมหรือไม่
  5. ทำความสะอาดเครื่องมือด้วยผ้าสะอาดก่อนทำการสอบเทียบ

ทั้งนี้ผู้ใช้งานเครื่องมือเองก็สามารถตรวจเช็คเครื่องมือเช่นเดียวกับที่ทาง CLC ทำ เพื่อเป็นการรักษาเครื่องมือให้มีอายุการใช้งานที่นานยิ่งขึ้น

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนการใช้งาน

การเลือกช่วงวัดให้เหมาะสม

ก่อนใช้งานเครื่องวัดแรงดึง–แรงกด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่วงการวัดของเครื่องครอบคลุมแรงที่คุณต้องการใช้งานจริง เช่น ถ้าคุณต้องการวัดแรงดึงสูงสุด 500 นิวตัน เครื่องมือที่ใช้ควรมีช่วงวัดมากกว่าอย่างน้อย 20–30% เพื่อป้องกันการใช้งานเกินขีดจำกัด เพราะหากใช้เครื่องวัดในช่วงสูงสุดต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้กลไกภายในสึกหรอหรือคลาดเคลื่อนได้

การอ่านคู่มือก่อนติดตั้ง

ทุกครั้งก่อนใช้งาน ควรอ่านคู่มือการใช้งานที่มากับเครื่องอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและอุปกรณ์เสริม เช่น ตะขอดึง (Jig) หรือแผ่นกด (Plate) คู่มือจะระบุรายละเอียดวิธีติดตั้ง การตั้งค่าหน่วยวัด การต่อสาย และข้อควรระวังเฉพาะรุ่น ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายจากการติดตั้งผิดตำแหน่งหรือออกแรงเกินกำลังของเครื่องมือ

การเลือกหน่วยวัดให้ตรงกับการใช้งาน

Push-Pull Gauge สมัยใหม่สามารถตั้งค่าได้หลายหน่วย เช่น นิวตัน (N), กิโลกรัม (kg), หรือ ปอนด์ (lb) ควรเลือกหน่วยที่ตรงกับมาตรฐานการผลิตหรือเอกสารควบคุมคุณภาพขององค์กร เพื่อป้องกันการแปลงหน่วยผิดพลาด เพราะการแปลงหน่วยซ้ำ ๆ มักเป็นสาเหตุของความคลาดเคลื่อนในการบันทึกผล

การตรวจสอบเครื่องมือก่อนใช้งาน

ก่อนเริ่มใช้งานจริง ควรตรวจสอบสภาพเครื่องมือให้ครบทุกจุด เริ่มจากดูว่าตะขอดึง หรือ Jig กดยังอยู่ครบ ไม่มีการชำรุดหรือสึกหรอ หากเป็นรุ่นดิจิทัล ให้ตรวจเช็กว่าเครื่องเปิดติด หน้าจอแสดงผลชัดเจน แบตเตอรี่หรือสายชาร์จอยู่ในสภาพดี และไม่มีคราบสนิมในช่องใส่ถ่าน สุดท้ายควรทำความสะอาดเครื่องด้วยผ้านุ่มก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันฝุ่นหรือน้ำมันที่อาจรบกวนความแม่นยำของค่าที่วัดได้

รูปตัวอย่างตะขอดึง Jig ที่มาพร้อมเครื่องมือ

ข้อควรระวังใน การใช้งาน Push-Pull Gauge

  1. ไม่ควรใช้กับแรงที่เกินขีดความสามารถของเครื่องมือ เพราะจะทำให้เครื่องมือเสีย
  2. ไม่ควรเสียบที่ชาร์จค้างไว้ตลอดการใช้งานเพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ง่าย
  3. ไม่ควรให้น้ำเข้าเครื่อง อาจทำให้เครื่องช๊อตได้
  4. ควรติดตั้งเครื่องมือให้มีพื้นที่เหมาะสมกับการใช้งาน

 

Ref.

Mhforce

Astm.org

Mikrometry

NIST Handbook

ASTM E74

ISO/IEC 17025:2017 

 

 

 

MKS

บริการสอบเทียบด้านแรงบิดและแรง

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

เคล็ดลับ ดูแล Torque Meter ให้แม่นยำเหมือนใหม่

Torque Meter เป็นเครื่องมือที่อยู่ในกลุ่มประเภทวัดแรงบิดเพื่อนำไปทำการทดสอบแรงบิด

หน่วยวัดของ Torque Meter

โดยส่วนมากที่ใช้กันจะมีอยู่หลักๆ 3 หน่วย

  • lb×f  ปอนด์-ฟุต
  • N×m  นิวตัน-เมตร
  • kgf×cm  กิโลกรัมแรง-เซนติเมตร

Standard ที่ใช้ในการสอบเทียบ

  • Calibration Arm
  • Standard Weight
  • Hanger

CLC (แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี บริษัทสอบเทียบเครื่องมือวัด) พร้อมให้บริการสอบเทียบ Torque Meter

ด้วยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองความสามารถ (Accredited) จากหน่วยงานมาตรฐานสากล

  • สมอ. (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม)
  • ANAB (ANSI National Accreditation Board) 

ควบคุมอุณหภูมิในการสอบเทียบ

  • Temperature: 23 ± ºC
  • Humidity: 55 % RH ± 10 %RH

การทำงานของ TORQUE METER ใช้ได้กี่ทิศทาง

การทำงานของ TORQUE METER สามารถใช้ได้ 2 ทิศทาง CW (ตามเข็มนาฬิกา) และ CCW (ทวนเข็มนาฬิกา)

การเตรียมอุปกรณ์ก่อนส่งสอบเทียบ

ก่อนจะส่ง Torque Meter ไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อสอบเทียบ สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก คือการดูแลความสะอาดของเครื่องมือให้เรียบร้อย ไม่ควรมีคราบน้ำมัน หรือฝุ่นติดอยู่ เพราะสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้สามารถทำให้ค่าที่ได้คลาดเคลื่อนได้ จากนั้นจึงตรวจสอบสภาพโดยรวมว่ามีส่วนใดชำรุดหรือไม่ อุปกรณ์ต้องไม่บิดงอหรือเสียรูป หากพบความผิดปกติควรแก้ไขก่อนส่งต่อไปให้ห้องแล็บ

นอกจากนี้ การเก็บบันทึกการใช้งานล่าสุดก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เพราะข้อมูลดังกล่าวช่วยยืนยันว่า Torque Meter ถูกใช้งานอยู่ในช่วงแรงบิดที่เหมาะสม ไม่เกินกว่าข้อกำหนดของผู้ผลิต เมื่อห้องแล็บได้รับข้อมูลครบถ้วนก็จะสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ผลได้ถูกต้องมากขึ้น

สุดท้ายหากสามารถการจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใบรายการเครื่องมือ (Instrument List) หรือหมายเลขประจำเครื่อง (Serial Number) ให้ชัดเจน การส่งมอบเครื่องมือพร้อมเอกสารครบชุดนี้ไม่เพียงทำให้ขั้นตอนการสอบเทียบเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือเมื่อต้องอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 17025 อีกด้วย

ทำไมต้องส่ง Torque Meter สอบเทียบ

กระบวนการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมตามโรงงานแทบทุกพื้นของอุตสาหกรรมในประเทศไทยต้องมีการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้มาตฐานตามความต้องการของทางลูกค้า การใช้งานของ Torque Meter แต่ละ ยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะมี Max Range ของเครื่องมือบอกอยู่แล้วว่าสามารถใช้งานได้ที่เท่าไหร่ ดังนั้นเวลาใช้งานก็ไม่ควรใช้เกิน Max Range ของตัวเครื่องมือการส่งเครื่องมือวัดเข้ามาสอบเทียบเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ และเที่ยงตรงในการใช้งานของแต่ละ Max Range

