คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

เซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดลวดพันรอบแกน (Wire-wound elements)

ซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดลวดพันรอบแกน (Wire-wound elements)

เป็นอาร์ทีดี(RTDs)ชนิดที่มีความแม่นยำสูงมาก โดยเฉพาะกับช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางของขดลวดที่เอื้อต่อการเกิดเสถียรภาพเชิงกลและการขยายตัวของลวด เพื่อลดความเครียดและค่าดริฟท์ที่จะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ขดลวดที่ใช้วัดอุณหภูมิจะพันรอบแกนที่เป็นฉนวนไฟฟ้าซึ่งอาจมีรูปร่างของแกนแบนหรือกลมก็ได้ โดยที่ค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวทางความร้อนของแกนจะต้องใกล้เคียงและสัมพันธ์กับลวดเพื่อลดความเครียดเชิงกลที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากความเครียดจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดลวดที่ใช้วัดอุณหภูมิจะเชื่อมต่อกับลวดขนาดเส้นใหญ่กว่า ซึ่งมักเป็นลวดที่มีองค์ประกอบตะกั่วที่มีความเข้ากันได้กับลวดที่ใช้วัดอุณหภูมิเพื่อไม่ให้เกิดแรงเคลื่อนทางไฟฟ้าขึ้น แล้วส่งผลต่อการวัดค่าที่คลาดเคลื่อนไปจากค่าจริง

สำหรับเซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดลวดพันรอบแกน (Wire-wound elements) นี้สามารถวัดอุณหภูมิได้สูงสุด 660 องศาเซลเซียส

 

เซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดแผ่นฟิลม์บาง (thin-film elements)

เซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดแผ่นฟิลม์บาง (Thin-film elements)

RTDs ชนิดแผ่นฟิลม์บาง มีส่วนวัดอุณหภูมิที่ประกอบจากวัสดุแผ่นบางที่มีความต้านทานไฟฟ้าโดยปกติมักเป็นแพลทินัมวางบนแผ่นเซรามิก ซึ่งทั่วไปจะมีความหนาอยู่ที่ประมาณ
100 อังสตรอม (1 ถึง 10 นาโนเมตร)จากนั้นแผ่นฟิลม์บาง (Thin-film elements)จะถูกเคลือบด้วยอีพ็อกซี (epoxy) เพื่อปกป้องตัวฟิลม์และเป็นตัวช่วยลดความเครียด (strain) ให้กับลวดตะกั่วภายนอก

 

 

ข้อเสียของเซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs) ชนิดแผ่นฟิลม์บาง (Thin-film elements)

คือ มีความเสถียรไม่เท่ากับชนิดลวดพันรอบแกน (wire-wound elements) หรือชนิดขดลวด (coiled elements) อีกทั้งยังสามารถใช้วัดอุณหภูมิได้ในช่วงที่จำกัด เนื่องจากอัตราการขยายตัวที่ต่างกันของวัสดุที่มีความต้านทานไฟฟ้าและแผ่นรองจะก่อให้เกิด Strain gauge effect ซึ่งสามารถพบได้ในสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทานไฟฟ้า
ไส้ของเซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs)นี้สามารถวัดอุณหภูมิได้ถึง 300 องศาเซลเซียส (572 องศาฟาเรนไฮต์) โดยไม่ต้องมีวัสดุใดหุ้มภายนอกเพิ่มเติม แต่จะสามารถวัดอุณหภูมิได้สูงสุด 600 องศาเซลเซียส (1,112 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อถูกหุ้มด้วยแก้วหรือเซรามิกและสำหรับอาร์ทีดีชนิดอุณหภูมิสูงพิเศษจะสามารถวัดอุณหภูมิได้สูงสุดถึง 900 องศาเซลเซียส (1,652 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อถูกหุ้มด้วยวัสดุที่เหมาะสม

 

การใช้งานเครื่องชั่งรถ HANDY SCALE

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ วันนี้บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) กลับมาพบกันอีกเช่นเคยคะในบทความที่จะนำเสนอนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงประโยชน์ในการใช้งานเครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) ของเรามีให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ชนิดนี้อยู่ ซึ่งเครื่องมือวัดชนิดนี้เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่าย เคลื่อนย้ายได้สะดวก เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับสายการผลิตรถยนต์ และการบรรทุกสินค้าเพื่อขนส่งรวมไปถึงการติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ในรถพยาบาล ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักไม่มากและใช้งานกันอย่างแพร่หลายค่ะเรามาทำความรู้จักเครื่องมือที่พูดถึงนี้กันเลยดีกว่าค่ะ

รูปที่  1 Handy Scale

Handy Scale

Handy Scale หรือ เครื่องชั่งน้ำหนักรถแบบพกพา เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจสอบน้ำหนักของรถยนต์ รถบรรทุกขนาดเล็กต่างๆโดยส่วนใหญ่มักใช้ในสายการผลิตรถยนต์เป็นหลัก โดยมีหลักการทำงานคือเครื่องมือนี้จะทำงานเป็นระบบซึ่งระบบนี้จะช่วยให้เราสามารถวัดโหลดของล้อแต่ละล้อได้ง่ายและมีเสถียรภาพมาก สามารถวัดโหลดของแต่ละเพลา ผลรวมของโหลดล้อหน้าหรือหลัง และล้อซ้ายหรือล้อขวา และจำนวนรวมซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการชั่งน้ำหนักรถ

คุณสมบัติของเครื่องมือ

Handy Scale หรือ เครื่องชั่งน้ำหนักรถ แต่ละรุ่นจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีจอเเสดงผลเป็นแบบ LED แสดงตัวเลขเป็นดิจิตอล และมี DETECTOR ที่ใช้รับน้ำหนักมีทั้งแบบ 2 CHANNEL, 4 CHANNEL, 6 CHANNEL ดังรูปที่ 1โครงสร้างของ DETECTOR ของ Handy Scale  โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นอลูมิเนียม และเป็นแพลตฟอร์มที่มีขนาดกว้างเพื่อการวัดที่ง่าย มีโครงยางเพื่อความสะดวกในการจอด และกันกระแทกเวลานำรถขึ้นจอด ทำให้มีน้ำหนักเบา สามารถพกพาหรือเคลื่อนย้ายได้สะดวก น้ำหนักในการใช้งานของเครื่องก็จะมีให้เลือกใช้ตั้งแต่ไม่เกิน 1,000 กิโลกรัมไปจนถึง 20,000 กิโลกรัม หรือ 20 ตัน แล้วแต่ว่าธุรกิจนั้นๆ ต้องการใช้น้ำหนักสูงสุดที่เท่าไร หากพิกัดน้ำหนักเกินช่วง15- 20 ตันขึ้นไป จะจัดเป็น Truck Scale ซึ่งเป็นเครื่องชั่งสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่า

การใช้งานเครื่อง Handy Scale

ในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปัจจุบันมักมีการใช้ เครื่องชั่งน้ำหนักรถ ในการตรวจสอบน้ำหนักของรถยนต์ที่ทำการผลิตออกมาว่าแต่ละคันมีน้ำหนักได้มาตรฐานหรือไม่ อีกทั้งในธุรกิจที่มีการติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ในรถปฐมพยาบาลก็ต้องมีการใช้เครื่อง Handy Scale นี้เพื่อตรวจสอบน้ำหนักของตัวรถที่รวมอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าไปด้วย ว่ามีน้ำหนักเกินที่มาตรฐานกำหนดหรือไม่ ก่อนจะนำออกมาใช้งานอย่างที่เราเห็นกัน และนอกจากนี้ในธุรกิจขนส่งที่ต้องมีการใช้รถบรรทุกขนาดต่างๆในการขนส่งสินค้าก็จำเป็นอีกเช่นกันที่จะต้องชั่งน้ำหนักของรถขนส่งของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักรถเกินที่กฎหมายกำหนด จะได้ไม่ต้องถูกปรับหรือถูกยึดรถ ซึ่งทำให้เสียเวลาและเสียเงิน เห็นไหมคะว่าเครื่องมือตัวนี้ก็มีความสำคัญมากชนิดหนึ่ง ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามที่จะทำการสอบเทียบเครื่องมือวัดกับห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC)  เพื่อให้เครื่องมือแสดงผลได้อย่างเที่ยงตรงตามมาตรฐานนะคะ

รูปที่ 2 แสดงรูปแบบการใช้งาน

การบำรุงรักษาเครื่อง Handy Scale

  1. ก่อนเริ่มการใช้งานควรตรวจสอบเครื่อง Handy Scale ว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่
  2. เช็คหน้าจอ Indicator ว่าเปิดติดหรือไม่ ตัวเลข Digital อ่านได้ครบทุกหลักหรือเปล่า
  3. ตรวจเช็คสาย Connector และขั้วต่างๆ ว่าเกิดการชำรุดเสียหายหรือไม่
  4. ก่อนจัดเก็บเครื่อง Handy Scale ควรทำความสะอาด ให้เรียบร้อย เพราะขณะที่ใช้งานอาจมีน้ำหรือน้ำมันหยดใส่ที่ Detector หรือตัวอ่านหรือมีความชื้นที่ตัวเครื่องมือดังนั้นควรเช็ดให้สะอาด แล้วจึงค่อยทำการเก็บเครื่องมือ Handy Scale
  5. เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจทุกครั้งที่นำเครื่อง Handy Scale ออกมาใช้งาน ควรนำเครื่อง Handy Scale เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด กับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ

การสอบเทียบเครื่องมือวัด Handy Scale

  1. การ สอบเทียบเครื่องมือ วัด Handy Scale โดยใช้ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน (Standard weight) ในการสอบเทียบเครื่องมือวัด จะนำตุ้มน้ำหนักวางลงบน Detector แต่ละแผ่นแล้วทำการบันทึกผลการวัดจนครบจำนวนแผ่นที่ต้องทำการสอบเทียบเครื่องมือวัด โดยการรายงานผลจะรายงานเป็นหน่วย กิโลกรัม (kg)
  2. การสอบเทียบเครื่องมือวัด Handy Scale โดยใช้ Load Cell ในการสอบเทียบเครื่องมือวัด จะใช้ Load Cell กดลงบน Detector แต่ละแผ่น แล้วทำการบันทึกผลจนครบจำนวนแผ่นที่ต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัด โดยการรายงานผลจะรายงานเป็นหน่วย แรงกิโลกรัม (Kilogram Force หรือตัวย่อ kgf)

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) มีบริการสอบเทียบ

เครื่องมือวัด Handy Scale ได้โดยใช้ตุ้มน้ำหนักในการสอบเทียบซึ่งได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จาก ANAB ประเทศสหรัฐอเมริกา สอบเทียบเครื่องมือ วัด Handy Scale ได้สูงสุดถึง 1,000 กิโลกรัม (kg)

หากท่านสนใจบริการสอบเทียบเครื่องมือวัด Handy Scale สามารถติดต่อสอบถาม บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ได้ทุกช่องทางการติดต่อ

 

ขอใบเสนอราคา     ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

—————

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร

 

คุณใช้งาน Infrared Thermometer ผิดวิธีหรือไม่ วิธีการใช้ที่ถูกต้องทำอย่างไร

วิธีการใช้ งาน Infrared Thermometer ที่ถูกต้องทำอย่างไร แล้วทำไมถึงต้องสอบเทียบเครื่องวัดอุณหภูมิ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องมือวัดที่เราใช้อยู่นั้นยังแสดงค่าที่ตรงอยู่? การสอบเทียบเครื่องมือวัดทำได้อย่างไร วันนี้มาทำความรู้จักกับเครื่องมือนี้กันครับ

เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด

เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด มีชื่อเรียกอื่นอีกหลายชื่อ อาทิเช่น IR Thermometer, Temp gun, ปืนวัดอุณหภูมิ, non contact infraredthermometer เป็นต้น โดยอินฟราเรดเทอร์โมมิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่พื้นผิวของวัตถุซึ่งเป็นการวัดแบบไม่สัมผัสกับวัตถุ (Non-Contract) ในการวัดอุณหภูมิเราจะวัดจากรังสีอินฟาเรดที่แผ่ออกจากวัตถุ

ทำไมถึงต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดอุณหภูมิ INFRARED ?
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดที่เราใช้อยู่นั้นยังแสดงค่าที่ตรงอยู่

การสอบเทียบ(Calibrate เครื่องมือวัด)นี่แหละ ที่จะบอกได้ว่าเครื่องมือนั้น ยังแสดงค่าที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ เพราะถ้าเครื่องมือแสดงค่าผิด อาจทำให้เราไม่สามารถรู้ค่าที่แท้จริงจากร่างกาย วัตถุหรือพื้นผิวที่เรายิงวัดอุณหภูมินั้นได้เลย เราจึงจำเป็นต้องส่งสอบเทียบเครื่องมือวัดอุณหภูมิ ทั้งนี้เพื่อบ่งชี้ว่าอุปกรณ์ที่ใช้วัดนั้นยังเที่ยงตรงอยู่ และค่าที่อ่านได้นั้นถูกต้องแม่นยำ

 

  1. เครื่องมือวัดอุณหภูมิ Infrared จะแสดงหน่วยวัดด้านอุณหภูมิโดยมีทั้งหน่วยองศาเซลเซียส (°C) และองศาฟาเรนไฮต์ (° F) ซึ่งเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด สามารถแบ่งตามการใช้งานและลักษณะพื้นผิวของวัตถุเป้าหมายได้ดังนี้
    เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดสำหรับการใช้งานภาคอุตสาหกรรม ใช้สำหรับตรวจสอบความร้อนของท่อไอเสีย, เตาหลอม, เตาอบ
  2.  เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดสำหรับการใช้งานทางการแพทย์ (โดยส่วนใหญ่อาจเรียกว่า เครื่องวัดไข้อินฟาเรด หรือ เครื่องวัดไข้ดิจิตอลแบบยิงหน้าผาก) ใช้สำหรับการตรวจสอบอุณหภูมิของร่ายกายตามส่วนต่างๆ เช่น หน้าผาก หู เป็นต้น

การใช้งานเครื่องมือวัดอุณหภูมิ INFRARED ที่ถูกวิธี

  1. สำหรับวิธีใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดในภาคอุตสาหกรรมและทางการแพทย์(หรือวัดไข้)นั้น มีวิธีการใช้งานไม่ต่างกัน คือ
    หัน Sensor ของ Non Contact Infrared Thermometer ไปยังจุดที่ต้องการจะวัดอุณหภูมิ
  2.  กดวัดอุณหภูมิ คล้ายการยิงปืน
  3. อ่านค่าอุณหภูมิที่ปรากฏบนหน้าจอได้ทันที
    ทั้งนี้การใช้งานที่ถูกต้องเราต้องยิงในระยะที่เครื่องมือกำหนดและเลือก ค่าสัมประสิทธิ์การแผ่รังสี (Emissivity) ให้ตรงกับพื้นผิวที่เราต้องการจะวัด เพื่อความถูกต้องแม่นยำในการอ่านค่า เพราะลักษณะพื้นผิวที่แตกต่างกันจะมีค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนรังสีของผิววัตถุต่างกัน ดังรูปการแสดงค่า Emissivity (E)

การใช้งานเครื่องมือวัด IR Thermometer ที่ผิดวิธี

การใช้งานที่ผิดวิธีที่พบบ่อยคือผู้ใช้งานมักไม่ได้เลือก/ตั้งค่า Emissivityให้ตรงกับลักษณะพื้นผิวที่ต้องการจะวัด ทำให้ค่าที่อ่านได้จะผิดเพี้ยนไปบ้างไม่ควรนำเครื่องวัดอุณหภูมิภาคอุตสาหกรรม มาใช้ในการวัดอุณหภูมิร่างกาย เนื่องจากมีวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน อาจทำให้การคัดกรองผู้ป่วย จากการวัดไข้หรือวัดอุณหภูมิร่างกาย เกิดความผิดพลาดได้ และเพื่อป้องกันความผิดพลาดในอีกด้านหนึ่งคือ ต้องนำเครื่องมือวัดอุณหภูมิส่งสอบเทียบเสมอ

ผู้เขียน JIB VIP

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา   

บริการสอบเทียบด้านอุณหภูมิและความชื้น

เครื่องวัดอัตราการไหล Ultrasonic คืออะไร มีข้อจำกัดในการใช้อย่างไร

Ultrasonic Flow Meter หรือ เครื่องวัดอัตราการไหลแบบอัลตราโซนิค

Ultrasonic Flow Meter คือ เครื่องมือวัด ที่ใช้ในการ Calibrate (แคลิเบรท) หรือ สอบเทียบเครื่องมือวัด ซึ่งมีความสามารถที่ใช้วัดความเร็ว (Velocity) ของอัตราการไหลของเหลวต่างๆ ที่ไหลผ่านภายในท่อที่มีหลากหลายขนาด โดยมีหลักการวัดง่ายๆ คือ ใช้คลื่นความถี่เหนือเสียงส่งไปกระทบกับของเหลวที่ไหลผ่านอยู่ภายในท่อและจะนำมาคำนวณหาปริมาตรของอัตราการไหลของของเหลวที่ไหลผ่านภายในท่อ โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องตัดต่อท่อหรือถอดเอา Indicator ที่ใช้ในการอ่านค่าออกมาสอบเทียบเครื่องมือวัด ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ของหน้างานหรือของผู้ใช้งาน เพื่อวัดคำนวณค่าอัตราการไหลของของเหลว และวิธีการวัดวิธีนี้มีข้อดีคือ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆของเครื่องมือวัดไปสัมผัสกับของเหลวภายในท่อ เพราะฉะนั้นวิธีการนี้จะไม่มีการปนเปื้อนสิ่งต่างๆใดๆทั้งสิ้น

 

 

โดยข้อดีของการใช้งานเครื่อง Ultrasonic Flow Meter คือ

  • มีขนาดเล็กและสามารถพกพาเครื่องมือไปใช้งานในพื้นที่ต่างๆได้สะดวก และสามารถใช้พกพาเข้าทำงาน Calibrate (แคลิเบรท) หรือ สอบเทียบ เครื่องมือวัดหน้างานและพื้นที่ต่างๆได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
  • ใช้งานได้กับขนาดท่อของของเหลวได้หลากหลาย และมีความสะดวกรวดเร็วในการทำการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate)
  • สามารถวัดคำนวณหาค่าอัตราการไหลของของเหลวภายในท่อขนาดต่างๆโดยที่ทางผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องหยุดการทำงานของระบบการผลิต ซึ่งจะเหมาะสมสำหรับทางผู้ใช้งานที่ต้องการเดินระบบการผลิตเต็มกำลังการผลิต
  • ผู้ใช้งานสามารถรู้ค่าอัตราการไหลจริงของอัตราการไหลของของเหลวในขณะที่กำลังเดินระบบการทำงานในกระบวนการผลิตอยู่
  • เหมาะสำหรับทางผู้ใช้งานที่ไม่สามารถที่จะถอดตัว Liquid Flow Meter Indicator ออกมาสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate) เพื่อหาค่าอัตราการไหลของของเหลวภายในท่อได้นั้น ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ของทางผู้ใช้งานเองนั้นหรือกระบวนการผลิตที่ไม่สามารถหยุดกระบวนการผลิตได้

ข้อจำกัดบางประการในการใช้ Ultrasonic Flow meter

  • ท่อที่ผู้ใช้งานต้องการให้สอบเทียบ เครื่องมือวัด (Calibrate) ต้องได้มาตรฐาน เพราะถ้าหากท่อนั้นไม่ได้มาตรฐาน เช่น ความหนาของท่อมีความผิดเพี้ยนจากมาตรฐาน อาจจะส่งผลต่อการคำนวณหาค่าอัตราการไหลทำให้มีโอกาสคลาดเคลื่อนสูง
  • ต้องไม่มีวัสดุใดๆ ห่อหุ้มที่ตัวท่อที่ต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate) เพราะถ้าหากมีอุปกรณ์ห่อหุ้ม การจับยึดอุปกรณ์เครื่องมือ Standard ก็จะไม่สามารถจับยึดได้ที่ตัวท่อโดยตรง ทำให้ตัวเครื่อง Ultrasonic Flow Meter ไม่สามารถอ่านค่าได้นั่นเอง
  • อุณหภูมิของท่อที่ของเหลวไหลผ่านหรือในบริเวณพื้นที่ทำงาน ต้องไม่มีอุณหภูมิสูง เพราะถ้าหากท่อที่ของเหลวไหลผ่านนั้นมีอุณหภูมิสูงจนเกินไป อาจทำให้อุปกรณ์ของ เครื่องวัดอัตราการไหลแบบอัลตราโซนิค เสียหาย หรือในส่วนพื้นที่การทำงานที่มีอุณหภูมิสูงมาก อาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยของทางผู้ที่เข้าทำการสอบเทียบได้

หมายเหตุ การสอบเทียบ

หากผู้ใช้งานมีความต้องการที่จะ สอบเทียบ ( แคลิเบรท ) เครื่องมือวัดเพื่อหาค่าอัตราการไหลของของเหลวภายในท่อโดยมีเงื่อนไขนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นนั้น โดยทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ได้เล็งเห็นถึงอุปสรรคของทางผู้ใช้งานที่ต้องการที่จะคำนวณหาค่าหรือความถูกต้องของอัตราการไหลของเหลวภายในท่อต่างๆได้ อาทิเช่น ทางผู้ใช้งานมีเงื่อนไขที่ไม่สามารถ ถอดตัว Liquid Flow Meter ออกมาสอบเทียบเพื่อคำนวณหาความถูกต้องของค่าอัตราการไหล เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน ห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) มีบริการสอบเทียบเครื่องมือวัดทั้งภายในและภายนอกสถานที่ และยังได้การรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน ANAB ในวิธีการสอบเทียบเครื่องมือวัด โดยใช้ Ultrasonic Flow Meter [Clamp Type] สามารถสอบเทียบได้ตั้งแต่ Range 0 to 600 L/min Expanded Uncertainty of Measurement  ± 1.4 % of reading หรือหากทางลูกค้าต้องการสอบเทียบเครื่องมือ Ultrasonic Flow Meterทางห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) ก็มีบริการรับสอบเทียบตั้งแต่ Range 0 to 2,500 L/min

สามารถติดต่อสอบถามทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี(Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ได้ทุกช่องทางการติดต่อ

 

ผู้เขียน THM Melo


การสอบเทียบ Flow นอกสถานที่? การทำงานพร้อมการสอบเทียบ

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบ Flow

 

การทำงาน (Function) ของ RTDs (Resistance temperature detectors)

Resistance thermometers ถูกสร้างขึ้นในหลากหลายรูปแบบซึ่งให้ความเสถียรและความถูกต้องแม่นยำในการวัดที่สูงกว่าเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิอีกชนิดที่เรียกว่า เทอร์โมคัปเปิล (Thermocouples) บางตัว เพราะในขณะที่ Thermocouples อาศัยปรากฏการณ์ซีแบ็ค ( Seeback effect ) ในการสร้างความต่างศักย์ไฟฟ้า Resistance thermometers กลับทำงานโดยอาศัยความต้านทานไฟฟ้าและต้องการแหล่งจ่ายไฟภายนอก ซึ่งค่าความต้านทานจะสัมพันธ์กับอุณหภูมิเป็นเส้นตรงตามสมการ Callendar-Van Dusen ลวดแพลทินัมที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิจะต้องไม่ปนเปื้อนเพื่อรักษาสภาพความเสถียร และต้องอยู่ในวัสดุที่มีสัมประสิทธิ์การขยายตัวคือมีการขยายตัวเมื่อได้รับอุณหภูมิที่สัมพันธ์กัน เพื่อให้ค่า Differential expansion และความเครียดเกิดขึ้นน้อยที่สุด

นอกจากนี้อาร์ทีดียังสามารถประกอบจากเหล็กหรือทองแดงได้ตามความเหมาะสมของการใช้งานแพลทินัมเกรดอุตสาหกรรมจะมีค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทานไฟฟ้าอยู่ที่ 0.00385 ต่อองศาเซลเซียส (0.385%/องศาเซลเซียส) ตามมาตรฐานสหภาพยุโรป และมีความต้านทานไฟฟ้าอยู่ที่ 100 โอห์ม ที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียสตามมาตรฐานที่ BS EN 60751:1996
(ปรับจากมาตรฐาน IEC 60751:1995) สำหรับมาตรฐานประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทานไฟฟ้าอยู่ที่ 0.00392/องศาเซลเซียส

นอกจากนั้นแล้วความต้านทานของลวดตะกั่วที่เชื่อม RTDs นับก็นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความแม่นยำในการวัด การเชื่อมต่อโดยการต่อแบบ 3 สาย หรือ 4 สาย แทนการต่อเพียง 2 สาย จะช่วยกำจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากความต้านทานไฟฟ้าที่เป็นผลมาจากกระบวนการวัดอุณหภูมิที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปในอุตสาหกรรมทั่วโลกมักใช้การเชื่อมต่อแบบ 3 สายเนื่องจากมีประสิทธิภาพเพียงพอและเหมาะสม ในขณะที่การเชื่อมต่อแบบ 4 สายจะใช้ในกรณีที่ต้องการความแม่นยำสูงอีกด้วย

บริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรีผู้นำด้านการสอบเทียบเครื่องมือวัดอุตสาหกรรมในประเทศไทย
เรามีบริการสอบเทียบแบบครบวงจร
ดูบริการสอบเทียบทั้งหมดของเราได้ที่  Calibration Services

 

 

GRANITE SURFACE PLATE (โต๊ะระดับหินแกรนิต) และการเลือกวิธีการสอบเทียบ

Granite Surface Plate (โต๊ะระดับหินแกรนิต) เป็นเครื่องมือวัดด้านมิติ(Dimension)เป็นอุปกรณ์(โต๊ะวัดระดับชิ้นงาน) ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมประเภทงานวัดด้านมิติ พบบ่อยในอุตสาหกรรมยานยนต์, ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น โดย Granite Surface Plate เป็นตัวให้ค่าความเรียบอ้างอิงของชิ้นงานที่ต้องการทำการวัด ความเรียบของ Granite Surface Plate (โต๊ะระดับหินแกรนิต) มีความสำคัญในการวัดเป็นอย่างมาก หากความเรียบของ Granite Surface Plate มีค่า error มากหรือไม่เป็นตามมาตรฐานที่กำหนด จะส่งผลกับค่าในการวัดของตัวชิ้นงานโดยตรง ดังนั้นจึงต้องหมั่นส่งสอบเทียบเครื่องมืออย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือหากอยากรู้จักเครื่องมือวัดชนิดนี้ เรามีพูดถึงเรื่องเจาะลึก Granite Surface Plate รู้จักทุกส่วนและเคล็ดลับการดูแลให้ใช้งานยาวนาน ไว้ด้วยครับ

เกรดของโต๊ะระดับหินแกรนิต (Granite Surface Plate)
เราสามารถจำแนก Grade ของโต๊ะวัดระดับหินได้ 3 Grade ดังต่อไปนี้
1. GRADE 0
2. GRADE 1
3. GRADE 2
โดยการจำแนกแต่ละเกรดของโต๊ะระดับหินแกรนิต จะมีค่าความผิดพลาดแปรผันตามขนาดความกว้าง ความยาวของ Granite Surface Plate

 

 

การเลือกเกรดของแท่นระดับ
การเลือกเกรดแท่นระดับให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละอุตสาหกรรม
GRADE 0 เหมาะสำหรับใช้งานในห้องปฏิบัติการ (Calibration laboratory) ที่มีการควบคุมคุณภาพสูง
GRADE 1 เหมาะสำหรับใช้งานในห้องปฏิบัติการ (Quality Control) ที่มีการควบคุมคุณภาพ อาทิ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ต้องการความเที่ยงตรง แม่นยำของเครื่องมือสูง
GRADE 2 เหมาะสำหรับใช้งานในกระบวนการผลิต ที่ต้องการความแม่นยำของเครื่องมือระดับหนึ่ง

วิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate) โต๊ะระดับหินแกรนิต 
วิธีการสอบเทียบโต๊ะระดับหินแกรนิต เพื่อตรวจความพร้อมและความแม่นยำในการใช้งานนั้น เราขอยกตัวอย่างการสอบเทียบ Granite Surface Plate ที่พบบ่อย เพื่อเป็นข้อตัดสินใจในการเลือกการสอบเทียบให้เหมาะสม
1. การสอบเทียบ Granite Surface Plate โดยใช้ Dial indicator เป็นตัว standard
ข้อดี : ราคาในการสอบเทียบต่ำ
ข้อเสีย : ความแม่นยำของผลการสอบเทียบน้อยมาก เนื่องจากเหตุผลนี้ Calibration Laboratory จึงไม่ได้เลือกวิธีการนี้สอบเทียบให้ลูกค้า

2. การสอบเทียบ Granite Surface Plate หรือโต๊ะระดับหินโดยใช้ Electronic Level เป็นตัว standard
ข้อดี : ความแม่นยำสูง มีมาตรฐาน เนื่องจากเหตุผลนี้ Calibration Laboratory จึงได้เลือกวิธีการนี้สอบเทียบ Granite Surface Plate ให้ลูกค้า
ข้อเสีย : ราคาสูงกว่าการสอบเทียบด้วย Dial Indicator เนื่องจากต้นทุนเรื่องเครื่องมือ standard แตกต่างกันมาก

และทางบริษัท Calibration Laboratory มีบริการจำหน่ายโต๊ะระดับหินแกรนิตพร้อมขาตั้ง พร้อมทั้งบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (แคลิเบรท) Grinding และ Lapping

 

 

 

ผู้เขียน Paemy Llittle

 

 


เครื่อง CMM คืออะไร มีประเภทใดบ้าง

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา    บริการสอบเทียบ Dimension

การใช้งาน Thread Plug Gauge หรือเกจวัดเกลียวในนั้น มีวิธีอย่างไร และสามารถสอบเทียบอะไรได้บ้าง

Thread Plug Gauge คืออะไร ?

Thread Plug Gauge (Go/Not Go) หรือ เกจวัดเกลียวใน คือเครื่องมือวัดสำหรับใช้ตรวจสอบระยะ Pitch ของรูเกลียวใน ตามสเปคเกจวัดเกลียวทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าชิ้นงานนั้นๆอยู่ในมาตรฐานการควบคุม GO และ NOT GO เพื่อไม่ให้เกิดค่าผิดพลาดจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่ต้องส่งสอบเทียบเครื่องมือวัด

เกจวัดเกลียวใน ใช้งานอย่างไร ?

สำหรับวิธีการใช้งานเครื่องมือวัดเกจวัดเกลียวใน หรือ Thread Plug Gauge มีวิธีการใช้งาน โดย

1. เริ่มจากตรวจสอบชิ้นงานด้วยการใช้ Thread Plug Gauge ไขผ่านชิ้นงาน ซึ่งด้านที่เป็น GO จะต้องไขผ่านตลอดความยาวของชิ้นงานที่ต้องการตรวจสอบไปได้อย่างราบรื่น

2. Thread Plug Gauge ด้าน NOT GO หรือ NO GO การตรวจสอบอ้างอิงตามมาตรฐาน JIS ทำได้โดยการไขจะต้องไม่สามารถผ่านรูของชิ้นงานไปได้ และหากอ้างอิงตามมาตรฐาน IOS ให้ตรวจสอบโดยใช้ Thread Plug Gauge ด้านที่เป็น NOT GO หรือ NO GO หมุนเกลียวดูมากกว่าสองรอบขึ้นไป จะต้องไม่สามารถไขผ่านไปได้

 

ด้าน Go
ด้าน NO GO

 

การสอบเทียบเครื่องมือวัด Thread Plug Gauge หรือเกจวัดเกลียวใน Calibration Laboratory สามารถสอบเทียบอะไรได้บ้าง ?

โดยปกติแล้วการสอบเทียบเพื่อตัดสินเครื่องมือนั้นจะทำการสอบเทียบ Thread Plug Gauge ในส่วนของระยะ Pitch ซึ่งก็คือระยะห่างระหว่างตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไปยังตำแหน่งเดียวกันของเกลียวถัดไป เช่น วัดจากยอดเกลียวถึงยอดเกลียวโดยจะทำการสอบเทียบโดยใช้เครื่อง Universal Length Measuring Machine (ULM) ร่วมกับ Three Wire Gauge

 

 


                  

เครื่อง Universal Length Measuring และ Three Wire Gauge

***หรือหากต้องการสอบเทียบเพื่อดูผลของค่า Major Diameter ก็สามารถทำการสอบเทียบเครื่องมือเพิ่มเติมได้เช่นกัน

 

การอ่านรหัสสินค้า Thread Gauge

รหัสสินค้าของ Thread Gauge นั้น มีความหมายดังนี้

➢ Type pf Thread : ประเภทของเกลียว

➢ Nominal size : ขนาดของเกลียว

➢ Pitch : ขนาดของพิทช์

➢ Class : 4H, 5H, 6H, 7H (เรียงจากมาตรฐานละเอียดไปจนถึงหยาบ) สำหรับเกจวัดเกลียว

➢ Type of gauge : ประเภทของเกจ

GPNP คือ GO Plug and NO GO Plug

การตัดสินค่าเครื่องมือวัดอ้างอิงจากไหนบ้าง (Thread Plug Gauge Class)?

การตัดสินค่าอ้างอิง Thread Plug แบ่งมาตรฐานออกได้เป็น

– JIS CLASS

GP=(GO thread plug gauge)

GR=(GO thread ring gauge)

WR=(NOT GO thread ring gauge for working)

IR=(NOT GO thread ring gauge for inspection)

Thread Ring Gauge(GO/NOGO) Thread Plug Gauge (GO/NOGO)
III = Class 3

II = Class 2 (Class Standard)

I = Class 1

III = Class 3

II = Class 2 (Class Standard)

I = Class 1

– ISO CLASS

Thread Ring Gauge (GO/NOGO) GR = GO / NR = NOGO

Thread Plug Gauge (GO/NOGO)

Thread Ring Gauge (GO/NOGO) Thread Plug Gauge (GO/NOGO)
8g = Class3

6g = Class2 (Class Standard)

4h = Class1

7H  = Class3

6H = Class2 (Class Standard)

4H = Class1

– DIN CLASS

– SPEC from Manufacturer (สเปคจากผู้ผลิต)

และหากท่านใดสนใจทางบริษัท Calibration Laboratory มีบริการจำหน่าย และสอบเทียบ(Calibrate) เครื่องมือวัด สามารถติดต่อเข้ามาได้ตามช่องทางด้านล่างได้เลยค่ะ

 

 

ผู้เขียน Kaew VIP

บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา   

ประโยชน์ และวิธีใช้เครื่องวัดความเร็วลม (ANEMOMETER)

Anemometer (เครื่องวัดความเร็วลม) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดความเร็วลม ซึ่งตรวจสอบปริมาณการไหลของอากาศโดยมีหน่วยความเร็วเป็นเมตรต่อวินาที (m/s) หรือ กิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/hr)

เครื่องวัดความเร็วลม  ที่ใช้กันในปัจจุบันมีหลายประเภท เช่น

  1. เครื่องวัดความเร็วลมแบบใบพัด (Windmill Anemometer) การใช้งานจะต้องวางในที่ทิศทางลมจะพัดผ่านใบพัด เมื่อลมหมุนใบพัด รอบการหมุนของใบพัดจะถูกคำนวณเป็นค่าความเร็วลมออกมา
  2. เครื่องวัดความเร็วลมแบบเทอร์โมอิเล็กทริค (Hot Wire Anemometer) ใช้เส้นลวดเล็กๆ ซึ่งถูกทำให้อุณหภูมิสูงกว่าอากาศโดยรอบ เมื่อลมพัดทำให้เส้นลวดเย็นลง ความเร็วลมนั้นมีผลกระทบต่ออัตราที่ลวดสูญเสียความร้อน โดยความเร็วลมจะถูกคำนวณจากกระแสไฟฟ้าที่จำเป็นในการรักษาอุณหูมิลวดให้คงที่
  3. เครื่องวัดความเร็วลมแบบถ้วย (Cup Anemometer) เป็นเครื่องวัดความเร็วลมแบบแรกที่ถูกนำมาใช้งาน ประกอบด้วยเสาและแขน 3-4 แขนติดอยู่กับปลายเสา เมื่อลมพัดผ่านจะทำให้แขนทั้งหมดหมุนรอบเสา เสาหรือเพลาจะเชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะขึ้นอยู่กับความเร็วลม ซึ่งสามารถคำนวณกลับมาเป็นค่าความเร็วลมได้
  4. เครื่องวัดความเร็วลมแบบอัลตร้าโซนิค (Ultrasonic Anemometer) ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการวัดความเร็วลม

ทำไมถึงต้องสอบเทียบเครื่องวัดความเร็วลม ???

            ความเร็วลมมีผลต่อชิ้นงานและสิ่งแวดล้อมภายในโรงงาน เราจึงจำเป็นที่ต้องส่งเครื่องมือวัดเข้ามาสอบเทียบ เพื่อดูว่าเครื่องมือวัดความเร็วลมยังแสดงค่าที่ตรงอยู่ และวัดค่าได้แม่นยำ

ตำแหน่งต่างๆของเครื่องวัดความเร็วลม

การใช้งาน เครื่องวัดความเร็วลม เบื้องต้น

  1. กดปุ่มเปิดเครื่องมือวัด
  2. อ่านค่าที่หน้าจอ สามารถอ่านค่าความเร็วได้ทันทีที่หน้าจอแสดงผล
  3. สามารถเปลี่ยนหน่วยการวัดได้ โดยเลือกจากปุ่ม Unit
  4. กดปุ่มฟังก์ชั่น ในการเลือกหรือต้องการวัดค่าอื่น ตามสเปคของเครื่องมือแต่ละรุ่น
  5. เมื่อใช้งานเสร็จต้องปิดเครื่องมือวัดทุกครั้ง

ข้อควรระวังในการใช้งาน เครื่องมือวัด : ต้องเก็บเครื่องมือวัดใส่กล่องทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ เพราะ Probe หรือใบพัด ค่อนข้างที่จะบอบบาง แตกหักง่าย และควรหมั่นทำความสะอาดใบพัดบ่อยๆให้ใบพัดสะอาด ปราศจากฝุ่น เพื่อที่จะได้ค่าที่แม่นยำ

CLC ให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ความเร็วลมโดย

            Calibration Laboratory (CLC) ได้รับการรับรอง ISO 17025 ในเครื่องมือวัดความเร็วลมนี้ด้วย ตาม Scope Lab

            Accredit 17025 ANAB ที่ Range 0-45 m/s

            โดยทาง Calibration Laboratory (CLC) สอบเทียบเครื่องมือวัดความเร็วลม ด้วยวิธีการ Comparison with Known Velocity โดย วิธีการสอบเทียบเบื้องต้น เราติดตั้งเครื่องมือวัดกับแกนยึด และให้เครื่องมือ Standard (STD) กำเนิดแรงลมตามจุดสอบเทียบที่ต้องการจะวัด อ่านค่าเปรียบเทียบผลที่หน้าจอเครื่องมือลูกค้า (DUC) กับเครื่องมือStandard (STD)

            เครื่องมือ Standard ที่ทาง CLC ใช้ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate) มีค่าความแม่นยำสูง ทำให้ค่า Uncertainty ที่ออกมานั้นไม่สูงมากซึ่ง CMC อยู่ที่ 1.2 % of reading และเรายังเป็น Lab ที่ได้รับการรับรองในเครื่องมือวัดความเร็วลม โดย Range ที่ CLC ได้รับการรับรองนั้นอยู่ที่ 0-45 m/s ซึ่งครอบคลุมการใช้งานในทุกภาคอุตสาหกรรม

รูปเครื่องมือ STD ของ Calibration Laboratory

 

วิธีการดูแลรักษา เครื่องมือวัดความเร็วลม ก่อนใช้งานและหลังการใช้งาน

  1. อย่าให้หัว Sensor รับการกระแทก เพราะอาจจะแตก หัก เสียหายได้
  2. ทำความสะอาด Sensor ให้สะอาดอยู่เสมอห้ามให้มีฝุ่นเกาะ เพราะจะมีผลต่อค่าที่วัดได้
  3. เก็บเข้ากล่องทุกครั้งเมื่อใช้งานเสร็จ
  4. ปิดทุกครั้งเมื่อไม่มีการใช้งาน
  5. หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ที่มีฝุ่นมาก

 

 

ผู้เขียน JIB VIP

 


การสอบเทียบ Flow นอกสถานที่? การทำงานพร้อมการสอบเทียบ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

บริการสอบเทียบ Flow

Class ของตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน และการดูแลรักษา

เครื่องมือวัดอุตสาหกรรมที่ใช้สำหรับการวัดน้ำหนักในโรงงานอุตสาหกรรมมีใช้งานกันอย่างแพร่หลาย หากเครื่องวัดน้ำหนักเกิดความคลาดเคลื่อนนอกจากทำให้ระบบการผลิตไม่ได้คุณภาพแล้ว อาจทำให้น้ำหนักชิ้นงานผิดพลาดก่อให้เกิดความเสียหายได้ การตรวจสอบเครื่องชั่งเพื่อคำนวณค่าความถูกต้องและความคลาดเคลื่อนของชิ้นงานจึงมีความจำเป็นต้องตรวจเช็คเครื่องชั่งให้เป็นมาตรฐาน โดยใช้ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน (Standard Weight) เสมอ

 

Class ของตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน (Standard Weight หรือ Mass) จะถูกแบ่งออกเป็นได้เป็นหลายคลาส ซึ่งตุ้มน้ำหนักอาจใช้เพื่อเป็นเกณฑ์การวัดให้เครื่องชั่งยังคงความมาตรฐานอยู่ซึ่งเราควรมีการดูแลรักษาตุ้มน้ำหนักมาตรฐานอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วยการจัดเก็บและทำความสะอาดอย่างถูกต้อง

Standard Weight , Mass (ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน)

Standard Weight , Mass (ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน) คือ มวลที่ใช้ในการอ้างอิงน้ำหนัก โดย Standard Weight จะถูกแบ่งเป็น Class ตามความคลาดเคลื่อนของตุ้มน้ำหนักแต่ละขนาด (Maximum Permissible Error : MPE)ตามข้อกำหนดของ International Organization of Legal Metrology (OIML) ที่ระบุในเอกสาร R111-1 ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานสากลด้านมวลและเครื่องชั่ง ( Mass and Balance)

ที่มา: https://www.indiamart.com/proddetail/mass-calibration-9865365548.html

 

มาตรฐานของ Standard Weight (ตุ้มน้ำหนัก) ที่ใช้อยู่ทั่วไป

  • OIML International Organization of Legal Metrology ระดับชั้น E1…M3 พิกัดน้ำหนัก 1 mg ถึง 50 Kg
  • ASTM American Society For Testing and Materials ระดับชั้น 1…6 พิกัดน้ำหนัก 1 mg ถึง 5,000 Kg
  • NBS National Bureau of Standards ระดับชั้น J.. . T พิกัดน้ำหนัก 50 มิลลิกรัม ถึง 1,000 กิโลกรัม

 

Class ของตุ้มน้ำหนัก
Class ของ Standard Weight ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป และขนาดที่ทางบริษัท Calibration Laboratory สอบเทียบได้

  1. Class F1 1 mg – 20 Kg.
  2. Class F2 1 mg – 500 g.
  3. Class M1, M2, M3 1 Kg. – 20 Kg.

วิธีการสังเกตเบื้องต้นว่า Standard Weight เราอยู่ Class ใด สามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ

1. Standard Weight (ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน) Class F1

ไม่สามารถปรับค่าได้เนื่องจากรูปทรงไม่สามารถหมุนปรับได้ และไม่มีรูสำหรับใส่ตะกั่วเพื่อทำการปรับค่า โดยรูปร่างของ Standard Weight (ตุ้มน้ำหนัก)เป็นไปตามมาตรฐานของ OIML ตัวเลขที่บ่งบอกขนาด Standard Weight ต้องเป็นตัวสกรีนไม่สลักหรือตอก

2. Standard Weight (ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน) Class F2

สามารถปรับค่าได้โดยวิธีการหมุนปรับค่าที่หัวหรือตูด(จะมีน็อตที่เป็นตัวหมุนปรับ)ของตุ้มน้ำหนักโดยการใส่ตะกั่วเข้าเพื่อทำการปรับค่าในกรณีที่น้ำหนักน้อยกว่าค่าที่ต้องการ

3. Standard Weight (ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน) Class M

สามารถปรับค่าได้ โดยตัวตุ้มน้ำหนัก Class นี้จะมีช่องสำหรับใส่ตะกั่วเข้าไปในตัวตุ้มน้ำหนัก เพื่อปรับแก้น้ำหนักกรณีน้ำหนักขาดหรือเกิน บริษัท Calibration Laboratory สามารถทำสีใหม่ให้ได้ด้วย

โดยบริษัท Calibration Laboratory สามารถให้บริการสอบเทียบตุ้มน้ำหนักได้ทั้ง 3 Class

รูปแบบของ Standard Weight (ตุ้มน้ำหนัก) ตามมาตรฐาน

1. แบบตามมาตรฐาน OIML ไม่สามารถปรับค่าได้

ที่มา: http://psecal.com/2019/04/19/

 

2. แบบมีช่องปรับน้ำหนักได้


               

3. แบบแผ่นโลหะ


              
 

วิธีการดูแลรักษาตุ้มน้ำหนัก Standard Weight 

  1. เก็บตุ้มน้ำหนัก Standard Weight ไว้ในอุณหภูมิตามความเหมาะสมของตุ้มน้ำหนักแต่ละ Class
  2. ไม่สัมผัส Standard Weight โดยตรง สวมถุงมือหรือใช้คีม ในการสัมผัสหรือหยิบตุ้มน้ำหนัก
  3. ระมัดระวังการใช้งานของ Standard Weight ไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน
  4. ทำความสะอาดก่อนและหลังใช้งานทุกครั้งด้วยแอลกอฮอล์

ยกตัวอย่างเช่น

ที่มา: http://www.labcert.it/taratura-masse-e-pesi
  • Standard Weight ขนาด 20 kg ของ Class F1 จะมี MPE (ค่าความคาดเคลื่อนที่ยอมรับได้) ไม่เกิน 100 mg
  • Standard Weight ขนาด 20 kg ของ Class F2 จะมี MPE (ค่าความคาดเคลื่อนที่ยอมรับได้) ไม่เกิน 300 mg

โดยการเลือกใช้ Standard Weight (ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน) แต่ละขนาดและแต่ละ Class ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม, ความละเอียดของงาน รวมถึงค่าความคลาดเคลื่อนของ Standard Weight แต่ Class ด้วย

ในสายงานผลิตต่างๆนั้นจำเป็นที่เราต้องใช้ตุ้มน้ำหนักที่มีค่ามาตรฐาน เพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นการสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

 

 

           ผู้เขียน Ple

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร