คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

ทำไม ‘1 °C’ ทำให้เกจบล็อกคลาดเคลื่อนได้เป็นล้าน? คำตอบที่มืออาชีพมองข้าม

คำถามนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขน่าตกใจ แต่สะท้อนว่า การดูแลเกจบล็อกอย่างถูกต้องไม่ใช่แค่การเช็ดให้สะอาด แต่ต้องควบคุม “อุณหภูมิ” อย่างแม่นยำ เพราะแม้ความเปลี่ยนแปลงเพียง 1 องศาเซลเซียสก็สามารถทำให้ค่าความยาวคลาดเคลื่อนระดับไมโครเมตรได้ซึ่งมากพอจะสะสมเป็นความผิดพลาดในระดับชิ้นส่วนล้านชิ้นในสายการผลิต นี่จึงเป็นเหตุผลที่การเก็บ ใช้งาน และสอบเทียบเกจบล็อกต้องอยู่ภายใต้สภาวะ 20 °C คงที่เสมอ เพื่อให้สามารถรักษา”ค่ามาตรฐาน”ไว้ได้อย่างแท้จริง

การดูแลรักษา Gauge Block อย่างมืออาชีพ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่คนทำงานวัดละเอียดต้องเข้าใจ

Gauge Block หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “เกจบล็อก” คือเครื่องมือวัดมาตรฐานความยาวที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่งที่เคยใช้งานมาของสายงานสอบเทียบ แม้จะดูเหมือนชิ้นโลหะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แต่ความผิดพลาดเพียงไม่กี่ไมโครเมตรจากการดูแลรักษาที่ไม่ถูกต้อง สามารถนำไปสู่ความเสียหายเชิงระบบในสายการผลิตได้ทันที และเกิดขึ้นมาแล้วในหลายโรงงาน

ความเข้าใจผิดเรื่อง Gauge Block ที่หลายคนยังมองข้าม

จากประสบการณ์ในงานสอบเทียบ พบว่าหลายคนเข้าใจว่าเกจบล็อกไม่จำเป็นต้องดูแลมาก เพราะมันเป็นวัสดุแข็งแรง ไม่ค่อยขยับหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ซึ่งไม่จริงเลย ความเป็นจริงคือเกจบล็อกทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ทังสเตนคาร์ไบด์ หรือเซรามิก ต่างมีพฤติกรรมทางกายภาพที่ตอบสนองต่อความชื้น อุณหภูมิ และสารเคลือบผิวที่เราใช้ทาอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะเกจบล็อกที่ทำจากเหล็ก ซึ่งพบได้บ่อยในโรงงาน ถ้าไม่ได้รับการเคลือบกันสนิมอย่างถูกวิธีหรือเคลือบมากเกินไป จนกลายเป็นคราบแข็ง ๆ บนผิว นอกจากจะทำให้วริง (Wringing) ไม่ได้ดี ยังทำให้ค่าจริงคลาดเคลื่อนได้เกินเกณฑ์สอบเทียบอีกด้วย มีที่เคยเจอก้อนที่วริง (Wringing)ไม่ได้เลย ทั้งที่ภายนอกดูสะอาด เพราะภายในมีคราบน้ำมันที่เช็ดไม่ออกฝังอยู่ตั้งแต่การเก็บรักษาครั้งก่อน

ความแตกต่างในการดูแลรักษาแต่ละวัสดุ

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ แม้เกจบล็อกจะมีหน้าตาคล้ายกัน แต่วัสดุที่ใช้ผลิตนั้นแตกต่างกันชัดเจน ทั้งแบบเหล็ก เซรามิก และคาร์ไบด์ การดูแลก็ไม่สามารถเหมารวมได้

ตัวอย่างเช่น

  • เหล็กจะไวต่อความชื้นและสนามแม่เหล็กตกค้างมากที่สุด เวลาใช้งานในห้องที่มี RH สูงหรืออยู่ใกล้แม่เหล็กถาวร สนามตกค้างจะดึงเศษโลหะหรือฝุ่นเหล็กเข้าผิวเกจโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้าไม่ demagnetize ก่อนใช้งาน โอกาสที่ค่าจะคลาดเคลื่อนมีสูงมาก
  • คาร์ไบด์ แม้จะทนต่อการสึกหรอได้ดีกว่าเหล็กหลายเท่า แต่มีน้ำหนักมาก และเปราะกว่าที่คิด ถ้าเผลอทำตกพื้น โอกาสบิ่นสูง โดยเฉพาะตามขอบ หรือจุดที่ใช้วริง (Wringing)
  • เซรามิก แม้ไม่เป็นสนิมเลยก็จริง แต่ก็ไวต่อแรงกระแทกไม่แพ้กัน เคยแค่ตกจากขอบโต๊ะ ยังเห็นรอยร้าวเล็ก ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกต ก็อาจนำไปใช้ต่อได้โดยไม่รู้ว่าผิวบล็อกเสียไปแล้ว

อุณหภูมิ 1 °C ที่สร้างความคลาดเคลื่อนมหาศาล

สิ่งที่มักถูกละเลยที่สุดคือเรื่องอุณหภูมิ หลายๆโรงงานที่คิดว่าการนำเกจบล็อกออกจากกล่องแล้ววัดได้เลย เป็นเรื่องปกติ ความจริงแล้วถ้าเกจบล็อก เกจบล็อกคลาดเคลื่อน นั้นเป็นไปได้ยากมาก หรือแทบไม่เกิดขึ้น ความจริงแล้วเครื่องมือวัด และชิ้นงานที่ไม่ได้อยู่ในอุณหภูมิ 20 °C อย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนใช้งาน ค่าความยาวที่ได้อาจคลาดเคลื่อนได้ในระดับไมโครเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัดในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การสอบเทียบ Master หรือการตั้ง Zero บนเครื่อง CMM เป็นต้น

เคยมีกรณีที่ค่าความยาวคลาดไปถึง 2 ไมครอนจากการเร่งใช้งานทั้งที่อุณหภูมิห้องยังไม่คงที่ พอเจาะดูย้อนกลับไป ปรากฏว่าเกจบล็อกเพิ่งถูกนำออกจากกล่องในคลังที่อุณหภูมิเพียง 17 °C ซึ่งเป็นความต่างเพียง 3 องศา แต่ผลสะท้อนในระบบคุณภาพกลับสูงจนต้องสอบเทียบใหม่ทั้งล็อต

การสอบเทียบที่ต่อเนื่องและไม่ละเลย คือหัวใจของความแม่นยำ

การสอบเทียบไม่ใช่แค่การส่งเกจบล็อกไปที่ห้องแล็บปีละครั้ง แต่คือกระบวนการรักษาความน่าเชื่อถือของทุกเครื่องมือวัดที่ใช้อ้างอิง ถ้าใช้เกจบล็อกเป็น Master ในการตั้งค่า Zero หรือทำการวัดสำคัญ แล้วปล่อยให้ค่าจริงเปลี่ยนโดยไม่มีการตรวจสอบ สุดท้ายความเสียหายจะย้อนกลับมาที่ระบบ QC ของโรงงานแน่นอน

สำหรับเกจบล็อกที่ใช้งานทุกวัน แนะนำว่าให้มีการตรวจสอบเบื้องต้นอย่างน้อยเดือนละครั้ง เช่น ตรวจคราบบนผิว ตรวจแม่เหล็กตกค้าง และเช็คการวริง (Wringing) ว่าทำได้เต็มหน้าเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนการสอบเทียบกับห้องแล็บภายนอก ควรเว้นไม่เกิน 6–12 เดือนสำหรับการใช้งานปกติ หรือ 12–24 เดือนสำหรับบล็อกที่ใช้เฉพาะสอบเทียบเท่านั้น

หมายเหตุ ในกรณีที่ต้องการความแม่นยำในการใช้งานมากๆ ต้องคำนึงถึงการ Demagnetize หรือคือการ เตรียมผิวทางแม่เหล็กก่อนล้างเกจบล็อกโดยใช้สนามแม่เหล็กสลับ-ลดกำลังเพื่อลบสนามตกค้าง (Residual Magnetism) ให้เหลือต่ำกว่า ≈ 1 – 2 เกาส์ เมื่อแรงดึงดูดผงโลหะหมดไป ผิวจึงเปิดรับสารละลายและแรงกลได้เต็มที่ จึงจะทำให้ขั้นตอนเคมีกลอย่างการเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรืออัลตราโซนิกจึงจะสามารถขจัดสิ่งสกปรกได้หมดจดและไม่ทิ้งอนุภาคโลหะฝังแน่น การตรวจสอบและปฏิบัติตามขั้นตอนนี้จะเพิ่มทั้งความสะอาดและความแม่นยำของบล็อกในคราวเดียว

โดยสรุป “ขั้นตอนพื้นฐาน” การทำความสะอาด, การควบคุมอุณหภูมิ 20 °C, การเก็บในกล่องปิดสนิท, การหลีกเลี่ยงแรงกระแทก/การขีดข่วน และการสอบเทียบตามรอบ เหมือนกันทุกชนิด แต่ “รายละเอียดข้อควรระวัง” จะแตกต่างตาม วัสดุ (Steel, Ceramic, Tungsten Carbine ฯลฯ) และ เกรด (K, 00, 0, 1, 2 หรือ AS-1  Workshop)

สรุป

  • หลักการพื้นฐานเหมือนกัน คือ ต้อง สะอาด แห้ง เก็บในที่ที่อุณหภูมิคงที่และเก็บรักษาไว้ในกล่อง
  • จุดต่างสำคัญ การ ป้องกันสนิม (เฉพาะ Steel), การเลือก หินลบคม และ ความเปราะ,แม่เหล็ก ของแต่ละวัสดุ
  • มาตรฐานอ้างอิงตาม

ถ้าถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Gauge Block เสื่อมเร็วที่สุด คำตอบไม่ใช่แค่ความชื้นหรือการเก็บไม่ดี แต่คือ “ความเข้าใจผิด” และ “ความรีบ” ที่พนักงานหลายคนมีเวลาใช้งาน พอใช้ผิด ไม่ทำความสะอาด หรือไม่ควบคุมอุณหภูมิ ค่าที่ได้ก็เริ่มคลาด และการวัดทุกอย่างที่ตามมาก็จะผิดตามไปโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น การดูแลเกจบล็อกไม่ใช่เรื่องของความละเอียดเกินจำเป็น เพราะ เกจบล็อกคลาดเคลื่อน เกิดขึ้นได้เสมอ มันคือการปกป้องความแม่นยำตั้งแต่จุดเริ่มต้น ถ้าคุณเชื่อว่า “วัดแม่นตั้งแต่ต้น ผลลัพธ์ย่อมแม่นถึงปลาย” Gauge Block ก็เป็นเครื่องมือที่ต้องใส่ใจให้มากที่สุดในระบบวัดของคุณ

การยึดหลักวิธีดูแลรักษาดังกล่าวจะยืดอายุการใช้งาน Gauge Block ทุกชนิด พร้อมคงความถูกต้องในระดับไมโครเมตรได้ยาวอย่างนาน

 

ผู้เขียน L2GB

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

ใช้งาน Thermo-hygrograph อย่างไรให้ข้อมูลไม่คลาดเคลื่อน?

Thermo-hygrograph คือ เครื่องมือ chart recorder ที่ใช้สำหรับวัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์บริเวณโดยรอบพื้นที่นั้นๆ โดยบันทึกข้อมูลลงในกระดาษกราฟอย่างต่อเนื่องตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด

จุดเด่นและจุดด้อยของการทำงานและการใช้เครื่องมือ

จุดเด่น

  • บันทึกเป็นแบบกระดาษกราฟต่อเนื่อง
  • สามารถประเมินแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระยะยาวได้ต่อเนื่อง
  • มีความเสถียรที่ดี
  • สามารถอ่านค่าปัจจุบันหรือดูข้อมูลที่บันทึกย้อนหลังได้ทันที
  • สามารถกำหนดช่วงเวลาในการบันทึกได้หลายช่วง เช่น 1 วัน, 7 วัน, 30 วัน เป็นต้น
  • ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา (กรณีที่เป็นแบบกลไกไขลาน)

จุดด้อย

  • ต้องเปลี่ยนกระดาษกราฟทุกครั้งเมื่อครบกำหนดการใช้งาน
  • เครื่องมือเป็นกลไกทางแมคคานิกส์ไม่เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายบ่อยๆ
  • ความละเอียดในการอ่านค่า (Resolution) ค่อนข้างหยาบ เมื่อเทียบกับเครื่องมือวัดแบบดิจิตอล
  • ต้องระบุวันเวลาที่บันทึกบนกระดาษกราฟให้ถูกต้องกับช่วงเวลาที่บันทึก

ส่วนประกอบ Thermohygrograph

การเตรียมเครื่องมือ Chart Recorder ก่อนการใช้งาน

  • ตรวจเช็คความเข้มของหมึกปากกาที่ใช้ในการบันทึก
  • ตรวจสอบหางม้าทุกครั้งเพราะหางม้าเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับความชื้นสัมพัทธ์
  • ตรวจสอบแบตเตอรี่ของเครื่องมือ
  • ต้องใช้กระดาษกราฟสำหรับบันทึกให้ตรงกันกับย่านการใช้งานของเครื่องมือเพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลผิดพลาด
  • ระบุช่วงวันและเวลาที่เริ่มและสิ้นสุดการบันทึกข้อมูล
  • การติดตั้งกระดาษกราฟ ควรใส่ให้อยู่ในตำแหน่งขอบล่างของกระบอกยึดแผ่นกราฟ กระดาษกราฟต้องยึดแน่นและอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้กระดาษกราฟเคลื่อนที่ระหว่างใช้งาน
  • หมุนปรับกระบอกกราฟให้เข็มบันทึกทั้งสองไปยังตำแหน่งที่ต้องการเริ่มบันทึก
  • ปรับความเร็วของกระบอกกราฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น 1 วัน, 7 วัน, 30 วัน เป็นต้น

ข้อสังเกตุ

  • หากกระดาษกราฟและย่านการใช้งานของเครื่องมือไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้ค่าที่อ่านได้ไม่ถูกต้อง ผู้ใช้งานต้องตรวจสอบก่อนการใช้งานทุกครั้ง
  • หากหางม้าขาด อาจทำให้เครื่องมืออ่านค่าได้ไม่ถูกต้อง

ข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือ

  • สำหรับการวัดสภาวะแวดล้อมให้ถูกต้อง ควรจัดวางเครื่องมือไว้ในที่ที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการวางเครื่องมือไว้ในบริเวณที่แสงอาทิตย์ตกกระทบ ใกล้เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์อื่นๆที่ให้ความร้อน
  • กรณีต้องการเคลื่อนย้ายเครื่องมือ ก่อนทำการเคลื่อนย้าย ควรล็อคขาบันทึกด้วยคลิปล็อคบนตัวยกขาและดันตัวยกขาออกจากกระบอกยึดกราฟเพื่อไม่ให้ปากกาบันทึกสัมผัสแผ่นกราฟ
  • กรณีต้องการเคลื่อนย้าย Chart Recorder ควรใช้มือประคองบริเวณฐาน หลีกเลี่ยงการยกที่หูหิ้วโดยตรงเพราะง่ายต่อการชำรุด อาจทำให้เครื่องมือตกขณะเคลื่อนย้ายได้
  • ควรติดตั้งเครื่องในตำแหน่งที่อากาศไหลเวียนดี หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์โดยตรง หรือวางใกล้เครื่องปรับอากาศ เพราะแม้แต่การรั่วของความร้อนหรืออากาศไหลผิดทิศทางก็อาจทำให้ค่าบันทึกคลาดเคลื่อนได้ (ตามคู่มือผู้ผลิต)

         สำหรับในด้าน การสอบเทียบเครื่องมือวัด นี้นั้น ขอยกตัวอย่างหนึ่งของห้องแล็บสอบเทียบ ในการสอบเทียบส่วนอุณหภูมิของ Thermohygrograph ต้องใช้เวลาถึง 2 วันเต็มเพื่อให้ระบบนิ่ง และในด้านความชื้นใช้เวลา 1 วัน เพื่อรอให้ค่าคงที่ในห้องควบคุมอากาศก่อนเริ่มบันทึก เพื่อให้ได้เครื่องมือวัดที่มีความถูกต้องแม่นยำ จึงควรส่งเครื่องไปสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC:17025 ซึ่งทาง CLC (Calibration Laboratory) ได้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ในช่วง 15 ถึง 45 °C และความชื้นสัมพัทธ์ตั้งแต่ 30%RH ถึง 90%RH  สามารถตรวจสอบขอบข่ายการสอบเทียบที่ครอบคลุมจากมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 จาก สมอ. และ ANAB (สหรัฐอเมริกา) สามารถดูขั้นตอนการสอบเทียบ Thermohygrographจากห้องปฏิบัติการของเราได้ที่นี่

สรุป

Thermo-hygrograph เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการวัดและบันทึกสภาวะแวดล้อมทั้งอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ สามารถปรับความเร็วในการบันทึกได้ตามช่วงเวลาที่ต้องการและเก็บแผ่นกราฟไว้เป็นข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนหลังได้ เหมาะสำหรับการใช้งานในห้องปฏิบัติการหรือพื้นที่ที่เข้มงวดในการควบคุมสภาวะแวดล้อม

 

Ref.

Senseca

Lambrecht

 

 

 

 

ผู้เขียน L3

 

บริการสอบเทียบด้านอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

Pi TAPE เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง สายวัดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา มีดีแค่ความแม่นยำจริงหรือ?

คุณรู้จัก Pi TAPE หรือไม่?

Pi Tape หรือชื่อเต็มว่า Pi Tape Measure (เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง, เทปพาย, เทป Pi) คือ เครื่องมือวัดที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการวัดเส้นรอบวงหรือเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกอย่างแม่นยำ เช่น ท่อ ถังทรงกระบอก เพลา โดยมีจุดเด่น คือสามารถวัดเส้นรอบวงแล้วแปลงค่าทันทีเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางด้วยความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความเที่ยงตรง โดยในงานทางอุตสาหกรรมเราจะแยก Pi Tape ออกเป็นคนละประเภทจาก Measuring Tape อย่างชัดเจนเพื่อความถูกต้อง

ในโลกของอุตสาหกรรมที่ต้องการความเที่ยงตรงในการวัดโดยเฉพาะกับวัตถุทรงกระบอก เช่น ท่อ ถังทรงกระบอก หรือเพลา Pi TAPE ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความสะดวก ความแม่นยำ และการใช้งานที่หลากหลาย

จุดเริ่มต้นของ Pi Tape

Pi Tape มีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) โดยเริ่มถูกพัฒนาและจดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี 1944 โดย Oscar E. Lindholm ผู้ก่อตั้งบริษัท Pi Tape International ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมือง Dayton รัฐ Ohio

เขาเป็นผู้ริเริ่มไอเดียของเครื่องมือวัดที่สามารถใช้เส้นรอบวงมาคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางได้อย่างแม่นยำ ด้วยการใช้ค่า π (pi) ที่เป็นค่าคงที่ในคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “Pi Tape”

การคิดค้นนี้เกิดจากความต้องการเครื่องมือวัดที่สามารถใช้งานได้ง่าย พกพาสะดวก และให้ค่าที่แม่นยำในการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุขนาดใหญ่หรือวัตถุที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าหาเครื่องมือวัดแบบดั้งเดิมได้

การพัฒนาและความสำคัญในอุตสาหกรรม

หลังจากการเปิดตัว Pi Tape ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องมือนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมหลายแขนง เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ การผลิตเหล็ก โรงงานเครื่องกล ไปจนถึงห้องแล็บที่ต้องการวัดวัตถุทรงกระบอกด้วยความละเอียดสูง

เทปพายถูกผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เช่น สแตนเลสสตีล และถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องให้มีค่าความแม่นยำสูงถึงระดับ ±0.001 นิ้ว ทำให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และได้รับการรับรองโดยสถาบันมาตรวิทยาหลายแห่งทั่วโลก

ความสำคัญของ Pi Tape

เทปพายมีความสำคัญคือ

  • ความแม่นยำสูง ลดความผิดพลาดในการแปลงค่าจากเส้นรอบวงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง
  • ประหยัดเวลา วัดแล้วอ่านค่าได้โดยตรง ไม่ต้องคำนวณ
  • ใช้งานง่ายและสะดวก ขนาดเล็ก พกพาง่าย ใช้งานได้ในพื้นที่แคบหรือภาคสนาม
  • รองรับการสอบเทียบ เป็นเครื่องมือที่สามารถสอบเทียบได้ตามมาตรฐานสากล

เทปพายไม่ใช่เพียงแค่สายวัดธรรมดา แต่เป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแนวทางการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกในอุตสาหกรรม ด้วยจุดเริ่มต้นจากความคิดสร้างสรรค์ของ Oscar Lindholm จากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ปัจจุบัน Pi Tape กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือวัดที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก และยังคงเป็นที่ต้องการสูงในทุกวงการที่ต้องการความแม่นยำในการวัด จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในรัฐ Ohio ของสหรัฐอเมริกา วันนี้ Pi Tape ได้กลายเป็นเครื่องมือวัดระดับโลกที่ยังคงครองใจผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมมานานหลายทศวรรษ

แต่เทป Pi ไม่ได้มีดีแค่ความแม่นยำ แล้วเราจะใช้งานยังไงให้ถูกต้อง? และจะดูแลรักษาอย่างไรให้อุปกรณ์นี้คงคุณภาพสูงสุดไปนาน ๆ

Pi Tape มีดีอย่างไร

  1. วัดเส้นรอบวงโดยไม่ต้องหมุนชิ้นงาน
    หลายโรงงานมีปัญหาเรื่อง “วัดไม่ได้” เพราะชิ้นงานใหญ่มาก หนักมาก หรืออยู่ในตำแหน่งที่หมุนไม่ได้เลย ซึ่งถ้าใช้สายวัดธรรมดา หรือเวอร์เนียแบบวงกลม ก็ต้องขยับ หรือหมุนชิ้นงานเสมอ  แต่ Pi TAPE ไม่ต้อง แค่พันรอบ วางให้ถูก อ่านค่าได้เลย ง่าย เร็ว และปลอดภัย สำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูงหรือเข้าถึงยาก
  1. บางแต่ทน แถมคืนตัวแม่นยำ
    ตัวเทปผลิตจากวัสดุพิเศษที่บางแต่ทนต่อแรงดึงและแรงกระแทก แถมมีการ “Pre-tension” มาจากโรงงาน ทำให้เมื่อวัดแล้วตัวเทปจะคืนตัวได้ตรงตามมาตรฐานเดิม ไม่ยืดย้วยเหมือนสายวัดทั่วไปที่ใช้ไปนาน ๆ แล้วค่าจะเพี้ยน นี่คือสิ่งที่ช่างหรือวิศวกรหลายคนไม่รู้ จับดูอาจคล้าย ๆ กัน แต่ผลวัดต่างกันโดยสิ้นเชิง
  1. ใช้ได้แม้พื้นที่แคบหรือมุมอับ
    งานบางประเภทอย่างเช่นวัดท่อใต้เครื่องจักร วัดชิ้นงานที่ติดผนัง หรือโครงสร้างที่อยู่ในตำแหน่งอับ ถ้าใช้เครื่องวัดขนาดใหญ่ก็เข้าไม่ถึง แต่เทป Piด้วยความบางและยืดหยุ่นสูง สามารถเลื้อยเข้าไปวัดได้แบบไม่ต้องรื้ออะไรเลย
  1. ปรับใช้งานเฉพาะทางได้หลากหลาย
    หลายคนไม่รู้ว่าเทปพายมีรุ่นเฉพาะทาง เช่น  สำหรับวัดขนาดที่อุณหภูมิสูง สำหรับวัดวัตถุทรงรี (ไม่กลมเป๊ะ) หรือแม้แต่วัดในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีรุนแรง
    ซึ่งถ้าเลือกใช้ให้เหมาะกับลักษณะงาน จะช่วยลดเวลาการทำงานและลดความผิดพลาดได้แบบไม่น่าเชื่อ

แล้วทำไมต้องใช้ Pi Tape?

เหตุผลที่เลือกใช้เพราะเทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลางคือเครื่องมือที่สามารถให้คำตอบสำหรับการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุทรงกระบอกอย่างแม่นยำ

เมื่อคุณต้องการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อ เพลา หรือชิ้นงานทรงกระบอก การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อความแม่นยำของงาน โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานสูง เช่น การบิน น้ำมัน ปิโตรเคมี หรือโรงงานผลิตชิ้นส่วนที่ต้องควบคุมขนาดอย่างเข้มงวด

หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและยอมรับทั่วโลกคือ Pi Tape  เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลางที่แม่นยำที่สุดในกลุ่มเครื่องมือวัดพกพา

วัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ทันที ไม่ต้องคำนวณ

ต่างจากสายวัดทั่วไปที่ต้องวัดความยาวรอบวงก่อน แล้วนำมาหารด้วยค่า π (3.1416) เพื่อหาค่าเส้นผ่านศูนย์กลาง เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง มีการปรับสเกลให้แสดงค่าด้านผ่านศูนย์กลางโดยตรง เพียงแค่พันรอบวัตถุแล้วอ่านค่า ไม่ต้องคำนวณเอง ลดโอกาสผิดพลาดจากการคิดเลขผิด

ความแม่นยำระดับอุตสาหกรรม

เทปพายผลิตจากสแตนเลสคุณภาพสูง พร้อมระบบสเกลแบบเวอร์เนียร์ (Vernier scale) ที่มีความละเอียดสูงถึง ±0.001 นิ้ว หรือ ±0.03 มิลลิเมตร แม้กับชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ถึง 144 นิ้ว จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น งานตรวจสอบคุณภาพ หรือการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration)

ใช้กับวัตถุที่ไม่ได้กลมเป๊ะ (Out-of-round)

อย่างที่บอกไว้ข้างต้น Pi Tape สามารถใช้ในกรณีที่วัตถุมีลักษณะเบี้ยวเล็กน้อย ไม่ได้กลมสมบูรณ์ (ซึ่งพบได้บ่อยๆในงานอุตสาหกรรม) การใช้เวอร์เนียหรือไมโครมิเตอร์ที่วัดได้เพียงจุดเดียวอาจให้ค่าที่ไม่แม่นยำ แต่ Pi Tape จะวัดรอบทั้งวง ทำให้ได้ค่าเฉลี่ยของเส้นผ่านศูนย์กลางจริงที่แม่นยำกว่า

รวมฟังก์ชันวัดรอบวงและแปลงเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางไว้ในเครื่องมือตัวเดียว

คุณไม่จำเป็นต้องใช้สายวัดหนึ่งเส้น แล้วมานั่งคิดเลขหาค่าด้านผ่านศูนย์กลางอีกต่อไป เพราะ Pi Tape รวมทุกขั้นตอนให้เรียบร้อย ในเครื่องมือเดียว เหมาะสำหรับการใช้งานภาคสนาม การตรวจสอบซ้ำ และงานที่ต้องใช้เวลาน้อยแต่ความแม่นยำสูง

 

ทาง CLC เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Pi TAPE Taxas ที่ได้รับการรองตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 Accreditation Cert โดยมีการสอบเทียบตาม ISO/IEC 17025 และ traceable to NIST สามารถเลือก ดูสินค้า Pi Tape ได้จากเรา หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดตามมาตรฐานที่เราได้ผ่านการรับรองทั้งจาก สมอ. และ ANAB ได้ที่นี่ เลือก Pi Tape ทั้งซื้อและสอบเทียบครบวงจรจาก CLC

