คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

เครื่องมือวัดความเร็วรอบ Tachometer เครื่องมือวัดการหมุนของเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

Tachometer

เครื่องมือวัดความเร็วรอบ ในขั้นตอนการผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะมีเครื่องจักรเคลื่อนที่ในลักษณะหมุนอยู่มากมายหลายประเภท มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันออกไป และมีบทบาทสำคัญในส่วนของขั้นตอนการผลิต เราจะทราบได้อย่างไรว่าการหมุนของเครื่องจักรดังกล่าวนั้น มีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานหรือไม่ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบในการผลิตเราจะตรวจสอบได้อย่างไร วันนี้เราจะมาแนะนำตัวช่วย นั้นก็คือ เครื่องมือวัดความเร็วรอบ Tachometer!!! ที่ต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำนั่นเอง

เป็นอุปกรณ์ในเครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้วัดอัตราความเร็วในการหมุนรอบของเครื่องจักรหรือวัตถุต่างๆเพื่อบ่งชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรหรือวัตถุนั้นๆโดยใช้หน่วยในการวัดเป็นความเร็วรอบต่อนาที หรือ RPM (Revolutions per minute) เครื่องมือวัดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และสิ่งทอ อุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เครื่องมือวัดความเร็วรอบนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในทางวิศวกรรมสามารถประยุกต์ใช้ในการใช้งานได้หลากหลายด้าน เช่น วัดความเร็วของมอเตอร์ ตรวจสอบสายการผลิต ความเร็วของใบพัด รอบของลูกกลิ้ง การตรวจสอบกังหัน การตรวจสอบรอบของเพลาล้อรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการควรนำ Tachometer หรือ เครื่องมือวัดความเร็วรอบ เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ (Calibrate – แคลิเบรท)อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ค่าความเร็วรอบที่วัดได้จะไม่คลาดเคลื่อนจนก่อให้เกิดความเสียหาต่อกระบวนการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์

เครื่องมืดวัดความเร็วรอบ Tachometer มีกี่ประเภท?


 

เครื่องมือวัดความเร็วรอบนั้นมีอยู่หลากหลายแบบ มีลักษณะและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าใช้งานประเภทไหน แต่ผู้เขียนจะแบ่งเอาหลักๆ ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ โดยจะแบ่งออกมาเป็น 3 แบบด้วยกัน ซึ่งจะอธิบายลักษณะและหลักการใช้งานคร่าวๆ ของเครื่องมือวัดแต่ละชนิดด้วยดังนี้

1. Analog Tachometer

เครื่องมืดวัดความเร็วรอบแบบอนาล็อก มีหน้าปัดแสดงผลเป็นแบบเข็มวัดและมีขีดสเกลเป็นตัวเลขสำหรับในการอ่านค่า แต่ไม่สามารถบันทึกค่าหรือคำนวณค่าทางสถิตได้ โดยหลักการใช้หัวสัมผัสกับเพลาหรือวัตถุโดยตรง ใช้ค่าความเร็วที่ได้จากการหมุนเคลื่อนที่แล้วถูกแปลงค่าเป็นแรงดันไฟฟ้า และมาอ่านแสดงค่าที่หน้าปัด แบบรุ่นนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่างในการใช้งาน

2. Stroboscope Tachometer

เครื่องมือวัดที่มีลักษณะคล้ายๆเหมือนไฟฉายหรือปืนวัดอุณหภูมิอินฟาเรดหน้าจอเป็น LCD แสดงผลเป็นตัวเลข Digital โดยใช้หลักการของแสงแฟลตเพื่อจับภาพ เพื่อส่องไปยังวัตถุที่กำลังหมุน แล้วนำความถี่ที่ได้รับในการจับภาพ (จำนวนเฟรมต่อวินาทีหรือ FPM) มาคำนวณความเร็วของวัตถุที่กำลังหมุนแล้วไปแสดงผลที่หน้าจอ Tachometer ซึ่งการวัดวิธีนี้มีข้อดีคือ ไม่ต้องหยุดเครื่องจักรไม่ต้องติดสติ๊กเกอร์สะท้อนแสง และไม่จำเป็นต้องสัมผัสชิ้นงานก็สามารถวัดรอบได้ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

3. Digital Contact & Non-contact Tachometer

จะมีหน้าจอแสดงผลอ่านค่าเป็นตัวเลข Digital แบบ LCD หรือ LED มีหัววัดทั้งสองฝั่ง ซึ่งสามารถเลือกใช้งาน Tachometer ได้ทั้งแบบ Contact และ Non-contact (แบบไม่สัมผัส) โดย Contact (แบบสัมผัส)จะเป็นฝั่งที่มีแกนเหล็กยื่นออกมาซึ่งจะมีหัวแบบต่างๆ ให้เลือกเปลี่ยนใช้งานตามความเหมาะสม โดยใช้เครื่องมืดวัดสัมผัสวัดกับแกนหรือเพลามอเตอร์โดยตรง แล้วประมวลค่าออกมาทางหน้าจอ ส่วน Tachometer แบบ Non-contact (แบบไม่สัมผัส) จะเป็นฝั่งที่มีกระจกใสครอบอยู่และจะมีสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงติดมาให้ด้วยเพื่อใช้ติดที่เพลาวัตถุที่ต้องการวัด หลักการเมื่อยิงแสงเลเซอร์ไปกระทบที่แผ่นสติ๊กเกอร์สะท้อนแสง ก็จะสะท้อนแสงกลับไปยังตัวรับเพื่อคำนวณหาค่าจำนวนรอบออกมาและแสดงผลไปที่หน้าจอ โดยแบบที่ 3 นี้เป็นเครื่องมือวัดที่นิยมนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถใช้วัดได้ทั้งสองแบบในเครื่องเดียวกัน รวมทั้งสามารถบันทึกค่าและคำนวณค่าทางสถิติได้อีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีบางรุ่นที่มีใช้งานเฉพาะ Contact หรือ Non-contact อย่างใดอย่างหนึ่งให้เลือกใช้งานกัน

ประโยชน์ของเครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer)

  1. เป็นเครื่องมือวัดที่เหมาะสำหรับการวัดรอบของเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นอันตรายช่วยให้ผู้ใช้งานอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
  2. เหมาะสำหรับการวัดงานในสถานที่ที่ยากต่อการเข้าถึงในระยะใกล้ หรือระยะไกล
  3. เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน ทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
  4. ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรได้อย่างละเอียด ทำให้แก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น
  5. Tachometer พกพาสะดวก เล็กกะทัดรัด สามารถนำไปใช้งานได้ทุกที่
  6. เครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer) วางเก็บได้สะดวก ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บ

วิธีการสอบเทียบและการรับรองเครื่องวัดความร็วรอบ (Tachometer)

การสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate – แคลิเบรท) คือ การเปรียบเทียบค่ากันระหว่างสองเครื่องมือวัด โดยเครื่องมือที่ต้องการสอบเทียบจะถูกเทียบกับเครื่องมือทางวิศวกรรมที่มีความละเอียดแม่นยำสูงสามารถสอบกลับไปสู่ค่าอ้างอิงมาตรฐานได้ โดยเครื่องมือเปรียบเทียบนี้เราจะเรียกว่า เครื่องมือสอบเทียบ (Calibrator) ซึ่งจะต้องทดสอบโดยห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าค่าที่ได้จากการวัดนั้นถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน หรือผิดเพี้ยน โดยบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory – CLC) สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer) และได้รับการรับรอง Accredited ISO 17025 ทั้งใน Scope การรับรองภายในประเทศจาก สมอ. และต่างประเทศ ANAB จากอเมริกา โดยได้รับการรับรองตั้งแต่ Range 1-99,999 RPM ได้ทั้ง Contact และ Non-contact (Photo) โดยใช้วิธีการสอบเทียบเครื่องมือวัดแบบ Direct Measurement with Synthesized Function Generator

คำแนะนำและข้อควรระวังการเก็บรักษาและการใช้งานเครื่องมือวัดความเร็วรอบ (Tachometer)