ความถี่ที่ควรสอบเทียบ Torque Meter

การสอบเทียบ Torque Meter ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความแม่นยำของเครื่องมือ มาตรฐานทั่วไปที่นิยมใช้กันคือการสอบเทียบปีละครั้ง แต่ในบางกรณี หากเครื่องมือถูกใช้งานบ่อยหรือใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานที่ต้องขันสกรูแรงบิดสูงตลอดเวลา หรือใช้กับงานที่ต้องการความละเอียดมาก ก็อาจจำเป็นต้องสอบเทียบถี่ขึ้นเป็นทุก 6 เดือน

ในกรณีที่เพิ่งซื้อเครื่องมือใหม่ ก็ควรส่งสอบเทียบก่อนนำมาใช้งานครั้งแรก เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมืออยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานจริงและตรงตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ หากเครื่องมือเคยผ่านการซ่อมหรือมีเหตุการณ์ที่อาจทำให้ค่าการวัดคลาดเคลื่อน เช่น การตกหล่นหรือโดนแรงกระแทก ก็ควรส่งตรวจสอบและสอบเทียบซ้ำทันที ไม่ควรรอถึงรอบการสอบเทียบประจำปี

เรื่องที่ควรให้ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การใช้งานภายในช่วงแรงบิดสูงสุด (Max Range) ของ Torque Meter แต่ละรุ่น ซึ่งผู้ผลิตจะระบุไว้อย่างชัดเจนว่าค่าที่เครื่องมือรองรับได้สูงสุดคือเท่าไหร่ การใช้งานเกินกว่าค่าดังกล่าวนอกจากจะทำให้เครื่องมือเสียหายแล้ว ยังส่งผลต่อความแม่นยำของค่าที่วัดได้ และอาจทำให้ความถี่ในการสอบเทียบต้องสั้นลงกว่าปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือยังคงทำงานได้ตรงตามมาตรฐาน

ดังนั้น การกำหนดความถี่ในการสอบเทียบที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงยึดตามกรอบเวลาอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับรูปแบบการใช้งานจริง โดยเฉพาะการใช้งานใกล้หรือเกิน Max Range ที่จะเร่งให้เครื่องมือเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และจำเป็นต้องสอบเทียบถี่กว่าปกติ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจกระทบต่อคุณภาพของงานและความปลอดภัยในการผลิต

วิธีการดูแลเก็บรักษาเครื่องมือ Torque Meter

  1. ห้ามโยนหรือยกวางกระแทรกแรงๆหลังใช้งานเสร็จ หรือ ขณะที่กำลังใช้งาน
  2. ไม่ควรใช้น้ำมัน หรือ สารหล่อลื่นเช็ดทำความสะอาดตัว Torque Meter หลังจากใช้งานควรเช็ดและทำความสะอาดโดยทั่วไปและควรหาผ้ามาคลุ่ม หรือ กล่องเก็บ หลังใช้งานเสร็จทุกครั้ง
  3. ไม่ควรตั้ง หรือ วาง ตัว Torque Meter ในบริเวณพื้นที่ที่มีความชื้น และเปียก
  4. ทุกครั้งที่ใช้งานตัว Torque Meter เสร็จควรคลายค่า Torque กลับสู่ค่าต่ำสุดของตัวเครื่องด้วยทุกครั้งหลังจากเลิกใช้งานเพื่อที่จะถนอมสปริงของแรงบิดในตัวเครื่องและถนอมตัวเครื่องให้ใช้งานได้นานๆ
  1. ทุกครั้งที่มีการชาร์ทไฟเข้าตัวเครื่อง Torque Meter ควรใช้ Adapter ของเครื่องตัวมันเองเท่านั้นเพราะถ้าเกิดใช้ Adapter ที่ไม่ใช่ของที่มากับตัวเครื่อง เครื่องมืออาจชำรุดเสียหายได้เพราะไฟอาจจะเข้าเครื่อง Torque Meter เกินที่ตัวเครื่องมือจะรับได้
  2. ควรส่ง Torque Meter สอบเทียบอยู่บ่อยๆ ตามรอบ Due หรือตามความเหมาะสม ถ้าลูกค้าใช้งานบ่อยมากกลัวว่าค่าที่ได้อาจมีปัญหาก่อนจะถึงรอบ Due ลูกค้าก็ควรส่งเครื่องมือเข้าสอบเทียบบ่อยมากกว่า 1 ครั้ง/ปี

 

Ref.

Mountztorque

Nagman Calibration

Calibration Select

 

MKS

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

NUT RUNNER คืออะไร? รู้จักเครื่องขันสกรูอัตโนมัติ พร้อมเหตุผลที่ต้องสอบเทียบกับ CLC

Nut Runner คืออะไร

Nut Runner คือ เครื่องมือเครื่องขันสกรูอัตโนมัติ เป็นกระบวนการสำหรับการควบคุม Torque (แรงหมุน), การควบคุมมุม, การตรวจสอบแรง ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการทำงานที่หลากหลายของ Torque ให้แน่นยิ่งขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น หรือ คือ ระบบขันอัตโนมัติที่รวมแรงขับ เซ็นเซอร์ และ controller เข้าด้วยกัน เพื่อให้การขันน็อตหรือสกรูเป็นไปตามมาตรฐานแรงบิดและได้มุมที่กำหนดตรงตามวิศวกรรม สามารถบันทึกเอกสารคุณภาพได้ ทำให้เครื่องมือประเภทนี้สามารถยกระดับกระบวนการการผลิตให้มีความแม่นยำและสอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลกได้ เช่น มาตรฐาน ISO สำหรับโรงงานที่จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำในการผลิตสูงเพื่อลดข้อผิดพลาดจากความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ

เครื่องมือเครื่องขันสกรูอัตโนมัติใช้สำหรับทำอะไรได้บ้าง

เครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติสามารถช่วยดูลักษณะการคลายตัวของชิ้นงาน เพื่อลดปัญหาของการขันชิ้นงานที่ผลิตไม่ให้เป็นไปในรูปแบบของการปีนเกลียว ขันไม่สุด ขันแล้วคลาย อะไรต่าง ๆ อีกมากมายซึ่งผู้ผลิตเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติก็ได้ออกแบบให้สามารถที่จะตรวจวัดได้หลายรูปแบบ  มี Step ในการขันที่หลายขั้นตอนขึ้นมีความแม่นยำไม่เหมือนกับการใช้คนขัน และมีการควบคุมการขันหลาย ๆ ตัวพร้อมกัน เพื่อให้ตัวชิ้นงานที่วัดมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบที่ถูกต้อง   และที่สำคัญ เครื่องมือยังสามารถกำหนด  Angle  เป็นลักษณะของการควบคุมองศาของการขัน หลังจากที่การขันได้ ค่า Torque ที่ต้องการแล้ว ต้องขันเลยไปอีกกี่องศา ซึ่งสามารถที่จะกำหนดได้

เครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติที่พบได้ทั่วไปมีกี่ชนิด