 

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)
ANAB
มาตรฐานการรับรอง ISO/IEC 17025

Pi Tape Accreditations
Metritools
Pi Tape Texas Accreditations

 

 

 

 

 

BDS Team

 

 


บริการสอบเทียบ Dimension    สินค้า Pi Tape

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

เบื้องหลังตัวเลข Measurement Uncertainty ความไม่แน่นอนในการวัดที่หลายคน”ไม่รู้ว่าต้องสนใจ”

ในการทำความเข้าใจเรื่อง “Measurement Uncertainty”  ของบทความนี้จะขอแบ่งออกเป็น 2 ตอนหลัก เพื่อให้สามารถครอบคลุมผู้อ่านทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้เชี่ยวชาญ สามารถเลือกอ่านได้โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน

Part 1 เข้าใจ “Uncertainty” แบบง่ายๆ สำหรับผู้ไม่มีพื้นฐาน

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่เคยได้ยินคำว่า “uncertainty” มาก่อน หรือเคยได้ยินแต่ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร

  • อธิบายด้วยภาษาง่าย ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคมาก

  • มีตัวอย่างเปรียบเทียบ เข้าใจง่าย อ่านแล้วเห็นภาพทันที

  • สอนวิธีคำนวณ uncertainty ด้วยตัวเองแบบทีละขั้นตอน ใช้เครื่องคิดเลขหรือ Excel ก็ได้

Part 2 สำหรับช่าง วิศวกร และผู้ใช้งานจริงในอุตสาหกรรม

  • ลงลึกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสอบเทียบ (Calibration), การประเมิน uncertainty ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025

  • มีตัวอย่างจากเครื่องมือวัดที่ใช้จริงในโรงงาน เช่น CMM, เครื่องชั่ง, เทอร์โมคัปเปิล ฯลฯ

  • แนะนำวิธีการวิเคราะห์ uncertainty budget เบื้องต้น

  • อธิบายหลักการตัดสิน “ผ่าน/ไม่ผ่าน” ตามเกณฑ์ความไม่แน่นอน

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่อยากเข้าใจ หรือช่างเทคนิคที่ต้องใช้งานจริง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ได้อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งเสริมความรู้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

 

Part 1 เข้าใจ “Measurement Uncertainty” แบบง่ายๆ สำหรับผู้ไม่มีพื้นฐาน

ทำความเข้าใจก่อนว่าความไม่แน่นอนในการวัด (Uncertainty) คืออะไร?

เวลาเราวัดอะไรสักอย่าง เช่น อุณหภูมิ น้ำหนัก หรือขนาดชิ้นงาน เรามักได้ “ตัวเลข” เช่น 25°C หรือ 10.00 กรัม แล้วก็คิดว่านั่นแหละ “ค่าจริง” ที่ถูกต้อง 100% แต่ในความเป็นจริง…ค่าที่วัดได้มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้เสมอ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ค่าที่วัดได้ “ไม่ตรงเป๊ะ” กับค่าจริง เช่น

  • เครื่องมือวัดมีความคลาดเคลื่อน (เครื่องอาจเพี้ยน), สภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิห้องที่เปลี่ยนไป, คนวัดวัดไม่เหมือนกัน, วัดซ้ำแล้วได้ค่าไม่เท่ากัน ทั้งหมดนี้เรียกรวมว่า “ความไม่แน่นอนในการวัด” หรือ measurement uncertainty

ทำไมเราต้องใส่ใจ “uncertainty”?

เพราะการวัดที่ไม่มีความแน่นอน อาจนำไปสู่ การผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ, วัตถุดิบอาจ หลุดสเปก หรือ ชิ้นส่วนที่วัดอาจ ไม่พอดี ทำให้เสียทั้งกระบวนการ ดังนั้นการใส่ค่า uncertainty จึงช่วยให้เรา

  • รู้ว่าค่าที่วัดได้ “ใกล้ค่าจริง” แค่ไหน

  • สามารถบอกได้ว่าเครื่องมือวัดยังใช้งานได้ดีหรือไม่

  • ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เช่น ISO/IEC 17025, ISO 9001

  • ลดความผิดพลาดในงานวิศวกรรมและการผลิต

แล้ว Measurement Uncertainty  คำนวณยังไงให้เข้าใจง่าย?

ลองคิดว่า เราแค่รวมค่าความไม่แน่นอนจากแหล่งต่างๆ แล้วหาค่าเฉลี่ยรวม ทำได้ 3 ขั้นตอนง่ายๆ

ขั้นที่ 1 ดูว่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือคือเท่าไหร่ เช่น เทอร์โมมิเตอร์ = ±0.5°C (ดูจากคู่มือ) เครื่องชั่งดิจิทัล = ±0.01 กรัม นี่คือความไม่แน่นอนจากตัวเครื่องมือเอง

ขั้นที่ 2 ลองวัดซ้ำหลายรอบ แล้วดูว่าค่าเปลี่ยนไปมากไหม เช่น วัด 5 ครั้ง ได้ค่า 25.0, 25.1, 24.9, 25.0, 25.1 ค่าสูงสุด – ต่ำสุด = 25.1 – 24.9 = 0.2 แล้วหาร 2 = ±0.1°C นี่คือค่าที่เรียกว่า repeatability หรือความไม่แน่นอนจากการวัดซ้ำ

ขั้นที่ 3 รวมค่าความไม่แน่นอน ใช้สูตรง่ายๆ Uncertainty รวม = √(เครื่องมือ² + วัดซ้ำ²)

จากตัวอย่าง  U = √[(0.5)² + (0.1)²]
= √(0.25 + 0.01)
= √0.26
≈ 0.51 °C

ถ้าอยากให้มั่นใจระดับ 95% ให้คูณ 2    0.51×2=1.02°C 0.51 × 2 = 1.02°C

สุดท้าย รายงานได้ผลแบบนี้ ค่าที่วัดได้ = 25.0 ± 1.02°C (ความเชื่อมั่น 95%)

ความหมายของ k (เพิ่มความมั่นใจ)

k = 1 → ความมั่นใจ ~66% (ช่วงแคบ แต่เสี่ยง) k = 2 → ความมั่นใจ ~95% (นิยมใช้) k = 3 → ความมั่นใจ ~99.7% (ช่วงกว้างมาก)

แล้วถ้าเราไม่คำนวณ uncertainty ล่ะ? การวัดโดยไม่มี uncertainty เหมือนขับรถโดยไม่ดูแผนที่ คุณอาจวัดถูก หรือผิดแบบไม่รู้ตัว แถมหลายมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 17025 บังคับให้รายงานค่าความไม่แน่นอนด้วย ไม่เช่นนั้น ผลการวัดอาจไม่ถูกยอมรับ

ตัวอย่างจริงในอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมการผลิต เช่น เครื่องวัดความยาว CMM ถ้าไม่คำนวณ uncertainty อาจคิดว่าชิ้นงานพอดี แต่จริงๆ อาจ “เกินสเปก” ทำให้ต้องทิ้งงาน
  • อุตสาหกรรมยา เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ RTD ใช้ในการควบคุมอุณหภูมิยา ถ้า uncertainty มากเกินไป อาจทำให้ยาเสียคุณภาพ
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Thermocouple ถ้าค่า uncertainty ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด อาจทำให้แผงวงจรเกิดความเสียหายจากความร้อน

ข้อควรรู้ วัดเอง ≠ สอบเทียบ

แม้คุณจะคำนวณ uncertainty เองได้ แต่…“การสอบเทียบ (Calibration)” กับห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 คือสิ่งที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำที่สุด เช่น Calibration Laboratory ที่ได้รับการรับรองจากถึง 2 สถาบันทั้ง สมอ. และ ANAB เหตุผลเพราะ ใช้เครื่องมือมาตรฐานระดับประเทศ ดำเนินการคำนวณ uncertainty แบบเต็มรูปแบบ (ครอบคลุมทุกแหล่งที่มา) และได้ใบรับรองที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงในงานตรวจสอบมาตรฐาน

สรุป

  • uncertainty = ความคลาดเคลื่อนของค่าที่วัดได้

  • ยิ่ง uncertainty ต่ำ = ยิ่งมั่นใจว่า “ค่าที่วัดใกล้ความจริง”

  • คำนวณไม่ยาก แค่ดูค่าคลาดเคลื่อน + ค่าจากการวัดซ้ำ

  • อย่าลืม ถ้าจะใช้งานในระดับมาตรฐาน ต้องส่งสอบเทียบกับแล็บที่ได้รับการรับรอง

Part 2 สำหรับช่าง วิศวกร และผู้ใช้งานจริงในอุตสาหกรรม

หนึ่งในหัวใจสำคัญของ วิศวกรรมเครื่องกล และการวัดในอุตสาหกรรม คือการเข้าใจ ความไม่แน่นอน (measurement uncertainty) ซึ่งหมายถึงช่วงของค่าที่ค่าที่วัดได้จริงอาจเป็น แทนที่จะถือค่าที่วัดได้เป็นค่าที่ “จริง” จริงๆ เสมอไป การแสดงผลค่าพร้อมความไม่แน่นอนจึงช่วยให้เราเข้าใจขอบเขตของความไม่แน่นอน และระดับความเชื่อมั่นของค่า ดังนั้น การนำค่า uncertainty ไปใช้งานจริงช่วยให้

  1. เพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือเชิงวิศวกรรม

  2. ผ่านตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025, ISO 9001, BIPM, JCGM, GUM, VIM ฯลฯ

  3. บริหารจัดการความเสี่ยง ลดข้อผิดพลาดในการผลิตหรือวิธีทดสอบของเครื่องมือวัด

ความหมายเชิงคณิตศาสตร์ของ Measurement Uncertainty 

ขอโครงสร้างที่ง่ายดังนี้

  • y ± U โดย y = ค่าที่วัดได้, U = standard uncertainty (ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานหรือค่าอื่น)

  • U มักให้ค่ากับ k = 1 ~66 % confidence; k = 2 ~95 %; k = 3 ~99.7 %

  • Propagation of uncertainty เมื่อ y เป็นฟังก์ชันของค่าเข้า x₁, x₂,… คำนวณโดยใช้ partial derivative และรวมความไม่แน่นอนเชิงสถิติ

จากกรณีตัวอย่างของผู้ใช้

  • y = 25 °C และ U = ±0.5 °C  ถ้าใช้ k = 2 → ช่วง 25 ± (2×0.5) = 24–26 °C (95 %)

  • k = 1 → 24.5–25.5 °C (≈66 %)

  • k = 3 → 23.5–26.5 °C (≈99.7 %)

แหล่งที่มาของการคำนวน uncertainty

มีที่มาจากสองกลุ่มหลัก

1 แบบ Type A (สุ่ม/สถิติ) จากการความแปรปรวนตามซ้ำ (repeatability) จากการวัดซํ้าหลายๆ ครั้ง และ Reproducibility จากการวัดในเงื่อนไขต่างกัน เช่น สภาพสิ่งแวดล้อม หรือผู้วัด

2 แบบ Type B (อื่นๆ ไม่ใช่สุ่มโดยตรง)

  • คุณภาพเครื่องมือ (instrumental) ความแม่นยำ ตัวเพิ่ม ความละเอียด ความเสถียร

  • มาตรฐานอ้างอิง (reference standards) เครื่องมือเชื่อมโยง traceable chain และสัดส่วน TUR (tolerance uncertainty ratio) เช่น 4:1 หรือ 10:1

  • สิ่งแวดล้อม (environmental) เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความดัน

  • ผู้ปฏิบัติ (operator) ความแม่นยำ ความผิดพลาดจากมนุษย์

  • กระบวนการวัด (method/procedure) ความถูกต้องของมาตรฐานขั้นตอน

ตัวอย่างการใช้งานในอุตสาหกรรมจริง

1 อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing)

2 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

3 อุตสาหกรรมยา / ห้องปฏิบัติการ (Pharma/Labs)

  • เครื่องวัดอุณหภูมิ/ปั๊มหัวฉีด ตรวจอุณหภูมิในกระบวนการผลิตยา

  • เครื่องชั่งวิเคราะห์และ pipette การประเมิน uncertainty ส่งผลโดยตรงต่อความแม่นยำในการเตรียมสารเคมี วิเคราะห์ผลข้างเคียง และตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐาน

  • ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ห้องปฏิบัติการต้องแสดงค่าความไม่แน่นอนของเครื่องมือทุกตัวในการสอบเทียบ

4 อุตสาหกรรมยานยนต์และโครงสร้าง

การนำไปใช้ “จริง”

1 การตัดสินใจ (Conformance Testing)

  • เมื่อวัดได้ค่าหนึ่ง เราใช้ intervals y ± k u(y) เทียบกับ specification tolerance

    • เช่น ให้ tolerance ±0.1 mm และ interval y ± 0.05 mm → “ผ่าน”

    • แต่ถ้า interval กว้างกว่าที่กำหนด → “ไม่ผ่าน” ต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนเครื่องมือ

  • ASME มีข้อแนะนำเชิง risk-based decision เช่น B89.7.3.1 ฯลฯ

2 การสอบเทียบ (Calibration & Traceability)

  • ส่งเครื่องมือไปห้องสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 เช่น สมอ. ประเทศไทย หรือ ANAB (สหรัฐ)

  • ห้องปฏิบัติการจะให้ใบรับรองมีข้อมูลค่า y, uncertainty U, k, confidence level

  • ถ้าเครื่องมือยังไม่ผ่านเกณฑ์ → แจ้งผู้ใช้ว่า “ไม่ผ่าน” หรือ “ต้องปรับก่อนใช้งานต่อ”

