คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

Stroboscope ช่วยอะไรได้บ้าง ตรวจสอบคุณภาพงานแบบไม่ต้องหยุดเครื่อง

Stroboscope

เครื่อง Stroboscope  คืออะไร

เครื่อง Stroboscope คือเ ครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับการวัดความเร็วรอบชนิดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถมองเห็นวัตถุที่เคลื่อนที่เป็นรอบแบบรวดเร็วได้เหมือนกับวัตถุนั่นอยู่นิ่งๆ โดยแสดงค่าการวัดออกมาเป็นหน่วย  RPM

เครื่อง Stroboscope มีหลักการทำงานอย่างไร

เครื่อง Stroboscope มีหลักการทำงานโดยใช้หลักการของแสงกระพริบอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการจับภาพของวัตถุที่เคลื่อนที่  หรือที่เราเรียกว่า  แสงแฟรต  โดยใช้เครื่องมือส่องไปยังวัตถุที่กำลังหมุน แล้วนำความถี่ในการจับภาพ (จำนวนเฟรมต่อวินาที) มาคำนวนความเร็วของวัตถุที่กำลังหมุน โดยส่วนใหญ่จะโชว์ค่าแบบ Digital

เครื่อง Stroboscope ต่างจาก เครื่อง Tachometer  อย่างไร

ความแตกต่างระหว่างสโตโปสโคปกับ Tachometer คือ ลักษณะการทำงานของเครื่องมือวัดความเร็วรอบแบบ Stroboscope จะใช้แสงแฟรช ส่องไปยังวัตุที่กำลังหมุน แล้วนำความถี่ในการจับภาพมาคำนวณหาความเร็วของวัตถุนั่นๆที่กำลังหมุน แต่สำหรับเครื่องวัดความเร็วรอบแบบ  Tachometer จะแบ่งเป็นสองแบบ คือ Contract Tachometer และ Photo Tachometer (Non-Contact Tachometer) หรือที่เรียกว่าใช้แสงอินฟราเรดส่องไปยังวัตถุเพื่อคำนวนหารอบการหมุน เครื่องวัดความเร็วรอบทั้งสองแบบจะใช้หลักการวัดที่ไม่เหมือนกัน แต่เครื่องมือสามารถวัดค่าความเร็วรอบได้เหมือนกัน

การเลือกใช้งานเครื่อง Stroboscope และเครื่อง Tachometer 

การเลือกใช้งานเครื่องมือวัดประเภทวัดความเร็วรอบขึ้นอยู่กับชิ้นงานที่ต้องการวัด เช่น วัดรอบเครื่องหมุนด้าย ควรเลือกเป็น เครื่องวัดความเร็วรอบแบบ Stroboscope  แต่หากต้องการวัดความเร็วรอบมอเตอร์ เพลารถยนต์ ควรเลือกเป็น เครื่องวัดความเร็วรอบแบบ Tachometer  โดยข้อดี ของเครื่องมือวัดความเร็วรอบแบบ Stroboscope คือ เราไม่จำเป็นต้องสัมผัสชิ้นงานก็สามารถวัดความเร็วรอบได้ ทำให้ไม่ทำลายชิ้นงาน และเหมาะกับงานที่ไม่สามารถสัมผัสชิ้นงานได้

การใช้งาน สโตรโบสโคป ในภาคอุตสาหกรรม

  1.  อุตสาหกรรมการพิมพ์

    ในโรงพิมพ์ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา ความต่อเนื่องของลายพิมพ์ และความแม่นยำของสีถือเป็นหัวใจสำคัญ เครื่องสโตโบสโคปจึงเข้ามามีบทบาท เพราะช่วยให้ผู้ควบคุมเครื่องจักรมองเห็นรายละเอียดงานพิมพ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องกำลังหมุนทำงานอยู่เต็มกำลัง ไม่จำเป็นต้องหยุดเครื่องก็สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของลายพิมพ์หรือการจัดวางตำแหน่งได้ทันที ซึ่งช่วยลดทั้งเวลาสูญเสียและต้นทุนการผลิต

  2. อุตสาหกรรมสิ่งทอ

    ในสายการผลิตสิ่งทอ ความสม่ำเสมอของเส้นด้ายและแรงตึงถือเป็นตัวกำหนดคุณภาพของผืนผ้า การใช้เครื่องมือวัดนี้ทำให้ผู้ตรวจสอบสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของโรลเลอร์หรือเส้นด้ายที่หมุนด้วยความเร็วสูงได้อย่างชัดเจน ราวกับภาพเคลื่อนไหวถูกทำให้ช้าลง สิ่งนี้ช่วยให้ควบคุมคุณภาพเส้นใยและผืนผ้าได้แม่นยำมากขึ้น ลดโอกาสที่สินค้าจะมีตำหนิหรือเสียหาย

  3. งานบำรุงรักษาเครื่องจักร

    เครื่องจักรที่มีชิ้นส่วนหมุนอย่างพัดลม มอเตอร์ เกียร์ สายพาน หรือเพลา มักเสี่ยงต่อการสึกหรอ และความเสียหาย การใช้สโตโบสโคปทำให้วิศวกรหรือช่างบำรุงรักษาสามารถตรวจจับความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น การหมุนผิดจังหวะ การสั่น หรือการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วน โดยไม่จำเป็นต้องหยุดเครื่องจักรลง เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในงาน Predictive Maintenance ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและลดความเสี่ยงของการหยุดทำงานแบบไม่คาดคิด

คำแนะนำและวิธีดูแลเครื่องมือวัด Stroboscope

  1. ควรทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว เนื่องจากถ้าเครื่องมือสกปรกจะทำให้วัดค่าได้ผิดไป
  2. ระมัดระวังอย่าให้เครื่องมือได้รับการกระแทกแรงๆเพราะจะให้เครื่องมือเกิดการชำรุดได้
  3. ไม่ควรมองแสงแฟลชโดยตรง เพราะอาจะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้

สอบเทียบเครื่อง Stroboscope

ทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถให้ บริการสอบเทียบเครื่อง Stroboscope  โดยสามารถให้บริการได้ทั้งแบบรับกลับเข้ามาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการของบริษัทฯ (In Lab) และสามารถให้บริการแบบนอกสถานที่ไปสอบเทียบให้กับลูกค้าที่หน้างาน (Onsite)โดยเครื่องมือ Standard ที่ CLC ใช้คือ Universal Counter 

ถ้าต้องการส่งเครื่องสโตรโบสโคป มาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

  1. ตรวจเช็คปริมาณของแบตเตอรี่ หรือส่งสายชาร์จมาพร้อมกับเครื่องมือ
  2. ตรวจเช็คปุ่มกดของเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่
  3. ควรห่อเครื่องมือด้วยอุปกรณ์กันกระแทก หรือนำเครื่องมือเก็บในกระเป๋าของเครื่องมือ เพื่อไม่ให้เครื่องมือได้รับความเสียหาย

 

Ref.

Merriam Webster

RS Components

Strobox

Cleveland Clinic

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านอิเล็กทริคอล

 

เคล็ดลับ ดูแล Torque Meter ให้แม่นยำเหมือนใหม่

Torque Meter เป็นเครื่องมือที่อยู่ในกลุ่มประเภทวัดแรงบิดเพื่อนำไปทำการทดสอบแรงบิด

หน่วยวัดของ Torque Meter

โดยส่วนมากที่ใช้กันจะมีอยู่หลักๆ 3 หน่วย

  • lb×f  ปอนด์-ฟุต
  • N×m  นิวตัน-เมตร
  • kgf×cm  กิโลกรัมแรง-เซนติเมตร

Standard ที่ใช้ในการสอบเทียบ

  • Calibration Arm
  • Standard Weight
  • Hanger

CLC (แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี บริษัทสอบเทียบเครื่องมือวัด) พร้อมให้บริการสอบเทียบ Torque Meter

ด้วยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองความสามารถ (Accredited) จากหน่วยงานมาตรฐานสากล

  • สมอ. (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม)
  • ANAB (ANSI National Accreditation Board) 

ควบคุมอุณหภูมิในการสอบเทียบ

  • Temperature: 23 ± ºC
  • Humidity: 55 % RH ± 10 %RH

การทำงานของ TORQUE METER ใช้ได้กี่ทิศทาง

การทำงานของ TORQUE METER สามารถใช้ได้ 2 ทิศทาง CW (ตามเข็มนาฬิกา) และ CCW (ทวนเข็มนาฬิกา)

การเตรียมอุปกรณ์ก่อนส่งสอบเทียบ

ก่อนจะส่ง Torque Meter ไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อสอบเทียบ สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก คือการดูแลความสะอาดของเครื่องมือให้เรียบร้อย ไม่ควรมีคราบน้ำมัน หรือฝุ่นติดอยู่ เพราะสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้สามารถทำให้ค่าที่ได้คลาดเคลื่อนได้ จากนั้นจึงตรวจสอบสภาพโดยรวมว่ามีส่วนใดชำรุดหรือไม่ อุปกรณ์ต้องไม่บิดงอหรือเสียรูป หากพบความผิดปกติควรแก้ไขก่อนส่งต่อไปให้ห้องแล็บ

นอกจากนี้ การเก็บบันทึกการใช้งานล่าสุดก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เพราะข้อมูลดังกล่าวช่วยยืนยันว่า Torque Meter ถูกใช้งานอยู่ในช่วงแรงบิดที่เหมาะสม ไม่เกินกว่าข้อกำหนดของผู้ผลิต เมื่อห้องแล็บได้รับข้อมูลครบถ้วนก็จะสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ผลได้ถูกต้องมากขึ้น

สุดท้ายหากสามารถการจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใบรายการเครื่องมือ (Instrument List) หรือหมายเลขประจำเครื่อง (Serial Number) ให้ชัดเจน การส่งมอบเครื่องมือพร้อมเอกสารครบชุดนี้ไม่เพียงทำให้ขั้นตอนการสอบเทียบเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือเมื่อต้องอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 17025 อีกด้วย

ทำไมต้องส่ง Torque Meter สอบเทียบ

กระบวนการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมตามโรงงานแทบทุกพื้นของอุตสาหกรรมในประเทศไทยต้องมีการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้มาตฐานตามความต้องการของทางลูกค้า การใช้งานของ Torque Meter แต่ละ ยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะมี Max Range ของเครื่องมือบอกอยู่แล้วว่าสามารถใช้งานได้ที่เท่าไหร่ ดังนั้นเวลาใช้งานก็ไม่ควรใช้เกิน Max Range ของตัวเครื่องมือการส่งเครื่องมือวัดเข้ามาสอบเทียบเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ และเที่ยงตรงในการใช้งานของแต่ละ Max Range