  • การใช้เครื่องมือวัดอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สินหรือบาดเจ็บทางร่างกายได้ ควรอ่านและศึกษาทำความเข้าใจคู่มือให้ละเอียดก่อนใช้งาน
  • หากใช้งานเครื่องมือวัดผิดวิธีหรือไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในคู่มือ อาจทำให้เครื่องมือวัดมีความบกพร่องหรือพังเสียหายได้
  • เมื่อใช้งานเครื่องมือวัดนี้เสร็จแล้ว ควรเก็บไว้ห่างจากมือเด็กเนื่องจากเครื่องมือวัดนี้ไม่ใช่ของเล่นเด็กและมีชิ้นส่วนขนาดเล็กที่เด็กสามารถกลืนได้
  • ในกรณีที่เครื่องมือวัดม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานาน ควรถอดแบตเตอรี่ออกเพื่อยืดระยะการใช้งานของแบตเตอรี่
  • ไม่ควรเพ็งมองแสงเลเซอร์หรือเล็งแสงเลเซอร์ไปที่ดวงตาโดยตรงมันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้หากดูเป็นระยะเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงเลเซอร์โดยตรง
  • ควรนำเครื่องมือวัดไป สอบเทียบเครื่องมือวัด ทุกปีเพื่อตรวจสอบค่าความเที่ยงตรงเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดของเครื่องมือได้ดี

 

 

 

ผู้เขียน Timnorton

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

วิธีการใช้งาน เครื่องทดสอบความแข็ง Hardness Tester

ในภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตเหล็กหรือโลหะที่มีความแข็งแตกต่างกันออกไปนั้น เราจะสามารถแยกเกรดหรือชนิดของโลหะได้อย่างไร การทดสอบความแข็งของเหล็กหรือโลหะนั้นใช้หลักการหรือมีหลักเกณฑ์ใดมาตัดสิน ดังนั้นเครื่องมือที่สามารถช่วยเราในการทดสอบเพื่อควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จึงจำเป็นต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ชนิดนี้กันเป็นประจำ วันนี้ผู้เขียนจะพามาทำความรู้จักกับเครื่องมือทดสอบชนิดนี้กัน นั้นคือ…..!!!

Hardness Tester เครื่องทดสอบความแข็ง

 

เครื่องทดสอบความแข็ง (Hardness Tester) คือเครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ใช้วัดและทดสอบหาค่าความต้านทานของโลหะหรือชิ้นงาน มีทั้งแบบพกพาและแบบตั้งโต๊ะ เป็นแบบดิจิตอลและอนาล็อก โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับลักษณะงานตามความเหมาะสม ผู้ใช้งานควรศึกษารายละเอียดเครื่องทดสอบความแข็งก่อนซื้อ โดยส่วนใหญ่นำไปใช้งานเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพชิ้นงานโลหะให้ได้ตามสเปคที่กำหนดไว้ หรือใช้ทดสอบแยกชนิดโลหะว่าเป็นเกรดเดียวกันหรือไม่ เป็นต้น

นิยามความแข็ง คือ วัตถุที่สามารถทนต่อแรงกระทำหรือแรงต้านทานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างถาวรได้ เช่นการกลึง การขัดขูดเสียดสี และแรงกด ความแข็ง (Hardness) ไม่สามารถบ่งบอกด้วยน้ำหนัก เวลา หรือความยาวได้ แต่จะหาค่าได้จาก

วิธีการทดสอบให้เกิดร่องรอยถาวร

โดยมีการทดสอบดังนี้

  1. การขีดข่วน เพื่อทดสอบดูว่ารอยที่ขูดขีดเป็นรอยลึกมากเพียงใด โดยใช้วัตถุที่แข็งกว่าเช่นเพชร, Tungsten carbideหรือเหล็กชุบแข็ง เป็นต้น ขูดให้เกิดรอยบนชิ้นงาน
  2. การขัดเสียดสี เพื่อทดสอบดูว่าเกิดการสึกหรอมากเพียงใด โดยการใช้ตะไบขัดที่ชิ้นงาน
  3. การทดสอบแบบกด เพื่อทดสอบดูว่าขนาดรอยยุบตัวจากการกด โดยใช้แรงที่หัวกดของเครื่องทดสอบความแข็งกระทำลงบนชิ้นงาน

การทดสอบแบบที่ 3 เป็นการทดสอบที่นิยมแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมและมีความแม่นยำเที่ยงตรงที่สุด ซึ่งในปัจจุบันนี้ ได้มีเครื่องมือทดสอบความแข็ง (Hardness tester ) ที่มีคุณภาพสูงให้เลือกใช้งานหลากหลายประเภท โดยเครื่องทดสอบความแข็งมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ ด้วยกันรวมถึงลักษณะที่แตกต่างกัน และวิธีการทดสอบ ดังนี้

  1. Brinell Hardness Test
  2. Vickers Hardness Test
  3. Rockwell Hardness Test

1. Brinell hardness Test 

เป็นวิธีการทดสอบความแข็งโดยอาศัยแรงกดคงที่กระทำกับลูกบอลเหล็กกล้าชุบแข็ง (Harness Steel Ball) หรือลูกบอลคาร์ไบด์ (Tungsten Carbide Ball) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง D กดลงบนผิวชิ้นงานทดสอบด้วยแรง F ค้างหัวกดไว้ชั่วครู่แล้วยกออก จะทำให้เกิดรอยกดที่มีความลึก t และมีเส้นผ่านศูนย์กลางรอยกดเฉลี่ย d ดังรูป ซึ่งได้ค่าจากการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางรอยกดในแนวตั้งฉากกันสองค่าแล้วหาค่าเฉลี่ย ลูกบอลเหล็กชุบแข็งสามารถสร้างรอยกดที่ลึกและกว้างได้ ค่าความแข็งจะคำนวณจากแรงกดที่กระทำต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ผิว ใช้หน่วยการวัดเป็น HB วิธีการทดสอบนี้เหมาะกับโลหะผสมอลูมิเนียม โลหะผสมทองแดง

รูปที่ 1 ลักษณะการทดสอบแบบ Brinell

2. Vickers Hardness Test

เป็นการทดสอบความแข็งโดยใช้หัวกดเพชร ฐานเป็นพีระมิดสี่เหลี่ยม ปลายหัวกดทำมุม 136 องศา กดค้างลงไปเป็นเวลา 10-15 วินาที รอยกดเส้นทแยงที่ยุบตัวลงบนชิ้นงาน จะถูกวัดโดยกล้องจุลทรรศน์ ค่าความแข็งจะคำนวณจากแรงกดของค่าเฉลี่ยของเส้นทแยงที่กระทำต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ของผิวเช่นเดียวกับการทดสอบแบบ Brinell โดยการทดสอบวิธีนี้หัวกดที่ทำมาจากเพชรจะมีความแข็งสูงมาก ดังนั้นในการใช้งานจึงสามารถวัดค่าความแข็งได้ตั้งแต่โลหะที่นิ่มมาก จนถึงโลหะที่แข็งมากๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวกด โดยใช้หน่วยในการวัดเป็น HV ข้อดีของการทดสอบความแข็งแบบ Vickers คือการอ่านค่าที่แม่นยําสูง และหัวกดแบบเดียวสามารถใช้ได้กับทุกประเภทของวัสดุรวมถึงวัตถุที่ชุบแข็งด้วย ส่วนข้อเสียคือ มีราคาแพงกว่าเครื่องทดสอบความแข็งแบบ Brinell และ Rockwell

 

รูปที่ 2 ลักษณะการทดสอบแบบ Vickers

 

  1. Rockwell Hardness Tester

เป็นวิธีทดสอบความแข็งของโลหะด้วยหัวกดเพชรรูปทรงกรวยหรือหัวกดลูกบอลเหล็กชุบแข็ง โดยจะวัดหาค่าความแข็งจากความลึกของรอยยุบตัวด้วยแรงกระทำที่คงที่จากหัวกดโดยตรงเป็นหลัก ไม่ได้อ้างอิงจากสมการวัดแรงกดต่อพื้นที่เหมือนแบบ Brinell หรือ Vickers โดยใช้หน่วยการวัดเป็น HRA, HRB และ HRC วิธีการทดสอบนี้ให้ผลการวัดที่ค่อนข้างแม่นยำสูง แลใช้อุปกรณ์น้อยชิ้นเมื่อเทียบกับเครื่องมืออื่น ซึ่งการทดสอบประเภทนี้เป็นที่นิยมใช้มากที่ จากการทดสอบดังกล่าว จะเห็นได้ว่าวิธีการทดสอบความแข็งแบบ Rockwell เป็นวิธีการทดสอบที่ง่ายต่อการใช้งาน เมื่อเทียบกับ Vickers และ Brinell แต่ก็มีข้อเสียบ้างอยู่เช่นเดียวกันคือ มีพิสัยในการวัดที่แคบและไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร

รูปที่ 3 ลักษณะการทดสอบแบบ Rockwell

ส่วนประกอบของเครื่องทดสอบความแข็ง

รูปที่ 4 ตัวอย่างส่วนประกอบของเครื่องทดสอบความแข็ง

 

วิธีการใช้งานเครื่องทดสอบความแข็ง

  • เปิดสวิตซ์เครื่องที่ปุ่ม On/Off
  • ประกอบหัวกดใส่เข้าไปกับตัวเครื่องและเลือกชนิดหัวกดให้ตรงกันกับเครื่องทดสอบ
  • กดปุ่มเพื่อตั้งค่าความแข็งให้เป็นศูนย์ก่อนการทดสอบชิ้นงาน
  • ตั้งค่าเครื่องมือทดสอบ เช่นแรงกด เวลาในการกด เป็นต้น
  • นำชิ้นงานทดสอบวางบนแท่นรอง Stage X-Y
  • จากนั้นเลื่อน Stage ขึ้นโดยใช้มือหมุนปรับ โฟกัสจนเห็นภาพพื้นผิวของชิ้นงาน โดยใช้เลนซ์กำลังขยายในการตรวจวัดค่า
  • วัดขนาดของรอยยุบที่ปรากฏบนจอภาพ ซึ่งรับภาพผ่านเลนซ์ขยาย และบันทึกค่า

ข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือวัดความแข็ง

  • ชิ้นงานควรมีความหนาเท่ากันทั้งชิ้นและผ่านการขัดพื้นผิวเพื่อให้เห็นรอยทดสอบที่ชัดเจน ไม่ควรมีสิ่งแปลกปลอมใดเข้ามาบนพื้นผิวระหว่างทดสอบ
  • ควรล็อกตัวอย่างให้นิ่งโดยใช้ตัวหนีบที่ติดมากกับฐานเครื่อง เพื่อช่วยในการจับยึดชิ้นงาน ไม่ให้ชิ้นงานเกิดการเคลื่อนที่ในระหว่างการกดทดสอบ
  • ควรวางให้พื้นผิวของชิ้นงานตัวอย่าง ให้อยู่ในแนวตั้งฉากกับหัวกด
  • ไม่ควรกดเร็วจนเกินไป อาจส่งผลทำให้การวัดค่านั้นขาดความคงที่ ดังนั้นผู้ใช้งานควรศึกษาความเร็วในการกดที่เหมาะสม เพื่อให้การวัดนั้นตรงหรือใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
  • ไม่ควรใช้เวลาในการกดนานมากจนเกินไป อาจส่งผลทำให้ค่าความแข็งน้อยกว่าความเป็นจริงได้ หรือใช้เวลาน้อยเกินไปก็อาจทำให้ได้รอยที่ไม่ชัดเจน เพราะพื้นผิวชิ้นงานเกิดการคืนตัว ควรใช้ค่าประมาณ 10-15 วินาทีในชิ้นงานนั้นๆ
  • ขณะเลื่อนตัวอย่างชิ้นงานขึ้นควรระมัดระวัง อย่าให้ชิ้นงานชนกับเลนส์วัตถุ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ได้
  • อุณหภูมิที่สูงเกินไป ต่ำเกินไป ความชื้นภายในอากาศ ไปจนถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ล้วนมีโอกาสส่งผลกระทบทำให้การวัดค่าที่ละเอียดอ่อนคลาดเคลื่อน ทางผู้ใช้งานเองควรใส่ใจในเรื่องดังกล่าวเป็นสำคัญด้วย เพื่อความแม่นยำในการทดสอบที่มากที่สุด
  • ส่งสอบเทียบประจำปี เพื่อวัดค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือทดสอบความแข็ง โดยบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบได้

CLC Scope lab (Accredited 17025:2017)

ทางแล็บแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี สามารถสอบเทียบและได้รับการรับรอง Accredited 17025:2017 วิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Hardness Tester ของต่างประเทศ (ANAB จากประเทศสหรัฐอเมริกา)

Scope ที่ได้รับการรับรองมีดังนี้

Function HRA 35, 60, 85

Function HRBS 40, 70, 90

Function HRBW 40, 70, 90

Function HRC 20, 30, 40, 50, 60, 65

สอบเทียบโดยวิธีการ Comparison with Reference Hardness Block

Credited by Timnorton

 

ขอใบเสนอราคา     ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

—————

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร

เครื่องวิเคราะห์ความชื้น Moisture Balance คืออะไร ทำงานอย่างไร

Moisture Balance

 

MOISTURE BALANCE หรือ เครื่องวัดความชื้น  เป็นเครื่องมือวัดค่าแบบหนึ่งที่บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) มีให้บริการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ สอบเทียบเครื่องมือวัด  โดยเครื่อง MOISTURE BALANCE หรือ เครื่องวัดความชื้น นี้ เป็นเครื่องหาความชื้นของสารที่สามารถหาได้ทั้งในของแข็งและของเหลว ด้วยหลักการการให้ความร้อนด้วยแสงจากหลอดฮาโลเจน (Halogenmoisture analyzer)  เครื่องวัดความชื้นจึงเป็นเครื่องมือวัดค่าการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักของตัวอย่างก่อนและหลังจากได้รับความร้อนจนความชื้นหมดไป ตัวอย่างจะถูกชั่งก่อนและหลังการอบเพื่อหาค่าความแตกต่างความชื้นของตัวอย่างจะรวมอยู่ในส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์  ซึ่งความชื้นจะระเหยเมื่อได้รับความร้อน ค่าความชื้นของวัสดุจะแตกต่างจากการปนของน้ำในวัสดุ ดังนั้นหากเราต้องการหาค่าความชื้นของวัสดุ เราจึงต้องให้วัสดุคายน้ำออกมา กระบวนการคายน้ำนั้นคือกระบวนการที่จะไล่น้ำออกจากตัวอย่างออกมา ซึ่งวัสดุจะคายน้ำที่อุณหภูมิหน่วยองศาเซลเซียส (อุณหภูมิการคายน้ำขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุ)

ทำไมต้องมีการวิเคราะห์ปริมาณความชื้น

วัสดุธรรมชาติทุกชนิดจะมีความชื้นเป็นส่วนประกอบ ปริมาณน้ำหรือความชื้นในตัวอย่างไม่ค่อยเป็นที่สนใจมากนัก แต่ในการค้าจะต้องแสดงคุณสมบัติหรือใช้ค้นหาคุณสมบัติอื่นๆ ตามมาตรฐาน การวิเคราะห์หาความชื้นด้วยเครื่องวัดความชื้น จึงเป็นการตรวจสอบอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะปริมาณความชื้นจะบอกให้ทราบว่าวัสดุนั้นมีคุณภาพดีหรือไม่

โดยค่าความชื้นสามารถบ่งชี้คุณสมบัติของวัสดุได้ ดังนี้

  •  ระยะเวลาการเก็บรักษา สามารถเก็บรักษาได้นานแค่ไหน
  • การจับตัวของผงแป้ง
  • การควบคุมปริมาณของจุลินทรีย์
  •  คุณสมบัติการไหล, ความหนืด
  • ปริมาณส่วนประกอบที่ไม่รวมความชื้น
  • ความเข้มข้นหรือความบริสุทธิ์
  • ค่าอื่นๆ ตามข้อกำหนดของกฎหมาย

เครื่องวัดความชื้นทำงานอย่างไร?