แนวทางลด uncertainty

  1. ปรับปรุงกระบวนการวัด เช่น ควบคุมสภาพแวดล้อมให้คงที่

  2. ใช้มาตรฐานอ้างอิงที่มี precision >4–10 เท่าของเครื่องมือ DUT

  3. ฝึกอบรมผู้ปฏิบัติ ให้วัดถูกวิธี

  4. ตรวจสอบเครื่องมืออ้างอิงอย่างสม่ำเสมอ

  5. เก็บข้อมูล drift และนำมาอัปเดต uncertainty budget

ตัวอย่าง– กรณีศึกษาเครื่องวัดอุณหภูมิใน pharma

  • เครื่องวัดอุณหภูมิ RTD ได้ 37.00 ± 0.1 °C (k = 2)

  • specification ต้องการ ± 0.2 °C

  • interval = 36.90–37.10 °C
    → ผ่าน spec, มี confidence 95%

หากผ่านการสอบเทียบห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025 (สมอ. หรือ ANAB) และตรวจสอบ uncertainty อย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยรับรองการผลิตที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และอยู่ในมาตรฐานสากล

การประเมินค่า uncertainty (Uncertainty Budget)

  1. รวบรวมแหล่งข้อมูลทั้งหมด (Type A & B)

  2. สร้าง measurement model เช่น y = f(x₁, x₂, …)

  3. คำนวณ partial derivatives เพื่อหาสัดส่วนความไว (sensitivity coefficient) fluke.com

  4. รวมความไม่แน่นอนแบบแยกส่วน u(y) = √[ (c₁ × u(x₁))² + (c₂ × u(x₂))² + … + (cₙ × u(xₙ))² ]

  5. เลือก coverage factor k ตามระดับความเชื่อมั่นที่ต้องการ เช่น k = 2

  6. รายงานผล y ± U; coverage interval และ confidence level ให้ชัดเจน

แหล่งเช่น GUM, ASME, JCGM, VIM ให้แนวทางและสูตรที่ละเอียด

การคำนวณค่า Uncertainty

ในการวัดค่าต่างๆ ทางวิศวกรรมและอุตสาหกรรม ค่า uncertainty หรือที่เรียกว่า ความไม่แน่นอนในการวัด เป็นสิ่งที่ช่วยบอกเราว่าค่าที่เราวัดได้นั้นมีความถูกต้องหรือแม่นยำมากน้อยแค่ไหน ต่อไปนี้คือการอธิบายการคำนวณค่า uncertainty อย่างง่ายๆ พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจได้ง่ายและสามารถนำไปใช้จริงในงานต่างๆ ได้ทันที โดยปกติค่า uncertainty จะถูกคำนวณตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

1. กำหนดรูปแบบของการวัด (Measurement Model) ขั้นแรกเราต้องกำหนดสมการการวัด หรือรูปแบบการวัดที่เราต้องการก่อน เช่น หากเราวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัลทั่วไป จะมีสมการง่ายๆ ว่า y=xy = xโดยที่

  • yy คือ ค่าที่วัดได้จริงจากเครื่องมือ

  • xx คือ ค่าจริงที่ต้องการวัด

2. ระบุแหล่งความไม่แน่นอน (Sources of Uncertainty) แหล่งที่มาของความไม่แน่นอนโดยทั่วไปประกอบด้วย ความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือ (Instrument Error), ความผิดพลาดจากการวัดซ้ำ (Repeatability) และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม (อุณหภูมิ, ความชื้น)

3. ประมาณค่าความไม่แน่นอนแต่ละแหล่ง (Estimating Individual Uncertainty) เราจะนำแหล่งต่างๆ มาประมาณเป็นตัวเลข เช่น ความไม่แน่นอนจากเครื่องมือ (UinstrU_{instr}) ±0.2 °C (ได้จากเอกสารเครื่องมือ), ความไม่แน่นอนจากการวัดซ้ำ U_repeat = ±0.1 °C
(คำนวณจากค่าที่วัดได้หลายครั้ง) และความไม่แน่นอนจากอุณหภูมิแวดล้อม U_env = ±0.05 °C

4. คำนวณความไม่แน่นอนรวม (Combined Uncertainty) นำค่าทั้งหมดมารวมกันโดยวิธี Root Sum Square (RSS) หรือการนำมาบวกรวมแบบกำลังสอง ดังนี้

  • U_combined = ความไม่แน่นอนรวมจากทุกแหล่ง

  • U_instr = ความไม่แน่นอนจากเครื่องมือวัด

  • U_repeat = ความไม่แน่นอนจากการวัดซ้ำ (ค่าความแปรปรวน)

  • U_env = ความไม่แน่นอนจากสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ฯลฯ

จากตัวอย่างข้างต้น

  • จากเครื่องมือ: 0.2

  • จากการวัดซ้ำ: 0.1

  • จากสภาพแวดล้อม: 0.05

U_combined = √[(0.2)² + (0.1)² + (0.05)²]
= √(0.04 + 0.01 + 0.0025)
= √0.0525
≈ 0.23 °C

ดังนั้น ความไม่แน่นอนรวมคือ ±0.23 °C

5. เลือกระดับความเชื่อมั่น (Coverage Factor, k) โดยทั่วไปนิยมใช้ค่า k = 2 เพื่อให้ได้ความเชื่อมั่นประมาณ 95% ดังนั้นความไม่แน่นอนที่รายงานจะเป็น

U = k × U_combined
= 2 × 0.23
= 0.46 °C

เราจึงรายงานผลการวัดว่าเป็น ค่าที่วัดได้ ± ความไม่แน่นอน เช่น วัดได้อุณหภูมิ 25.00 °C ± 0.46 °C (ความเชื่อมั่น 95%) นั่นคือเรามั่นใจ 95% ว่าค่าอุณหภูมิที่แท้จริงจะอยู่ระหว่าง 24.54 °C ถึง 25.46 °C

ตัวอย่างการคำนวณ Measurement Uncertainty  ที่นำไปใช้งานจริงได้

ตัวอย่างที่ 1 การสอบเทียบเวอร์เนียร์คาลิเปอร์

สมมติว่าเราวัดชิ้นงานได้ค่า 50.00 mm และมีแหล่ง uncertainty ดังนี้ Uncertainty ของเครื่องมือ (vernier caliper) ±0.02 mm , Repeatability ±0.01 mm, อุณหภูมิห้องมีผลทำให้เกิด Uncertainty ±0.005 mm รวมค่าความไม่แน่นอนโดย

U_combined = √[(0.02)² + (0.01)² + (0.005)²]
= √(0.0004 + 0.0001 + 0.000025)
= √0.000525
≈ 0.023 mm

รายงานที่ k=2 (95%) เป็น 50.00 ± 0.046 mm

ดังนั้นค่าจริงจะอยู่ที่ 49.954 mm ถึง 50.046 mm ด้วยความมั่นใจ 95%

ตัวอย่างที่ 2 การสอบเทียบเครื่องชั่งน้ำหนักในห้องปฏิบัติการ

วัดน้ำหนักสารเคมีได้ 10.000 g แหล่ง uncertainty ความไม่แน่นอนเครื่องชั่ง ±0.003 g, Repeatability ±0.002 g และผลกระทบอุณหภูมิ ±0.001 g

U_combined = √[(0.003)² + (0.002)² + (0.001)²]
= √(0.000009 + 0.000004 + 0.000001)
= √0.000014
≈ 0.00374 g

ที่ k=2 (95%) จะได้ uncertainty 10.000 ± 0.0075 g

ช่วงความมั่นใจคือ 9.9925 g ถึง 10.0075 g

สรุปขั้นตอนการคำนวณค่า uncertainty อย่างง่าย

ขั้นตอนการคำนวณค่า uncertainty อย่างง่ายสรุปได้ดังนี้

  1. กำหนดสมการการวัด

  2. ระบุแหล่งที่มาของ uncertainty

  3. ประมาณค่าความไม่แน่นอนของแต่ละแหล่ง

  4. คำนวณ RSS หาความไม่แน่นอนรวม

  5. คูณ Coverage factor (k) ที่เหมาะสม

  6. รายงานผลการวัดพร้อมช่วง uncertainty

ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเข้าใจและนำไปใช้งานได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการสอบเทียบเครื่องมือในโรงงานอุตสาหกรรม ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ หรือการวัดทั่วไปในงานวิศวกรรมและการผลิต

ประโยชน์ของการเข้าใจค่าความไม่แน่นอน ได้รับผลการวัดที่แสดงความชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ ลดความเสี่ยงในการแจ้งผลิตภัณฑ์ไม่ตรง spec ทำให้ผ่านตามกฎหมาย มาตรฐาน และสากล และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขซ้ำ หรือสามารถคืนค่าเครื่องมือก่อนเสียหายได้

สรุปเชิงวิชาการ

  • uncertainty คือ พารามิเตอร์ที่บอกช่วงความเป็นไปได้ของค่าที่วัด

  • ประเมินจากแหล่งหลัก 5 ด้าน (เครื่องมือ, สภาพแวดล้อม, วิธี, ผู้ใช้, มาตรฐาน)

  • ใช้โมเดลคณิตศาสตร์ และการกระจายสถิติเพื่อหาค่า u(y)

  • ประยุกต์ในอุตสาหกรรมจริง เช่น CMM, RTD, PIPETTE, MOMS

  • นำไปใช้ตัดสินว่าเครื่องมือ “ผ่าน” spec หรือไม่

  • ลด uncertainty ได้ด้วย calibration, environmental control, training, traceable standards

ข้อควรระวังในการใช้การคำนวณค่า Measurement Uncertainty  ด้วยตนเอง

แม้ว่าการคำนวณค่า uncertainty ด้วยตนเองตามวิธีที่อธิบายไว้จะช่วยให้สามารถประเมินค่าความไม่แน่นอนได้ในระดับเบื้องต้น แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า “การวัดด้วยตนเอง” แตกต่างจาก “การสอบเทียบ (Calibration)” ที่ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO/IEC 17025

จุดแตกต่างสำคัญ

  • การสอบเทียบจะใช้เครื่องมือมาตรฐานที่มี Traceability เชื่อมโยงกับสถาบันมาตรวิทยาระดับประเทศ

  • มีการวิเคราะห์ uncertainty ตามแนวทางของ GUM (Guide to the Expression of Uncertainty in Measurement) อย่างถูกต้อง ครอบคลุมทั้งแหล่งความไม่แน่นอนประเภท A และ B

  • ได้รับการตรวจสอบจากองค์กรรับรอง เช่น สมอ. (ประเทศไทย), ANAB (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งรับรองว่าผลการสอบเทียบ “เชื่อถือได้ 100%” และสามารถนำไปใช้ประกอบการรับรองคุณภาพสินค้า กระบวนการผลิต หรือการตรวจสอบภายนอก (audit) ได้

ดังนั้น

หากคุณต้องการผลการวัดที่แม่นยำ เชื่อถือได้ และเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ISO อย่างเป็นทางการ ควรส่งเครื่องมือเข้ารับการสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง

นอกจากจะมั่นใจในค่าที่วัดได้แล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการควบคุมคุณภาพ ป้องกันความเสียหายในการผลิต และลดความเสี่ยงในงานวิศวกรรมหรืออุตสาหกรรมอีกด้วย

Ref.
Foxvalleymetrology

Fluke
Scalepeople

Cornell University
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)
ANAB
มาตรฐานการรับรองISO/IEC 17025

ทำไม Tension Gauge หรือ Spring Balance ต้องสอบเทียบ แม้แค่ชั่งของเบาๆ?

Tension Gauge หรือ Spring Balance

Tension Gauge หรือ Spring Balance เป็นเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน สามารถชั่งน้ำหนักของวัตถุโดยใช้หลักการยืดและหดของสปริง ดูว่าน้ำหนักของวัตถุดึงให้สปริงยืดได้เท่าไร โดยน้ำหนักมากก็ทำให้สปริงยืดมาก บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) จึงอยากแนะนำเครื่องมือที่เรามีบริการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่ในตอนนี้

หลักการทำงานของเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน

Tension Gauge หรือ Spring Balance ที่จะวัดปริมาณของแรงที่กระทำต่อวัตถุ โดยที่ปลายข้างหนึ่งของเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนจะถูกดึงให้ยืดขยายออกเมื่อมีน้ำหนักมาถ่วงตามแนวแรงโน้มถ่วงของโลก อาศัยกฎของฮุคที่ว่า “การยืดขยายของวัตถุเป็นสัดส่วนโดยตรงกับแรงที่ยืดขยายมันออก” ที่ตำแหน่งเดียวกันของโลก แรงโน้มถ่วงของโลกหรือแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อวัตถุต่างๆจะมีค่าเท่ากันเสมอ แต่วัตถุต่างๆ บนโลกมีมวลต่างกัน แรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อมวลของวัตถุเหล่านั้นจึงมีค่าแตกต่างกัน วัตถุจึงมีน้ำหนักไม่เท่ากัน  เช่น  ส้มโอมีมวลขนาดใหญ่แรงดึงดูดจึงมากกว่ามะนาวซึ่งมีมวลขนาดเล็กกว่า ทำให้ส้มโอมีน้ำหนักมากกว่ามะนาว

ส่วนประกอบของเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน

วิธีการใช้และการอ่านค่าของแรงบนเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนที่ถูกต้อง

ให้จับที่หูจับด้านบนของเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนในการอ่านค่าของแรงจะทำได้เมื่อหมุดหยุดนิ่ง แล้วมองตรงรอยบากกึ่งกลางของหมุดที่ระดับสายตาว่าตรงกับขีดบอกค่าที่เท่าใด การอ่านค่าของน้ำหนักอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ถ้าระดับสายตาของผู้สังเกตอยู่ต่ำหรือสูงกว่าบริเวณหมุด นอกจากนี้ถ้าเครื่องชั่งสปริงบางเครื่องมีค่าเริ่มต้นไม่ตรงกับค่าศูนย์ สามารถปรับระดับให้ตรงที่ขีดศูนย์ได้ โดยการหมุนน็อตที่อยู่ด้านบนของกระบอกเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน เพื่อปรับให้หมุดตรงที่ขีดศูนย์ การอ่านค่าน้ำหนักของวัตถุหรือแรงที่โลกดึงดูดวัตถุ เมื่อแขวนวัตถุไว้กับเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนจะต้องสังเกตที่ขีดสเกลหน่วยนิวตันบนเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน ซึ่งแบ่งค่าไว้ตั้งแต่ 1-10 นิวตัน (N) นอกจากขีดสเกลจะแสดงค่าของแรงแล้ว เครื่องชั่งสปริงยังมีขีดสเกลหน่วยกรัม (g) หรือ หน่วยกิโลกรัม (kg) ที่แสดงค่าของมวล ซึ่งแบ่งค่าไว้ตั้งแต่ 0 – 1,000 กรัม (g) หรือ 1 กิโลกรัม (kg) อีกด้วย

เนื่องจากน้ำหนักและมวลมีความสัมพันธ์กัน จึงสามารถเทียบเคียงระหว่างน้ำหนักและมวลของวัตถุได้เครื่องชั่งสปริงแบบแขวนจะยืดออกเมื่อมีแรงมาดึง เราสามารถอ่านค่าของแรงที่ใช้ดึงได้จากสเกล ในกรณีที่น้ำหนักของวัตถุมาแขวนไว้กับเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน ค่าของแรงที่อ่านได้จากเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนคือแรงที่วัตถุดึงเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน ซึ่งเท่ากับน้ำหนักของวัตถุ

หน่วยการวัดของ เครื่องชั่งสปริงแบบแขวน

Tension Gauge ใช้หน่วย กิโลกรัม(kg), กรัม(g), นิวตัน (N) และขีด เป็นหน่วยที่ใช้บอกน้ำหนักในการชั่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันดังนี้

  • น้ำหนัก 1 กิโลกรัม (kg) เท่ากับ 1,000 กรัม (g) หรือ 9.81 นิวตัน (N)
  •  น้ำหนัก 100 กรัม (g) เท่ากับ 1 ขีด
  • น้ำหนัก 10 ขีด  เท่ากับ 1 กิโลกรัม (kg)

ประเภทของ Tension Gauge หรือ Spring Balance ที่พบในอุตสาหกรรม

แบบ Scale

จะมีขีดบอกน้ำหนัก โดยขีดสเกลจะบอกน้ำหนักสิ่งของที่ห้อยอยู่ด้านล่างของเครื่องมือ โดยขีดสเกลจะแบ่งเท่าๆกัน เพื่อแบ่งช่วงน้ำหนักที่ต้องการอ่านค่า เพื่อให้อ่านง่าย คล้ายกับการที่เราอ่านสเกลบนไม้บรรทัด

แบบดิจิตอล

จะมีหลักการทำงานคล้ายกับแบบสเกล แต่จะอ่านค่าและมีหน้าจอแสดงผลเป็นแบบดิจิตอล ตัวเลขของค่าน้ำหนักที่อ่านได้นั้นจะแสดงที่หน้าจอเลย ซึ่งแบบนี้ง่ายต่อการใช้งานและแม่นยำกว่า เพราะตัวเลขจะขึ้นชัดเจนและละเอียด ไม่ต้องกังวลว่าสายตาของคนที่อยู่ในระดับที่ไม่เท่ากัน อาจทำให้ค่าไม่ตรงกันเหมือนแบบสเกล แต่ราคาของแบบนี้จะสูงกว่าแบบสเกล และอาจจะต้องซื้อถ่านมาเปลี่ยน

ทั้งนี้ผู้ใช้งานควรเลือกซื้อ เลือกใช้ Tension Gauge หรือ Spring Balance ที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง เพราะบางผู้ใช้งานอาจใช้กับน้ำ ซึ่งถ้าใช้แบบดิจิตอลก็อาจจะช็อตได้ แม้ว่าจะอ่านค่าได้ละเอียดกว่าก็ตาม

ทำไมถึงต้องสอบเทียบ TENSION GAUGE หรือ SPRING BALANCE

เราจำเป็นที่จะต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีผลต่อชิ้นงานหรือการทำงานของเราทั้งสิ้น เพื่อเช็คว่าเครื่องมือวัดเหล่านี้ยังอยู่ในมาตรฐาน มีใบรับรองผลรับรองค่าของเครื่อมือนั้นๆTension Gauge หรือ Spring Balance เองก็เป็นเครื่องมือที่ต้องสอบเทียบ ถึงจะถูกใช้งานเพียงแค่ชั่งของเบาๆ เช่น พลาสติก ชิ้นส่วนขนาดเล็ก หรือวัตถุทั่วไปในชีวิตประจำวัน การใช้งานอย่างต่อเนื่องหรือผ่านการเคลื่อนย้าย สะเทือน หรือแม้แต่การเปลี่ยนอุณหภูมิและความชื้นในสภาพแวดล้อม การสอบเทียบจะช่วยยืนยันว่าเครื่องมือยังคงให้ค่าที่ถูกต้อง แม่นยำ และอยู่ในขอบเขตความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ (MPE) โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ข้อมูลเพื่อการควบคุมคุณภาพหรือการออกใบรับรอง เช่น การผลิต การทดลอง หรือการส่งออกสินค้า ผู้ใช้งานจึงไม่ควรมองข้ามการสอบเทียบ แม้จะใช้งานกับน้ำหนักที่ดูเหมือนไม่มีผลกระทบในสายตา แต่ในมาตรฐานอุตสาหกรรม ความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้อย่างมากเพื่อเช็คว่าสเกล รวมทั้งตัวเลขที่แสดงที่หน้าจอนั้น ยังแสดงค่าที่ถูกต้องอยู่ ไม่เกินเกณฑ์การยอมรับที่ชิ้นงานที่วัดได้ (MPE) ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด  (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัด Tension Gauge หรือ Spring Balance และได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ของ ANSI National Accreditation Board ANAB จากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม

การใช้งานที่เป็นมากกว่า “เครื่องชั่งโดยทั่วไป” (เครื่องชั่งแบบธรรมดา)

Tension Gauge หรือ Spring Balance ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ใช้ชั่งน้ำหนักแบบแขวนธรรมดาเท่านั้น แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายมากกว่าที่ผู้ใช้งานหลายคนคิด เช่น ใช้ในการวัดแรงตึงของสายพาน วัดแรงดึงในกระบวนการผลิต หรือใช้ในงานตรวจสอบแรงที่กระทำกับวัตถุในแนวดิ่ง ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสำคัญในการควบคุมคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำในการใช้แรงดึงหรือแรงกด เช่น อุตสาหกรรมพลาสติก บรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่ในงานวิจัยที่ต้องการตรวจสอบแรงที่กระทำต่อวัสดุประเภทต่างๆ ดังนั้น หากผู้ใช้งานเข้าใจหลักการและขอบเขตของการใช้งานเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนได้ดี ก็จะสามารถนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ในหลายลักษณะงาน เช่น การวัดแรงดึงของฟิล์มพลาสติกที่มีการใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ การตรวจสอบแรงดึงของเส้นด้ายของอุตสาหกรรมสิ่งทอ การควบคุมแรงตึงของสายพานในสายงานการผลิต หรือแม้แต่การทดลองทางฟิสิกส์ในห้องปฏิบัติการ ไม่จำกัดแค่การชั่งน้ำหนักเพียงอย่างเดียว

 

ข้อควรปฏิบัติและวิธีการบำรุงรักษาเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน

  1. การเลือกตำแหน่งที่เหมาะสม ควรจัดวางเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนในบริเวณที่แยกจากเครื่องมืออื่นๆ บนโต๊ะ โดยเลือกพื้นที่ที่มีการสั่นสะเทือนน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการเดินพลุกพล่านหรือมีกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดการสั่นไหว
  2. หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ไม่ควรวางเครื่องชั่งให้ชิดกับหน้าต่างหรือบริเวณที่อาจได้รับผลกระทบจากฝนหรือความร้อนจากแสงแดดโดยตรง เนื่องจากอาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของเครื่องมือ
  3. การอ่านค่าที่แม่นยำ เมื่ออ่านค่าการวัด ควรจัดระดับสายตาให้อยู่ในแนวระนาบเดียวกับสเกลที่หมุดลากลงมา เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากมุมมองที่ไม่ถูกต้อง
  4. การถือและแขวนที่เหมาะสม ควรถือหรือแขวนเครื่องชั่งในแนวดิ่งที่ตั้งฉากกับพื้นโลก เพื่อให้ได้ค่าการวัดที่ตรงและแม่นยำ หลีกเลี่ยงการเอียงหรือการจับในมุมที่ไม่เหมาะสม
  5. การควบคุมสภาพแวดล้อม จัดวาง Tension Gauge ไว้ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ โดยอุณหภูมิควรมีการเปลี่ยนแปลงไม่เกิน ± 2 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาความแม่นยำในการวัด
  6. หลีกเลี่ยงการชั่งน้ำหนักของสิ่งของที่หนักเกินกว่า Max Range ที่กำหนดไว้สำหรับเครื่องชั่งสปริงแบบแขวน เพื่อป้องกันการเสียหายของสปริงและรักษาความแม่นยำในการวัด
  7. การทำความสะอาดหลังใช้งาน เมื่อใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องชั่งสปริงแบบแขวนทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณสปริงของเครื่องชั่ง เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการสึกหรอ

 

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ISO/IEC 17025จากบริษัท Calibration Laboratory ได้การรับรองจาก สมอ.และ ANAB ท่านใดที่มีข้อสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อเข้ามาได้เลยครับ

 

ผู้เขียน MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา     ติดต่อเรา
พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

—————

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร

 

 

“Deadweight Tester” เคล็ดลับที่ช่วยให้การใช้เกจแรงดันได้ไม่มีพลาด!

Deadweight Tester (หรือ เครื่องสอบเทียบแรงดันด้วยน้ำหนักมาตรฐาน, เครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนัก) เป็น เครื่องมือวัดที่ใช้สอบเทียบ Pressure Gauge, Test Gauge, เกจวัดแรงดันต่างๆ ที่ให้ค่าความแม่นยำที่สูงมาก ค่าความละเอียดที่วัดได้ก็ละเอียดมาก โดยส่วนมากกลุ่มที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวจะเป็นพวกห้องปฎิบัติการสอบเทียบ, แท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้เกจวัดแรงดันจำนวนมาก เพื่อความแม่นยำจึงจำเป็นที่ต้องวัดก่อนการใช้งานเครื่องมือ เพื่อตรวจสอบดูว่าค่าแรงดันที่ตัวเกจนั้นยังให้ค่าที่ตรงอยู่ โดยอาศัยหลักการน้ำหนักต่อพื้นที่ และจะมีสูตรสมการเพื่อดูว่าแรงดันที่เราให้ค่านั้นตรงกับที่แสดงที่หน้าจอแสดงผลหรือไม่

ประเภทของเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนัก

  1. Hydraulic 
  2. Pneumatic 

ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะต่างตรงสื่อกลางที่ใช้ โดยเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนัก Hydraulic จะใช้น้ำมันเป็นสื่อกลางของระบบ ขีดความสามารถที่วัดได้ก็จะสูง Range ที่ทำได้ก็จะสูง เพราะแรงดันที่เป็น Media น้ำมัน (Oil) จะสูงกว่าแรงดันที่เป็น Media อากาศ ส่วนเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนัก Pneumatic จะใช้ Media แรงดันเป็นอากาศ (Air) เป็นสื่อกลางของระบบ Range ที่วัดได้ก็จะต่ำกว่าการใช้น้ำมัน (Oil) เพราะแรงดันอากาศจะไม่สูงมากและมีแรงอัดน้อยกว่าน้ำมัน

เครื่องมือทั้ง 2 ประเภทใช้สอบเทียบเกจวัดเหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงสื่อกลาง (Media) การเลือกใช้งานเราจึงจำเป็นที่ต้องดูเกจที่เรานำมาวัดว่าเป็นรูปแบบไหน เป็น Pressure gauge แบบ Hydraulic หรือ แบบ Pneumatic เพราะห้องปฎิบัติการสอบเทียบจะได้ใช้ Standard และ Media ที่เข้ากับ Pressure Gauge และป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งตกค้างจากการสอบเทียบ โดยเราจะไม่นำ Pressure Gauge ที่เป็นแบบ Pneumatic ไปสอบเทียบที่ Hydraulic Deadweight Tester เป็นอันขาด

การสอบเทียบเครื่องมือวัด

เราจำเป็นที่ต้องส่งเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนักสอบเทียบเพื่อเช็คว่าเครื่องมือที่เรานำมาเป็น Standard ที่ใช้วัดเกจวัดนั้นยังตรงและให้ค่าที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งกับผู้ใช้งานและลูกค้าที่ส่งเกจวัดมาสอบเทียบ

ในการสอบเทียบเอง CLC สามารถสอบเทียบเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนักและได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ทั้งของในประเทศไทยอย่าง TISI และต่างประเทศอย่าง ANAB (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งมีน้อยห้องปฎิบัติการจะได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ในเครื่องมือดังกล่าว

การสอบเทียบด้วยเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนักมีสองประเภทหลักคือ Hydraulic และ Pneumatic ซึ่งใช้สื่อกลางแรงดันต่างกัน จึงเหมาะกับการสอบเทียบเกจวัดชนิดต่างๆ

Hydraulic Deadweight Tester ใช้น้ำมันเป็นสื่อกลาง ทำให้สามารถสร้างแรงดันได้สูง เช่น สูงถึง 68,647 kPa (ประมาณ 10,000 psi) ตามขอบเขตการรับรองของห้องสอบเทียบ TISI 0183 เอกสารระบุว่า “Pressure medium : oil, water … 0 kPa – 68 647 kPa”
Pneumatic Deadweight Tester ใช้อากาศเป็นสื่อกลาง จึงเหมาะกับแรงดันต่ำถึงปานกลาง ตัวอย่างเช่น ขอบเขตการสอบเทียบอากาศของห้อง TISI 0183 ระบุ “Pneumatic type Pressure medium : air … 0 kPa to 4 000 kPa … > 4 000 kPa to 7 000 kPa …”

ความสำคัญของการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025

การสอบเทียบทั้ง Pressure Gauge และเครื่องสอบเทียบแรงดันแบบตุ้มน้ำหนักต้องดำเนินโดยห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้อง และลดความคลาดเคลื่อนของผลลัพธ์ที่อาจส่งผลถึงกระบวนการผลิต สุขภาพ หรือความปลอดภัยของระบบอุตสาหกรรม เอกสารจาก TISI ระบุว่าการรับรองนี้รวมถึง “ค่าความไม่แน่นอน (uncertainty) ที่ระดับความเชื่อมั่นประมาณ 95 %” ซึ่งตรงตามเอกสารประกอบขอบข่ายการรับรอง (Scope of Accreditation)

วิธีการตรวจเช็คเครื่องมือก่อนการสอบเทียบ

  1. ตรวจเช็คเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพที่เหมาะกับการสอบเทียบหรือไม่
  2. ตรวจเช็คอุปกรณ์ที่ส่งมาว่าส่งมาสอบเทียบครบหรือไม่ Piston มีมาหรือไม่ จำนวนก้อน Deadweight ที่มา มากี่ก้อน พร้อมระบุ และแจ้งกลับทางลูกค้า
  3. ตรวจเช็คเครื่องมือว่า แตก หัก เสียหาย แกนหมุนอยู่ในสภาพปกติ พร้อมใช้งานหรือไม่ แกน Piston หมุนได้ปกติหรือไม่ น้ำมันที่อยู่ในเครื่องรั่ว หรือมีจำนวนเพียงพอในการสอบเทียบหรือไม่ เราต้องเปลี่ยนน้ำมันให้ลูกค้าหากน้ำมันลูกค้าเก่ามาก และไม่เพียงพอต่อการสอบเทียบ
  4. ทำความสะอาดเครื่องมือด้วยผ้าสะอาดก่อนทำการสอบเทียบ

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือ

  1. ควรเก็บเครื่องมือไว้ในที่ที่ควบคุมอุณหภูมิตามมาตรฐาน
  2. ควรทำความสะอาดหลังการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
  3. ควรตรวจดูแกน Piston ว่าหมุนได้ปกติหรือฝืด ควรใส่น้ำมันในปริมาณที่เหมาะสม ตรวจดูว่ามีฝุ่นเกาะหนาหรือไม่ เพราะอาจทำให้ค่าทีวัดได้ผิดเพี้ยนไป
  4. ทำความสะอาดก้อน Deadweight ทั้งก่อนใช้งานและหลังการใช้งาน ควรเก็บในกล่องบรรจุที่ซื้อมาในตอนแรก เพื่อป้องกันการบิ่น เสียหายและสูญหายได้
  5. ไม่ควรให้เครื่องมือโดนน้ำ เพราะจะทำให้เกิดสนิม

 

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ผ่านการรับรอง โดยห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จาก สมอ. และ ANAB สามารถติดต่อเราได้ครับ

ผู้เขียน JubJib VIP

 

Ref.

TISI
ANAB

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา
บริการสอบเทียบ Deadweight Tester

เจาะลึก!! รู้เรื่อง CMM แบบทะลุทะลวง ต้องอ่าน!

CMM (Coordinate Measuring Machine)

Coordinate Measuring Machine หรือ ที่เรารู้จักมักคุ้นกันในนาม CMM ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าเรื่อง เครื่องมือวัด ประเภท CMM ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC ของเรานั้น เคยได้ลงบทความไปแล้วก่อนหน้านี้ (ตามหาอ่านกันได้) แต่ในครั้งนี้ทางผู้เขียนอยากหยิบยก หรือขยายความในรายละเอียดบางอย่าง เพื่อให้ท่านผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจ ได้มีความเข้าใจและเห็นภาพมากยิ่งขึ้น

ตามที่เราเข้าใจกันนั้น CMM เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก เป็นเครื่องมือวัดอีกชนิดที่มีความแม่นยำสูง (High Precision)และความถูกต้องสูง (High Accuracy) สามารถวัดได้ถึงสามมิติ ( X Axis, Y Axis and Z Axis) เป็นเครื่องมือที่รวมความสามารถของเครื่องมือชนิดอื่นๆทางด้านมิติไว้หลายประเภท และเป็นเครื่องมือที่มีความสลับซับซ้อนในการใช้งานพอสมควร และสามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมประเภท AutoCAD สามารถวัดงานตามแบบที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำและถูกต้องมากกว่าเครื่องมือวัดชนิดอื่นอีกหลายประเภท

ทีนี้เรามาดูกันหน่อยครับว่า เครื่องมือวัดประเภท CMM จริงๆแล้วมีกี่ประเภท ถ้าจะให้แบ่งตามลักษณะการใช้งานและรูปร่างหน้าตา ก็จะพอแบ่งได้ประมาณ 4 ประเภท

CMM มีประเภทอยู่ 4 ประเภท

  1. Bridge Type เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมสูง พบเจอได้บ่อย (บ่อยมากๆ) โครงสร้างมีความแข็งแรง มองแล้วคล้ายกับตัวอักษร U กลับหัว หรือ คล้ายกับสะพาน CMM ประเภทนี้มีความถูกต้องแม่นยำสูง แต่ก็ไม่สามารถวัดชิ้นงานขนาดใหญ่เกินไปได้
  2. Cantilever Type มีความแม่นยำและถูกต้องค่อนข้างสูง แต่ประเภทนี้จะเคลื่อนที่ได้น้อยกว่าและถ้าเทียบกับ CMM ประเภทอื่นนั้นถือว่ามีความยืดหยุ่นในการใช้งานน้อยกว่า ข้อดีคือ ใช้พื้นที่ไม่มาก เหมาะกับวัดชิ้นงานขนาดเล็ก หรือชิ้นงานที่มีลักษณะบางและยาว
  3. Horizontal Arm Type ประเภทนี้ความถูกต้องแม่นยำจะสู้สองแบบด้านบนไม่ได้ แต่สร้างมาเพื่อวัดชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์, โครงสร้างรถยนต์ทั้งคัน, หรือชิ้นส่วนเครื่องจักร หน้าตาถ้ามองเผินๆจะคล้าย Layout Machine
  4. Gantry Type ประเภทนี้ถือว่าได้รวมคุณสมบัติของ CMM ของทั้งสามประเภทด้านบนไว้ในเครื่องเดียว มีความถูกต้องแม่นยำสูง เหมาะกับการวัดงานชิ้นใหญ่ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินนิยมใช้ บางรุ่นบางยี่ห้ออาจมี Range แกน X 1500-5000 mm, แกน Y 3000-10000 mm, แกน Z 1500-3000 mm เลยทีเดียว!
  5. Column Type ส่วนมากเราจะเห็นในห้องทดสอบหรือห้องแล็บต่างๆ

เป็นไงกันบ้างครับรูปร่างหน้าตาและรายละเอียด (พอสังเขป) ของ เครื่องมือวัด CMM แต่ละประเภทที่ได้กล่าวมาด้านบน พอจะเห็นภาพและความแตกต่างด้านรายละเอียดกันไปบ้างแล้ว แต่การเลือกใช้งาน เครื่องมือวัด ประเภท CMM ให้เหมาะสมกับชิ้นงานที่ต้องการวัดนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้ สิ่งนึงที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้กันก็คือ เรื่องของโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ ที่ใช้งานร่วมกับ CMM ของเรา และการฝึกอบรมวิธีการใช้งานในแต่ละ Function ของเครื่อง CMM ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อการใช้งานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพของเครื่องมือระดับนี้ เพราะราคาของ CMM นั้น เป็นเครื่องมือวัดที่ราคาสูงมาก ถ้าใช้งานไม่ชำนาญก็เหมือนกับซื้อมาใช้งานไม่คุ้มค่า..และอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งตัวเครื่องและชิ้นงานที่นำมาวัดและจำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำอีกด้วย

ข้อควรระวังและการดูแลรักษา (Coordinate Measuring Machine)

  • CMM ควรติดตั้งในพื้นที่หรือห้องที่มีการควบคุมเรื่องอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม เช่น ในห้องLab หรือ ห้อง QA, QC เป็นต้น
  • ผู้ใช้งานต้องมีความรู้ความเข้าใจในการใช้งาน CMM เครื่องนั้นๆ
  • ไม่นำชิ้นงานหรือสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินกว่าคู่มือเครื่องนั้นๆกำหนด ขึ้นวางบนพื้นโต๊ะวัดงานของ CMM
  • รักษาความสะอาดของเครื่องและบริเวณห้องที่ติดตั้ง CMM อยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นและความชื้น
  • ไม่แก้ไขดัดแปลงเครื่องเอง ควรดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการโดยตรง
  • หมั่นสอบเทียบจากห้องปฎิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 อย่างน้อยปีละครั้ง

     ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC ของเรา ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องการใช้งาน CMM และทาง CLC ก็ยังรับ สอบเทียบเครื่องมือ CMM รวมถึงตรวจวัดชิ้นงาน หรือ JIG ชนิดต่างๆในรูปแบบ Accredit ISO/IEC 17025:2017 อีกด้วย ทั้งหมดดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการเรื่องนี้โดยตรง ประสบการณ์นับสิบปี (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบเทียบเครื่องมือวัด) ลองติดต่อสอบถามกันเข้ามาได้เลยครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย แล้วพบกันครั้งหน้าครับ

 

ผู้เขียน CHOK_AM

 

เครื่อง CMM คืออะไร มีประเภทใดบ้าง

วิดีโอ การเทียบค่าความคลาดเคลื่อน CMM วิธีที่วิศวกรเลือกใช้

 บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ละเอียดยิบ!! ประเภท ความแตกต่างและข้อดีข้อเสียของเครื่องเชื่อม (Weld Machine) แต่ละประเภท?

Weld Machine หรือ เครื่องเชื่อม ก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ระดับอู่ซ่อมรถ, สถานที่ก่อสร้าง, ไปจนถึงระดับภาคอุตสาหกรรม และมีให้เลือกมากมายหลายแบบตามแต่ความเหมาะสมของหน้างาน และทุนในกระเป๋าที่สามารถจะควักจ่ายได้ และระยะหลังๆก็มีเครื่องเชื่อมจากประเทศจีนเข้ามาจำหน่าย มีทั้งคุณภาพดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วไปที่ไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก ก่อนซื้อก็ควรหาข้อมูลและสเปคต่างๆจากผู้ผลิตให้ดี เพื่อจะได้เครื่องเชื่อมที่ตรงความต้องการมากที่สุด เรามาดูกันครับว่า Weld Machine (เครื่องเชื่อม) ที่นิยมใช้งานกันในภาคอุตสาหกรรมมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร

ประเภทและความแตกต่างกันของเครื่องเชื่อม(Weld Machine)

1. ตู้เชื่อมอาร์กอน 

ตู้เชื่อม หรือเครื่องเชื่อมอาร์กอน หรือ TIG (Tungsten Inert Gas Welding หรือ GTAW) จะมีกระบวนการเชื่อมแบบอาร์คที่ใช้แท่งอิเล็กโทรดเป็นทังสเตนในการเชื่อม
เครื่องเชื่อมประเภทนี้เหมาะสําหรับงานคุณภาพที่ต้องอาศัยความปราณีตของช่างที่มีประสบการณ์ในการเชื่อม เหมาะกับการเชื่อมสแตนเลสและอลูมิเนียม ตู้เชื่อม TIG มีทั้งแบบเชื่อมอาร์กอนเพียงระบบเดียว และแบบเชื่อมอาร์กอนกับเชื่อมระบบอื่น ได้แก่ ตู้เชื่อม 2 ระบบ คือเชื่อมอาร์กอนและเชื่อมธูปหรือทั่วไปเรียกกันว่า เชื่อมเหล็กกับตู้เชื่อม 3 ระบบ คือ เชื่อมอาร์กอน เชื่อมธูป และเชื่อมอลูมิเนียมหรือระบบ AC ที่เราเรียกกันทั่วๆ ไปว่า ตู้เชื่อมระบบ AC/DC

ตู้เชื่อมอาร์กอนที่มี 2 ระบบ จะมีสวิตช์เปลี่ยนระบบเชื่อม TIG และ ARC ถ้าเราเชื่อม TIG สายดินจะอยู่ที่ขั้วบวก สายเชื่อมจะอยู่ที่ขั้วลบ แต่เมื่อเรานำมาเชื่อมไฟฟ้าหรือเชื่อมธูป สายดินจะต้องเปลี่ยนมาใส่ที่ขั้วลบ  และสายเชื่อมจะต้องไปอยู่ที่ขั้วบวกแทน ดังตัวอย่างรูปที่ 1

 

รูปที่ 1

2. ตู้เชื่อมมิก (MIG) 

เครื่องเชื่อมมิก, ตู้เชื่อมมิก (MIG) Metal Inert Gas หรือหลายๆท่านเรียกว่า ตู้เชื่อมคาร์บอน (CO2) การเชื่อมลักษณะนี้ของตู้เชื่อมมิก อาจจะต้องใช้แก๊สผสมผสานของคาร์บอนด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับชิ้นงานที่ต้องการเชื่อมด้วย เพราะการเชื่อมแบบนี้จะสามารถเชื่อมชิ้นงานที่มีความบางได้ดีกว่าเครื่องเชื่อมไฟฟ้าที่ใช้กับธูปเชื่อม ดังตัวอย่างรูปที่ 2

รูปที่ 2

ข้อดีและข้อเสียของตู้เชื่อมแบบมิก (MIG)

  • ข้อดีของตู้เชื่อมแบบมิก (MIG) คือ สามารถเชื่อมโลหะได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก, สแตนเลส, อลูมิเนียม, ทองแดง และการเชื่อมแบบมิก(MIG) จะสามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบเชื่อมไฟฟ้าด้วยธูปเชื่อม ทำให้ประหยัดเวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนลวดเชื่อม เพราะสามารถเดินแนวเชื่อมได้ยาวและต่อเนื่องกว่าการเชื่อมไฟฟ้าด้วยธูปเชื่อม
  • ข้อเสีย คือ ราคาค่อนข้างสูง, ใช้อุปกรณ์มากกว่า ทำให้ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้ายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหน้างานไม่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อย ตู้เชื่อมแบบมิก(MIG) ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะจะได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดีและที่สำคัญประหยัดเวลากว่า

3. เครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA 

จะเป็นกระบวนการเชื่อมแบบอาร์คโลหะด้วยมือ (MMA : Manual Metal Arc Welding) คือ การต้องการต่อโลหะให้ติดกัน โดยวิธีนี้จะให้ความร้อนอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูงมาก อุณหภูมิที่เกิดขึ้นที่บริเวณปลายลวดเชื่อมนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5000-6000 °C เลยทีเดียว  โดยการเชื่อมลักษณะนี้เป็นการเติมโลหะลงไปในแนวเชื่อม และเป็นการทำให้ฟลักซ์ที่หุ้มลวดเชื่อมนั้นจะได้รับความร้อน และหลอมละลายไปปกคลุมโลหะตลอดแนวเชื่อมเอาไว้ เพื่อไม่ไห้อากาศเข้าไปในแนวเชื่อม จึงจะทำให้ช่วยชะลอการเย็นตัวของแนวเชื่อมโลหะ เพื่อให้แนวเชื่อมโลหะประสานกันได้ดี และ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้นเองตัวอย่างรูปที่ 3

รูปที่ 3

 

ข้อดีและข้อเสียของเครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA

ข้อดี

  • ให้ชิ้นงานคุณภาพสูง (ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ใช้งาน)
  • ไม่ยุ่งยาก
  • ลดเสียงขณะปฎิบัติงาน
  • เครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำ

ข้อเสีย

  • ต้องตรวจสอบแนวเชื่อมทุกขั้นตอน
  •  เครื่องเชื่อมไฟฟ้า MMA อาจทำให้คุณสมบัติของโลหะบางชนิดเปลี่ยนแปลง
  •  อาจเกิดการบิดตัวหรือหดตัวของชิ้นงาน (ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ใช้งาน)

การดูแลรักษา Weld Machine (เครื่องเชื่อม)

  •  ก่อนและหลังใช้งาน ผู้ใช้งานควรตรวจสอบชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับเครื่องเชื่อม ให้อยู่ในสภาพที่ดี พร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปลั๊กไฟ, สายไฟ, ฉนวนต่างๆ หรือแม้กระทั่งธูปเชื่อม, ลวดเชื่อม, แว่นนิรภัย, หน้ากากเชื่อม และถุงมือป้องกันความร้อนและอื่นๆ
  • ไม่ควรเก็บไว้ในบริเวณใกล้กับแหล่งความร้อนสูงๆ หรือ บริเวณที่มีความชื้นและน้ำ ที่สำคัญที่สุดไม่ควรแก้ไข/ดัดแปลง ถ้าต้องการซ่อมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนของเครื่องเชื่อม ควรกระทำโดยผู้ที่เชี่ยวชาญเพื่อความถูกต้องและปลอดภัย
  • นำเครื่องเชื่อม เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ แคลิเบรท (Calibrate) กับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือ ตามความถี่ของการใช้งาน

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับประเภทของ เครื่องเชื่อม รวมทั้งข้อดี-ข้อเสีย ของเครื่องแต่ละประเภท ที่ได้นำมาพูดคุยกันในครั้งนี้ จริงๆแล้ว ยังมีแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีกมากมาย แต่ที่ผู้เขียนได้หยิบยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขปแค่ 3 ประเภทนี้ เพราะตามภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ รวมถึงหน้างานก่อสร้างก็ตาม จะนิยมใช้กันอยู่ 3 ประเภทนี้เป็นหลัก

โดยเครื่องเชื่อม หรือตู้เชื่อม (Weld Machine) ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ในส่วนของงานซ่อมแซมหรือซ่อมบำรุงอาจจะมีความจำเป็นในการสอบเทียบ(Calibration) น้อย แต่ถ้าในกระบวนการก่อสร้างหรือผลิตสินค้าภาคอุตสาหกรรมนั้น มีความจำเป็นในเรื่องของการสอบเทียบ (Calibration) เป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สินค้าของท่านได้มีมาตรฐานในการผลิตหรือก่อสร้างที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดในส่วนของงานซ่อมแซมหรือผลิตสินค้าได้

สำหรับ บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ของเราก็มีบริการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ แคลิเบรท (Calibrate) ในรูปแบบ Accredit ตามมาตรฐาน ISO/IEC  17025 (ANAB)  เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเครื่องเชื่อมของท่านมีประสิทธิภาพที่ดี ควรหมั่นสอบเทียบอย่างน้อย 1 ปี/ครั้ง หรือ ตามความถี่ของการใช้งานเป็นหลัก

หากผู้อ่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานและการสอบเทียบเครื่องเชื่อมสามารถติดต่อเข้ามาปรึกษากับทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ได้เลยนะครับ เรามีเจ้าหน้าที่ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสอบเทียบเครื่องมือวัด คอยให้คำแนะนำ..และที่สำคัญ ปรึกษาฟรีอีกเช่นเคยครับท่าน

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่กับบทความเรื่องต่อๆไปครับกระผม…ขอบคุณที่อ่านจนจบ^^…

 

 

 

CHOK_AM, THM Melo

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

NUT RUNNER คืออะไร? รู้จักเครื่องขันสกรูอัตโนมัติ พร้อมเหตุผลที่ต้องสอบเทียบกับ CLC

Nut Runner คืออะไร

Nut Runner คือ เครื่องมือเครื่องขันสกรูอัตโนมัติ เป็นกระบวนการสำหรับการควบคุม Torque (แรงหมุน), การควบคุมมุม, การตรวจสอบแรง ฯลฯ เพื่อสนับสนุนการทำงานที่หลากหลายของ Torque ให้แน่นยิ่งขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น หรือ คือ ระบบขันอัตโนมัติที่รวมแรงขับ เซ็นเซอร์ และ controller เข้าด้วยกัน เพื่อให้การขันน็อตหรือสกรูเป็นไปตามมาตรฐานแรงบิดและได้มุมที่กำหนดตรงตามวิศวกรรม สามารถบันทึกเอกสารคุณภาพได้ ทำให้เครื่องมือประเภทนี้สามารถยกระดับกระบวนการการผลิตให้มีความแม่นยำและสอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลกได้ เช่น มาตรฐาน ISO สำหรับโรงงานที่จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำในการผลิตสูงเพื่อลดข้อผิดพลาดจากความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ

เครื่องมือเครื่องขันสกรูอัตโนมัติใช้สำหรับทำอะไรได้บ้าง

เครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติสามารถช่วยดูลักษณะการคลายตัวของชิ้นงาน เพื่อลดปัญหาของการขันชิ้นงานที่ผลิตไม่ให้เป็นไปในรูปแบบของการปีนเกลียว ขันไม่สุด ขันแล้วคลาย อะไรต่าง ๆ อีกมากมายซึ่งผู้ผลิตเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติก็ได้ออกแบบให้สามารถที่จะตรวจวัดได้หลายรูปแบบ  มี Step ในการขันที่หลายขั้นตอนขึ้นมีความแม่นยำไม่เหมือนกับการใช้คนขัน และมีการควบคุมการขันหลาย ๆ ตัวพร้อมกัน เพื่อให้ตัวชิ้นงานที่วัดมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบที่ถูกต้อง   และที่สำคัญ เครื่องมือยังสามารถกำหนด  Angle  เป็นลักษณะของการควบคุมองศาของการขัน หลังจากที่การขันได้ ค่า Torque ที่ต้องการแล้ว ต้องขันเลยไปอีกกี่องศา ซึ่งสามารถที่จะกำหนดได้

เครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติที่พบได้ทั่วไปมีกี่ชนิด

ที่พบได้ทั่วไปจะมี 2 ชนิด

    1. เครื่องมือแบบทั่วไปที่ใช้ทุนแรงในการขันชิ้นงาน โดยปกติจะกำหนดค่าแรงที่ต้องการโดยการใช้หมุนปรับค่าแรงที่ต้องการ สามารถกำหนดขันแน่นหรือคลายได้
    2. DC Nut Runner เป็นเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติที่พัฒนามาจากเครื่องแบบทั่วไป โดยพัฒนามาเป็นระบบไฟฟ้า โดยจะมีเครื่อง Controller เป็นตัวกำหนดค่าแรงที่ต้องการ อาจจะเชื่อมต่อกับตัววัดโดยสายเคเบิ้ล หรือเชื่อมต่อด้วยระบบ WIFI, Bluetooth และสามารถบันทึกค่าที่ใช้ขันได้

เครื่องขันสกรูอัตโนมัตินั้น ไม่ได้มีหัวแค่แบบเดียว แต่มีหัวหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานตามลักษณะของหน้างานจริงที่แตกต่างกันไป หัวแบบ In-line เป็นหัวที่แกนหมุนตรงกับแกนของตัวเครื่อง เหมาะสำหรับการขันในแนวเส้นตรงที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ส่วนหัวแบบ Offset ถึงแม้จะยังคงแนวหมุนขนานกับตัวเครื่อง แต่จะเยื้องออกไปเล็กน้อย ช่วยให้เข้าไปขันในจุดที่อาจมีสิ่งกีดขวางได้สะดวกขึ้น สำหรับงานที่ต้องขันในมุมแคบหรือมุมฉาก หัวแบบ Right-angle ที่แกนการหมุนทำมุม 90 องศากับตัวเครื่องก็เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์

ในบางกรณีที่ตำแหน่งขันอยู่ลึกหรือเข้าถึงยาก หัวแบบ Crowfoot ซึ่งมีลักษณะแบนหรือยาวพิเศษ จะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้น และหากต้องขันในจุดที่ต้องสอดหัวผ่านน็อตเข้าไปก่อนแล้วจึงขัน หัวแบบ Tubenut ที่ออกแบบมาให้มีช่องเปิดก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ได้ดีในสถานการณ์เช่นนั้น

นอกจากเรื่องรูปแบบหัวแล้ว สเปกด้านเทคนิคของ Nut Runner ก็เป็นอีกจุดสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เช่น ช่วงแรงบิดที่รองรับได้ ความเร็วรอบขณะไม่มีโหลด รวมถึงระดับเสียงขณะทำงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพงาน ความรวดเร็วในการผลิต และความปลอดภัยของผู้ใช้งาน อีกทั้งยังต้องพิจารณาขนาดตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นความยาว เส้นผ่านศูนย์กลาง หรือแม้แต่น้ำหนัก เพราะทั้งหมดล้วนมีผลต่อความสะดวกในการใช้งานจริง โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานในสภาพแวดล้อมการผลิต

การเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน

การเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน ต้องพิจารณาหลากหลายด้านอย่างละเอียด เพื่อให้ได้เครื่องมือที่เหมาะสม สอดคล้องกับงาน และมั่นใจในมาตรฐานความแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อผู้เขียนมีประสบการณ์ในสายช่างกว่า 30 ปี และเข้าใจระบบ SEO และ Google Algorithm ล่าสุด นี่คือการขยายความโดยอ้างอิงจากแหล่งราชการเท่านั้น เช่น Air Torque หรือ Nutrunner แบบใช้ลม คือ เครื่องมือขันอัตโนมัติที่ใช้งานง่าย เบา ทนทาน เหมาะกับงานผลิตจำนวนมาก และช่วยให้การขันน็อตมีความแม่นยำกว่าการใช้แรงคน ใช้ควบคู่กับระบบ shut-off เพื่อตัดแรงหมุนเมื่อถึงค่าแรงบิดที่ต้องการตามมาตรฐาน มั่นใจในคุณภาพงานและความปลอดภัยของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

1. ระดับแรงบิดที่ต้องการ (Required Torque Range)

  • เลือกรุ่นที่รองรับแรงบิดที่ใช้งานในงานจริง ควรเลือกใช้เครื่องที่กำลังแรงอยู่ในช่วง 40–70% ของแรงบิดสูงสุด (สำหรับแรงบิด >200 N·m) หรือ 40–90% (สำหรับ ≤200 N·m) เพื่อให้เครื่องทำงานได้มีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน

  • ยกตัวอย่างเช่น หากใช้งานที่ 80 N·m ควรใช้เครื่องที่มีแรงบิดสูงสุดประมาณ 140–200 N·m ไม่ควรใช้เครื่องค่าต่ำเกินจนต้องลากเต็มกำลัง

2. รูปทรงสกรู/น็อต และพื้นที่การทำงาน

  • พื้นที่เข้าถึงน็อตว่าสามารถใช้งานแบบไหนได้ (ตรง, ปืน, มุมขวา, ติดยาว ฯลฯ)

  • สกรูที่มีหัวแบบพิเศษ (offset หรือ tubenut) ต้องใช้งานหัวเสริมเฉพาะ

  • การวัดแรงบิดต้องถูกต้องแม้เมื่อต่อ adapter หรือ extension bar NASA กำหนดวิธีวัดและแก้ค่าแรงบิดโดยใช้สูตรคำนวณ R=T·Lw/Lt

 3. ความละเอียดและความแม่นยำในการควบคุม (Torque ±%, Angle, Data Logging)

  • ให้เลือก Nut Runner ที่มีความแม่นยำตามมาตรฐาน ISO/IEC 6789 (เช่น ±4 – 6% สำหรับเครื่องมือแบบมีไฟแสดงผล หรืออัตโนมัติ)

  • เซ็นเซอร์แรงบิด/องศาแบบ EC หรือ Servo อายุการทำงานนานและแม่นยำสูง เช่น DSM EC nutrunner รองรับตั้งแต่ 0.03 – 4,800 Nm

  • มีระบบ Soft‑start Auto shut‑off มัลติ‑สเต็ป (multi‑step) และบันทึกข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อให้ตรวจสอบย้อนหลังได้

4. งบประมาณและต้นทุนใช้งาน

  • พิจารณาค่า calibration ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 หรือ ANSI/NCSL Z540 (NIST หรือ ANAB) ซึ่งต้องสอบเทียบปีละครั้งหรือหลังใช้งาน 5,000 รอบ

  • ค่าไฟหรือค่าอากาศ เครื่องลมต้องใช้อากาศสะอาดตามคู่มือ เช่น มีตัวกรองหล่อลื่น และต้องปรับแรงดันให้เหมาะสมเพื่อความแม่นยำ

  • ค่าอุปกรณ์เสริม เช่น Adapter Reaction bar และระบบควบคุมเชื่อมต่อ (PLC, Fieldbus) ควรคำนึงถึงเมื่อติดตั้งในสายผลิต

5. เงื่อนไขการใช้งานเฉพาะ (Clean Room/Heavy Industry)

  • Clean‑room ต้องเลือกเครื่องที่ปล่อยฝุ่น/น้ำมันน้อย ใช้มอเตอร์ไร้แปรงถ่าน (brushless) และอุปกรณ์ไม่มีกลไกลมเข้า‑ออก

  • งานหนัก/อุตสาหกรรม ใช้เครื่องรุ่น EC หรือ Servo ที่ทนทาน พร้อม reaction bar รองรับแรงสูง มีระบบป้องกันแรงกระแทก เช่น Stall‑type หรือ High‑Torque แบบฮีดปืน

  • ตัวอย่าง เครื่องจาก Elliott Tool มีคำแนะนำเรื่องการติด reaction bar และการควบคุมแรงกระแทกตาม ANSI B186.1

Scope การสอบเทียบเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติ

รูปแบบการให้บริการ

  • In Lab: การสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการ
  • Onsite: การสอบเทียบ ณ สถานที่ของลูกค้า

CLC รับรองมาตรฐานจาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) รายละเอียด Scope การสอบเทียบ NUT RUNNER คลิก

หากต้องการส่งเครื่องมือขันสกรูอัตโนมัติมาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

1.ควรกำหนดจุดค่าแรงที่ต้องการตรวจเช็ค ให้ตรงกับ Point ที่ใช้งานเป็นประจำ โดยปกติเครื่องจะมีการกำหนดค่าแรงแบบ Fixed  Point เนื่องจากใช้ขันชิ้นงานที่มีการกำหนดค่าแรงแบบชัดเจน

 2.ควรห่อหุ้มเครื่องมือด้วยวัสดุกันกระแทก หรือใส่ในกล่องเก็บอุปกรณ์เฉพาะ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง

3.จัดเตรียมหัว Block ที่ใช้วัดชิ้นงานให้พร้อม และส่งมาพร้อมกับเครื่องมือเพื่อให้การสอบเทียบเป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำ

สรุป

Nut Runner คือ เครื่องมือขันน็อตอัตโนมัติที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมเพื่อให้งานขันแน่นแม่นยำด้วยการควบคุม Torque และ Angle อย่างละเอียด มีหลายประเภท เช่น Pneumatic, DC, EC และ Servo แต่ละแบบเหมาะกับงานที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านแรงบิด ความต้องการการบันทึกข้อมูล หรือการใช้งานกับระบบอัตโนมัติ (PLC, robot)

การสอบเทียบ Nut Runner ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 โดยผู้รับรองเช่น ANAB ถือเป็นการรับประกันความถูกต้องของเครื่องมือ ระยะเวลาสอบเทียบต้องสม่ำเสมอ และจัดเก็บผลอย่างเป็นระบบ

หากคุณเป็นผู้ผลิตหรือวิศวกรที่ดูแลระบบลานผลิต การเลือก Nut Runner ที่เหมาะสม การสอบเทียบเครื่องมืออย่างถูกต้อง รวมถึงการบำรุงรักษาให้เป็นระเบียบ จะช่วยเพิ่มคุณภาพการผลิต ลดข้อผิดพลาด ลดต้นทุนจากการซ่อมบำรุง และสร้างความมั่นใจว่า โครงสร้างหรืออุปกรณ์ของคุณจะไม่เกิดความเสียหายหรืออันตรายในระยะยาว

 

Ref.
National Test Equipment Program Management
บทความ What is an EC Nutrunner? » Definition and Fields of Use
เอกสาร NASA – Center-wide Procedures and Guidelines (PG)

บทความ Globalspec.com
ANSI

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

รู้ก่อนใช้! เครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ Coating Thickness Gauge ทำงานอย่างไร

วันนี้ผู้เขียนมีตัวอย่างการใช้เครื่อง Coating thickness gauge (เครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ) ที่มักจะสับสนจนถูกใช้งานไม่ถูกวิธีมาฝากกันครับ และอย่าลืมว่าเครื่องมือวัดทุกชนิดจำเป็นต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เพื่อความแม่นยำของค่าการวัดในการใช้งานด้วยครับ

 

Coating Thickness Gauge คือ เครื่องมือใช้ตรวจวัดค่าความหนาของผิวเคลือบสีที่อยู่บนโลหะ (Ferrous) เช่น สี, พลาสติก, สังกะสี หรืออโลหะ (Non Ferrous)  เช่น อลูมิเนียม, ทองแดง ที่เคลือบด้วยสารไม่นำไฟฟ้า ใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพการเคลือบของงาน เช่น การพ่นสี, แลคเกอร์, สังกะสี, โครเมียม, พลาสติก ชุบโลหะ,  การเคลือบกันสนิม หรือชั้นฟิล์มต่างๆ เป็นต้น

บ่อยครั้งที่พบว่ายังมีคนใช้งานจำนวนไม่น้อยที่ใช้เครื่องมือวัดชนิดนี้ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่และก็เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเครื่องนี้เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาก็สามารถนำ Probe ไปแตะบนผิวเคลือบหรือสีที่อยู่บนโลหะและทำการอ่านค่าที่หน้าจอแสดงผลและบันทึกผลการวัดได้เลยแต่หารู้ไม่ว่า..การกระทำเช่นนั้นเป็นการใช้เครื่องอย่างไม่ถูกต้องโดยไม่สมกับราคาค่าตัวของเอาซะเลย (ราคาหลักหลายหมื่น) นอกจากนี้ยังทำให้การวัดค่าครั้งนั้นคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากกกกกอีกด้วย

การใช้งาน เครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ ให้ถูกวิธี

เรามาดูกันครับว่าการใช้งาน เครื่องมือวัดความหนาผิวเคลือบให้ถูกวิธีนั้นควรทำอย่างไร

การใช้งานเครื่องวัดนี้ทางผู้เขียนขออธิบายพอสังเขปแล้วกันนะครับเพราะแต่ละ Brand Model นั้นมีการใช้งานที่แตกต่างกันอยู่บ้างขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละรุ่นแต่โดยรวมแล้วหลักการไม่หนีกันสักเท่าไหร่ครับ

  • หลังจากเปิดเครื่อง Coating Thickness Gauge ให้ทำการ Set Zero โดยการนำ Probe กดลงบน Zero Plate ซึ่งจะมีทั้งแบบ โลหะ (Ferrous) และ อโลหะ (Non-Ferrous) จากนั้นทำการบันทึกค่า Zero เพื่อให้เครื่อง Coating Thickness Gauge ทราบค่าและจดจำค่า Zero
  • นำ Standard Foil มาวางบน Zero Plate นำ Probe กดลงบน Standard Foil จากนั้นทำการ Set ค่าของ Standard Foil และทำการบันทึกค่า Standard Foil เพื่อให้เครื่อง Coating Thickness Gauge ทราบค่าและจดจำค่าของ Standard Foil
  • นำ Coating Thickness Gauge ไปทำการวัดความหนาของสีหรือผิวเคลือบของชิ้นงาน

การเลือกใช้ Coating thickness gauge จะต้องทราบอะไรบ้าง

1. ความหนาของสีหรือผิวเคลือบของชิ้นงานที่ต้องการวัด

ความหนาของสีหรือผิวเคลือบมีตั้งแต่ 20 ไมโครเมตร(µm) ไปจนถึง 10,000 ไมโครเมตร (µm)โดยทั่วไปแล้วความหนาของผิวเคลือบมักไม่เกิน 2,000 ไมโครเมตร µm) การทราบค่าความหนาที่ต้องการวัดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากต้องใช้ Standard Foil ที่เหมาะสมในการตั้งค่าเครื่อง Coating Thickness Gauge

การเลือกใช้ Standard foil แต่ละขนาด ในการ Memory ในแต่ละครั้งให้ผู้ใช้งานคำนึงถึงความหนาผิวเคลือบหรือสีที่อยู่บน โลหะ(Ferrous) หรืออโลหะ (Non Ferrous) ของตัวชิ้นงานที่เราต้องการวัดเป็นสำคัญ โดยต้องเหมาะกับประเภทวัสดุ ต้องให้มีความใกล้เคียงกับความหนาจริงของชั้นเคลือบ เพราะเครื่องมือจะมีค่า Accuracy ที่ดีแค่ช่วง Range แคบๆ เช่นถ้าต้องการวัดความหนาผิวเคลือบที่ Spec ประมาณ 500 ไมโครเมตร(µm) ผู้ใช้งานต้องเลือก Standard Foil ที่มีความหนาใกล้เคียงกับชิ้นงานที่จะวัดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจาก Standard Foil มีหลายความหนา (เช่น 50 μm, 100 μm, 200 μm) บวกลบไม่ควรเกิน 50-100 ไมโครเมตร จึงจะทำให้ค่าที่วัดออกมากถูกต้องมากที่สุด

Standard foil สำคัญอย่างไร ?

หลังจากเก็บค่าศูนย์แล้วสิ่งที่ทุกคนควรต้องมีคือ Standard foil หรือ Calibration Foil ตามแต่จะเรียก (ต้องหมั่นส่งสอบเทียบเป็นประจำนะครับ) นำ Standard Foil ไปวางบน Zero plate (Ferrous, Non Ferrous) แล้วใช้ Probe แตะไปบน Standard foil เพื่อทำการ Memory ให้เครื่องมือจำค่าของ Standard foil ที่เราวางไปบน Zero plate (ตามคู่มือแต่ละรุ่น) ตามตัวอย่างรูปที่ 3

รูปที่ 3

2. ลักษณะของงานว่าเป็นแบบไหน

Coating Thickness Gauge จะมี 2 แบบ คือ

  • แบบที่เป็นสาย Probe แยกออกมาจากตัวเครื่อง โดยแบบนี้เหมาะกับงานที่เป็นจุดที่แคบๆ Probe จะมีให้เลือกค่อนข้างหลายแบบ เช่น แบบเป็นแท่งตรงๆธรรมดา หรือแบบคล้ายๆ ปากกา
  • แบบ Probe ติดอยู่กับตัวเครื่อง จะสะดวกต่อการใช้งานและพกพาง่ายคล้ายๆ แต่มีข้อจำกัด เพราะถ้าเจองานที่มีลักษณะเป็นช่องแคบๆก็ทำการวัดลำบาก หรือไม่สามารถวัดได้เลย

3. งานที่ต้องการวัดเป็นโลหะ (Ferrous) หรือ อโลหะ (Non-Ferrous) 

  • โลหะ (Ferrous) คือ เหล็ก สังกะสี หรือ สังเกตง่ายๆ แม่เหล็กจะสามารถดูดได้
  • อโลหะ (Non-Ferrous) คือ อลูมิเนียม ทองแดง สังเกตง่ายๆ แม่เหล็กจะไม่สามารถดูดได้

Coating thickness gauge บางรุ่นสามารถวัดได้ทั้ง โลหะ (Ferrous) และ อโลหะ (Non-Ferrous) ใน Probe หรือเครื่องเดียวกัน

การดูแลบำรุงรักษา Coating thickness gauge

  • ก่อนและหลังการใช้งานควรทำความสะอาด Probe, Zero Plate, Standard Foil
  • ควรทำความสะอาดผิวของชิ้นงานก่อนทำการวัด
  • หากไม่ได้ใช้เครื่องมือเป็นระยะเวลานาน ควรถอด Battery ออกเพื่อป้องกัน Battery เสื่อมสภาพ
  • ระมัดระวังการใช้งานและการเก็บแผ่น Standard Foil ที่มีความบาง เพราะอาจทำให้ Standard Foil ยับหรือขาด
  • ควรสอบเทียบ Standard Foil ว่าความหนายังอยู่ในเกณฑ์หรือไม่
  • ควรสอบเทียบ Coating Thickness Gauge ว่ายังสามารถอ่านค่าได้ถูกต้องหรือไม่

สำหรับการ สอบเทียบเครื่องมือวัด บริษัท Calibration Laboratory เรามีให้บริการสอบเทียบเครื่องวัดความหนาผิวเคลือบ และ Standard foil (Calibration Foil) ด้วยครับ สนใจสอบถามราคา คลิกเลย –> บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

 

ผู้เขียน Chok_AM, SMT

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