ความถี่ที่ควรสอบเทียบ Torque Meter

การสอบเทียบ Torque Meter ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความแม่นยำของเครื่องมือ มาตรฐานทั่วไปที่นิยมใช้กันคือการสอบเทียบปีละครั้ง แต่ในบางกรณี หากเครื่องมือถูกใช้งานบ่อยหรือใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานที่ต้องขันสกรูแรงบิดสูงตลอดเวลา หรือใช้กับงานที่ต้องการความละเอียดมาก ก็อาจจำเป็นต้องสอบเทียบถี่ขึ้นเป็นทุก 6 เดือน

ในกรณีที่เพิ่งซื้อเครื่องมือใหม่ ก็ควรส่งสอบเทียบก่อนนำมาใช้งานครั้งแรก เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมืออยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานจริงและตรงตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ หากเครื่องมือเคยผ่านการซ่อมหรือมีเหตุการณ์ที่อาจทำให้ค่าการวัดคลาดเคลื่อน เช่น การตกหล่นหรือโดนแรงกระแทก ก็ควรส่งตรวจสอบและสอบเทียบซ้ำทันที ไม่ควรรอถึงรอบการสอบเทียบประจำปี

เรื่องที่ควรให้ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การใช้งานภายในช่วงแรงบิดสูงสุด (Max Range) ของ Torque Meter แต่ละรุ่น ซึ่งผู้ผลิตจะระบุไว้อย่างชัดเจนว่าค่าที่เครื่องมือรองรับได้สูงสุดคือเท่าไหร่ การใช้งานเกินกว่าค่าดังกล่าวนอกจากจะทำให้เครื่องมือเสียหายแล้ว ยังส่งผลต่อความแม่นยำของค่าที่วัดได้ และอาจทำให้ความถี่ในการสอบเทียบต้องสั้นลงกว่าปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือยังคงทำงานได้ตรงตามมาตรฐาน

ดังนั้น การกำหนดความถี่ในการสอบเทียบที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงยึดตามกรอบเวลาอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับรูปแบบการใช้งานจริง โดยเฉพาะการใช้งานใกล้หรือเกิน Max Range ที่จะเร่งให้เครื่องมือเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และจำเป็นต้องสอบเทียบถี่กว่าปกติ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจกระทบต่อคุณภาพของงานและความปลอดภัยในการผลิต

วิธีการดูแลเก็บรักษาเครื่องมือ Torque Meter

  1. ห้ามโยนหรือยกวางกระแทรกแรงๆหลังใช้งานเสร็จ หรือ ขณะที่กำลังใช้งาน
  2. ไม่ควรใช้น้ำมัน หรือ สารหล่อลื่นเช็ดทำความสะอาดตัว Torque Meter หลังจากใช้งานควรเช็ดและทำความสะอาดโดยทั่วไปและควรหาผ้ามาคลุ่ม หรือ กล่องเก็บ หลังใช้งานเสร็จทุกครั้ง
  3. ไม่ควรตั้ง หรือ วาง ตัว Torque Meter ในบริเวณพื้นที่ที่มีความชื้น และเปียก
  4. ทุกครั้งที่ใช้งานตัว Torque Meter เสร็จควรคลายค่า Torque กลับสู่ค่าต่ำสุดของตัวเครื่องด้วยทุกครั้งหลังจากเลิกใช้งานเพื่อที่จะถนอมสปริงของแรงบิดในตัวเครื่องและถนอมตัวเครื่องให้ใช้งานได้นานๆ
  1. ทุกครั้งที่มีการชาร์ทไฟเข้าตัวเครื่อง Torque Meter ควรใช้ Adapter ของเครื่องตัวมันเองเท่านั้นเพราะถ้าเกิดใช้ Adapter ที่ไม่ใช่ของที่มากับตัวเครื่อง เครื่องมืออาจชำรุดเสียหายได้เพราะไฟอาจจะเข้าเครื่อง Torque Meter เกินที่ตัวเครื่องมือจะรับได้
  2. ควรส่ง Torque Meter สอบเทียบอยู่บ่อยๆ ตามรอบ Due หรือตามความเหมาะสม ถ้าลูกค้าใช้งานบ่อยมากกลัวว่าค่าที่ได้อาจมีปัญหาก่อนจะถึงรอบ Due ลูกค้าก็ควรส่งเครื่องมือเข้าสอบเทียบบ่อยมากกว่า 1 ครั้ง/ปี

 

Ref.

Mountztorque

Nagman Calibration

Calibration Select

 

MKS

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

Pressure Transducer ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง?

ถ้าจะกล่าวถึงเครื่องมือวัดที่ชื่อว่า Pressure Gauge เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีแล้ว และก็เคยมีบทความที่เคยลงในเว็บแห่งนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ (ย้อนกลับไปหาอ่านกันได้) แต่ในวันนี้ทางผู้เขียนจะขอหยิบยกเอาเรื่อง Pressure มานำเสนอกันอีกรอบ…แต่จะให้พูดเรื่องเดิมก็ยังไงๆอยู่ นอกจาก Pressure Gauge แล้วนั้น ในโรงงานอุตสาหกรรมยังมี Pressure อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาใช้งานกันเป็นอย่างมากพอสมควร นั่นก็คือเจ้า Pressure Transducer นั่นเอง ก่อนจะไปลงรายละเอียดนั้นเราไปดูรูปร่างหน้าตาของเจ้า Pressure Transducer กันก่อน ตัวอย่างรูปที่ 1

รูปที่ 1

จากตัวอย่างของรูปที่ 1 พอจะเริ่มคุ้นหน้าคุณตากันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ แต่โดยรวมแล้วหน้าตาก็จะหล่อเหลาประมาณนี้  Pressure Transducer ในรูปนี้ยังไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทันทีนะครับ ต้องติดตั้งควบคู่กับสายสัญญาณและตัวอ่าน (Display) หรือ ต่อเข้ากับตู้ Controller อีกที แต่ในปัจจุบันเพื่อความสะดวกกับการใช้งานและเหมาะสมกับหน้างานบางจุด ทางผู้ผลิตก็ยังมี Pressure Transducer With Indicator หรือ With Display มาพร้อมเลย เพื่อเพิ่มความสะดวกไปอีก ดังตัวอย่างรูปที่ 2

รูปที่ 2

แต่ก่อนจะไปลงรายละเอียดต่อไป เรามาทำความรู้จักกับคำว่า Transducer กันซักหน่อย บางท่านอาจจะเคยได้ยินคำนี้มานานแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ทราบว่าคืออะไร ส่วนท่านที่ทราบแล้วก็ถือซะว่ามาปัดฝุ่นรื้อฟื้นความรู้กันสักหน่อยครับ Transducer (ทรานสดิวเซอร์) มีหน้าที่ในการแปลงพลังงานจากรูปแบบนึง ไปเป็นพลังงานในอีกรูปแบบนึง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, อากาศ, แรงกด, อัตราการไหล เป็นต้น แปลงไปเป็นพลังงานในรูปแบบต่างๆเช่น แรงดันไฟฟ้า, ความร้อน, แสงสว่าง, ความต้านทาน…

ถ้าจะพูดให้เป็นภาษาบ้านๆให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นคือ อุปกรณ์ทุกตัวที่เป็นเซ็นเซอร์ (Sensor) มันก็คือทรานสดิวเซอร์ (Transducer) ดีๆนี่เองครับท่าน แต่ก็ยังมีหลายๆคนยังสับสนกันระหว่าง Transducer (ทรานสดิวเซอร์) กับ Transmitter (ทรานสมิตเตอร์) สำหรับ Transmitter นั้นมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากเครื่องมือวัดต่างๆไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ, ความชื้น, แรงดัน…ให้เป็นสัญญาณในรูปแบบ Analog มาตรฐานที่มีสัญญาณ Output 4-20 mA, 0-10 VDC

 

เกณฑ์เลือกใช้งาน Pressure Transducer

การเลือก Pressure Transducer ที่เหมาะสมไม่ได้ดูแค่ยี่ห้อหรือราคาเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลักสามอย่างคือ ความแม่นยำ (Accuracy), ผลกระทบจากอุณหภูมิ (Temperature Effect) และความเข้ากันได้กับตัวกลาง (Media Compatibility)

ความแม่นยำ (Accuracy)

หมายถึงความใกล้เคียงระหว่างค่าที่วัดได้กับค่าความดันจริง โดยทั่วไปผู้ผลิตจะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของช่วงการวัด (Full Scale) เช่น ±0.1% FS หรือ ±0.5% FS หากเลือกช่วงกว้างเกินไป ความคลาดเคลื่อนก็จะยิ่งมาก ดังนั้นควรเลือกช่วงที่ค่าความดันใช้งานอยู่บริเวณกึ่งกลางของสเกล และเผื่อไว้ประมาณ 40–50% เพื่อให้ทั้งแม่นยำและปลอดภัย

ผลกระทบจากอุณหภูมิ (Temperature Effect)

ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจาก Transducer มักถูกสอบเทียบที่อุณหภูมิห้อง แต่ในงานจริงอาจเจอความร้อนสูงหรือเย็นจัด ส่งผลให้ค่าที่อ่านได้ผิดเพี้ยน วิธีแก้ไขคือใช้วัสดุหุ้มป้องกันความร้อน ติดตั้งท่อ buffer ก่อนถึงเซนเซอร์ หรือเลือก Transducer ที่มีระบบชดเชยอุณหภูมิอัตโนมัติ ซึ่งผู้ผลิตบางราย เช่น Ashcroft และ Dynisco ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อรักษาความเสถียรของการวัด

ความเข้ากันได้กับตัวกลาง (Media Compatibility)

เพราะวัสดุของส่วนที่สัมผัสตัวกลาง (wetted parts) ต้องไม่ถูกกัดกร่อนหรือทำปฏิกิริยากับสารที่วัด เช่น หากวัดน้ำทะเลหรือสารเคมีเข้มข้น ควรเลือกวัสดุอย่าง 316 Stainless Steel หรือ Inconel® 718 ซึ่งทนทานกว่าเหล็กทั่วไป หรือถ้าต้องการป้องกันเซนเซอร์ไม่ให้สัมผัสกับสารโดยตรงก็สามารถใช้ Diaphragm Seal ได้ แต่ควรสอบเทียบใหม่ทุกครั้งที่มีการติดตั้ง

 

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา

  • หมั่นตรวจสอบสภาพของเครื่องมือให้อยู่ในสภาพปกติอยู่เสมอ
  • ไม่ใช้งานจนเกิน Max Range ของเครื่องมือเพื่อป้องกันความเสียหาย
  • ต้องแน่ใจว่าใช้งานเครื่องมือถูกประเภทกับ Media  เช่น Hydraulic (น้ำมัน) หรือ Pneumatic (ลม)
  • การติดตั้ง ต้องแน่ใจว่าไม่มีการรั่วซึมตรงบริเวณข้อต่อหรือเกลียวต่างๆ
  • ห้ามแก้ไขดัดแปลงเครื่องมือด้วยตนเอง ถ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญการ
  • หมั่นส่งสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานอยู่เสมอตามแผนประจำปี

ทางบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory Co.,Ltd.) หรือ CLC ของเรานั้น มีบริการสอบเทียบ Pressure Transducer ในรูปแบบ Accredit 17025 ทั้ง In Lab และ On Site (สมอ. และ ANAB) โดยทีมเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการในเรื่องนี้โดยตรง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าผลการสอบเทียบและการออก Certificate จะเป็นมาตรฐานสากล และสอบกลับได้ถึงมาตรฐานระดับชาติ รวมทั้ง CLC ยังมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้งานและการสอบเทียบ Pressure Transducer กับท่านผู้สนใจติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้ ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำ(ฟรี)

มาถึงวรรคนี้สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวมาทั้งหมดคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อยนะครับ บทความของเราอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดมากมายอะไร เพราะถ้าลงลึกและเยอะไปก็อาจจะดูน่าเบื่อ(ไม่อยากอ่าน55) เป็นเพียงการให้ความรู้เบื้องต้นพอสังเขปเท่านั้น เพราะฉะนั้นย้ำอีกครั้งครับว่า สอบถามเพิ่มเติมกันเข้ามาได้ ตามช่องทางการติดต่อทุกๆช่องทางของทาง CLC ได้เลย แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า ขอบคุณและสวัสดีครับ

 

Ref.