MOISTURE BALANCE (เครื่องวัดความชื้น) ทำงานตามหลัก “การสูญเสียน้ำหนักจากการทำให้แห้ง เครื่องวัดความชื้นจะมีส่วนประกอบสองส่วน นั่นคือ ชุดชั่งน้ำหนักและชุดทำความร้อน ในการวัดปริมาณความชื้น น้ำหนักเริ่มต้นของตัวอย่างจะถูกบันทึกไว้ก่อน จากนั้นหลอดไฟฮาโลเจน (Halogen moisture analyzer) หรือ เครื่องกระจายความร้อนแบบอินฟราเรดอื่นๆ จะให้ความร้อนและทำให้ตัวอย่างแห้ง พร้อมกันนั้นเครื่องชั่งในตัวเครื่องวัดความชื้น จะทำการบันทึกน้ำหนักของตัวอย่างอย่างต่อเนื่อง เมื่อตัวอย่างไม่สูญเสียน้ำหนักอีกต่อไป เครื่องมือจะปิดการทำงานและคำนวณค่าปริมาณความชื้น โดยจะใช้น้ำหนักรวมที่สูญเสียไปในการคำนวณปริมาณความชื้น

 

 

 

วิธีเลือกเครื่องวัดความชื้นหลักเกณฑ์และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการเลือกซื้อเครื่องวัดความชื้นที่เหมาะสม

การเลือกเครื่องเครื่องวัดความชื้นคุณอาจไม่แน่ใจว่าเครื่องใดที่เหมาะกับความต้องการของคุณ เพราะว่ามีเครื่องวัดความชื้นอยู่มากมายหลากหลายรุ่นในท้องตลาด การเปรียบเทียบข้อมูลจำเพาะในเอกสารข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ แต่การเลือกเครื่องวัดความชื้น ที่เหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าข้อมูลจำเพาะเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นถึงภาพทั้งหมดเลย ประสิทธิภาพในการวัดผลสำหรับตัวอย่างเฉพาะของคุณ หรือความสะดวกต่อการใช้งานในสภาพที่มีการทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างหลักเกณฑ์ที่เราไม่สามารถดูได้จากเอกสารข้อมูล ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงฟังก์ชันการทำงานและประสิทธิภาพของเครื่องมือจากมุมมองในภาพรวมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งศึกษาคำแนะนำ “วิธีเลือกเครื่องวัดความชื้น” และหาคำตอบว่าองค์ประกอบที่สำคัญต่อไปนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของคุณอย่างไร

คุณลักษณะและประเภทของตัวอย่าง

  • เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและความง่ายในการใช้งาน
  • การบริหารจัดการข้อมูล
  • การทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์
  • การสนับสนุนและบริการ
  •  อุปกรณ์และอุปกรณ์เสริมทางเลือก
  • คำอธิบายข้อมูลจำเพาะด้านเทคนิค

ระบบทำความร้อนของเครื่องวัดความชื้นคืออะไร?

  1. ขดลวดความร้อนเป็นแหล่งให้ความร้อนที่นิยมใช้งานในช่วงแรก ข้อดีคือ ราคาไม่สูง ทนทาน แต่ใช้ระยะเวลานาน ช่วงรอความเย็นลดลง
  2. Halogen lamps เป็นแหล่งให้ความร้อนที่นิยมกันมากในปัจจุบันของ moisture analyzer  ข้อดีคือ ร้อนเร็ว เย็นเร็ว ดูแลรักษาง่าย ตัวอย่างทดสอบจะเริ่มได้รับความร้อนจากการสัมผัสกับอากาศ นั่นคือจะมีการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกสู่ภายใน
  3. IR sensors การแผ่รังสีจะถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนเมื่อกระทบกับวัสดุทดสอบ ในกรณีนี้ตัวอย่างทดสอบจะร้อนจากข้างในและส่งผ่านความร้อนออกด้านนอก

โดยในการทดสอบนั้นต้องเกลี่ยชิ้นงานให้กระจายทั่วภาชนะตัวอย่างทดสอบต้องไม่หนาเกินไป เพราะความชื้นจะระเหยจากผิว ถ้าเป็นไปได้ตัดชิ้นงานให้มีขนาดเล็กลงหากต้องการหาค่าความชื้นของ ของเหลวจะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบในการทดสอบ เช่น ทรายซิลิกา

เครื่องวัดความชื้นสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านการผลิตหรือในห้องปฏิบัติการในอุตสาหกรรมใด?

  • อุตสาหกรรมประเภทอาหาร
  • อุตสาหกรรมประเภทยา
  • อุตสาหกรรมประเภทก่อสร้าง
  • อุตสาหกรรมการเกษตร

Moisture Balance กับการ Calibrate

เนื่องจาก เครื่องวัดความชื้น เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ความชื้นของวัสดุ ส่งผลไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในด้านการซื้อขายและด้านคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ การดูแลรักษาเครื่องวัดความชื้นให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ ควรทำควบคู่ไปกับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดด้วย เพื่อยืนยันตามมาตรฐานได้ว่าเครื่องวัดความชื้นยังรายงานค่าได้ตรงตามความความจริง

โดยสามารถตรวจสอบ สอบเทียบเครื่องมือวัด ความแม่นยำได้ทั้ง 2 ฟังก์ชั่นด้วยกัน

  1. อุณหภูมิที่ตัวเครื่องทำความร้อน (Temperature) หากไม่สอบเทียบเครื่องมือวัด อาจทำให้ผลค่าความชื้นในตัววัสดุที่ทำการทดสอบไม่ตรงตามความจริง ในกรณีอุณหภูมิต่ำกว่าค่าแสดง วัสดุอาจยังมีความชื้นหลงเหลืออยู่ หรือหากความร้อนสูงกว่าค่าแสดงอาจทำให้วัสดุที่ใช้เกิดไหม้ได้
  2. น้ำหนักที่ตัวเครื่องวัดความชื้นแสดง (Balance) หากไม่สอบเทียบเครื่องมือวัด ผลของน้ำหนักวัสดุทั้งก่อนและหลังทดสอบอาจไม่ตรงกับความจริงและส่งผลต่อผลิตภัณฑ์

SCOPE การ CALIBRATE  เครื่อง Moisture Balance CALIBRATE อุณหภูมิความร้อน(Temperature)

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) สามารถให้บริการในการสอบเทียบเครื่องมือวัดทั้งภายในและนอกสถานที่ โดย Range ในช่วงอุณหภูมิที่เครื่องวัดความชื้นสามารถทำอุณหภูมิได้ ควรสอบเทียบอุณหภูมิตามการใช้งานจริง 1หรือ 2 point อาทิเช่น 80 องศาเซลเซียส , 105 องศาเซลเซียส , 120 องศาเซลเซียส

CALIBRATE น้ำหนักที่ตัวเครื่องอ่านค่า (Balance)

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) สามารถให้บริการในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ทั้งภายในและนอกสถานที่ โดย Range ในช่วงน้ำหนักตั้งแต่หน่วย มิลลิกรัม, กรัม ไปจนถึง หน่วยกิโลกรัม ตาม SCOPE ของเครื่องชั่งที่ทางห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC)ได้การรับรองมาตรฐาน ทั้ง ISO/IEC 17025:2017 SCOPE สมอ. และ ANAB

ISO/IEC 17025:2017 SCOPE สมอ.Range ตั้งแต่ 1mg to 2500 kg

 

รูป 1.1 รายละเอียดแนบท้ายใบรับรองห้องปฏิบัติการสอบเทียบ (สถานภาพห้องปฏิบัติการถาวร)

 

รูป 1.2 รายละเอียดแนบท้ายใบรับรองห้องปฏิบัติการสอบเทียบ (สถานภาพห้องปฏิบัติการถาวร)

รูป 2.1 รายละเอียดแนบท้ายใบรับรองห้องปฏิบัติการสอบเทียบ (สถานภาพห้องปฏิบัติการนอกสถานที่)

รูป 2.2 รายละเอียดแนบท้ายใบรับรองห้องปฏิบัติการสอบเทียบ (สถานภาพห้องปฏิบัติการนอกสถานที่)

ISO/IEC 17025 SCOPE ANABRange ตั้งแต่ 1 mg to 4500 kg

 

ผู้เขียน Paemy Little

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

—————

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร

เกจบล็อก (Gauge block) วิธีเลือกซื้อชนิดเกจบล็อกยังไงให้ตรงกับงาน

เกจบล็อก (Gauge block) คือ เครื่องมือสอบเทียบอุตสาหกรรมความละเอียดสูง สำหรับใช้สอบเทียบหรือวัดขนาดความละเอียดสูงต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำ

ในบทความนี้จะอธิบายวิธีการเลือกซื้อ เกจบล็อก ให้ถูกกับงานที่ใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของการสอบเทียบเครื่องมือที่ถูกต้องแม่นยำครับ

ผู้ใช้ควรเลือกเกรดของเกจบล็อก (Gauge block)ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ของงาน และควร ดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งเกจบล็อกที่มีโดยทั่วไปนั้นจะแบ่งเกรดเป็น 4 เกรด ได้แก่