ที่พบได้ทั่วไปจะมี 2 ชนิด

    1. เครื่องมือแบบทั่วไปที่ใช้ทุนแรงในการขันชิ้นงาน โดยปกติจะกำหนดค่าแรงที่ต้องการโดยการใช้หมุนปรับค่าแรงที่ต้องการ สามารถกำหนดขันแน่นหรือคลายได้
    2. DC Nut Runner เป็นเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติที่พัฒนามาจากเครื่องแบบทั่วไป โดยพัฒนามาเป็นระบบไฟฟ้า โดยจะมีเครื่อง Controller เป็นตัวกำหนดค่าแรงที่ต้องการ อาจจะเชื่อมต่อกับตัววัดโดยสายเคเบิ้ล หรือเชื่อมต่อด้วยระบบ WIFI, Bluetooth และสามารถบันทึกค่าที่ใช้ขันได้

เครื่องขันสกรูอัตโนมัตินั้น ไม่ได้มีหัวแค่แบบเดียว แต่มีหัวหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานตามลักษณะของหน้างานจริงที่แตกต่างกันไป หัวแบบ In-line เป็นหัวที่แกนหมุนตรงกับแกนของตัวเครื่อง เหมาะสำหรับการขันในแนวเส้นตรงที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ส่วนหัวแบบ Offset ถึงแม้จะยังคงแนวหมุนขนานกับตัวเครื่อง แต่จะเยื้องออกไปเล็กน้อย ช่วยให้เข้าไปขันในจุดที่อาจมีสิ่งกีดขวางได้สะดวกขึ้น สำหรับงานที่ต้องขันในมุมแคบหรือมุมฉาก หัวแบบ Right-angle ที่แกนการหมุนทำมุม 90 องศากับตัวเครื่องก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์

ในบางกรณีที่ตำแหน่งขันอยู่ลึกหรือเข้าถึงยาก หัวแบบ Crowfoot ซึ่งมีลักษณะแบนหรือยาวพิเศษ จะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น และหากต้องขันในจุดที่ต้องสอดหัวผ่านน็อตเข้าไปก่อนแล้วจึงขัน หัวแบบ Tubenut ที่ออกแบบมาให้มีช่องเปิดก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ได้ดีในสถานการณ์เช่นนั้น

นอกจากเรื่องรูปแบบหัวแล้ว สเปกด้านเทคนิคของ Nut Runner ก็เป็นอีกจุดสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เช่น ช่วงแรงบิดที่รองรับได้ ความเร็วรอบขณะไม่มีโหลด รวมถึงระดับเสียงขณะทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพงาน ความรวดเร็วในการผลิต และความปลอดภัยของผู้ใช้งาน อีกทั้งยังต้องพิจารณาขนาดตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นความยาว เส้นผ่านศูนย์กลาง หรือแม้แต่น้ำหนัก เพราะทั้งหมดล้วนมีผลต่อความสะดวกในการใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานในสภาพแวดล้อมการผลิต

การเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน

การเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน ต้องพิจารณาหลากหลายด้านอย่างละเอียด เพื่อให้ได้เครื่องมือที่เหมาะสม สอดคล้องกับงาน และมั่นใจในมาตรฐานความแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อผู้เขียนมีประสบการณ์ในสายช่างกว่า 30 ปี และเข้าใจระบบ SEO และ Google Algorithm ล่าสุด นี่คือการขยายความโดยอ้างอิงจากแหล่งราชการเท่านั้น เช่น Air Torque หรือ Nutrunner แบบใช้ลม คือ เครื่องมือขันอัตโนมัติที่ใช้งานง่าย เบา ทนทาน เหมาะกับงานผลิตจำนวนมาก และช่วยให้การขันน็อตมีความแม่นยำกว่าการใช้แรงคน ใช้ควบคู่กับระบบ shut-off เพื่อตัดแรงหมุนเมื่อถึงค่าแรงบิดที่ต้องการตามมาตรฐาน มั่นใจในคุณภาพงานและความปลอดภัยของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

1. ระดับแรงบิดที่ต้องการ (Required Torque Range)

  • เลือกรุ่นที่รองรับแรงบิดที่ใช้งานในงานจริง ควรเลือกใช้เครื่องที่กำลังแรงอยู่ในช่วง 40–70% ของแรงบิดสูงสุด (สำหรับแรงบิด >200 N·m) หรือ 40–90% (สำหรับ ≤200 N·m) เพื่อให้เครื่องทำงานได้มีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน

  • ยกตัวอย่างเช่น หากใช้งานที่ 80 N·m ควรใช้เครื่องที่มีแรงบิดสูงสุดประมาณ 140–200 N·m ไม่ควรใช้เครื่องค่าต่ำเกินจนต้องลากเต็มกำลัง

2. รูปทรงสกรู/น็อต และพื้นที่การทำงาน

  • พื้นที่เข้าถึงน็อตว่าสามารถใช้งานแบบไหนได้ (ตรง, ปืน, มุมขวา, ติดยาว ฯลฯ)

  • สกรูที่มีหัวแบบพิเศษ (offset หรือ tubenut) ต้องใช้งานหัวเสริมเฉพาะ

  • การวัดแรงบิดต้องถูกต้องแม้เมื่อต่อ adapter หรือ extension bar NASA กำหนดวิธีวัดและแก้ค่าแรงบิดโดยใช้สูตรคำนวณ R=T·Lw/Lt

 3. ความละเอียดและความแม่นยำในการควบคุม (Torque ±%, Angle, Data Logging)

  • ให้เลือก Nut Runner ที่มีความแม่นยำตามมาตรฐาน ISO/IEC 6789 (เช่น ±4 – 6% สำหรับเครื่องมือแบบมีไฟแสดงผล หรืออัตโนมัติ)

  • เซ็นเซอร์แรงบิด/องศาแบบ EC หรือ Servo อายุการทำงานนานและแม่นยำสูง เช่น DSM EC nutrunner รองรับตั้งแต่ 0.03 – 4,800 Nm

  • มีระบบ Soft‑start Auto shut‑off มัลติ‑สเต็ป (multi‑step) และบันทึกข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อให้ตรวจสอบย้อนหลังได้

4. งบประมาณและต้นทุนใช้งาน

  • พิจารณาค่า calibration ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 หรือ ANSI/NCSL Z540 (NIST หรือ ANAB) ซึ่งต้องสอบเทียบปีละครั้งหรือหลังใช้งาน 5,000 รอบ

  • ค่าไฟหรือค่าอากาศ เครื่องลมต้องใช้อากาศสะอาดตามคู่มือ เช่น มีตัวกรองหล่อลื่น และต้องปรับแรงดันให้เหมาะสมเพื่อความแม่นยำ

  • ค่าอุปกรณ์เสริม เช่น Adapter Reaction bar และระบบควบคุมเชื่อมต่อ (PLC, Fieldbus) ควรคำนึงถึงเมื่อติดตั้งในสายผลิต

5. เงื่อนไขการใช้งานเฉพาะ (Clean Room/Heavy Industry)

  • Clean‑room ต้องเลือกเครื่องที่ปล่อยฝุ่น/น้ำมันน้อย ใช้มอเตอร์ไร้แปรงถ่าน (brushless) และอุปกรณ์ไม่มีกลไกลมเข้า‑ออก

  • งานหนัก/อุตสาหกรรม ใช้เครื่องรุ่น EC หรือ Servo ที่ทนทาน พร้อม reaction bar รองรับแรงสูง มีระบบป้องกันแรงกระแทก เช่น Stall‑type หรือ High‑Torque แบบฮีดปืน

  • ตัวอย่าง เครื่องจาก Elliott Tool มีคำแนะนำเรื่องการติด reaction bar และการควบคุมแรงกระแทกตาม ANSI B186.1

Scope การสอบเทียบเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติ

รูปแบบการให้บริการ

  • In Lab: การสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการ
  • Onsite: การสอบเทียบ ณ สถานที่ของลูกค้า

CLC รับรองมาตรฐานจาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) รายละเอียด Scope การสอบเทียบ NUT RUNNER คลิก

หากต้องการส่งเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติมาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

1.ควรกำหนดจุดค่าแรงที่ต้องการตรวจเช็ค ให้ตรงกับ Point ที่ใช้งานเป็นประจำ โดยปกติเครื่องจะมีการกำหนดค่าแรงแบบ Fixed  Point เนื่องจากใช้ขันชิ้นงานที่มีการกำหนดค่าแรงแบบชัดเจน

 2.ควรห่อหุ้มเครื่องมือด้วยวัสดุกันกระแทก หรือใส่ในกล่องเก็บอุปกรณ์เฉพาะ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง

3.จัดเตรียมหัว Block ที่ใช้วัดชิ้นงานให้พร้อม และส่งมาพร้อมกับเครื่องมือเพื่อให้การสอบเทียบเป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำ

สรุป

Nut Runner คือ เครื่องมือขันน็อตอัตโนมัติที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมเพื่อให้งานขันแน่นแม่นยำด้วยการควบคุม Torque และ Angle อย่างละเอียด มีหลายประเภท เช่น Pneumatic, DC, EC และ Servo แต่ละแบบเหมาะกับงานที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านแรงบิด ความต้องการการบันทึกข้อมูล หรือการใช้งานกับระบบอัตโนมัติ (PLC, robot)

การสอบเทียบ Nut Runner ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 โดยผู้รับรองเช่น ANAB ถือเป็นการรับประกันความถูกต้องของเครื่องมือ ระยะเวลาสอบเทียบต้องสม่ำเสมอ และจัดเก็บผลอย่างเป็นระบบ

หากคุณเป็นผู้ผลิตหรือวิศวกรที่ดูแลระบบลานผลิต การเลือก Nut Runner ที่เหมาะสม การสอบเทียบเครื่องมืออย่างถูกต้อง รวมถึงการบำรุงรักษาให้เป็นระเบียบ จะช่วยเพิ่มคุณภาพการผลิต ลดข้อผิดพลาด ลดต้นทุนจากการซ่อมบำรุง และสร้างความมั่นใจว่า โครงสร้างหรืออุปกรณ์ของคุณจะไม่เกิดความเสียหายหรืออันตรายในระยะยาว

 

Ref.
National Test Equipment Program Management
บทความ What is an EC Nutrunner? » Definition and Fields of Use
เอกสาร NASA – Center-wide Procedures and Guidelines (PG)

บทความ Globalspec.com
ANSI

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

ไขน็อตให้แน่นเป๊ะ! เหตุผลที่คุณควรใช้ ลูกบล็อก 6 เหลี่ยม TONE คู่กับประแจวัดแรงบิด

ลูกบล็อก 6 เหลี่ยม (Hex Socket Wrench) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือช่างหลายประเภท โดยเฉพาะในการทำงานที่ต้องใช้แรงบิดที่แม่นยำ 6 Socket Wrench ของ TONE เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเครื่องมือช่าง เนื่องจากคุณภาพและความแข็งแรงที่เหนือกว่า ในบทความนี้ก็จะกล่าวถึง Hex Socket Wrench ของ TONE รวมถึงการใช้งานร่วมกับประแจวัดแรงบิด (Torque Wrench) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ลูกบล็อก 6 เหลี่ยม (Hex Socket Wrench) ของ TONE คืออะไร?

Hex Socket Wrench ของ TONE เป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับด้ามขัน (Ratchet) หรือประแจวัดแรงบิด (Torque Wrench) เพื่อช่วยขันหรือคลายสลักเกลียวและน็อตต่างๆ 6 Socket Wrench ของ TONE ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานสูง และสามารถใช้งานได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือที่ต้องการแรงบิดที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ

คุณสมบัติเด่นของ Brand TONE

  1. วัสดุคุณภาพสูง – ผลิตจากเหล็กกล้าเกรดพิเศษเพื่อให้มีความแข็งแรงและทนต่อการสึกหรอ
  2. ขนาดที่หลากหลาย – มีให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 5 mm จนถึง 24 mm
  3. ดีไซน์แบบ 6 เหลี่ยม  – ช่วยให้การจับน็อตและสลักเกลียวแน่นขึ้น ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  4. ความแม่นยำในการใช้งาน – เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค่าทอร์กที่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับประแจวัดแรงบิด
  5. การใช้งานที่สะดวก – มีลูกบล็อกแบบเซตที่มาพร้อมกับลูกบล็อกโฮลเดอร์เพื่อความสะดวกในการเก็บและพกพา

เหตุผลที่ควรใช้ 6 Socket Wrench ยี่ห้อ TONE กับประแจวัดแรงบิด

  1. ความแม่นยำในการส่งแรงบิด – ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE ผลิตด้วยกระบวนการที่แม่นยำ ทำให้สามารถส่งแรงบิดไปยังสลักเกลียวหรือน็อตได้อย่างถูกต้อง
  2. ป้องกันความเสียหายของชิ้นงาน – ด้วยดีไซน์แบบ 6 เหลี่ยม ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE ช่วยป้องกันการลื่นไถล และลดความเสี่ยงในการทำลายหัวน็อต
  3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน – การใช้ลูกบล็อกคุณภาพสูงทำให้สามารถขันหรือคลายสลักเกลียวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. ความปลอดภัยสูงสุด – ในงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น งานประกอบเครื่องจักร การใช้ประแจทอร์คให้ถูกต้องและการขันน็อตให้ได้ค่าทอร์คที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่ไม่คาดคิดได้

วิธีการเลือก Hex Socket Wrench ให้เหมาะสมกับประแจวัดแรงบิด

  1. เลือกขนาดที่ตรงกับงาน
  • ตรวจสอบขนาดของน็อตหรือสลักเกลียวที่ต้องการใช้งาน และเลือกลูกบล็อกที่มีขนาดเหมาะสม
  • ลูกบล็อกมีหลายขนาด ควรเลือกขนาดที่ตรงกับหัวน็อตหรือสลักเกลียวที่ต้องการใช้งาน เพื่อป้องกันการลื่นหลุดหรือเสียหาย
  • ตัวอย่างขนาดที่นิยมใช้ เช่น 8mm, 10mm, 12mm, 14mm, 17mm เป็นต้น
  1. เลือกลูกบล็อกที่รองรับแรงบิดสูง – ตรวจสอบว่าสามารถใช้งานกับค่าทอร์กที่ต้องการได้ โดยควรเลือกลูกบล็อกที่สามารถรองรับแรงบิดได้มากกว่าค่าทอร์กสูงสุดที่ใช้งาน
  2. พิจารณาประเภทของลูกบล็อก – สำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำ ควรเลือกลูกบล็อกแบบ เนื่องจากมีการจับน็อตที่แน่นกว่า
  3. เลือกลูกบล็อกที่ใช้กับเครื่องมือมือ (Hand Tool) – หลีกเลี่ยงการใช้ลูกบล็อกที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องมือไฟฟ้ากับประแจวัดแรงบิด เนื่องจากอาจเกิดความเสียหายได้

ความสำคัญสำหรับการนำไปใช้ในงานต่างๆ

  1. งานซ่อมบำรุงยานยนต์

ในการซ่อมรถยนต์ การใช้ประแจทอร์คร่วมกับลูกบล็อก (Socket) ของ TONE ช่วยให้สามารถขันน็อตต่างๆ เช่น น็อตล้อรถ หรือสลักเกลียวเครื่องยนต์ ได้ตามค่าทอร์คที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่น็อตจะคลายตัวหรือขาดเนื่องจากแรงบิดที่มากเกินไป