Ashcroft

Dynisco

 

ผู้เขียน CHOK_AM

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านความดันและสุญญากาศ

 

เทียบชัด Stainless Steel Rule ความต่างของ Hard Chrome Finish VS. Polish Finish แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ?

ไม้บรรทัดสแตนเลส เป็นเครื่องมือวัดที่ช่างและวิศวกรนิยมใช้ เนื่องจากความแม่นยำ ความทนทาน และอายุการใช้งานยาวนาน ในตลาดมีหลายรูปแบบ แต่สองประเภทที่ได้รับความนิยมสูงคือ ไม้บรรทัดสแตนเลส ชนิด Hard Chrome Finish และชนิด Polish Finish ซึ่งแม้จะดูคล้ายกัน แต่มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

Stainless Steel Rule Hard Chrome Finish

ไม้บรรทัดประเภทนี้เคลือบผิวด้วย ฮาร์ดโครม (Hard Chrome) โดยใช้เทคโนโลยีการผลิต Etching และ Plating
หนึ่งในจุดเด่นของไม้บรรทัดสแตนเลสชนิด Hard Chrome Finish คือการทำสเกลด้วยกระบวนการ Etching หรือการกัดกรดลงบนผิวสแตนเลส เพื่อให้ร่องสเกลฝังอยู่ในเนื้อโลหะโดยตรง ทำให้ตัวเลขและเส้นวัดไม่ลอกจาง แม้ใช้งานเป็นเวลานาน จากนั้นจะผ่านขั้นตอน Plating หรือการชุบผิวฮาร์ดโครม เพื่อเพิ่มความแข็ง ทนรอยขีดข่วน และป้องกันการกัดกร่อน กระบวนการนี้ช่วยให้ไม้บรรทัดคงประสิทธิภาพการวัดได้แม้ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น ความชื้น หรือสารเคมี

คุณสมบัติเด่นของชนิด Hard Chrome Finish

1.ป้องกันแสงสะท้อน (Anti-Glare) ผิวเคลือบเป็นลักษณะด้าน (Matte Finish) ลดการสะท้อนของแสง ทำให้สามารถอ่านสเกลได้ชัดเจนแม้อยู่ในพื้นที่สว่างมาก

2.ความทนทานสูง (High Durability) การเคลือบฮาร์ดโครมช่วยให้ผิวทนต่อการขีดข่วนและการสึกหรอ เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หนักหน่วง

3.ความแม่นยำระดับ JIS Grade 1 ให้ค่าการวัดที่แม่นยำตามมาตรฐานญี่ปุ่น

4.กระบวนการผลิตแบบ Etching และ Plating ทำให้สเกลคงทน ไม่หลุดลอก แม้ใช้งานเป็นเวลานาน

5.มีทั้งหน่วย Metric (เมตริก) และ Inch (นิ้ว) สะดวกสำหรับงานที่ต้องใช้ระบบหน่วยผสมการใช้งาน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงในสภาพแวดล้อมที่อาจมีฝุ่น ความชื้น หรือการกระแทก เช่น งานเครื่องกล งานประกอบชิ้นส่วน และงานตรวจสอบคุณภาพ ดูรายละเอียดไม้บรรทัดสแตนเลสคลิก

Stainless Steel Rule Polish Finish

รุ่นนี้ทำจากสแตนเลสขัดเงา คุณภาพสูง  ราคาย่อมเยากว่า Hard Chrome Finish

คุณสมบัติเด่นของชนิด Polish Finish

  1. ผิวมันเงามีแสงสะท้อน ผิวสัมผัสเรียบ เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
  2. ราคาประหยัดกว่า เนื่องจากกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อนเท่าการเคลือบฮาร์ดโครม
  3. ความแม่นยำระดับ JIS Grade 1 แม่นยำเช่นเดียวกับรุ่น Hard Chrome Finish
  4. สเกล หน่วย Metric (เมตริก) เหมาะกับงานที่ใช้หน่วยเมตรเป็นหลัก การใช้งานเหมาะกับงานวัดทั่วไปในสำนักงาน โรงเรียน

สรุปความแตกต่างหลักๆ

คุณสมบัติ Hard Chrome Finish Polish Finish
แสงสะท้อน ป้องกัน ไม่ป้องกัน
ความทนทาน สูง ปานกลาง
หน่วยวัด Metric + Inch Metric
วัสดุ Stainless steel Stainless steel
มาตรฐาน JIS JIS
การใช้งาน งานอุตสาหกรรม งานทั่วไป

 

เลือกแบบไหนดี ข้อแนะนำการเลือกใช้

  1. ในกรณีที่คุณต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า หรืองานที่ทำนั้นมีความเสี่ยงต่อการขีดข่วนไม้บรรทัดสแตนเลสแนะนำว่าควรเลือกแบบ Hard Chrome Finish เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันแสงสะท้อนและมีความทนทานสูง
  2. ในกรณีที่คุณใช้สำหรับงานทั่วไปและต้องการความคุ้มค่า Polish Finish เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะยังคงได้รับมาตรฐาน JIS ทำให้มั่นใจว่าค่าที่วัดนั้นแม่นยำ

สรุป

พื้นผิวของไม้บรรทัดสแตนเลสทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันชัดเจน โดย ผิวขัดเงา (Polish Finish) เป็นสแตนเลสแบบปกติ เหมาะกับงานทั่วไป ชนิดฮาร์ดโครม (Hard Chrome) มีผิวด้าน (Matte Finish) ที่ช่วยป้องกันแสงสะท้อนและทำให้สามารถอ่านสเกลได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงและใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้า หรือเสี่ยงต่อการขีดข่วน

 

Ref.

Shinwa Measuring

Nihonsantools

 

 

ผู้เขียน BDS TEAM

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

Documenting Process Calibrator คืออะไร? ทำไมโรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่ต้องเลือกใช้

Documenting Process Calibrator คือ เครื่องมือทางไฟฟ้าที่เป็นทั้งเครื่องวัดและกำเนิดสัญญาณไฟฟ้า จ่ายสัญญาณ จำลองสัญญาณและวัดแรงดันไฟฟ้า (V) สามารถวัดค่าได้หลายพารามิเตอร์สำหรับการสอบเทียบ และ ให้ผลลัพธ์ที่อ่านค่าได้ทันทีสามารถนำมาวัดค่าอุณหภูมิและเป็นตัวกำเนิดสัญญาณในการสอบเทียบวัดค่าอุณหภูมิของได้หลากหลาย เช่น Thermocouple Type R, S, K, E, J, T,  และ ประเภท RTD Pt 100 และยังสามารถวัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (VDC), กระแสไฟฟ้า (I), ความต้านทาน (Ω)  และ ความถี่ (Frequency) ลักษณะตัวเครื่องถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยสามารถพกพานำไปใช้งานได้สะดวกตอบสนองความต้องการได้หลากหลาย สามารถวิเคราะห์ได้ผลการสอบเทียบออกมาได้รวดเร็วสามารถเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อดูข้อมูล ควรเลือกใช้งานให้ถูกต้องและเหมาะสม
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องมือมาใช้งาน หลักๆ มี 3 อย่าง

1. ACCURACY (ความถูกต้อง)

วามถูกต้อง คือความสามารถของเครื่องมือวัดในการแสดงค่าที่ตรงกับค่ามาตรฐานหรือค่าอ้างอิงที่แท้จริง หากเครื่องมือมีความถูกต้องสูง แสดงว่าค่าที่วัดได้ใกล้เคียงกับค่าจริงมากที่สุด

ลดความผิดพลาดในการผลิต

เมื่อเครื่องมือวัดมีความถูกต้องสูง ข้อมูลหรือค่าที่อ่านได้จะใกล้เคียงกับค่าจริง ทำให้การควบคุมกระบวนการผลิตเป็นไปอย่างแม่นยำ ลดการผลิตสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ลดของเสีย ลดต้นทุนที่อาจเกิดจากการต้องแก้ไขงานหรือผลิตใหม่

สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ใช้งาน

เครื่องมือวัดที่มี Accuracy ดี จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าและบริการ เพราะผลการวัดสามารถตรวจสอบย้อนกลับและเชื่อถือได้ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กร

ตอบสนองข้อกำหนดมาตรฐาน

หลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร ยา ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือห้องปฏิบัติการ ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน ISO, GMP, หรือข้อบังคับของหน่วยงานรัฐ การมีเครื่องมือวัดที่ถูกต้องจะช่วยให้ผ่านการตรวจสอบหรือรับรองมาตรฐานได้ง่ายขึ้น

ช่วยตัดสินใจได้แม่นยำ

ในงานวิศวกรรม งานสอบเทียบ หรือการควบคุมคุณภาพ ข้อมูลจากเครื่องมือวัดที่ถูกต้องจะช่วยให้ผู้บริหารและวิศวกรตัดสินใจได้แม่นยำ เช่น กำหนด ค่า setpoint การปรับปรุงกระบวนการ หรือการประเมินความเสี่ยง

ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

หากเครื่องมือวัดในงานที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น แรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิ ความดัน มี Accuracy ต่ำ อาจนำไปสู่อุบัติเหตุหรือความเสียหายได้ การเลือกใช้เครื่องมือที่มี Accuracy ดีจึงช่วยลดความเสี่ยงด้านนี้

2. PRECISION (ความแม่นยำ)

ประโยชน์ของ ความแม่นยำ (Precision)

  • ทำให้การวิเคราะห์กระบวนการและการควบคุมคุณภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    เพราะเมื่อเครื่องมือวัดมีความแม่นยำสูง ผลการวัดที่ได้แต่ละครั้งจะมีค่าคลาดเคลื่อนกันน้อย
    ทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย วางแผนการควบคุมกระบวนการผลิต (SPC) หรือใช้เป็นพื้นฐานในการตรวจสอบแนวโน้มของกระบวนการผลิตได้ดี
  • ช่วยระบุความเสถียรของกระบวนการวัดหรือระบบการผลิต
    หากการวัดซ้ำหลายครั้งแล้วได้ค่าคล้ายกันตลอด แสดงว่ากระบวนการหรือเครื่องมือวัดนั้นมีความเสถียร (Stable)

3. RELIABILITY (ความน่าเชื่อถือได้)

ประโยชน์ของ ความน่าเชื่อถือได้ (Reliability)

  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาหยุดชะงักในการผลิต เครื่องมือวัดที่มี Reliability สูงจะทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่เสียหรือขัดข้องง่าย ทำให้ไม่ต้องหยุดสายการผลิตหรือเปลี่ยนอุปกรณ์บ่อย
  • ช่วยให้ข้อมูลที่บันทึกระยะยาวมีความต่อเนื่องและเชื่อถือได้ เหมาะกับการวัดที่ต้องใช้ข้อมูลระยะยาว เช่น ระบบตรวจวัดสิ่งแวดล้อมหรือระบบควบคุมคุณภาพในโรงงานขนาดใหญ่

หลังจากการนำเครื่องมือไปใช้งานควรเก็บดูและรักษาทำความสะอาดถอดสายไฟและอุปกรณ์พ่วงตัวอื่นๆออกให้เรียบร้อยด้วยทุกครั้งเพื่อการใช้งานให้มีประสิทธิภาพในครั้งต่อๆไป เพราะตัวเครื่อง Documenting Process Calibrator มีราคาที่ค่อนข้างสูง

ในตัวเครื่องมือ Documenting Process Calibrator มีอยู่หลาย FUNCTION ให้เลือกในการใช้งาน เช่น

  • FUNCTION ACV , DCV , DCI (MEASUREMENT), (SOURCE)
  • FUNCTION RESISTANCE , FREQUENCY (MEASUREMENT), (SOURCE)
  • FUNCTION RTD PT100 Ohm 2 WIRE (MEASUREMENT), (SOURCE)
  • FUNCTION RTD PT100 Ohm 3 WIRE (MEASUREMENT), (SOURCE)
  • FUNCTION RTD PT100 Ohm 4 WIRE (MEASUREMENT), (SOURCE)
  • FUNCTION TEMPERATURE (TC TYPE E, J, K, T, R, S), (MEASUREMENT), (SOURCE)

ขอบข่ายในการออก ACCREDITED ของ บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (CLC) ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 จาก สมอ. (ประเทศไทย) และ ANAB (สหรัฐอเมริกา) ให้บริการสอบเทียบด้วยเครื่องมือทันสมัย

สามารถออก ACCREDITED จากทั้ง 2 สถาบัน สามารถตรวจสอบใบรับรองการรับรองมาตรฐานได้ที่ (ใบรับรอง)

 

ความสำคัญของการสอบเทียบ Documenting Process Calibrator

การส่งเครื่องมือสอบเทียบเพื่อตรวจสอบเช็คค่าเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือที่เราใช้งานอยู่นั้นยังสามารถที่จะใช้งานได้ต่อสอบเทียบแล้วยังได้ค่าที่มั่นคง แม่นยำ ถูกต้องอยู่ เครื่องมือวัดอุตสาหกรรมในโรงงานส่วนมากก็จะมีการส่งตรวจสอบ และ สอบเทียบเครื่องมือวัดให้มีความถูกต้องตามความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ที่ทางผู้ใช้งานได้กำหนดไว้ เพื่อให้ได้มาตรฐาน

ผู้ใช้งานควรมีการกำหนดช่วงระยะเวลาในการดูแลบำรุงรักษาเครื่องมือแต่ละประเภทที่ใช้งานอยู่ ระยะเวลาในการกำหนดขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้งานด้วย ถ้าใช้บ่อยก็ควรส่งสอบเทียบเพื่อดูค่าความคลาดเคลื่อนของตัวเครื่องมือ ความหมายก็คือ กำหนด Due Date ส่งเครื่องมือเข้าสอบเทียบ เช่น 3 เดือน/ครั้ง, 6 เดือน/ครั้ง, 1ปี/ครั้ง ควรสอบเทียบเครื่องมือก่อนนำมาใช้งาน ควรเลือกใช้บริการห้องการสอบเทียบที่ได้มาตราฐานและได้รับการรับรองความสามารถ Accredit ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 การสอบเทียบเครื่องมือวัดมีความสำคัญต่อทุกๆโรงงานอุตสาหกรรมที่ยื่นทำระบบคุณภาพควรต้องมีระบบมาตรฐานคุณภาพที่ชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับโรงงาน สร้างประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ได้ทำการผลิตออกไป

 

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านไฟฟ้า

 

Wrist Strap and Footwear Tester คืออะไร มีเทคนิคยังไงให้ใช้ได้แม่นยำ

Wrist Strap and Footwear Tester (เครื่องวัดไฟฟ้าสถิตย์แบบสายรัดข้อมือและทดสอบรองเท้า)

วันนี้เราจะมาขอกล่าวถึงเจ้าเครื่องมือวัดอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Wrist Strap and Footwear Tester กันซักหน่อยนะครับ แต่ก่อนอื่นนั้นกระผมต้องขอเกริ่นแบบนี้ครับว่า อุตสาหกรรมในบ้านเราในยุคปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปไกลพอสมควรแล้ว  โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เป็นอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของชิ้นงานที่ผลิตได้เป็นอย่างมาก และยิ่งยุคปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีต่างๆก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตชิ้นงานให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยิ่งเทคโนโลยีก้าวไกลเพียงใด ก็จะพบว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีขนาดเล็กลงเท่านั้น ส่งผลให้ขั้นตอนในการผลิตยิ่งต้องมีความเข้มงวดขึ้นไปเป็นเงาตามตัวกันเลยทีเดียว และในการผลิตชิ้นส่วนหรือแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีมาตรฐานตัวนึงเข้ามาเกี่ยวข้องนั่นก็คือ การควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ การควบคุมนี้จะค่อนข้างซีเรียสมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ชิ้นงานเกิดความเสียหายหรือนำไปใช้งานแล้วประสิทธิภาพลดลง อันเนื่องมาจากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าจากผู้ปฎิบัติงานสู่ชิ้นงานระหว่างปฏิบัติงาน ทั้งนี้รวมถึงทุกๆส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น โต๊ะปฎิบัติงาน, เก้าอี้, พื้นหรือแม้กระทั่งชุดเสื้อผ้า, รองเท้าที่สวมใส่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ล้วนแล้วมีส่วนสำคัญและต้องเป็นไปตามมาตรฐานของการควบคุมไฟฟ้าสถิตย์ทั้งนั้น แต่หากคุณเป็นผู้ทำงานในไลน์ผลิต อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนฯ ห้องคลีนรูม หรือประกอบชิ้นส่วนที่ไวต่อไฟฟ้าสถิต (ESD) เป็นสิ่งที่คุณอาจคุ้นเคยกับคำว่า Wrist Strap Tester และ Footwear Tester สองสิ่งนี้คือ “เครื่องเช็กความพร้อมของคนก่อนเข้าพื้นที่ ESD” ว่าง่าย ๆ คือเช็กว่า สายรัดข้อมือ หรือ รองเท้า/ส้น ESD ของเรายังระบายประจุได้ตามเกณฑ์หรือไม่ เพื่อกันไฟฟ้าสถิตทำลายชิ้นงาน และวันนี้เราจะขอหยิบยกมาคุย 2 ชนิดที่เรากล่าวถึง คือ Wrist Strap Tester ดังรูปตัวอย่างที่ 1 และ Footwear Tester ดังรูปตัวอย่างที่ 2

รูปตัวอย่างที่ 1 Wrist Strap Tester

รูปตัวอย่างที่ 2 Footwear Tester

จากรูปตัวอย่างที่ 1 และ 2 จะเห็นได้ว่าเครื่องมือทั้ง Wrist Strap Tester และ Footwear Tester นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งสองรูปนั้น จุดประสงค์เดียวกันคือวัดไฟฟ้าสถิตย์ของผู้ปฏิบัติงาน แตกต่างกันที่รูปแรกจะใช้ร่วมกับสายรัดข้อมือ แต่รูปที่สองผู้ที่ทดสอบจะต้องขึ้นไปยืนบนแป้นที่มีรูปเท้าทั้งสองข้าง(ยืนทั้งใส่รองเท้า) โดยเครื่องมือพวกนี้ส่วนใหญ่จะแสดงผลการวัดเป็นไฟแสดงสถาณะสีต่างๆ เช่น สีแดง สีเขียว สีส้มหรือเหลือง

  • สีแดง = Low
  • สีเขียว = Pass, OK
  • สีส้มหรือเหลือง = High

ทำไมต้องทดสอบ? ไม่ใส่เฉย ๆ ได้ไหม

แม้อุปกรณ์ ESD จะดูแข็งแรง แต่ ยาง, สาย, ขั้วต่อ เสื่อมสภาพได้จากการใช้งาน, เหงื่อ, ความชื้น, การดึงรั้ง การทดสอบจึงเป็นการ พิสูจน์สภาพจริง ก่อนสัมผัสชิ้นงานราคาแพง ลดของเสีย (scrap/rework) และเก็บหลักฐาน traceability เวลาโดนออดิท

ถ้าเป็นกระบวนการสอบเทียบเครื่องมือวัดของทางห้องปฏิบัติการ Calibration Laboratory Co.,Ltd. (CLC) เวลา Report ผลการสอบเทียบใน Certificate จะรายงานเป็นหน่วย kΩ, MΩ เนื่องจาก CLC ใช้เครื่องมือ Standard เป็นเครื่อง Decade Resistance Box เป็นตัวสอบเทียบ รูปแบบการรายงานผลการสอบเทียบก็จะประมาณตัวอย่างรูปที่ 3 และ 4 (รูปตัวอย่างเป็นเพียงผลการสอบเทียบแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะการรายงานผลการสอบเทียบอาจแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมกับเครื่องมือ Brand, Model นั้นๆด้วย)

รูปตัวอย่างที่ 3

รูปตัวอย่างที่ 4

วิธีใช้งานที่ถูกต้อง (วิธีช่วยให้ผลแม่นยำยิ่งขึ้น)

  1. ถอดเครื่องประดับโลหะ ที่อาจรบกวนการสัมผัส
  2. ใส่สายรัดให้แนบผิว (ไม่แน่นจนเจ็บ ไม่หลวมจนเลื่อน)
  3. เสียบหัวสาย/ยืนบนแผ่นเท้าให้เต็มฝ่าเท้า
  4. แตะปุ่ม/แผ่นสัมผัส รอไฟหรือเสียงบอกสถานะ

บันทึกผล ตามระบบโรงงาน (ถ้ามี) แล้วค่อยเข้าพื้นที่
ทริกเล็กๆ  ถ้า FAIL ให้เช็กความแนบผิว เช็ดเหงื่อ คราบมัน เปลี่ยนจุดสัมผัสแล้วลองใหม่ ถ้ายังไม่ผ่านค่อย เปลี่ยนสายหรือรองเท้า หรือแจ้งทางวิศวกร ESD ให้ทราบ

หมายเหตุ เว็บไซต์ Bondline ให้คำแนะนำว่า สายรัดข้อมือ ESD ควรทดสอบทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อใช้งานประจำ เพื่อป้องกันการล้มเหลวของระบบกราวด์ และช่วยลดโอกาสเกิดอันตรายต่อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ไวต่อไฟฟ้าสถิตย์ 

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา

  • ในการใช้งานต้องแน่ใจว่ามือหรือเท้าผู้ทดสอบไม่เปียกน้ำ
  • ก่อนใช้งานควรตรวจสอบว่าเครื่องมือพร้อมใช้งานหรือไม่
  • หมั่นทำความสะอาดบริเวณจุดสัมผัสก่อนและหลังใช้งานอยู่เสมอ
  • เมื่อพบเห็นความผิดปกติของเครื่อง ให้รีบแจ้งหัวหน้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทันที
  • ไม่ควรแก้ไข /ดัดแปลงเครื่องมือด้วยตัวเอง
  • หมั่นส่งเข้ารับการสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานตามระยะเวลาที่กำหนด

บริษัท Calibration Laboratory Co.,Ltd. (CLC) ของเรานั้นมีบริการสอบเทียบ Wrist Strap Tester and Footwear Tester ซึ่งได้รับการรับรอง Accredit ISO/IEC 17025:2017 ทั้ง สมอ. และ ANAB ในรูปแบบ In-Lab และ On-Site โดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการและมากประสบการณ์ รวมทั้งมีบริการให้คำปรึกษาตอบคำถามต่างๆเกี่ยวกับการสอบเทียบหรือการใช้งาน Wrist Strap Tester and Footwear Tester อีกด้วย ลองติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้เลยนะครับ ตามช่องทางการติดต่อทุกๆช่องทาง

ก็หวังว่าบทความเรื่อง Wrist Strap Tester and Footwear Tester ที่เขียนขึ้นมาพอสังเขปในครั้งนี้ จะพอให้ท่านที่สนใจมีความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องมือดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ….แล้วพบกันครั้งต่อไป ขอบคุณครับ

 

Ref.

Desco industries

 

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านไฟฟ้า

 

 

Standard Plate คืออะไร? ประโยชน์และการใช้งานในงานอุตสาหกรรมที่ควรรู้

Standard Plate หรือ “แผ่นมาตรฐาน” คือ เครื่องมือวัดที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดและรูปร่างที่แม่นยำตามมาตรฐานกำหนด(มาตรวิทยา)  ใช้สำหรับการสอบเทียบ (Calibration) หรือเป็นแม่แบบในการตรวจสอบความแม่นยำของอุปกรณ์วัดอื่นๆ เช่น เครื่องมือวัดขนาด เครื่องมือวัดระยะ หรือใช้เป็นมาสเตอร์ในสายงานควบคุมคุณภาพ

แผ่นมาตรฐานนี้มักทำจากวัสดุที่มีความคงตัวสูง เช่น เหล็กกล้า หรือเซรามิก ผ่านการผลิตด้วยกรรมวิธีที่ควบคุมความละเอียดและขนาดมาก เพื่อให้ค่าขนาดและพื้นผิวมีความแม่นยำ สามารถนำมาใช้สอบเทียบเครื่องมือวัดระดับสูง

Standard Plate ใช้สำหรับทำอะไร

Standard Plate สามารถเอามาใช้งานได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับทางผู้ใช้งานที่จะสร้างชิ้นงาน Standard Plate ขึ้นมาเพื่ออะไร เช่น เป็นมาสเตอร์ (Standard) ที่เอาใช้กำหนดความยาวและความกว้างของเนื้องาน

Standard Plate เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำในการผลิตและการวัด เช่น

  • อุตสาหกรรมยานยนต์
    เช่น การผลิตยางรถยนต์ ชิ้นส่วนช่วงล่าง หรือชิ้นงานที่ต้องควบคุมขนาด
  • อุตสาหกรรมแม่พิมพ์และการผลิตชิ้นส่วนโลหะ
    เช่น โรงงานผลิตแม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์โลหะ ที่ต้องใช้มาตรฐานขนาดในการตั้งเครื่องจักรหรือทวนสอบชิ้นงาน
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนความละเอียดสูง
    ที่ต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัดขนาดและเครื่องมือวัดระยะต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นงานที่ผลิตได้มาตรฐานสากล

ตัวอย่างงานที่ใช้ แผ่นมาตรฐาน

เช่น ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ เมื่อจะผลิตยางขนาดต่างๆ จะต้องมีการตั้งมาตรฐานขนาดสำหรับเครื่องจักร โดยใช้ Standard Plate เป็นแม่แบบวัดหรือจุดอ้างอิง เพื่อให้ทุกชิ้นงานออกมาตรงตามมาตรฐานเดียวกัน ลดความเสี่ยงเรื่องของเสียและเพิ่มความน่าเชื่อถือในคุณภาพ

ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัด มีผลต่อลูกค้าอย่างไร

Standard Plate เป็นชิ้นงานที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษจากความต้องการของลูกค้า ฉะนั้นควรที่จะทำการส่งสอบเทียบเพื่อวัดค่าของชิ้นงานที่สร้างขึ้นมาเพราะจะได้รู้ว่าขนาด (Dimension) ของ Standard Plate ที่ใช้งานอยู่ได้ค่าตรงตามความต้องการหรือไม่

ประเภทของเครื่องมือ

แบ่งออกเป็นได้ 2 ประเภท ได้แก่

    • Standard Plate ที่มีขนาดใหญ่ไม่สามารถรับกลับมาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการได้ ต้องไป ONSITE ที่หน้างาน
    • Standard Plate ที่มีขนาดเล็กสามารถรับกลับเข้ามาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการได้และสามารถเอาขึ้นสอบเทียบกับเครื่อง Coordinate Measuring Machine (CMM) ได้

วิธีการสอบเทียบ Standard Plate ในห้องปฏิบัติการของ CLC เบื้องต้น

จะนำชิ้นงานขึ้นบนเครื่อง Coordinate Measuring Machine (CMM) โดยเวลาสอบเทียบจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง

  • T (TOP) – บน
  • C (CENTER) – กลาง
  • B (BOTTOM) – ล่าง

ใช้ Probe CMM ลากวัดระยะเพื่อหาค่าความยาวของตัวชิ้นงานในแต่ละช่วงที่แบ่งไว้ทั้ง 3 ตำแหน่ง การวัดจะทำให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของ Standard Plate
ตามรูปด้านล่าง

ลักษณะของ Standard Plate (สอบเทียบในห้องแลป)

ขนาดชิ้นงานที่มีความยาวไม่เกิน 1000 mm. เพราะถ้าเกิน 1000 mm. จะไม่สามารถนำขึ้นสอบเทียบบนเครื่อง CMM ได้และตัวเครื่องมือสามารถที่จะเคลื่อนย้ายนำกลับมาสอบเทียบภายในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ ในรูปจะเป็น Standard Plate ขนาด 200 mm , 600 mm

ปัจจัยที่จำเป็นต่อการสอบเทียบ

การสอบเทียบเครื่องมือวัดแผ่นมาตรฐานจำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมสำหรับการสอบเทียบ (สอบเทียบในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ)

  • Temperature : 20 ± 1 ºC
  • Humidity : 55 % ± 10 % RH

Standard ที่ใช้ในการสอบเทียบ Standard Plate (สอบเทียบในปฏิบัติการสอบเทียบ)

ตัวอย่างเครื่อง Coordinate Measuring Machine, Zeiss Model Contura G2/7106 RDS ของบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

ลักษณะของ Standard Plate (สอบเทียบแบบ ON SITE)

ขนาดชิ้นงานจะมีความยาวตั้งแต่ 1000 mm. ขึ้นไปเคลื่อนย้ายในการสอบเทียบจะค่อนข้างลำบากเพราะมีขนาดใหญ่ไม่ควรที่จะส่งเข้ามาสอบเทียบภายในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ ในรูปด้านล่างจะเป็น Standard Plate ขนาด 2000 mm , 2500 mm , 3500 mm

Standard ที่ใช้ในการสอบเทียบ Standard Plate ในแบบประเภท (ON SITE)

ตัวอย่างเครื่อง Laser Tracker, Faro Model Vantage ของบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

การสอบเทียบแบบ Onsite สำหรับเครื่องมือวัด Plate Standard

สิ่งที่จำเป็นคือการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในการสอบเทียบ (ON SITE) ให้อยู่ที่

  • Temperature: 25 ºC to 27 ºC
  • Humidity: 65% RH   to 72% RH

ขอบข่ายในการออก ACCREDITED จากห้องปฏิบัติการ Calibration Laboratory

  • สามารถออก ACCREDITED ANAB ในส่วนของ ON SITE จะใช้ SCOPE [CLC-CPCMM-04]
  • สามารถออก ACCREDITED ANAB ในส่วนของสอบเทียบในห้องปฏิบัติการสอบเทียบ (In Lab) จะใช้ SCOPE [CLC-CPCMM-01]

CLC สามารถสอบเทียบอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง

วัดระยะหาค่าความยาวของตัวเครื่องมือแต่ละ Range ที่ลูกค้ากำหนดมาที่ตัวชิ้นงาน หน่วยการวัดจะออกมาเป็นหน่วย mm (มิลลิเมตร)

ลักษณะการใช้งานของ Standard Plate

ตัวชิ้นงานในรูปจะเป็น  Standard Plate ที่นำเอามาใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทยางรถยนต์ ซึ่งขนาดของยางจะมีไม่เท่ากันมีทั้งใหญ่และเล็ก ทางกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมยางเลยมี Standard Plate อยู่หลายขนาดขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละขนาดแตกต่างกันออกไป Standard Plate จะถูกนำมา Set และใช้ Laser ยิงระยะไปที่ตัว Standard Plate เพื่อให้ได้ค่าที่ Set ไว้ของแต่ละขนาดออกมาได้มาตรฐานการผลิตที่กำหนด

 

Ref.
Mitutoyo

Metrology Mahr

Pubmed Central

 

ผู้เขียน MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

OD vs ID ต่างกันอย่างไร? รู้ให้ชัดก่อนเลือกใช้งานจริง

งานอุตสาหกรรม วิศวกรรม หรือแม้กระทั่งงานออกแบบชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัตถุทรงกระบอก ไม่ว่าจะเป็นท่อ เพลา หรือถัง กลุ่มคำว่า OD และ ID มักถูกพูดถึงและใช้งานอยู่เสมอ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมาย และความแตกต่างที่ชัดเจนของทั้งสองคำนี้ บทความนี้จะช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายและชัดเจน เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้งานได้ถูกต้องและเหมาะสมกับงานจริง

OD คืออะไร?

OD หรือ Outer Diameter หมายถึง เส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก ของวัตถุทรงกระบอก ซึ่งเป็นระยะห่างระหว่างขอบด้านนอกฝั่งหนึ่งถึงขอบด้านนอกฝั่งตรงข้าม ผ่านจุดศูนย์กลางของวัตถุ
การวัด OD เป็นสิ่งสำคัญเพื่อกำหนดขนาดภายนอกของชิ้นงาน และมักใช้สำหรับการออกแบบพื้นที่การติดตั้ง การประกอบชิ้นส่วน หรือการเลือกอุปกรณ์ที่ต้องพอดีกับชิ้นงานนั้นๆ

ID คืออะไร?

ID หรือ Inner Diameter หมายถึง เส้นผ่านศูนย์กลางภายใน ของวัตถุทรงกระบอก เป็นระยะห่างระหว่างขอบด้านในฝั่งหนึ่งถึงขอบด้านในฝั่งตรงข้าม ผ่านจุดศูนย์กลาง
การวัด ID สำคัญในการออกแบบและควบคุมคุณภาพชิ้นงานที่มีลักษณะกลวง เช่น ท่อ กระบอกสูบหรือถัง ที่ต้องการขนาดภายในเพื่อคำนวณปริมาตร หรือการไหลของของเหลว

ทำไมต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OD และ ID?

ในงานอุตสาหกรรม วิศวกรรม หรือแม้แต่การใช้งานทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนทรงกระบอก เช่น ท่อ เพลาหรือถัง เรามักได้ยินคำว่า OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) ซึ่งเป็นขนาดที่สำคัญและจำเป็นต้องเข้าใจให้ชัดเจน แต่ทำไมเราถึงต้องรู้และเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OD และ ID?

1. เพื่อการเลือกใช้ชิ้นส่วนที่เหมาะสม

การเลือกชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในระบบท่อ ระบบเครื่องจักร หรือระบบประกอบอื่น ๆ จำเป็นต้องรู้ขนาด OD และ ID อย่างแม่นยำ เพื่อให้ชิ้นส่วนที่นำมาใช้มีขนาดพอดี ไม่หลวมจนทำให้เกิดการรั่วซึมหรือเสียความแข็งแรง และไม่แน่นเกินไปจนประกอบไม่ได้

2. เพื่อการออกแบบและคำนวณที่ถูกต้อง

OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) มีผลโดยตรงต่อการคำนวณปริมาตร น้ำหนัก หรือแรงดันในระบบ เช่น ID จะใช้ในการคำนวณพื้นที่หน้าตัดสำหรับของไหลที่ไหลผ่านในท่อ OD จะใช้ในการคำนวณความหนาของผนังท่อและความแข็งแรงของวัสดุ หากไม่เข้าใจความแตกต่าง อาจส่งผลให้คำนวณผิดพลาดและเกิดปัญหาตามมา

3. เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

ขนาดที่ไม่เหมาะสม เช่น ท่อที่มี ID (Inner Diameter)  เล็กเกินไป อาจทำให้เกิดแรงดันสะสมจนระเบิด หรือ OD (Outer Diameter)  ที่ไม่พอดีกับอุปกรณ์อื่นอาจทำให้เกิดการรั่วซึม ทำงานผิดปกติหรือเกิดอุบัติเหตุได้

4. เพื่อการควบคุมคุณภาพและตรวจสอบงาน

ในการผลิตหรือซ่อมบำรุง จำเป็นต้องวัด OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter)  อย่างแม่นยำเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า หรือชิ้นส่วนผ่านมาตรฐานที่กำหนด การวัดผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ต้องเสียเวลาซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่

5. เพื่อประหยัดเวลาและลดต้นทุน

ความเข้าใจที่ถูกต้องช่วยลดข้อผิดพลาดในการสั่งซื้อ และการใช้งาน ลดการส่งคืนสินค้า และลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบงานโดยรวม

การเลือกใช้งาน Pi Tape ให้เหมาะกับการวัด OD และ ID

Pi Tape (เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง หรือ Diameter Tape) เป็นเครื่องมือวัดที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกหรือวงกลม โดยแปลงค่าความยาวรอบวงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางได้อย่างแม่นยำ นิยมใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ท่อ ถังแรงดัน และชิ้นงานขนาดใหญ่ที่เครื่องมือวัดทั่วไปเข้าถึงได้ยาก

Pi Tape แบ่งการใช้งานหลักออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะของชิ้นงานที่ต้องการวัด คือ

  1. PRECISION OUTSIDE DIAMETER TAPES (OD) – สำหรับวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก
  2. PRECISION INSIDE DIAMETER TAPES (ID) – สำหรับวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน

สรุป

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง OD (Outer Diameter) และ ID (Inner Diameter) ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่มีผลโดยตรงกับความสำเร็จของงานตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการประกอบและการใช้งานจริงไม่ว่าจะเป็นช่างเทคนิค วิศวกร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมต่าง ๆ การมีความรู้และความเข้าใจในขนาด OD และ ID จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมืออาชีพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การเลือกใช้ Pi Tape ให้เหมาะสมกับ OD หรือ ID จะช่วยให้การวัดมีความแม่นยำ ปลอดภัย และใช้งานได้ยาวนาน โดยควรพิจารณาจากลักษณะของชิ้นงาน, หน่วยวัด, ความละเอียด และวัสดุของเทป รวมไปถึงควรสอบเทียบก่อนใช้งานเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือมีความน่าเชื่อถือในการวัดค่าจริงในกระบวนการผลิต

 

BDS TEAM

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

หยุด ปัญหาระบบไฟฟ้าเสื่อม ก่อนสาย ด้วยเครื่องมือบำรุงรักษาที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีในทุกโรงงาน เพราะเป็นหัวใจของการควบคุมคุณภาพ, ความปลอดภัย, และประสิทธิภาพในการทำงานของระบบไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องมือวัด ที่ใช้ต้องแม่นยำ, ผ่านการสอบเทียบ และใช้งานอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผลการวัดมีความน่าเชื่อถือจริง และเป็นการป้องกันการเกิด ปัญหาระบบไฟฟ้าเสื่อม ในอีกทางหนึ่งด้วย

การใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าในการตรวจจับปัญหาเบื้องต้น

การตรวจสอบปัญหาทางไฟฟ้าเบื้องต้นเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เครื่องมือวัดไฟฟ้า (Electrical Measurement Tools) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า โดยสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติหรือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ บทความนี้จะอธิบายถึงวิธีการใช้งานเครื่องมือวัดไฟฟ้าในการตรวจจับปัญหาต่าง ๆ ในการทำงานเบื้องต้น

1.การใช้มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

เพื่อตรวจวัดแรงดันไฟฟ้า, กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน

รูปตัวอย่าง Multimeter

มัลติมิเตอร์เป็นเครื่องมือที่มีความหลากฟังก์ชันหลากหลาย สามารถใช้วัดค่าต่าง ๆ เช่น

แรงดันไฟฟ้า (Voltage)

การใช้มัลติมิเตอร์ในการตรวจวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจรหรืออุปกรณ์ช่วยให้เรารู้ว่ามีการส่งแรงดันไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์อย่างถูกต้องหรือไม่ หากค่าแรงดันผิดปกติ เช่น ต่ำกว่าค่าที่ควรจะเป็น ก็อาจหมายถึงว่ามีการขาดการเชื่อมต่อหรืออุปกรณ์มีปัญหา

กระแสไฟฟ้า (Current)

การตรวจวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรสามารถบ่งชี้ถึงการมีโหลดเกินหรือกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการลัดวงจรหรือการทำงานหนักของอุปกรณ์

ความต้านทาน (Resistance)

การวัดความต้านทานในวงจรช่วยในการหาจุดที่มีการตัดการเชื่อมต่อหรือการลัดวงจร ซึ่งสามารถช่วยตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสายไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า

2. การใช้แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) ตรวจจับกระแสไฟฟ้าโดยไม่ต้องตัดสาย


รูปตัวอย่างการใช้งาน Clamp Meter

Clamp Meter เป็นเครื่องมือที่สะดวกและปลอดภัยในการวัดกระแสไฟฟ้าโดยไม่ต้องตัดหรือเปิดวงจร สามารถตรวจวัดกระแสไฟฟ้าในสายไฟฟ้าได้ทันที ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของวงจรไฟฟ้าโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสายหรือละเมิดความปลอดภัย ตัวอย่างการใช้งานคือ

  • การตรวจสอบกระแสไฟฟ้าในวงจรที่ทำงานผิดปกติ เช่น วงจรที่มีโหลดมากเกินไป
  • การตรวจสอบกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าโรงงาน หรือในเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือการใช้ไฟฟ้าเกิน

วิธีการวัดโดยไม่ต้องตัดสาย?

เครื่องมือวัดนี้สามารถวัดกระแสได้โดยไม่ต้องเปิดวงจร คุณเพียงคีบให้รัดรอบสายไฟหนึ่งเส้นและปิดปากคีบให้สนิท จับให้อยู่กึ่งกลางปากคีบเพื่อลดความผิดพลาด ใกล้แผง Main หรือรางบัสให้เพิ่มความระวังในเรื่องระยะห่างไฟฟ้า ควรสวมถุงมือกันไฟและแว่นนิรภัยให้ครบ และระมัดระวังอย่าให้สายไฟใหญ่เกินขนาดปากคีบที่เครื่องรองรับ

ในกรณีที่สงสัยว่ามีกระแสรั่ว ให้คีบรวมสายเฟสและสายนิวทรัลพร้อมกัน ถ้าระบบสมบูรณ์กระแสทั้งสองเส้นจะหักล้างกันจนเกือบเป็นศูนย์ ถ้าจอแสดงผลที่ Clamp Meter ขึ้นตัวเลขชัดเจนหมายถึงมีกระแสไหลลงดินอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ให้ใช้วิธีการไล่คีบย่อยลงไปทีละช่วง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แคลมป์เพื่อดูช่วงกระชากตอนมอเตอร์เริ่มหมุนได้ด้วย โดยเลือกจากตัวเลือกโหมดวัดกระแสกระชาก เครื่องจะทำการจับค่าสูงสุดช่วงสตาร์ตให้อัตโนมัติ

คุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่รึเปล่า – ไฟชอบดับตอนช่วงการใช้งานเยอะๆ

เราแนะนำว่าให้คุณเริ่มสำรวจที่จุดรับไฟหลักของโรงงานก่อน วัดกระแสของแต่ละเฟสและของสายนิวทรัล แล้วเปรียบเทียบกับค่าที่อุปกรณ์และสายไฟรองรับ หากเฟสหนึ่งสูงผิดปกติ หรือสายนิวทรัลมีกระแสมากกว่าที่ควร ให้ตามต่อไปที่ตู้ย่อยของเครื่องจักรขนาดใหญ่ เปิดโหมดบันทึกค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดไว้ทั้งวัน จะเห็นชัดว่าจุดไหนดึงกระแสพุ่งจนทำให้แรงดันตก แล้วค่อยวางแผนย้ายโหลด แยกวงจร หรือปรับวิธีสตาร์ตเครื่องให้กินกระแสนุ่มขึ้น

3. การใช้เครื่องวัดความต้านทานดิน (Earth Resistance Tester) ในการตรวจสอบระบบดิน

รูปตัวอย่าง Earth Resistance Tester

ระบบดินที่ไม่ดีหรือมีความต้านทานสูงอาจทำให้เกิดปัญหาทางไฟฟ้า เช่น การช็อตไฟฟ้า หรือความไม่เสถียรในระบบไฟฟ้า การใช้เครื่องวัดความต้านทานต่อดินช่วยในการตรวจสอบว่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับดินนั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ เครื่องมือประเภทนี้จะช่วยตรวจวัดค่าความต้านทานของระบบดินและแนะนำว่าควรทำการปรับปรุงอย่างไร

วิธีการทดสอบด้วยเครื่องวัดความต้านทานดิน

ก่อนทดสอบระบบดิน ให้ถอดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เซนซิทีฟออกจากกราวด์ชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหาย จากนั้นเลือกตำแหน่งปักหมุดทดสอบให้อยู่ในระยะที่ไกลจากท่อโลหะ สายไฟฝังดิน และฐานราก ในการทดสอบควรทดสอบในวันที่สภาพอากาศคงที่ ไม่ใช่ช่วงพายุฝนฟ้าคะนอง หากตรวจสอบพื้นดินแล้วมีความแห้งมากๆอาจทำให้จุดสัมผัสหมุดไม่แน่นเพียงพอ แก้ไขได้โดยการพรมน้ำเฉพาะจุดที่ต้องสัมผัสเล็กน้อยเพื่อให้ค่าทดสอบนิ่งขึ้น วิธีที่กล่าวมานี้เป็นวิธีสำหรับช่วยในกรณีทดสอบเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ระบบกราวด์ถาวร

ขณะวัด ให้ขยับตำแหน่งหมุดรับสัญญาณแล้วดูว่าค่าที่อ่านนิ่งหรือไม่ ถ้ากราฟนิ่งในช่วงระยะที่เครื่องมือแนะนำแสดงว่าค่าที่ได้เป็นตัวแทนของระบบจริง หากโรงงานหรือพื้นที่ที่ต้องตรวจวัดมีจุดต่อกราวด์หลายเส้นทางจนกระแสไหลขนานกันมาก วิธีการวัดแบบใช้คีบรอบตัวนำกราวด์โดยไม่ต้องถอนสายออกจากระบบ จะช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วและปลอดภัยขึ้น หากต้องการปรับปรุงระบบกราวด์ควรเริ่มจากการวัดเพื่อเก็บค่าอย่างสม่ำเสมอทั้งในฤดูฝนและหน้าร้อน แล้วนำผลที่ได้มาประกอบการตัดสินใจเพื่อปรับปรุงถาวร จะทำให้ได้ข้อมูลในทุกๆช่วง ไม่หลงทางจากค่าชั่วคราวในช่วงใดช่วงหนึ่ง

4. การใช้เครื่องวัดกำลังไฟฟ้า (Power Meter) เพื่อตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้า

รูปตัวอย่างการใช้งาน Power Meter

พาวเวอร์มิเตอร์ หรือเครื่องวัดกำลังไฟฟ้าสามารถช่วยในการตรวจสอบการใช้พลังงานในวงจร หรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถใช้ในการตรวจสอบว่ามีการใช้พลังงานเกินหรือไม่ โดยการวัดกำลังไฟฟ้าในเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือระบบไฟฟ้า เช่น

  • การตรวจสอบอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้ามากเกินไปหรือมีการใช้พลังงานผิดปกติ
  • การตรวจวัดความคุ้มค่าในการใช้งานพลังงานของระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์

นอกจากนั้นเครื่องมือนี้ยังช่วยจับเหตุการณ์ไฟตก ไฟเกิน และไฟดับแว้บสั้นๆได้ด้วย การติดตั้งต้องต่อหม้อแปลงวัดกระแสและหม้อแปลงวัดแรงดันให้ถูกเฟสและถูกขั้ว และตั้งอัตราทดให้ตรงกับของจริง ที่สำคัญคืออย่าปล่อยให้ขั้วรองของหม้อแปลงวัดกระแสเปิดวงจรขณะระบบทำงาน ควรสั้นวงจรผ่านจุดที่เตรียมไว้ก่อนถอดหรือเปลี่ยนการต่อทุกครั้ง

 

5. การใช้เครื่องมือวัดความต้านทานของวงจร (Circuit Tester) เพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อ

รูปตัวอย่างการใช้งาน Circuit Tester

เครื่องมือวัดความต้านทานของวงจรหรือ “Circuit Tester” สามารถใช้ในการตรวจสอบการเชื่อมต่อของวงจรไฟฟ้า โดยเฉพาะในการหาจุดที่วงจรขาดหรือไม่สมบูรณ์ หากวงจรมีความต้านทานสูงหรือไม่มีการเชื่อมต่อที่ถูกต้อง เครื่องมือชนิดนี้จะช่วยบ่งชี้ให้ทราบได้

วิธีการตรวจสอบด้วย Circuit Tester

ในการใช้เพื่อวัดความต้านทาน จะใช้ได้เฉพาะตอนที่ไม่มีไฟเท่านั้น พอคุณดับไฟและถอดสายออกจากอุปกรณ์ทั้งสองด้านแล้ว ให้ลองวัดจากปลายหนึ่งไปอีกปลายหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเงียบสนิทแปลว่าสายขาด แต่ถ้าวัดค่าได้ต่ำจนเกือบเท่ากับศูนย์ทั้งๆที่ไม่ควรต่อถึงกัน แสดงว่าเกิดการลัดวงจรอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เทคนิค ที่ได้ผลดีคือบิดหรือขยับสายเบาๆขณะวัด คุณจะสามารถจับจุดต่อหลวมได้ง่ายขึ้น

หากในกรณีที่สายยาวมากจนตามยาก ให้ใช้เครื่องส่งสัญญาณปลายหนึ่ง แล้วใช้เครื่องรับเสียงตามแนวเดินสาย วิธีนี้จะทำให้คุณรู้ทิศทางและตำแหน่งคร่าวๆของสายได้เร็วขึ้น การหากระแสรั่วก็ทำได้โดยใช้แคลมป์คีบรวมสายไปกลับพร้อมกัน ถ้าตัวเลขที่วัดไม่เท่ากับศูนย์แสดงว่ากระแสมีการรั่วลงดิน ให้ค่อยๆแบ่งช่วงแล้วคีบซ้ำเพื่อตีวงให้แคบลงเรื่อยๆ

สำหรับวิธีการตรวจฉนวนว่าเสื่อมสภาพหรือไม่นั้น จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและแยกอุปกรณ์ออกจากวงจรก่อนเสมอ และให้ทำโดยผู้ที่ผ่านการฝึกมาเท่านั้น

6. การใช้เครื่องมือวัดเพื่อหาจุดลัดวงจรหรือไฟฟ้ารั่ว

การใช้เครื่องมือวัดเพื่อหาจุดลัดวงจรหรือไฟฟ้ารั่วในระบบไฟฟ้าสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้ได้ เช่น

  • ใช้เครื่องมือวัดความต้านทานเพื่อหาจุดที่มีการลัดวงจรในสายไฟ
  • ใช้มัลติมิเตอร์เพื่อตรวจหาการรั่วของไฟฟ้าในอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น สายไฟที่มีการเสียหายหรือชำรุด

สรุป

การใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าในการตรวจจับปัญหาไฟฟ้าเบื้องต้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ป้องกันการเกิด ปัญหาระบบไฟฟ้าเสื่อม โดยสามารถใช้เครื่องมือวัดต่าง ๆ เช่น มัลติมิเตอร์, แคลมป์มิเตอร์, เครื่องวัดความต้านทานดิน และเครื่องมือวัดกำลังไฟฟ้าในการตรวจสอบปัญหาต่างๆ ในระบบไฟฟ้า หัวใจของงานตรวจวัดคือ ความปลอดภัย วิธีการทำในทุกๆขั้นตอนให้ทำอย่างช้าๆแต่ต้องใช้ความระมัดระวัง ทำให้ถูกต้อง ในกระบวนการตรวจสอบให้เริ่มจากการปิดแหล่งจ่ายไฟ ล็อกสวิตช์ มีการติดป้ายเตือน และตรวจเครื่องมือก่อนและหลังงาน ผู้ตรวจต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันให้ครบถ้วน จากนั้นให้เลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงานที่ต้องการวัด ใช้มิเตอร์สำหรับแรงดันและความต้านทาน ใช้แคลมป์เมื่ออยากรู้กระแสโดยไม่ตัดสาย ใช้เครื่องวัดความต้านทานดินเพื่อยืนยันว่าระบบกราวด์ยังทำงานดี และใช้เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าเพื่อจับเหตุการณ์ไฟตก ไฟเกิน และเพื่อดูรูปแบบการใช้พลังงาน การปฏิบัติเช่นนี้จะทำให้โรงงานจะลดการหยุดเครื่องโดยไม่จำเป็น ลดอุบัติเหตุ และตัดสินใจซ่อมได้ตรงจุดมากขึ้น ทั้งหมดนี้เริ่มจากการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถหาปัญหาหรือความผิดปกติในระบบไฟฟ้าได้เร็วขึ้น และช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

Ref.

Fluke

Keysight

Yokogawa

Instrumentcs

 

 

 

ผู้เขียน Tik sang L5

 

 

 

ทำไม ‘1 °C’ ทำให้เกจบล็อกคลาดเคลื่อนได้เป็นล้าน? คำตอบที่มืออาชีพมองข้าม

คำถามนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าตกใจ แต่สะท้อนว่า การดูแลเกจบล็อกอย่างถูกต้องไม่ใช่แค่การเช็ดให้สะอาด แต่ต้องควบคุม “อุณหภูมิ” อย่างแม่นยำ เพราะแม้ความเปลี่ยนแปลงเพียง 1 องศาเซลเซียสก็สามารถทำให้ค่าความยาวคลาดเคลื่อนระดับไมโครเมตรได้ซึ่งมากพอจะสะสมเป็นความผิดพลาดในระดับชิ้นส่วนล้านชิ้นในสายการผลิต นี่จึงเป็นเหตุผลที่การเก็บ ใช้งาน และสอบเทียบเกจบล็อกต้องอยู่ภายใต้สภาวะ 20 °C คงที่เสมอ เพื่อให้สามารถรักษา”ค่ามาตรฐาน”ไว้ได้อย่างแท้จริง

การดูแลรักษา Gauge Block อย่างมืออาชีพ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่คนทำงานวัดละเอียดต้องเข้าใจ

Gauge Block หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “เกจบล็อก” คือเครื่องมือวัดมาตรฐานความยาวที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่งที่เคยใช้งานมาของสายงานสอบเทียบ แม้จะดูเหมือนชิ้นโลหะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แต่ความผิดพลาดเพียงไม่กี่ไมโครเมตรจากการดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้อง สามารถนำไปสู่ความเสียหายเชิงระบบในสายการผลิตได้ทันที และเกิดขึ้นมาแล้วในหลายโรงงาน

ความเข้าใจผิดเรื่อง Gauge Block ที่หลายคนยังมองข้าม

จากประสบการณ์ในงานสอบเทียบ พบว่าหลายคนเข้าใจว่าเกจบล็อกไม่จำเป็นต้องดูแลมาก เพราะมันเป็นวัสดุแข็งแรง ไม่ค่อยขยับหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ซึ่งไม่จริงเลย ความเป็นจริงคือเกจบล็อกทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ทังสเตนคาร์ไบด์ หรือเซรามิก ต่างมีพฤติกรรมทางกายภาพที่ตอบสนองต่อความชื้น อุณหภูมิ และสารเคลือบผิวที่เราใช้ทาอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะเกจบล็อกที่ทำจากเหล็ก ซึ่งพบได้บ่อยในโรงงาน ถ้าไม่ได้รับการเคลือบกันสนิมอย่างถูกวิธีหรือเคลือบมากเกินไป จนกลายเป็นคราบแข็ง ๆ บนผิว นอกจากจะทำให้วริง (Wringing) ไม่ได้ดี ยังทำให้ค่าจริงคลาดเคลื่อนได้เกินเกณฑ์สอบเทียบอีกด้วย มีที่เคยเจอก้อนที่วริง (Wringing)ไม่ได้เลย ทั้งที่ภายนอกดูสะอาด เพราะภายในมีคราบน้ำมันที่เช็ดไม่ออกฝังอยู่ตั้งแต่การเก็บรักษาครั้งก่อน

ความแตกต่างในการดูแลรักษาแต่ละวัสดุ

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ แม้เกจบล็อกจะมีหน้าตาคล้ายกัน แต่วัสดุที่ใช้ผลิตนั้นแตกต่างกันชัดเจน ทั้งแบบเหล็ก เซรามิก และคาร์ไบด์ การดูแลก็ไม่สามารถเหมารวมได้

ตัวอย่างเช่น

  • เหล็กจะไวต่อความชื้นและสนามแม่เหล็กตกค้างมากที่สุด เวลาใช้งานในห้องที่มี RH สูงหรืออยู่ใกล้แม่เหล็กถาวร สนามตกค้างจะดึงเศษโลหะหรือฝุ่นเหล็กเข้าผิวเกจโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้าไม่ demagnetize ก่อนใช้งาน โอกาสที่ค่าจะคลาดเคลื่อนมีสูงมาก
  • คาร์ไบด์ แม้จะทนต่อการสึกหรอได้ดีกว่าเหล็กหลายเท่า แต่มีน้ำหนักมาก และเปราะกว่าที่คิด ถ้าเผลอทำตกพื้น โอกาสบิ่นสูง โดยเฉพาะตามขอบ หรือจุดที่ใช้วริง (Wringing)
  • เซรามิก แม้ไม่เป็นสนิมเลยก็จริง แต่ก็ไวต่อแรงกระแทกไม่แพ้กัน เคยแค่ตกจากขอบโต๊ะ ยังเห็นรอยร้าวเล็ก ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกต ก็อาจนำไปใช้ต่อได้โดยไม่รู้ว่าผิวบล็อกเสียไปแล้ว

อุณหภูมิ 1 °C ที่สร้างความคลาดเคลื่อนมหาศาล

สิ่งที่มักถูกละเลยที่สุดคือเรื่องอุณหภูมิ หลายๆโรงงานที่คิดว่าการนำเกจบล็อกออกจากกล่องแล้ววัดได้เลย เป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วถ้าเกจบล็อก เกจบล็อกคลาดเคลื่อน นั้นเป็นไปได้ยากมาก หรือแทบไม่เกิดขึ้น ความจริงแล้วเครื่องมือวัด และชิ้นงานที่ไม่ได้อยู่ในอุณหภูมิ 20 °C อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนใช้งาน ค่าความยาวที่ได้อาจคลาดเคลื่อนได้ในระดับไมโครเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัดในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การสอบเทียบ Master หรือการตั้ง Zero บนเครื่อง CMM เป็นต้น

เคยมีกรณีที่ค่าความยาวคลาดไปถึง 2 ไมครอนจากการเร่งใช้งานทั้งที่อุณหภูมิห้องยังไม่คงที่ พอเจาะดูย้อนกลับไป ปรากฏว่าเกจบล็อกเพิ่งถูกนำออกจากกล่องในคลังที่อุณหภูมิเพียง 17 °C ซึ่งเป็นความต่างเพียง 3 องศา แต่ผลสะท้อนในระบบคุณภาพกลับสูงจนต้องสอบเทียบใหม่ทั้งล็อต

การสอบเทียบที่ต่อเนื่องและไม่ละเลย คือหัวใจของความแม่นยำ

การสอบเทียบไม่ใช่แค่การส่งเกจบล็อกไปที่ห้องแล็บปีละครั้ง แต่คือกระบวนการรักษาความน่าเชื่อถือของทุกเครื่องมือวัดที่ใช้อ้างอิง ถ้าใช้เกจบล็อกเป็น Master ในการตั้งค่า Zero หรือทำการวัดสำคัญ แล้วปล่อยให้ค่าจริงเปลี่ยนโดยไม่มีการตรวจสอบ สุดท้ายความเสียหายจะย้อนกลับมาที่ระบบ QC ของโรงงานแน่นอน

สำหรับเกจบล็อกที่ใช้งานทุกวัน แนะนำว่าให้มีการตรวจสอบเบื้องต้นอย่างน้อยเดือนละครั้ง เช่น ตรวจคราบบนผิว ตรวจแม่เหล็กตกค้าง และเช็คการวริง (Wringing) ว่าทำได้เต็มหน้าเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนการสอบเทียบกับห้องแล็บภายนอก ควรเว้นไม่เกิน 6–12 เดือนสำหรับการใช้งานปกติ หรือ 12–24 เดือนสำหรับบล็อกที่ใช้เฉพาะสอบเทียบเท่านั้น

หมายเหตุ ในกรณีที่ต้องการความแม่นยำในการใช้งานมากๆ ต้องคำนึงถึงการ Demagnetize หรือคือการ เตรียมผิวทางแม่เหล็กก่อนล้างเกจบล็อกโดยใช้สนามแม่เหล็กสลับ-ลดกำลังเพื่อลบสนามตกค้าง (Residual Magnetism) ให้เหลือต่ำกว่า ≈ 1 – 2 เกาส์ เมื่อแรงดึงดูดผงโลหะหมดไป ผิวจึงเปิดรับสารละลายและแรงกลได้เต็มที่ จึงจะทำให้ขั้นตอนเคมีกลอย่างการเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรืออัลตราโซนิกจึงจะสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้หมดจดและไม่ทิ้งอนุภาคโลหะฝังแน่น การตรวจสอบและปฏิบัติตามขั้นตอนนี้จะเพิ่มทั้งความสะอาดและความแม่นยำของบล็อกในคราวเดียว

โดยสรุป “ขั้นตอนพื้นฐาน” การทำความสะอาด, การควบคุมอุณหภูมิ 20 °C, การเก็บในกล่องปิดสนิท, การหลีกเลี่ยงแรงกระแทก/การขีดข่วน และการสอบเทียบตามรอบ เหมือนกันทุกชนิด แต่ “รายละเอียดข้อควรระวัง” จะแตกต่างตาม วัสดุ (Steel, Ceramic, Tungsten Carbine ฯลฯ) และ เกรด (K, 00, 0, 1, 2 หรือ AS-1  Workshop)

สรุป

  • หลักการพื้นฐานเหมือนกัน คือ ต้อง สะอาด แห้ง เก็บในที่ที่อุณหภูมิคงที่และเก็บรักษาไว้ในกล่อง
  • จุดต่างสำคัญ การ ป้องกันสนิม (เฉพาะ Steel), การเลือก หินลบคม และ ความเปราะ,แม่เหล็ก ของแต่ละวัสดุ
  • มาตรฐานอ้างอิงตาม

ถ้าถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Gauge Block เสื่อมเร็วที่สุด คำตอบไม่ใช่แค่ความชื้นหรือการเก็บไม่ดี แต่คือ “ความเข้าใจผิด” และ “ความรีบ” ที่พนักงานหลายคนมีเวลาใช้งาน พอใช้ผิด ไม่ทำความสะอาด หรือไม่ควบคุมอุณหภูมิ ค่าที่ได้ก็เริ่มคลาด และการวัดทุกอย่างที่ตามมาก็จะผิดตามไปโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น การดูแลเกจบล็อกไม่ใช่เรื่องของความละเอียดเกินจำเป็น เพราะ เกจบล็อกคลาดเคลื่อน เกิดขึ้นได้เสมอ มันคือการปกป้องความแม่นยำตั้งแต่จุดเริ่มต้น ถ้าคุณเชื่อว่า “วัดแม่นตั้งแต่ต้น ผลลัพธ์ย่อมแม่นถึงปลาย” Gauge Block ก็เป็นเครื่องมือที่ต้องใส่ใจให้มากที่สุดในระบบวัดของคุณ

การยึดหลักวิธีดูแลรักษาดังกล่าวจะยืดอายุการใช้งาน Gauge Block ทุกชนิด พร้อมคงความถูกต้องในระดับไมโครเมตรได้ยาวอย่างนาน

 

ผู้เขียน L2GB

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