เกรด 2

เกรด 2 เป็นเกรดต่ำสุด เหมาะสำหรับการวัดเครื่องมือวัดในโรงงาน ในไลน์การผลิต ชอปปฎิบัติงาน หรือการติดตั้งเครื่องมือและเครื่องจักร

เกรด 1

เกรด 1 จะมีความแม่นยำมากกว่าเกรด 2 เหมาะสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวัดเช่น Snap gauges

เกรด 0

เกรด 0 จะมีความแม่นยำมากกว่าเกรด 1 เหมาะสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวัดความละเอียดสูง หรือใช้สำหรับสอบเทียบความถูกต้องของ Gauge block เกรด 1 และ 2 เกจเบอร์ 0 จะต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมเป็นอย่างดีและต้องถูกใช้โดยผู้ปฎิบัติงานที่มีความรู้ความสามารถในการสอบเทียบ

เกรด K

เป็น Gauge block เกรดสูงสุดมีความแม่นยำมากที่สุด จุดประสงค์เพื่อใช้ในห้องปฎิบัติการสอบเทียบ (Calibration laboratory) สำหรับงานวัดที่ต้องการความแม่นยำสูง หรือสำหรับใช้สอบเทียบ (Calibrate) ความถูกต้องของเกจบล็อกการสอบเทียบด้วยเกจบล็อกเกรด K จะต้องทำให้ห้องแลปที่ถูกควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมเท่านั้น

เกจบล็อกแต่ละเกรดเหมาะสำหรับงานแบบไหนบ้าง

จากความแตกต่างกันของเกจบล็อก(Gauge Block) แต่ละเกรดทำให้มีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน ซึ่ง Calibration Laboratory ได้นำตารางการแบ่งการใช้งานของเกจบล็อก(Gauge Block)ตามตารางด้านล่างครับ

ซึ่งทางบริษัท Calibration Laboratory เรามี บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Gauge Block ทั้ง Steel, Ceramic และ Carbide Capability 0.1 – 100 mm ครับ

 

 

Gauge Block ทำจากวัสดุใดและมีเคล็ดลับการดูแลเกจบล็อคอย่างไร

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา

ห้องปฏิบัติการมิติ

 

ไมโครมิเตอร์คืออะไร การเลือกใช้และการดูแลรักษาทำได้อย่างไร

ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ไมโครมิเตอร์สกรูเกจ เป็นเครื่องมือใช้งานด้านวิศวกรรม จุดประสงค์การใช้งานเพื่อสำหรับวัดขนาดที่ต้องการความละเอียดแม่นยำสูง โดยใช้วัดความกว้าง ยาว หรือ ความหนาของวัตถุ เหมือนคาลิปเปอร์ แต่ไมโครมิเตอร์จะสามารถวัดได้ละเอียดสูงกว่าคาลิปเปอร์ และเพื่อการวัดที่ถูกต้อง จำเป็นต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เสมอ

ไมโครมิเตอร์มีกี่ชนิด?

ประเภทของไมโครมิเตอร์ (Micrometer) ที่นิยมใช้ มี 3 ประเภทคือ

1. ไมโครมิเตอร์แบบวัดภายนอก (Outside Micrometer) นิยมใช้กันมากกว่าแบบอื่นใช้วัดขนาดความกว้าง ความยาว และ ความหนา ภายนอก ของเพลา บล็อก สายทรงกลม เส้นลวด วัตถุทรงกลม ฯลฯ

2. ไมโครมิเตอร์แบบวัดภายใน (Inside Micrometer) ใช้วัดความกว้างของช่องว่างต่างๆ เช่น เส้นผ่าศูนย์กลางภายในหลุม วงกลม รูเปิด

3. ไมโครมิเตอร์สำหรับวัดความลึก (Depth Micrometer) ใช้วัดความลึกของชิ้นงานที่มีลักษณะเป็นหลุม บ่อ หรือช่อง ต่างๆ

รูปไมโครมิเตอร์วัดนอก(OUTSIDE MICROMETER) ไมโครมิเตอร์วัดใน(INSIDE MICROMETER)
และไมโครมิเตอร์วัดความลึก(DEPTH MICROMETER)

ไมโครมิเตอร์ Micrometer

ส่วนประกอบและการทำงานของไมโครมิเตอร์เป็นอย่างไร

 

 

ส่วนประกอบต่างๆ ของไมโครมิเตอร์ เรียกตำแหน่งต่างๆของไมโครมิเตอร์

(1) ตําแหน่งสำหรับวัดระยะชิ้นงาน
(2) ตําแหน่งสเกลหลัก
(3) ตําแหน่งสเกลเวอร์เนียร์
(4) ตำแหน่งสำหรับจับไมโครมิเตอร์ขณะวัด
(5) ตำแหน่งปุ่มเลื่อนแกน

การเลือกใช้และการดูแลรักษา ไมโครมิเตอร์

การเลือกใช้ไมโครมิเตอร์ ( Micrometer )

  • การเลือกประเภทของไมโครมิเตอร์จะพิจารณาจาก
  • วัตถุที่จะใช้วัด เช่น ความหนา ความกว้าง หรือ ลึก ภายในวัตถุ
  • เลือกใช้จากค่าความละเอียดที่ต้องการ เช่นค่าความละเอียดต่ำ (1/100 mm) หรือ ค่าความละเอียดสูง (1/10000 mm)
  • เลือกเป็นไมโครมิเตอร์แบบอนาล็อกเมื่อไม่ต้องการวัดค่าความละเอียดมาก ช่วยลดต้นทุนหรือ เลือกไมโครมิเตอร์แบบดิจิตอลซึ่งจะสามารถต่อผลการอ่านค่าเข้าคอมพิวเตอร์ได้

การดูแลรักษา

เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของ Micrometer ควรมีการดูแลอย่างเหมาะสม ดังนี้

  • เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าสะอาดให้ทั่วทุกครั้ง ก่อนเก็บเข้ากล่อง
  • ไม่ควรหมุนให้หน้าผิวสัมผัสวัดงานทั้งสองด้านเข้ามาชนกันจนแน่น เพราะจะทำให้เกิดการเสียหายจากแรงกดอัดได้ ควรใช้กระดาษน้ำมันคั่นกลางหรือเว้นช่องว่างไว้เล็กน้อยก่อนเก็บเข้ากล่องแทน
  •  ทำความสะอาดปากวัดทั้งสองด้านหลังเลิกใช้งานเป็ประจำ ด้วยการนำกระดาษที่อ่อนนุ่มใส่ระหว่างหน้าผิวสัมผัสวัดงานทั้งสองด้าน ก่อนหมุนแกนวัดทั้งสองด้านชนกระดาษเบาๆ เป็นการทำความสะอาดผิวสัมผัส
  • หากต้องการหมุนไมโครมิเตอร์สกรูเกจอย่างรวดเร็ว ไม่ควรใช้นิ้วมือหมุนรัวๆ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหรือทำให้สเกลวัดคลาดเคลื่อนได้ ควรใช้ฝ่ามือค่อยๆหมุนเลื่อนแกนวัดแทน
  • ไม่ควรใช้วัดวัตถุที่มีผิวหน้าหยาบ เพราะจะทำให้ผิวสัมผัสวัดงานเกิดความเสียหาย หรือ เสียสมดุลย์ศูนย์ได้
  •  ไม่ควรใช้เครื่องมือวัดชิ้นงานที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ ไม่ควรใช้ไมโครมิเตอร์วัดชิ้นงานที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ จะทำให้ไมโครมิเตอร์เสียหายได้
  •  ควรเช็ดทำความสะอาดไมโครมิเตอร์และหล่อลื่นเป็นประจำ
  • เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของการวัด ควรสอบเทียบความเที่ยงตรงไมโครมิเตอร์ตามตารางการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอ (การสอบเทียบไมโครมิเตอร์นั้นต้องใช้เครื่องมืออะไร เรามาทำความรู้จักกัน)

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

วิธีการสอบเทียบไม้บรรทัด สายวัด และตลับเมตร

วิธีการการสอบเทียบไม้บรรทัด สายวัด และตลับเมตร

วิธีการ สอบเทียบ ไม้บรรทัด สายวัด และตลับเมตรในปัจจุบันจะใช้เครื่องสอบเทียบที่มีความละเอียดสูง ซึ่งวิธีการการสอบเทียบนั้น ทำได้โดย

  1. นำอุปกรณ์ที่ต้องการสอบเทียบไปวางบนรางเครื่องมือวัด
  2. จากนั้นผู้ปฏิบัติการจะเลื่อนเครื่องมือวัดไปยังตำแหน่งศูนย์ โดยใช้กล้องขยายที่มีความแม่นยำสูงในการระบุตำแหน่งเริ่มต้น
  3. หลังจากได้ตำแหน่งศูนย์แล้ว ผู้ปฏิบัติการจะเลื่อนเครื่องมือวัดไปจนสุดเพื่อวัดทำแหน่งสุดท้ายเพื่ออ่านค่าสุดท้ายที่ได้

กรณีที่อุปกรณ์ที่ต้องการสอบเทียบมีความยาวมาก อาทิเช่นตลับเมตร ผู้ปฏิบัติการจะใช้เครื่องมือเพื่อม้วนตลับเมตรช่วยดังที่แสดงในวีดีโอ

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด รับสอบเทียบเครื่องมือวัดโดยผู้เชี่ยวชาญ เราได้เป็นห้องปฏิบัติการสอบเทียบ โครงการ NIMT NETWORK เอกชนแห่งแรก ตั้งแต่ April 2002 – March 2006

เราเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอบเทียบอุตสากรรมโดยเฉพาะ ให้บริการมากว่า 20 ปี เรามีบุคลากรเฉพาะทางพร้อมเครื่องมือสอบเทียบทันสมัยมาตรฐานยุโรป พร้อมให้บริการ บริการสอบเทียบทั้งในห้องแลปและนอกสถานที่ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact us

 

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

Profile Projector คืออะไร มีวิธีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างไร

Profile Projector

คือ เครื่องวัดขนาดชิ้นงานละเอียดชนิดแสงเงา ปัจจุบันในประเทศไทยมี Profile Projector (โปรไฟล์ โปรเจ็คเตอร์) มากมายหลากหลายรุ่นหลากหลายราคาตามท้องตลาดทั่วไป แต่ด้วยหลักการทำงานของ เครื่องมือวัด ที่เหมือนกันคือ เป็นเครื่องวัดและตรวจสอบชิ้นงานได้อย่างละเอียด โดยจะแสดงเป็นชนิดแสงเงา เป็นเครื่องวัดชิ้นงานที่มีขนาดความแม่นยำสูง และจะฉายแสงออกมาเป็นขาวและดำเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับชิ้นงานของลูกค้า

Profile Projector เครื่องวัดขนาดชิ้นงานละเอียดชนิดแสงเงา

Profile Projector หรือ เครื่องวัดขนาดชิ้นงานแบบแสงเงา นี้ สามารถให้ค่าความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 1 ไมโครเมตร (หรือเท่ากับ 0.001 มิลลิเมตร) ด้วยหลักการใช้เลนส์ขยายและใช้แสงเป็นตัวช่วย ในการฉายภาพของชิ้นงานนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทำให้มันต้องแสดงผลบนหน้าจอ Screen ในการอ่านค่าสามารถขยายชิ้นงานและวัดขนาดวัตถุจากแสงและเงา ที่ฉายลงไปบนฉาก ทำให้ส่องขยายชิ้นงานนั้นๆได้ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น สามารถส่องได้ทุกรายละเอียดของตัวชิ้นงาน

และเนื่องจาก Profile Projector เป็น เครื่องมือวัด ที่มีความละเอียดและราคาสูง เราจึงจำเป็นต้องดูแลและรักษาเพื่อให้เครื่องมือสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น

 

วันนี้ Calibration Laboratory มีวิธีการดูแลและบำรุงรักษา Profile Projector มาฝากทุกๆท่านดังนี้ค่ะ

1. ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องก่อนใช้งาน Profile Projector

โดยการเปิดเครื่องดูว่าไฟติดครบทุกวงหรือไม่ เช็คตัวเลขที่จอ Indicator, Linearแกน x แกน y และ Angle (มุม)โดย

  • เช็ค Linear แกน X และ แกน Y ไปจนสุด Range แกน Linear มีอาการสะดุด หมุนฟรี หรือค่าที่ Indicator Error หรือไม่
  • ตรวจสอบ Len Magnifier (กำลังขยาย)ของ Profile Projector มีรอยร้าวหรือรอยสกปรกจากคราบฝุ่นหรือไม่
  • ตรวจสอบฉากรับ,ฉากภาพชิ้นงาน ว่ามีรอยแตกร้าวและเส้นตัดยังมีความคมชัดหรือไม่
  • ปรับหมุนหน้าจอ Angle ว่ามีอาการหมุนฟรีหรือไม่

เมื่อทำการตรวจสอบได้ครบตามนี้ก็สามารถใช้งานเครื่องได้ตามปกติ

2. หลังจากใช้งานเสร็จ

  • ควรปิดไฟและหน้าจอ Indicator ก่อนปิดสวิชเพาเวอร์ เพื่อเป็นการป้องกันหลอดไฟหน้าจอขาด
  • ควรใช้ฝาครอบเลนส์ครอบปิดทุกครั้งหลังใช้งานเพื่อป้องกันฝุ่นหรือรอยเมื่อเกิดการกระแทก
  • เมื่อใช้เครื่องเสร็จแล้วควรคลุมผ้าเพื่อป้องกันฝุ่น

เพียงเท่านี้ก็ทำให้เราสามารถใช้ เครื่องวัดขนาดชิ้นงานแบบแสงเงา ได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น และอย่าลืมส่งสอบเทียบเมื่อถึง Due date ที่กำหนดด้วยนะคะ ทางบริษัท Calibration Laboratory รับบริการสอบเทียบ เครื่องมือวัด โดยใช้ Standard Glass Scale Range ที่รับบริการได้อยู่ที่ 0 – 300 mm

 

ผู้เขียน กระต่าย

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

รู้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการใช้และประสิทธิภาพของตู้บ่มเชื้อ (Incubator)??

ตู้บ่มเชื้อ – สิ่งที่อาจมีผลต่อการใช้งานพร้อมทั้งวิธีการ สอบเทียบ เครื่องมือวัด ประเภทตู้บ่มเชื้อหรือตู้บ่มเพาะเชื้อ (Incubator) เบื้องต้น วันนี้ Super Cal กันครับ

Incubator (ตู้บ่มเชื้อ ตู้บ่มเพาะเชื้อ)

ตู้บ่มเชื้อ MEMMERT IF30 ความจุ 32 ลิตร

ตู้บ่มเชื้อหรือตู้บ่มเพาะเชื้อ (Incubator) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับบ่มเพาะเชื้อ เลี้ยงเชื้อ หรือการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิต่ำ เหมาะสำหรับห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ด้านชีววิทยาและจุลชีววิทยาและสำหรับการควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม เช่นโรงงานอาหาร โรงงานยา

คุณสมบัติของตัวตู้บ่มเชื้อจะมีแผงควบคุมการทำงานและแสดงอุณหภูมิอยู่ด้านหน้าของเครื่อง ส่วนใหญ่มีประตูชั้นในทำด้วยวัสดุใส สามารถมองเห็นภายในตู้ได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเปิดตู้ จึงไม่ทำให้อุณหภูมิภายในตู้เกิดการเปลี่ยนแปลง หน่วยวัดในการใช้งานของตู้บ่มเชื้อส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหน่วย องศาเซลเซียส (ºC) ขีดความสามารถในการใช้งานอยู่ประมาณ 100 องศาเซลเซียส (ºC) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ทางผู้ผลิตทำการผลิตออกมาจำหน่าย มีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ แบบ Pt100 ทำให้วัดค่าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ การควบคุมอุณหภูมิส่วนใหญ่เป็นแบบดิจิตอล สามารถปรับอุณหภูมิได้ที่หน้าจอภายนอกตัวเครื่อง ตู้บ่มเชื้อส่วนใหญ่สามารถตั้งเวลาการทำงานได้ตั้งแต่ 1 นาที ถึง 99 วัน และมีพัดลมสำหรับหมุนเวียนอากาศภายใน จึงทำให้อุณหภูมิภายในตู้มีความสม่ำเสมอทั่วทั้งตู้

และหากเป็นเครื่องรุ่นใหม่ๆที่ผลิตออกมาจะมีระบบป้องกันเมื่ออุณหภูมิสูงเกินกว่าที่ตั้งค่าไว้ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดอันตรายหรือตัวอย่างเกิดความเสียหาย อีกทั้งภายในตู้ที่ทำจากแสตนเลส (Stainless Steel) จึงทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

ทำไมต้องสอบเทียบตู้บ่มเชื้อหรือตู้บ่มเพาะเชื้อ

1. การสอบเทียบเครื่องมือ Incubator ทำให้เราทราบค่าความคลาดเคลื่อน (Error) ของเครื่องมือที่ใช้งาน
2. เพื่อพิสูจน์ว่าเครื่องมือวัดนั้น มีความถูกต้องตามที่มาตรฐานกำหนด (Spec)
3. เพื่อให้ผลการวิเคราะห์จากกระบวนการต่างๆไม่คลาดเคลื่อน มีความน่าเชื่อถือ

การใช้งานตู้บ่มเชื้อหรือตู้บ่มเพาะเชื้อ (Incubator)ที่ถูกวิธี

ผู้ใช้งานควรอ่านคู่มือให้เข้าใจทั้งหมดก่อนการใช้งานเครื่องมือวัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับเครื่องมือ หรือ เกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้งานเอง และหากต้องการทำสิ่งเหล่านี้ควรถอดปลั๊กไฟก่อนเสมอ

  1. เมื่อต้องทำการเปลี่ยนฟิวส์
  2. เมื่อ Incubator ทำงานผิดปกติหรือขณะทำการซ่อม
  3.  เมื่อไม่ได้มีการใช้งานเครื่องมือวัด เป็นระยะเวลานาน
  4.  เมื่อต้องทำการเคลื่อนย้ายตู้บ่มเชื้อหรือตู้บ่มเพาะเชื้อ

คุณรู้หรือไม่??

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ใช้งานควรต้องรู้เพราะอาจจะมีผลต่อการใช้เครื่องมือวัดหรือประสิทธิภาพของเครื่องมือวัดในระยะยาว คือ

1. ในกรณีเคลื่อนย้ายตู้บ่มเชื้อต้องไม่ให้เครื่องเอียงเกิน 45 องศา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบทำความเย็นของเครื่อง

2. เมื่อเคลื่อนย้ายเครื่องบ่มเชื้อไปในพื้นที่ใช้งานเรียบร้อย ยังไม่ควรใช้งานเครื่องโดยทันที ควรวางเครื่องมือวัดไว้อย่างน้อย 1-2 วัน แล้วค่อยทำการใช้งานเครื่อง เพื่อให้ระบบทำความเย็น ปรับตัวสู่การทำงานปกติ

3. พื้นที่ใช้ติดตั้งหรือวางเครื่องมือวัดควรเป็นพื้นที่แข็งและเรียบ
4. ไม่ควรวางตู้บ่มเชื้อแนบติดกับอุปกรณ์อื่นหรือกำแพง ควรมีที่ว่างหรือระยะห่าง อย่างน้อย 30 เซนติเมตร เพื่อให้เครื่องได้มีพื้นที่ ในการระบายความร้อน
5. เครื่องมือวัดควรใช้งานในสภาวะแวดล้อม ตามที่กำหนดในคุณสมบัติเครื่องซึ่งทางผู้ผลิตเองจะระบุในคู่มือการใช้งานอยู่แล้ว
6. ไม่ควรเปิด – ปิด เครื่องมืออย่างรุนแรงเพราะอาจจะทำให้ประตูเสียหายได้

ข้อควรระวังในการใช้งานตู้บ่มเชื้อ

ในส่วนของความปลอดภัยในการใช้งาน ผู้ใช้งานจะต้องระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเครื่องมือวัด หรือเกิดการบาดเจ็บกับตัวผู้ใช้เครื่องมือได้

  1. 1. เครื่องมือวัดต้องมีการต่อลงกราวด์เสมอ
  2. ก่อนเสียบปลั๊กไฟควรตรวจสอบให้มั่นใจว่า แรงดันไฟฟ้า ตรงกับคุณสมบัติที่ต้องการของ Incubator หรือไม่
  3. ไม่ควรถอดปลั๊กไฟฟ้า ขณะที่เครื่องมือวัดยังเปิดใช้งานอยู่
  4. หากตู้บ่มเชื้อเกิดปัญหาการใช้งาน ไม่ควรซ่อมเครื่องด้วยตัวเอง การซ่อมควรทำโดยผู้ที่มีความรู้และมีความชำนาญเท่านั้น
  5.  เครื่องมือวัดควรใช้งานในสภาวะแวดล้อม ตามที่กำหนดในคุณสมบัติเครื่องซึ่งทางผู้ผลิตเองจะระบุในคู่มือการใช้งานอยู่แล้ว
  6. ไม่ควรเปิด – ปิด เครื่องมืออย่างรุนแรงเพราะอาจจะทำให้ประตูเสียหายได้

วิธีการสอบเทียบตู้บ่มเชื้อ (Incubator)

วิธีการสอบเทียบตู้บ่มเชื้อหรือตู้บ่มเพาะเชื้อเบื้องต้นคือ เจ้าหน้าที่สอบเทียบจะนำสาย Sensor Thermocouple Type K หรือ สาย Sensor RTD 4 wire

รูปสาย sensor และตัวอ่านค่า(Indicator) ของบริษัท Calibration Laboratory Co.,Ltd.

ซึ่งได้รับการรับรองความสามารถตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025: 2017 จำนวน 9 ตำแหน่ง (ขนาด 1 m3 )จำนวนตำแหน่งการ wire สาย Sensor ขึ้นอยู่กับขนาดตู้บ่มเชื้อ(DUC) และตำแหน่งการติดตั้งตามรูป Figure 1 โดยทำการปิดตู้บ่มเชื้อให้สนิท และตั้งค่าที่ต้องการทำการสอบเทียบ เช่น หากต้องการสอบเทียบตู้บ่มเชื้อที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส (ºC) ให้ตั้งค่าอุณหภูมิตู้บ่มเชื้อที่ 50 ºC แล้วรอจนกว่าค่าอุณหภูมิตู้บ่มเชื้อจะอยู่ที่ 50 องศาเซลเซียส (ºC) จากนั้นจึงอ่านค่าที่เครื่องมือ Standard (STD) และค่าที่หน้าตู้บ่มเชื้อ(DUC) เปรียบเทียบกัน แล้วบันทึกค่าที่อ่านได้

Sensor Installation – ตู้บ่มเชื้อ
ข้อมูลที่ลูกค้าต้องแจ้งก่อนไปทำการสอบเทียบตู้บ่มเชื้อ
  1. จุดสอบเทียบที่ลูกค้าต้องการ
  2. เกณฑ์การยอมรับของเครื่องมือ(MPE) (ถ้ามี) เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทางห้องปฏิบัติการจะเลือกใช้ สาย Sensor ที่ เป็น Thermocouple Type K หรือ RTD 4 wire เนื่องจากมีค่า Uncertainty ที่แตกต่างกัน
  3. ขนาดของตู้บ่มเชื้อ (กว้างxยาวxสูง)

ลูกค้าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร หากต้องการส่งสอบเทียบ เครื่องมือวัด

  1.  งดการใช้งานเครื่องมือวัดก่อนทำการสอบเทียบ
  2.  นำเชื้อหรือตัวอย่างงานออกจากตู้บ่มเชื้อ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวอย่างงาน และเพื่อให้ได้ผลการสอบเทียบที่ถูกต้องแม่นยำ

การดูแลทำความสะอาดตู้บ่มเชื้อ

  1. เช็ดทำความสะอาดภายนอกด้วยน้ำสบู่อ่อนๆแล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาด ส่วนภายในทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 70 %
  2. ตรวจสอบขอบยางและรอยต่อต่างๆ เพื่อป้องกันการรั่วซึม หากพบต้องรีบแก้ไข
  3. เวลาทำความสะอาดห้ามใช้แปรงขัด, กรด, เบนซิน, ทินเนอร์ ตัวทำความสะอาดอื่นหรือน้ำร้อน เนื่องจากอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพของพื้นผิวตู้บ่มเชื้อ
  4. ห้ามใส่สารเคมีที่มีไอระเหยหรือก่อให้เกิดการเผาไหม้ได้ในตู้บ่มเชื้อ เช่น Ethanol, Benzene, Alcohol, Propane หรือสารที่มีความเหนียวหนืด

และอย่าลืมว่าเพื่อการทำงานของตู้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงจำเป็นต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอครับ

 

ผู้เขียน กระต่าย

Oven คืออะไร?? แล้วทำไมเราจึงต้องสอบเทียบ

หลักการทำงานของ Autoclave ประเภทและข้อแนะนำในการใช้งาน

———-

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา 

บริการสอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

Oven คืออะไร แล้วทำไมจึงจำเป็นต้องส่งสอบเทียบเครื่องมือ

Oven คืออะไร แล้วทำไมจึงจำเป็นต้องส่งสอบเทียบเครื่องมือ

Oven คืออะไร?

Oven หรือ ตู้อบ คือ เครื่องมือวัด ในรูปแบบของตู้ที่ให้ความร้อนเพื่ออบชิ้นงาน อบขนม โดยในภาคอุตสาหกรรมจะใช้ตู้อบอบชิ้นงานเพื่อให้ชิ้นงานแห้ง หรือให้ชิ้นงานแข็งตัวทั้งนี้ขึ้นกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนั้นทำ ส่วนในอุตสาหกรรมอาหารก็ใช้ตู้อบเพื่ออบอาหารให้สุก เช่น ขนมปัง เป็นต้น และต้องมีการ สอบเทียบ เครื่องมือวัดเพื่อให้ไม่เกิดความคลาดเคลื่อนของอุณหภูมิที่ใช้วัด

ทำไมถึงต้องสอบเทียบ เครื่องมือวัด?

ตู้อบ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสอบเทียบ เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอุณหภูมิที่แสดงอยู่ที่หน้าจอกับอุณหภูมิในตู้นั้นตรงกันจริงๆ การสอบเทียบเครื่องมือวัดนี่แหละคือตัวบอกได้อย่างดี การอบแต่ละชิ้นงานแม้กระทั่งการอบขนมเอง จะให้ออกมาหน้าตาสวยงามหรือแบบที่ต้องการก็ต้องเกิดจากอุณหภูมิที่ถูกต้องตามสูตรการผลิต

 

แล้ว Oven มีวิธีสอบเทียบยังไงหล่ะ ?

วิธีการสอบเทียบ ตู้อบ เราจะต้องนำสาย Sensor Thermocouple Type T หรือ สาย Sensor RTD ขั้นต่ำจำนวน 9 เส้น (ขึ้นอยู่กับขนาดตู้อบ) ใส่เข้าไปในตู้อบ ตามตำแหน่งดังรูปภาพประกอบด้านล่าง จากนั้นปิดตู้อบให้สนิท แล้วให้ตู้อบทำอุณหภูมิ รอจนกว่าค่าอุณหภูมิในตู้นิ่งจากนั้นจึงค่อยบันทึกค่า เช่น ตั้งค่าอุณหภูมิตู้อบที่ 150 องศาเซลเซียส จากนั้นรอจนกว่าค่าอุณหภูมิตู้อบจะอยู่ที่ 150 องศาเซลเซียส จึงอ่านค่าที่ STD และค่าที่หน้าตู้อบ แล้วบันทึกค่าที่อ่านได้

 

ข้อมูลที่ต้องการก่อนไปทำการ สอบเทียบ เครื่องมือ

1. point อุณหภูมิที่ต้องการสอบเทียบ

2. ขนาดภายในของตู้อบ (กว้างxยาวxสูง)

3. เกณฑ์การยอมรับที่ตั้งไว้ (ถ้ามี) มีผลกับการเลือกสาย Sensor Standard ที่เลือกนำไปสอบเทียบให้กับลูกค้า

 

แล้วสาย Sensor Thermocouple Type T กับ สาย Sensor RTD มีความแตกต่างกันอย่างไร?

1. สาย Sensor Thermocouple Type T จะมีความคงทนมากกว่า ราคาต่ำกว่า แต่มีค่าความไม่แน่นอน (Uncertainty) สูงกว่าสาย Sensor RTD

2. สาย Sensor RTD มีค่าความไม่แน่นอน (uncertainly) ต่ำกว่าสาย Sensor Thremocouple Type T เหมาะกับใช้สอบเทียบตู้อบที่ต้องการความละเอียดในการวัดสูงมากๆ ซึ่งสายนี้มีความคงทนน้อยกว่า และราคาที่สูงกว่า

 

ก่อนทำการ สอบเทียบ ตู้อบผู้ใช้งานต้องเตรียมตู้อบอย่างไร?

  1. งดใช้งานตู้อบระหว่างสอบเทียบและก่อนหน้าที่จะสอบเทียบเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ชม.
  2. ต้องเอาชิ้นงานออกจากตู้อบออกทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับชิ้นงาน และ เพื่อให้ได้ค่าอุณหภูมิในการสอบเทียบที่ถูกต้อง

การบำรุงรักษาตู้อบ

เราต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดตู้อบที่ใช้งานสม่ำเสมอ นำตะแกรงออกมาล้างทำความสะอาดและเช็คให้แห้งก่อนนำใส่เข้าไปตามเดิม และที่สำคัญที่สุดต้องทำการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด ตามรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น และเป็นการใช้ตู้อบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

ผู้เขียน JIB VIP

 

———-

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านอุณหภูมิและความชื้น

RTDs(เซนเซอร์อาร์ทีดี) ชนิดขดลวด (Coiled elements)

เซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดขดลวด (Coiled elements)

อาร์ทีดีชนิดนี้เป็นส่วนหนึ่งใน เครื่องมือวัดด้านอุณหภูมิ เป็นชนิดที่ถูกนำมาใช้แทนชนิดลวดพันรอบแกน (wire-wound elements) ในอุตสาหกรรมจำนวนมากด้วยลักษณะทางโครงสร้างที่เป็นขดลวดซึ่งสามารถขยายตัวได้อย่างอิสระตามระดับอุณหภูมิ ถูกยึดด้วยโครงสร้างที่ช่วยให้ขดลวดสามารถคงรูปร่างได้ตลอดสำคัญคือการออกแบบที่สร้างให้ “ปราศจากความเครียด (Strain free)” ช่วยให้ขดลวดวัดอุณหภูมิสามารถขยายและหดได้โดยปราศจากอิทธิพลของวัสดุอื่น ทำให้มีความทนทานเป็นอย่างมาก

RTDs(เซนเซอร์อาร์ทีดี) ชนิดขดลวด (Coiled elements)

โครงสร้างสำคัญที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิ

คือ ขดลวดแพลทินัมขนาดเล็ก ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับไส้ในหลอดไส้ (Incandescent light bulb) สำหรับปลอกหุ้มหรือแกนจะเป็นเซรามิกเผาที่มีความแข็งก่อนจะเจาะรูเพื่อให้เกิดที่ว่างเพื่อนำขดลวดใส่เข้าไป แล้วอัดด้วยผงเซรามิกละเอียด
ด้วยลักษณะทางโครงสร้างเซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดขดลวด (Coiled elements) เช่นนี้เองที่เอื้อต่อการขยับของตัวไส้ที่ในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถสัมผัสกับอุณหภูมิที่ต้องการวัดในกระบวนการได้เป็นอย่างดี อาร์ทีดีชนิดนี้สามารถทำงานวัดอุณหภูมิได้สูงสุดที่ 850 องศาเซลเซียสปัจจุบันมาตรฐานนานาชาติที่ใช้กำหนดค่าพิกัด (Tolerance) และความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและความต้านทานไฟฟ้าของ Platinum resistance thermometers (PRTs) คือมาตรฐาน IEC 60751:2008 และ มาตรฐาน ASTM E1137 ซึ่งใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา

โดย เครื่องมือวัดด้านอุณหภูมิ ตัวเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่สามารถพบเจอได้มากที่สุดในวงการอุตสาหกรรมจะมีค่าความต้านทานไฟฟ้าอยู่ที่ 100 โอห์ม ณ 0 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเรียกว่า เซ็นเซอร์ Pt100 (Pt แทนสัญลักษณ์ของแพลทินัม และ 100 แทนค่าความต้านทานไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส) นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ Pt1000 ซึ่งตัวเลข 1000 จะแทนค่าความต้านทานไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ขณะที่ค่าความไว (Sensitivity) ของเซ็นเซอร์มาตรฐาน 100 โอหม์จะอยู่ที่ 0.385 โอห์ม/องศาเซลเซียส ค่าความไว 0.375 และ 0.392 โอห์ม/องศาเซลเซียส หรือกระทั่งค่าอื่น ก็สามารถพบได้ใน RTDs ที่มีความหลากหลายแตกต่างกันได้เช่นกัน