  1. งานติดตั้งโครงสร้างเหล็ก

ในงานก่อสร้างที่ต้องมีการประกอบโครงสร้างเหล็กหรือเครื่องจักรที่ต้องรองรับน้ำหนักสูง การใช้ลูกบล็อก (Socket) TONE กับ ประแจวัดแรงบิด ช่วยให้มั่นใจได้ว่าน็อตทุกตัวถูกขันแน่นตามค่ามาตรฐาน ซึ่งช่วยป้องกันการคลายตัวและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

  1. งานอุตสาหกรรม

ในอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตเครื่องจักร ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE สามารถใช้ร่วมกับประแจวัดแรงบิดเพื่อให้ได้ค่าทอร์คที่แม่นยำ ช่วยให้การประกอบชิ้นส่วนมีความแข็งแรง และยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร

  1. งานก่อสร้างอุปกรณ์พลังงานไฟฟ้า

ในอุตสาหกรรมก่อสร้างอุปกรณ์พลังงานไฟฟ้า เช่น งานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เป็นงานที่ต้องใช้ประแจในการขันน๊อตเช่นกัน เพื่อให้มั่นใจว่าแผงโซลาร์เซลล์ที่ขันยึดติดมีความแน่นไม่คลายการใช้ลูกบล็อก (Socket) TONE กับประแจวัดแรงบิดช่วยให้ทำงานให้สะดวกและแม่นยำมากขึ้น

ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE เป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพสูงและสามารถใช้งานร่วมกับประแจวัดแรงบิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่องานที่ต้องการความแม่นยำและความทนทานสูง การเลือกใช้ลูกบล็อกที่เหมาะสมกับงานสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความเสียหายของชิ้นงาน และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน การใช้ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE กับประแจวัดแรงบิดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงและความปลอดภัยที่มากขึ้น

ผู้เขียน BDS Team

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ทำไม TMN-Series Torque Wrench จึงเป็นความแม่นยำที่คุณวางใจได้ในทุกงาน

TMN-Series Torque Wrench ที่ปรับตั้งค่าได้เสริมความแม่นยำและประสิทธิภาพให้กับงาน

ทำไมต้องเลือกประแจวัดแรงบิดแบบ Preset type รุ่น TMN-Series ?

ประแจวัดแรงบิด หรือ ประแจทอร์ค แบบ Preset type รุ่น TMN-Series มีคุณสมบัติที่โดดเด่นด้วยความแม่นยำและใช้งานง่าย มีย่านการใช้งานที่ครอบคลุม มีตัวเลขแสดงผลที่ชัดเจนช่วยลดการคาดเดา ทำให้เครื่องมือนี้เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นการใช้งานและผู้มีประสบการณ์การใช้งานอยู่แล้ว

ความแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการผลิตในอุตสาหกรรม ประแจวัดแรงบิด หรือ ประแจทอร์ค จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในอุตสาหกรรม และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งานในปัจจุบันบทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับคุณสมบัติ การใช้งาน และความก้าวหน้าของประแจวัดแรงบิดแบบ Preset type เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงสุด

ทำความเข้าใจกับประแจวัดแรงบิด (Torque Wrench)

ประแจวัดแรงบิดเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการปรับแรงบิดให้กับตัวยึด เช่น สลักเกลียว หรือน็อต ช่วยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกันด้วยความตึงและแรงที่เหมาะสม ป้องกันการขันแน่นหรือหลวมเกินไป การใช้แรงบิดที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้อุปกรณ์ หรือชิ้นงานเกิดความเสียหายหรือเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ประแจวัดแรงบิดจึงกลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในหลากหลายอุตสาหกรรม

ในปัจจุบัน ประแจวัดแรงบิดได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ทำให้มีความแม่นยำสูง ผู้ใช้สามารถตั้งค่าแรงบิดที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ และเมื่อแรงบิดถึงค่าที่กำหนด เครื่องมือจะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง “คลิก” พร้อมแรงต้านเล็กน้อย เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้งานให้หยุดการขัน

คุณสมบัติเด่นของประแจวัดแรงบิดที่ปรับตั้งค่าได้

  1. ช่วงแรงบิดที่กว้าง: ประแจวัดแรงบิดที่มีหน้าอ่านแบบตัวเลขรองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยมีรุ่นที่มีช่วงแรงบิดตั้งแต่ 1 N·m ถึง 300 N·m
  2. ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น: ด้วยความแม่นยำของแรงบิดที่ ±3% เครื่องมือเหล่านี้จึงให้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้และคงที่ แม้หลังการซ่อมแซม ความแม่นยำจะปรับเป็น ±4% แต่ยังคงมาตรฐานสูง
  3. การสอบเทียบและการตรวจสอบย้อนกลับ: เครื่องมือทุกชิ้นมาพร้อมใบรับรองการสอบเทียบจากผู้ผลิต เพื่อให้ได้รับความถูกที่ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น ควรสอบเทียบโดยผ่านมาตรฐานการรับรองของ ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 อีกครั้ง เพื่อที่จะยืนยันการรับรองการตรวจสอบย้อนกลับและการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และขอแนะนำให้ตรวจสอบการสอบเทียบเป็นประจำเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
  4. การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์: น้ำหนักเบาและกะทัดรัด ประแจวัดแรงบิดออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่สะดวก ลดความเมื่อยล้าของผู้ใช้งานระหว่างการทำงานที่ยาวนาน
  5. ความทนทานและการบำรุงรักษา: ประแจวัดแรงบิดทนทานต่อการใช้งานหนัก และมีคำแนะนำให้ตรวจสอบเป็นระยะหลังจากใช้งาน หรือส่งสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้เครื่องมือที่มีความถูกต้องแม่นยำ

รายละเอียดรุ่นและคุณสมบัติ

ประแจแรงบิดมีหลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะ มีรายละเอียดดังนี้ :

  1. รุ่น T2MN6

  • Torque Range: 1~6 N·m
  • Increments: 0.1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 222 mm น้ำหนัก: 0.26 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M4~M6
    • High strength: M4~M5
  • เหมาะสำหรับ: งานขันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความละเอียดสูง
  1. รุ่น T2MN10
  • Torque Range: 2~10 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.3 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M5~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานที่ต้องการแรงบิดเพิ่มขึ้น เช่น งานประกอบเครื่องจักรขนาดเล็ก
  1. รุ่น T2MN13
  • Torque Range: 3~13 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.29 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานขันทั่วไปที่ต้องการแรงบิดระดับปานกลาง
  1. รุ่น T3MN15
  • Torque Range: 3~15 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.29 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานขันทั่วไปที่ต้องการแรงบิดระดับปานกลาง
  1. รุ่น T3MN20
  • Torque Range: 4~20 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.30 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M6~M8
  • เหมาะสำหรับ: งานขันอุปกรณ์ทั่วไปในงานอุตสาหกรรม

6.รุ่น T3MN25

  • Torque Range: 5~25 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.30 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานขันอุปกรณ์ทั่วไปในงานอุตสาหกรรม
  1. รุ่น T3MN50
  • Torque Range: 10~50 N·m
  • Increments: 0.5
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 308 mm น้ำหนัก: 0.52 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M10
    • High strength: M8
  • เหมาะสำหรับ: งานขันขนาดกลาง เช่น งานซ่อมยานยนต์
  1. รุ่น T4MN50
  • Torque Range: 10~50 N·m
  • Increments: 0.5
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 308 mm น้ำหนัก: 0.55 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M10
    • High strength: M8
  • เหมาะสำหรับ: งานขันขนาดกลาง เช่น งานซ่อมยานยนต์
  1. รุ่น T3MN100
  • Torque Range: 20~100 N·m
  • Increments: 1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 387 mm น้ำหนัก: 0.75 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M12~M14
    • High strength: M10
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN100
  • Torque Range: 20~100 N·m
  • Increments: 1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 387 mm น้ำหนัก: 0.77 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M12~M14
    • High strength: M10
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN140
  • Torque Range: 40~140 N·m
  • Increments: 1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 450 mm น้ำหนัก: 0.82 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14
    •  High strength: M10~M12
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN200
  • Torque Range: 40~200 N·m
  • Increments: 2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 474 mm น้ำหนัก: 1.40 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14~M16
    •  High strength: M12
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN300
  • Torque Range: 40~300 N·m
  • Increments: 2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 716 mm น้ำหนัก: 1.88 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14~M20
    •  High strength: M12~M14
  • เหมาะสำหรับ: งานขันที่ใช้แรงบิดสูงในอุตสาหกรรมหนัก เช่น การประกอบโครงสร้างขนาดใหญ่
  1. รุ่น T6MN300
  • Torque Range: 40~300 N·m
  • Increments: 2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 19 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 716 mm น้ำหนัก: 1.89 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14~M20
    •  High strength: M12~M14
  • เหมาะสำหรับ: งานขันที่ใช้แรงบิดสูงในอุตสาหกรรมหนัก เช่น การประกอบโครงสร้างขนาดใหญ่

การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ

ประแจแรงบิดเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ที่มีการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม:

  1. อุตสาหกรรมยานยนต์: เพื่อให้แน่ใจว่าสลักเกลียวและน็อตในเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังขันแน่นอย่างเหมาะสม
  2. อุตสาหกรรมอวกาศ: ตอบสนองความปลอดภัยและมาตรฐานประสิทธิภาพที่เข้มงวดสำหรับการประกอบและบำรุงรักษาอากาศยาน
  3. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง : ยึดส่วนประกอบโครงสร้างในอาคาร สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
  4. อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักร : การประกอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามข้อกำหนดที่แน่นอน

วิธีการใช้งานที่ดีที่สุด

เพื่อยืดอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของประแจแรงบิดของคุณ ควรพิจารณาวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด ดังนี้

  1. การจัดเก็บที่เหมาะสม : เก็บประแจไว้ในกล่องพลาสติกที่จัดมาให้ เพื่อป้องกันฝุ่นและความเสียหาย
  2. การตรวจสอบเป็นประจำ : ตรวจสอบสัญญาณการสึกหรอ เช่น การไม่มีเสียงคลิกหรือแรงต้านลดลง
  3. ปฏิบัติตามขีดจำกัดน้ำหนัก : หลีกเลี่ยงการใช้งานเกินช่วงแรงบิดที่ระบุ เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องมือ
  4. การบำรุงรักษาประจำปี : กำหนดการสอบเทียบประจำปีหรือหลังการใช้งาน 10,000 ครั้ง เพื่อให้ความแม่นยำยังคงอยู่การใช้งานอีกด้วย

ในขณะที่อุตสาหกรรมต่างๆ ยังคงต้องการมาตรฐานความแม่นยำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น เครื่องมืออย่าง ประแจทอร์ค กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ด้วยการเข้าใจคุณสมบัติ การใช้งาน และข้อกำหนดการบำรุงรักษา ผู้ใช้สามารถมั่นใจในประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนาน การลงทุนในประแจวัดแรงบิดคุณภาพสูงไม่ใช่แค่การซื้อเครื่องมือ แต่เป็นการลงทุนในความปลอดภัย ความแม่นยำ และความเป็นเลิศในทุกงานที่ทำ

สรุปคุณสมบัติเด่น

  1. ความแม่นยำสูง: ±3% ของค่าที่ตั้ง
  2. รองรับงานหลากหลาย: จากงานขนาดเล็กที่ต้องการความละเอียดสูงไปจนถึงงานหนักที่ต้องการแรงบิดสูง
  3. การออกแบบทนทาน: ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงเพื่อความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  4. อุปกรณ์ครบชุด: มาพร้อมใบรับรองการสอบเทียบ คู่มือการใช้งาน และกล่องเก็บ

TMN-Series Torque Wrench เป็นเครื่องมือวัดที่ตอบโจทย์การทำงานในทุกอุตสาหกรรมด้วยความหลากหลายของรุ่นที่ออกแบบมาให้รองรับทุกความต้องการ!

 

ผู้เขียน BDS Team

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ข้อควรระวังในการใช้ประแจปอนด์

ข้อควรระวังการใช้ประแจปอนด์ ประเภท  Click Type

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแนะนำการใช้ประแจปอนด์ Click Type  Brand TONE กันค่ะ

โดยมีแนะนำ 4 เรื่องดังนี้ ได้แก่

  1. เลือกช่วงแรงบิดให้เหมาะสม
  2. ทำความเข้าใจการใช้งานประแจปอนด์ รุ่น Pre-set Type ตามคู่มืออย่างละเอียด
  3. อ่านข้อควรระวังการใช้งานที่มาพร้อมกับเครื่องมือ  
  4. ข้อแนะนำการส่งสอบเทียบ

 

เลือกช่วงแรงบิดให้เหมาะสม

ก่อนจะเลือกใช้ประแจปอนด์ ผู้ใช้งานจะต้องเลือกช่วงการใช้งานให้เหมาะสมกับงาน ซึ่งช่วงแรงบิดที่แนะนำ คือ 30-80 % ของแรงบิดสูงสุด จะทำให้การใช้งานได้ดีมากขึ้น

ยกตัวอย่าง การคำนวณช่วงแรงบิดที่เหมาะสม เช่น จากรูปตัวอย่างต้องการใช้งานที่ 60 N.m  รุ่นที่ดีที่สุดคือ T4MN140 Range 30-140 N.m คำนวณได้ช่วงแรงบิดที่เหมาะสมคือ 43% ของแรงบิดสูงสุด  จะคำนวณ%ได้ดังนี้ 
Tightening torque  60 N.m  x (100/140) = 42.58%  (ประมาณ 43% ของแรงบิดสูงสุด)  ซึ่งอยู่ในช่วงกึ่งกลางที่สุดของแรงบิดที่แนะนำ คือ 30-80 % รุ่น T4MN140 จึงจัดเป็นรุ่นที่ดีที่สุดในการใช้งาน

รุ่น T3MN100 และ T4MN100 จากการคำนวณจะได้ค่าเท่ากับ 60% ของแรงบิดสูงสุด  ใช้งานได้แต่จะต้องใช้แรงในการขันมากกว่ารุ่น T4MN140

รุ่น T4MN200 เนื่องจากจุดใช้งาน 60 N.m ใกล้เคียงกับค่า Min ของ Range มาเกินไปจึงไม่แนะนำให้ใช้

รุ่น T6MN300 ไม่แนะนำให้ใช้งาน เพราะไม่อยู่ในช่วงที่แนะนำ 30-80 %  ของแรงบิดสูงสุด

ทำความเข้าใจการใช้งานประแจปอนด์ รุ่น Pre-set Type ตามคู่มืออย่างละเอียด

โดยมีวิธีการที่ถูกต้องดังนี้
2.1 การใส่ลูกบล็อกเข้ากับ Square Drive สี่เหลี่ยมของประแจปอนด์ต้องใส่จนสุด
2.2 ตรวจสอบตำแหน่งของคันโยก (Reverse lever) สลับทิศทางของคันโยก ไปจนสุด
2.3 ทำการตั้งค่าแรงบิด
2.3.1 ทำการคลายล็อคโดยหมุน Locking Screw ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาจนชนกับ Pin

2.3.2 ทำการตั้งค่าแรงบิดเป้าหมายด้วยปุ่มปรับการตั้งค่าแรงบิด
2.3.3 ทำการล็อคค่าแรงบิดเป้าหมาย โดยหมุน Locking Screw ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา การตั้งค่าจึงเสร็จสมบูรณ์

2.4 เลื่อนลูกบล็อกไปเหนือสลักเกลียวและน็อตที่จะขันให้แน่น

2.5 จับที่บริเวณด้ามจับ (Loading point) แล้วหมุนประแจปอนด์  ตามเข็มนาฬิกาช้าๆ
2.6 เมื่อถึงแรงบิดที่ตั้งไว้ ประแจปอนด์จะส่งเสียงคลิ๊ก และมีแรงย้อนกลับเล็กน้อย ให้ทำการหยุดให้แรงบิดทันทีเมื่อได้ยินเสียงคลิ๊ก หากยังให้แรงบิดต่อไปอาจทำให้ประแจปอนด์เสียหายได้ และทำให้ได้ค่าเกินแรงบิดเป้าหมาย

อ่านข้อควรระวังการใช้งานที่มาพร้อมกับเครื่องมือ

ประแจปอนด์ ยี่ห้อ TONE ประเภท Click Type  มีข้อควรระวังในการใช้งานดังนี้ค่ะ
3.1 ขันใช้งานทิศทางตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น คือใช้สำหรับขันแน่นได้อย่างเดียว ห้ามนำไปใช้ในการคลายน็อต (ห้ามทวนเข็มนาฬิกา) เพราะอาจจะทำให้บริเวณหัว Square Drive ของเครื่องเสียหายได้
3.2 ห้ามใช้ประแจปอนด์กับท่อต่อขยาย อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน

3.3 ต้องสลับทิศทางของคันโยก (Reverse lever) ไปจนสุด

3.4 ตั้งค่าแรงบิดเป้าหมายให้อยู่ในช่วงที่ Spec เครื่องระบุไว้ หากตั้งค่าเกินหรือต่ำกว่าที่เครื่องกำหนดจะทำให้ได้ค่าที่ไม่แม่นยำ และอาจทำให้แกนหมุนตัวเลขค้าง ไม่สามารถหมุนย้อนกลับได้ ส่งผลให้เครื่องมือเสียหาย ต้องส่งซ่อม ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายกับการซ่อม

3.5 ให้จับใช้งานที่บริเวณด้ามจับ (Loading point) เนื่องจากค่าแรงบิด Out put จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณด้ามที่จับ

3.6 แรงบิดเป้าหมาย และยังมีผลทำให้เครื่องมือเสียหายได้ หยุดให้แรงบิดเมื่อได้ยินเสียงคลิ๊ก ห้ามขันย้ำให้แรงต่อ เพราะหากให้แรงต่อไปจะทำให้ได้ค่าที่เกิน
3.7 หลังใช้งานให้ปรับตั้งค่าแรงบิดลงให้แรงต่ำสุด แล้วทำการเก็บประแจปอนด์ ไว้ในกล่องหรือตู้เก็บเครื่องมือ เพื่อยืดอายุการใช้งานของประแจปอนด์

ข้อแนะนำการส่งสอบเทียบ ประแจปอนด์ Click type

เครื่องมือควรส่งสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือยังอยู่ใน Spec อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

โดยการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ด้านตามเข็มนาฬิกาในช่วง หัว, กลาง, ท้าย ของประแจ ให้ครอบคลุมช่วงการใช้งาน เช่น รุ่น T4MN100  ช่วงการสอบเทียบอยู่ที่ 20, 60, 100 N.m  เพื่อที่เราจะนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจค่ะ

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ สำหรับข้อควรระวังในการใช้ประแจปอนด์ประเภท Click Type ทางผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่เข้ามาอ่านจะได้ความรู้ และได้ทำความเข้าใจกับข้อควรระวังมากยิ่งขึ้น สามารถนำไปประกอบกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีมากขึ้น หากมีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจ จะมาเขียนให้อ่านเพิ่มเติมนะคะ สวัสดีค่ะ

ผู้เขียน Suphanun BDS

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อประแจปอนด์

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อประแจปอนด์

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาพูดถึงสิ่งที่ควรรู้ก่อนการเลือกซื้อ เครื่องมือวัด ประแจปอนด์ (Torque Wrench) กันนะคะ ซึ่งก่อนที่เราจะทำการเลือกซื้อ ประแจทอร์ค (Torque Wrench)  มาใช้งานเราจำเป็นจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานก่อนว่า เครื่องมือวัด  นี้มีหน้าที่ทำอะไร วันนี้เราก็จะมาแนะนำให้เพื่อนๆทราบกันค่ะ

ประแจปอนด์ หรือประแจทอร์ค (Torque Wrench) คือ อะไร

คือ เครื่องมือวัด ที่ใช้ในการกำหนดค่าแรงบิดที่มีความแม่นยำสูง เพราะเครื่องมือจะมีการกำหนดค่าแรงเอาไว้ไม่ให้เกินค่าที่ตั้งไว้ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของเครื่องมือได้และประแจปอนด์ (Torque Wrench)  มีหน้าที่สำหรับใช้ในการขันสกรูหรือน็อตให้ได้ค่าแรงบิดตามที่เราสามารถกำหนดหรือตั้งไว้ได้ ซึ่งประแจชนิดนี้ มีหลากหลายประเภท เราสามารถเลือกใช้ได้ตามชนิดของการใช้งานตามแรงบิดของเครื่องมือได้ ตัวอย่างของประแจทอร์ค (Torque Wrench)  ก็เช่น Torque Wrench  Analog, Digital , Screwdriver , Torque Wrench Checker  เป็นต้น

รูปภาพ ประแจปอนด์ หรือประแจทอร์ค (Torque Wrench)

เมื่อเราต้องการใช้หรือต้องการเลือกซื้อประแจปอนด์ สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่จะเลือกซื้อก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ดังนั้นการเลือกซื้อประแจให้เหมาะสมมีรายละเอียดอะไรบ้างเราได้จำแนกออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

การเลือกซื้อประแจให้เหมาะกับการใช้งาน

  1. ประเภทงานที่ใช้ ต้องทราบหน้างานที่จะนำไปใช้ ว่านำไปใช้หน้างานหรือนำไปใช้ในกระบวนการ QC เป็นสิ่งสำคัญเพราะเราจะต้องเลือกประแจ ให้เหมาะสมกับงาน เช่น หากนำไปใช้ QC จะต้องเลือก แบบ Digital ที่มีค่าความแม่นยำ (Accuracy) ดีกว่า ประแจ ที่ใช้หน้างานอยู่อย่างน้อย 3 เท่า เช่น Accuracy ± 1% RD หรือ 0.5 %RD 
  2. เลือกให้เหมาะสมกับขนาดของน็อต เพื่อให้ใช้งานได้ในแรงบิดที่เหมาะสม หากมีน็อตหลายขนาด ควรซื้อประแจ ให้มีช่วงการใช้งานและหัว Square Drive ให้มีความครอบคลุมและเหมาะสมกับน็อต เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ
  3. เลือกชนิดของประแจปอนด์ ควรเลือกให้เหมาะสมกับทางหน้างาน เนื่องจากประแจ มีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ประแจปอนด์แบบหัว Square Drive , หัวปากตาย, หัวปากแหวน, หัวปากเลื่อน ก่อนเลือกซื้อจำเป็นจะต้องเลือกให้สามารถใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยจากการใช้งาน

รูปภาพ ประแจปอนด์หรือประแจทอร์ค ชนิดปากเลื่อน

4.ขนาดและน้ำหนักเครื่องมือ มีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกันไปตามขนาดของแรงบิด ในรุ่นที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากจะมีแรงบิดสูง ก่อนเลือกซื้อ ต้องเลือกให้มีขนาดเหมาะสมต่อหน้างานที่สามารถถือหรือหิ้วเครื่องมือวัดให้ใช้บนพื้นที่หน้างานได้สะดวก หากจำเป็นต้องใช้แรงแรงบิดสูงๆ แต่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แนะนำให้ซื้อเป็นประแจทดแรง (Torque Multiplier) จะประหยัดแรงเวลา ทำให้การใช้งานได้ง่ายขึ้น

รูปภาพ ประแจปอนด์หรือประแจทอร์ค (Torque Multiplier)

5. เครื่องมือควรต้องมีใบรับรองมาพร้อมกับ เครื่องมือวัดด้วย ควรสอบถามกับผู้ขายด้วยทุกครั้งว่าเครื่องมือ Torque Wrench  ที่เรากำลังจะเลือกซื้อนั้นมีใบรับรอง (Certificate) จากทางผู้ผลิตไหม  หรือเครื่องมือได้ผ่านการสอบเทียบมาเรียบร้อยหรือไม่ เพื่อเป็นการยืนยันค่าที่เครื่องมือว่ายังคงอยู่ใน Spec ก่อนนำไปใช้งาน ดังนั้นควรมีการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด ประแจปอนด์ (Torque Wrench)  กับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือยังอยู่ใน Spec  เพื่อที่เราจะนำไปใช้งานได้อย่างมั่นใจ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ สำหรับคำแนะนำและสิ่งที่ควรรู้ในการเลือกซื้อเครื่องมือประเภทนี้หวังเอาไว้ว่าบทความเรื่องนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อผู้ที่กำลังจะเลือกซื้อเลือกใช้ตัวประแจปอนด์ ที่ได้เข้ามาอ่านกันนะคะ ครั้งหน้าหากมีสินค้าตัวไหนที่น่าสนใจหรือเป็นประโยชน์อีกก็จะมาเล่าสู่กันฟังใหม่ และฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน Suphanun BDS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

Spin Torque คืออะไร มีดีอย่างไร

Spin Torque คืออะไร มีดีอย่างไร

เครื่องมือวัด Spin Torque หรือ Rotary Peak Torque Meter เป็น เครื่องมือวัดแรงบิด ขนาดเล็ก มี Sensor และมอเตอร์อยู่ในตัว ทำให้สามารถพกพาเข้าไปหน้างานได้สะดวกเมื่อเทียบเครื่องมืออื่น เช่น  Torque Transducer, Torque Analyzer หรือ Torque Tester นอกจากนี้ยังมี Accuracy สูงและราคาต่ำกว่า Torque Transducer, Torque Analyzer หรือ Torque Tester อีกด้วย

 

 

 

  • เซนเซอร์วัดแรงบิด หรือ เซนเซอร์วัดทอร์ค (Spin Torque Sensor) ใช้ในการวัดแรงบิดที่มีการเคลื่อนที่เชิงมุมในระยะจำกัด สามารถติดตั้งตัวเซนเซอร์ได้หลากหลายรูปแบบรวมเข้ากับเครื่องมือทดสอบที่มีความสมบูรณ์พร้อมทดสอบแล้ว เป็นเซนเซอร์ที่สามารถแปลงค่าแรงบิดเป็นค่าสัญญาณทางไฟฟ้าได้ เหมาะสำหรับการทดสอบคุณสมบัติทางกลของชิ้นงาน (Mechanical Properties of Parts) มอเตอร์ (Motor) โหลดทางกล (Mechanical Load) การทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ (Engine Performance) Spin Torque Sensor มักถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตและทดสอบ มอเตอร์ของรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ตามมาตรฐาน DIN 51309 ผลิตจากเทคโนโลยี สเตรนเกจ Strain Gage
  • Strain Gauge ใช้ในการเรียนการสอนเครื่องจักรกลไฟฟ้า ใช้ในงานวิจัยเรื่องอุปกรณ์ปรับความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพมอเตอร์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการทดสอบแรงบิด Torsion Test แรงบิดของเพลา แรงบิดมอเตอร์ งานทดลอง เครื่องกล และการทดสอบแรงบิด
  • แรงบิด (Torsion Loaded) หมายถึงส่วนของโครงสร้างที่รับแรงหรือโมเมนต์ที่พยายามบิดส่วนของ โครงสร้างนั้นไปจากตำแหน่งเดิม โมเมนต์บิด (Torsional Moment or Torques) คือ โมเมนต์ที่พยายามบิดท่อนวัสดุให้เปลี่ยนไปจากตำแหน่งเดิม มีค่าเท่ากับผลรวมทางพีชคณิตของโมเมนต์ของแรงต่าง ๆ รอบแกนของท่อนวัสดุนั้น ดังนั้นเซนเซอร์วัดแรงบิดนับได้ว่าเป็น เครื่องมือวัด ตัวหนึ่งที่มีบทบาทที่สำคัญมากในงานที่เกี่ยวข้องกับทางกล เช่น การทดสอบมอเตอร์, การทดสอบเครื่องยนต์ เป็นต้น

คุณลักษณะที่ดีของ เครื่องมือวัด Spin Torque Sensor

  • ขนาดกระทัดรัด
  • การหมุนที่ราบรื่น
  • มีความแม่นยำสูง
  • มีตัวขยายสัญญาณในตัว
  • มีค่าเซฟตี้โอเว่อโหลดที่ 500% RO เพื่อให้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องกังวลใจมากเกินไป
  • ใช้งานง่าย ระยะเวลาในการอ่านค่าสั้น แสดงผลไว

หลักการทำงานของ เครื่องมือวัดแรงบิด Spin Torque Sensor

ใช้หลักการทำงานแบบ Strain-ganged Shaft โดยอาศัยหลักของคานบิดเมื่อเกิดแรงบิดมากระทำที่ Torsion Bar นั้น  ในการวัดแรงบิดด้วย Stain-gauged Shaft จะวัดแรงบิดโดยการนำเอา Strain Gage ยึดไว้ที่ตรงกลางของ Torsion Bar การบิดตัวของ Torsion Bar จะทำให้ Strain Gage บิดไปด้วย ดังนั้นความต้านทานของ Strain Gage ก็จะแปรค่าไปตามแรงบิดที่มากระทำกับ Torsion Bar

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ได้ครอบคลุมทุกประเภทของเครื่องมือ Spin Torque Sensor ที่ใช้กันทั่วไป พร้อมทั้งยังได้รับการรับรองห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI) และจาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยขอบข่ายการวัดสามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ด้วยวิธีการ Comparison with Calibration Arm and Weight  โดย Range การสอบเทียบเครื่องมือวัด ที่ได้รับการรับรอง ดังแสดงในรูปด้านล่าง

ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI)

ISO/IEC 17025:2017 จาก ANSI National Accredit Board (ANAB)

 

ผู้เขียน แก้ว VIP

 

 

สอบเทียบเครื่องมือด้าน Torque&Force    สินค้าด้าน Torque&Force

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา