คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

RTDs (Resistance temperature detectors) คืออะไร ทำงานยังไง

Resistance thermometers หรือ Resistance temperature detectors (RTDs) เป็นเซ็นเซอร์วัดระดับอุณหภูมิโดยอาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงความต้านทานของเส้นลวด โดยส่วนใหญ่โครงสร้างภายในเป็นเส้นลวดขนาดเล็กพันรอบแกนกลางที่เป็นเซรามิกแก้ว สำหรับขดลวดของ RTDs จะเป็นโลหะบริสุทธิ์ โดยทั่วไปมักเป็นแพลทินัม เงิน หรือนิเกิล ซึ่งโลหะเหล่านี้จะมีค่าความต้านทานไฟฟ้าที่มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิที่แน่นอน ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวจึงทำให้เซ็นเซอร์สามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากตัวไส้ของ RTDs นั้นค่อนข้างเปราะบางจึงมักถูกหุ้มด้วยปลอกโลหะหรือโครงสร้างแก้วเพื่อปกป้องโครงสร้างภายในดังกล่าว ด้วยประสิทธิภาพของ RTDs ที่มีความแม่นยำสูง ในอุตสาหกรรมที่อุณหภูมิต่ำกว่า 600 องศาเซลเซียส จึงเริ่มมีการใช้เซ็นเซอร์ตัวดังกล่าวแทนเทอร์โมคัปเปิล (Thermocouple)

Resistance thermometers หรือ RTDs ทำงานอย่างไร?

 
เราได้นำวิดีโอเพื่ออธิบายการทำงานของ RTDs เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นครับ


เซนเซอร์อาร์ทีดี (RTDs)

แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

 

–     ชนิดแผ่นฟิลม์บาง (thin-film elements)  Click

–     ชนิดลวดพันรอบแกน (wire-wound elements) Click

–     ชนิดขดลวด(Coiled elements)  Click

แม้ว่าโครงสร้างทั้งสามชนิดที่กล่าวมาจะถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม แต่ในกรณีที่ต้องการใช้วัดอุณหภูมิที่มีค่าต่ำมากๆ ยกตัวอย่างเช่นที่อุณหภูมิ -173 ถึง -273 องศาเซลเซียส ตัวต้านทานแบบคาร์บอน (Carbon resistors) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกพิเศษที่นิยมนำมาใช้

 

โครงสร้างภายในหรือไส้ของอาร์ทีดี  แต่ละชนิด

มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ชนิดตัวต้านทานแบบคาร์บอน (Carbon resistors)

โครงสร้างภายในชนิดนี้มีราคาถูกและถูกใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถวัดค่าอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ ได้อย่างแม่นยำและน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังไม่ค่อยมีปัญหาจากการเกิดฮีสเทอรีซีส (Hysteresis) หรือ Strain gauge effects ซึ่งจะทำให้การวัดค่าคลาดเคลื่อนไป

ชนิด strain-free

ประกอบจากขดลวดที่ถูกพยุงเป็นส่วนน้อยภายในปลอกหุ้มปิดสนิท และเติมแก๊สเฉื่อย เข้าไปภายใน เซ็นเซอร์ชนิดนี้สามารถวัดอุณหภูมิสูงสุดได้ถึง 961.78 องศาเซลเซียส และยังถูกใช้ใน SPRTs ซึ่งเป็นตัวกำหนด ITS-90 โครงสร้างของไส้ชนิดดังกล่าว เป็นลวดแพลตินัมพันรอบส่วนพยุงไว้อย่างหลวมๆ ซึ่งจะช่วยให้ตัวไส้สามารถหดและขยายได้อย่างเต็มที่ตามระดับอุณหภูมิ แต่ด้วยลักษณะโครงสร้างที่สามารถแกว่งไปมาได้ จึงทำให้เซ็นเซอร์ชนิดนี้ไวต่อแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทก ซึ่งจะก่อให้เกิดการผิดรูปตามมา

 

 

การตั้งค่าเกณฑ์การยอมรับ(MPE) ของเครื่องมือวัด

       วันนี้เรามาพูดถึงการควบคุมเครื่องมือวัดในภาคอุตสาหกรรมกันซักหน่อยครับ เรื่องหนึ่งที่มักเป็นปัญหาพบเจอบ่อยๆของเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับเครื่องมือวัดในโรงงานอุตสาหกรรมคือ เรื่องการตั้งค่า เกณฑ์การยอมรับ (MPE หรือ Maximum Permissible Error) ของเครื่องมือวัดว่าจะสามารถนำเกณฑ์อะไรเพื่อมาตั้งค่าเกณฑ์การยอมรับ(MPE)

เรามาดูกันครับว่าการตั้งค่าเกณฑ์การยอมรับของเครื่องมือวัด สามารถตั้งได้จากเกณฑ์อะไรบ้าง…ไปดูกันเลย!!!

  1. กำหนด เกณฑ์การยอมรับ (MPE) จาก Spec ของเครื่องมือแต่ละ Brand หรือ Model ที่ทางผู้ผลิตระบุไว้ใน Catalog 

   

 ข้อดี : หาข้อมูลได้ง่าย เพราะสามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของแต่ละแบรนด์ ยี่ห้อเครื่องมือนั้นๆ

ข้อเสีย : กรณีเครื่องมือมีอายุการใช้งานมาก จะควบคุมให้อยู่ใน Spec ค่อนข้างยาก ซึ่งเครื่องมือที่มีค่าเกินจาก Spec ก็จะต้องดำเนินการตัดสินยกเลิกการใช้งานเครื่องมือ

    1. จากข้อกำหนดมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นมาตรฐานอ้างอิงในการผลิต หรือ กิจกรรมที่ดำเนินการอยู่ เช่น การฆ่าเชื้อในอุตสาหกรรมอาหารจะต้องใช้ Auto Clave ที่มี Accuracy ± 0.5 °ในกิจกรรมฆ่าเชื้อนั้น เป็นต้
    1. เกณฑ์การยอมรับตามข้อกำหนดของทางการ ซึ่งเป็นข้อกำหนดในกระบวนการผลิต และ ตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์ที่กำหนดนั้นใช้ในแต่ละประเทศหรือเฉพาะกิจกรรมของแต่ละหน่วยงาน เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.)จะมีการกำหนดค่าความผิดพลาดของการผลิตและตรวจสอบอยู่ที่เท่าใด เป็นต้น

               4. ตามข้อกำหนดของกระบวนการผลิต ซึ่งโดยทั่วไป เป็นการกำหนดมาจากค่าเกณฑ์ยอมรับของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในขั้นตอนใดๆ โดยพิจารณา Ratioในการวัดอยู่ที่ 3:1 หมายความว่าค่าความถูกต้องของเครื่องมือจะต้องมีความถูกต้องมากกว่าเกณฑ์การยอมรับของการผลิตในขั้นตอนนั้นๆ 3 เท่า เช่นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีข้อกำหนดในการผลิตยอมรับที่ 1.00 ± 0.03 mm ค่าความถูกต้องของเครื่องมือวัดควรอยู่ที่ 0.03/3 =0.01 mm เป็นต้น

             เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับวิธีการตั้งค่า เกณฑ์การยอมรับของเครื่องมือวัด (MPE) ทั้ง 4 แบบ ที่นำมาฝากกันพอสังเขป หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ หรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลควบคุมเครื่องมือวัดในโรงงานอุตสาหกรรมที่อยากทราบวิธีกำหนดเกณฑ์การยอมรับไม่มากก็น้อย หากต้องการลงรายละเอียดของเครื่องมือแต่ละประเภทสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่ได้กล่าวไว้ในบทความ หรือหากต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับด้าน เกณฑ์การยอมรับ (MPE) นี้ ทางบริษัท Calibration Laboratory เรายินดีให้คำปรึกษา และสามารถส่งสอบเทียบเครื่องมือวัดกับทางเราได้ครับ

       แล้วพบกันใหม่ในบทความชุดต่อไปนะครับ สวัสดีครับ….          

 

 

 

Chok_AM & NC


บทความ วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate
 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

เครื่อง CMM คืออะไร มีประเภทใดบ้าง

ในปัจจุบันนี้ภาคอุตสาหกรรมของผู้ผลิต ที่ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ หรือแม่พิมพ์ต่างๆ นอกจากจะต้องแข่งขันกันในเรื่องการส่งมอบงานที่ตรงเวลาที่กำหนดแล้ว มาตราฐานการตรวจวัดคุณภาพงานเพื่อส่งต่อไปยังลูกค้าปลายทางนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ชิ้นงานในปัจจุบันนี้ ที่มีรูปทรงที่ซับซ่อน ขนาดเล็กลงมากและหลากหลายมิติมากขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตต้องปรับตัวและเข้มงวดในการควบคุมด้านคุณภาพการวัดขนาดของชิ้นงานให้ถูกต้องตามแบบที่ลูกค้ากำหนดอย่างเคร่งคัด ดังนั้นจึงต้องมีผู้ช่วยหรือเครื่องมือวัดที่มีคุณภาพและความแม่นยำสูงไว้ค่อยเช็คงาน แล้วเครื่องมืออะไรล่ะที่จะช่วยในการวัดงานด้านมิติได้ง่ายขึ้นและประหยัดเวลาของผู้ใช้งานล่ะ ??? วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเครื่องมือไฮเทคอันทันสมัยชนิดนี้กัน นั้นคือ!!! เครื่อง CMM (Coordinate Measuring Machine) หรือเครื่องมือวัด 3 มิติ

เครื่อง CMM (Coordinate Measuring Machine) หรือเครื่องมือวัด 3 มิติ

เป็นเครื่องมือวัดชิ้นงานรูปทรงต่างๆ ที่ซับซ่อนกันได้หลากหลายมิติ สามารถวัดงานได้ทั้งแกน X axis, Y axis และ Z axis วัดค่าและแสดงผลได้แบบ 3D แบบ Manual (ปรับค่าเอง) แบบ CMC (อัตโนมัติ) และแบบเคลื่อนที่ ติดตั้งโปรแกรมเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลค่าการวัด การคำนวณและการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการเปลี่ยนใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ โดยใช้ระบบสัมผัส Touch probe มีความละเอียดและแม่นยำสูง จึงทำให้เครื่อง CMM ได้ถูกนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรมทุกประเภท โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมแม่พิมพ์

ข้อดี – เครื่อง CMM ช่วยประหยัดเวลาในการวัดและวิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำสูง ลดจำนวนเครื่องมือวัดที่ไม่จำเป็น ลดความยุ่งยากในการวัดและการวิเคราะห์ข้อมูลลง

ข้อเสีย – เป็นเครื่องมือวัดที่มีราคาค่อนข้างสูง เครื่องค่อนข้างมีขนาดใหญ่ เปลืองพื้นที่ในการวางเครื่อง

หน่วยในการวัด ของเครื่องมือวัด 3 มิตินี้ เป็นหน่วยวัดในด้าน Dimension เป็นหลักเช่น mm. (มิลลิเมตร), um. (ไมครอน)

ประเภทของเครื่องมือวัด 3 มิติ (CMM) นั้น

แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักด้วยกัน คือ แบบไม่สัมผัส และแบบสัมผัส

ประเภทแรกเครื่อง CMM แบบไม่สัมผัส ในปัจจุบันนี้ภาคอุตสาหกรรมนั้น ชิ้นส่วนมีขนาดเล็กลงมาก และมีความละเอียดสูงขึ้น เครื่องมือวัดสามมิติแบบไม่สัมผัสจะใช้วิธียิงเลเซอร์สแกนวัดค่าชิ้นงาน ซึ่งมีความเม่นยำสูง จึงมีความต้องการจากตลาดมากขึ้นแต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างสูง

 

รูปที่ 1 เครื่อง CMM แบบไม่สัมผัส (Laser CMM)

 

 

รูปที่ 2 เครื่อง CMM แบบสัมผัส (CMM with Ball probe)

 

ในส่วนของประเภทที่สองเครื่อง CMM แบบสัมผัส นั้นเป็นที่นิยมใช้ในประเทศไทยกันอย่างแพร่หลาย โดยใช้หัววัดแบบ Ball Probe จำเป็นต้องสัมผัสกับชิ้นงานโดยตรง จึงมีความเสี่ยงอาจทำให้ชิ้นงานเป็นรอยอยู่บ้าง ซึ่งมีกันหลากหลายชนิดด้วยกัน โดย CMM แต่ละชนิดจะมีรูปร่างที่แตกต่างกัน เครื่อง CMM ที่มีความถูกต้องและดีที่สุดจะเป็นชนิด Fixed Bridge (รูปที่ 2.3 ) ซึ่งเป็นแบบที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากการออกแบบให้โต๊ะของเครื่อง CMM เคลื่อนที่ด้วยบอลสกรู (Ball Screw) ช่วยให้ค่าความคลาดเคลื่อนจากการเคลื่อนที่ได้ช้าลงและละเอียดกว่าแบบอื่นๆ ทั้งนี้เครื่อง CMM แต่ละแบบนั้น จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้ใช้งานจะต้องรู้วิธีการหาค่าที่ถูกต้องของการวัดที่เหมาะสมกับลักษณะของชิ้นงานแต่ละชิ้น จากนั้นจึงค่อยเลือกชนิดของเครื่อง CMM อีกที

 

 

**ขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูลภาพ http://eng.sut.ac.th/me/2014/document/LabManuIndAuto/A.pdf
 

หลักการทำงานและวิธีการใช้งานของเครื่องมือวัด 3 มิติ (CMM)

เครื่องวัดชนิดนี้ มีความละเอียดสูง มีความละเอียดประมาณ 0.0001 mm สามารถวัดได้ 3 แกน คือ แนวระนาบ 2 แกน และแนวดิ่ง 1 แกน ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยระบบแรงดันลมในการควบคุมการทรงตัวของโต๊ะ และช่วยลดแรงสั่นสะเทือนจากปัจจัยภายนอกได้ ซึ่งลมที่อัดเข้ามาจะมาพร้อมกับไอน้ำ ทำให้เกิดความชื้นขึ้น จึงมีความเสี่ยงทำให้ระบบภายในอาจเป็นสนิมได้ เครื่องวัดแบบ 3 มิติทุกรุ่นจึงมีตัวกรอง ซึ่งช่วยในการกรองระบบภายในให้เป็นอากาศแห้งได้ โดยในการเคลื่อนที่ทั้ง 3 แกนนั้น สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยระบบ อัตโนมัติ (Automatic) และจอยสติก (Joystick)

 

 

Laser Interferometer ของบริษัทฯ ที่ใช้เป็น Standard สอบเทียบให้กับลูกค้า

ส่วนวิธีการใช้งานจะอธิบายคร่าวๆ คือต้องสร้างจุดอ้างอิงหรือ datum ในชิ้นงานก่อน แล้วไปแตะจุดชิ้นงานจริงที่เราต้องการวัดตามแบบ drawing อ้างอิง วัดชิ้นงานไปในแนวแกน x แกน y และ แกน z ให้ครบทั้งสามแกน เครื่องก็จะสามารถคำนวณและวิเคราะห์สรุปค่าออกมาเป็น report

 

ข้อควรระวังในการใช้งาน 

  • ควรเคลื่อนย้ายโพรบไปตำแหน่งที่ปลอดภัยทุกครั้งก่อนและหลังการวางชิ้นงาน เพื่อหลีกเลี่ยงชิ้นงานไปกระแทกเข้ากับโพรบซึ่งมีความเปราะบาง อาจจะทำให้แตกหักเสียหายได้ง่าย
  • เมื่อเครื่องทำงานหรืออยู่ในโหมดสแตนด์บาย ไม่ควรนั่งบน worktable
  • ไม่นำอวัยวะเข้าไปอยู่บนโต๊ะในลักษณะกีดขว้างการทำงาน ขณะที่เครื่องกำลังทำงานอยู่
  • ทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งที่เลิกใช้งานเครื่อง
  • หยุดใช้ทันทีเมื่อมีสิ่งผิดปกติกับเครื่องและให้ติดต่อตัวแทนจำหน่าย เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาให้
  • ควรมีการต่อสายดินเพื่อป้องกันอุบัติเหตุไฟรั่ว ซึ่งอาจก่อให้เกิด อันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน
  • ควรเพิ่มชุดสำรองจ่ายไฟเพื่อป้องกันในกรณีไฟตก ซึ่งนำไปสู่การเสียหายหรือชำรุดของเครื่องมือวัดได้
  • ควรเพิ่มชุดกรองอากาศอีกจุด เพื่อป้องกันปัญหาความชื้นเข้าระบบ เป็นเหตุทำให้เครื่องวัดแบบ 3 มิติขัดข้องในการใช้งาน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรส่งสอบเทียบเครื่องมือวัด 3 มิติทุกๆปี โดยบริษัทแคริเบรชั่น แลบอราทอรี่ จำกัด
ได้รับการรับรอง Accredit 17025 ทั้ง สมอ.และ ANAB ในการสอบเทียบเครื่อง CMM ได้ทั้งแกน X,Y,Z ตั้งแต่ 0-1000 mm

 

เครื่อง CMMของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

 

 

Credit By Timnorton

 

GRANITE SURFACE PLATE (โต๊ะระดับหินแกรนิต) และการเลือกวิธีการสอบเทียบ

 บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

Precision Level (เครื่องวัดระดับน้ำ) มีข้อควรระวังในการใช้งานอย่างไร

Precision Level (เครื่องวัดระดับนํ้า, ไม้วัดระดับนํ้า)​ เป็นอุปกรณ์เครื่องมือวัดที่ใช้สําหรับการตรวจสอบความเอียงของพื้นที่ในแนวราบ (horizontal) และแนวดิ่ง (vertical) ด้วยการสังเกตฟองอากาศภายในของเหลวที่บรรจุอยู่ในหลอดแก้วให้อยู่จุดกึ่งกลาง เพื่อให้สิ่งที่ต้องการตรวจสอบอยู่ในระดับองศาที่ตรงตามต้องการ โดยเครื่องวัดระดับนํ้ามีประโยชน์ในการใช้งานในหลากหลายด้าน ส่วนใหญ่จะใช้ในการตรวจสอบ อาทิเช่น งานก่อสร้าง อาคาร งานติดตั้งเครื่องจักร การทําถนน การสํารวจ ตลอดจนงานที่ต้องอาศัยความแม่นยําสูง ดังนั้นเรื่องการส่งสอบเทียบ Calibrate เครื่องวัดระดับน้ำจึงมีความสำคัญมาก

องค์ประกอบของ เครื่องวัดระดับน้ำ Precision Level

1. Base เป็นส่วนที่จะวางบนผิวงานที่ต้องการตรวจสอบระดับตรงกลางของ Base จะร่องตัววี เพื่อให้ วางบนพื้นราบ และบนพื้นงานรูปทรงกระบอกได้

 

2. หลอดแก้วใส 2 หลอด สำหรับใส่ของเหลวทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนที่ของเหลวที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน หลอดที่ 1 จะวางอยู่ในแนวยาวตามรูปของ Base หลอดที่ 2 จะอยู่ขวางในแนวตั้งฉากกับหลอดที่ 1 ทำให้สามารถตรวจสอบความเอียงได้ 2 ทิศทาง ทั้งแนวราบ(horizontal) และแนวดิ่ง(vertical)

3. Scale จะแสดงให้ทราบว่าการเคลื่อนของฟองอากาศในหลอดแก้วมีความเอียงกี่มิลลิเมตรต่อความยาว1เมตร

4. Bubble เป็นตัวแสดงถึงความเที่ยงตรงหรือความเอียง โดยเทียบจาก Scale ที่ระบุหลอดแก้ว ถ้าฟองอากาศที่อยู่ในหลอดแก้วมีความยาวมากแสดงว่าเครื่องวัดระดับน้ำมีความละเอียดมาก

5. Adjustment Screw  คือ การปรับความเที่ยงตรงของฟองอากาศในระดับน้ำ

วิธีการใช้และข้อควรระวังในการใช้ เครื่องวัดระดับน้ำ

1. ควรทำความสะอาดเครื่องมือและบริเวณที่ต้องการวัดด้วยเพื่อให้ได้ค่าที่เเม่นยำ และเที่ยงตรง

2. ควรเช็ดคราบน้ำมัน หรือสิ่งสกปรก และดูแลความเรียบร้อยของเครื่องมือทั้งก่อนและหลังการใช้งาน

3. วางเครื่องมือวัดบริเวณพื้นที่ที่ต้องการวัดความเอียง

4. ในการอ่านค่าเครื่องวัดระดับน้ำทำได้โดยการมองฟองอากาศภายในหลอดแก้วใสที่เลื่อนไปมา ข้อควรต้องระวังทิศทางในการมองฟองอากาศ ต้องได้ระดับเป็นมุมฉากพอดี เพื่อไม่ให้การอ่านค่าผิดพลาดจากความเป็นจริง

5. ไม่ควรลากเครื่องวัดระดับน้ำไปกับพื้นผิวที่ต้องการตรวจสอบ ควรใช้การยกเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อตรวจสอบ

6. ควรหมั่นส่งเครื่องมือวัดสอบเทียบตาม due date ที่กำหนดเพื่อความเที่ยงตรงของเครื่องวัดระดับน้ำเเละป้องกันความผิดพลาดของเครื่องมือ

โดยการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Precision level  (เครื่องวัดระดับน้ำ) จะทำการสอบเทียบตัวฟองอากาศภายในหลอดแก้ว ว่าการเคลื่อนที่ของฟองอากาศที่อ่านค่าตาม Scale ของเครื่องมืออ่านตรงกับ standard ที่ใช้ในการสอบเทียบหรือไม่ โดยทาง Calibration Laboratory ใช้ electronic level เป็น standard ในการสอบเทียบซึ่งเป็น standard ที่มีคุณภาพและความเที่ยงตรงสูง อย่าลืมหมั่นสอบเทียบ(Calibrate) เครื่องวัดระดับน้ำเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการวัด สามารถสอบถามข้อมูลการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด กับทาง CLCได้เลยค่ะ

 

ผู้เขียน Paemy Little

บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

มาตรวิทยา คืออะไร? มีประวัติความเป็นมาและสาขาอย่างไร?

มาตรวิทยา คืออะไร?

ประวัติความเป็นมาของมาตรวิทยา

“การวัดที่ไม่ได้มาตรฐาน ค่าที่ได้ก็ไร้ความหมาย” ย้อนกลับไปในปี 2900 ก่อนคริสตศักราช บันทึกแรกของมาตรฐานการวัดเกิดขึ้นในราชวงศ์อียิปต์ เมื่อมีการสลักสร้างหินแกรนิตสีดำให้มีความยาวหนึ่งศอก (Cubit) โดยใช้ความยาวของแขนจากศอกไปจนถึงปลายนิ้วกลางของฟาโรห์เป็นเกณฑ์ ซึ่งภายหลังคนงานก่อสร้างนำไปใช้ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างพีระมิดที่มีความยาวฐานผิดเพี้ยนน้อยกว่า 0.05 เปอร์เซ็นต์ยิ่งเมื่อยุคสมัยมีการพัฒนา มาตรฐานการวัดอื่นๆ ก็ยิ่งเกิดขึ้นด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป อย่างในโรมันและกรีกที่มีมาตรฐานการวัดเกิดขึ้นมากมายตามแต่ละท้องที่ แต่ด้วยความยากลำบากในการเทียบกัน และภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิและเข้าสู่ยุคมืดก็ทำให้มาตรฐานเหล่านั้นเลือนหายไปตามกาลเวลา ในคริสตศักราช 1996 อังกฤษได้จัดตั้งคณะศาลเพื่อกำหนดมาตรฐานการวัดความยาว และได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการวัดซึ่งประกอบไปด้วยการตวงสุราจำพวกไวน์และเบียร์ในปี 1215

 

สำหรับมาตรฐานการวัดในปัจจุบันมีรากฐานมาจากแรงกระตุ้นทางการเมืองในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ต้องการให้หน่วยวัดทั่วทั้งประเทศสอดคล้องกัน ดังนั้นมาตรฐานการวัดความยาวจากวัสดุธรรมชาติจึงถือกำเนิดขึ้น และในเดือนมีนาคม คริสตศักราช 1791 นั้นเองที่หน่วยวัด “เมตร” ถือกำเนิดและนำไปสู่การสร้างระบบเมตริกด้วยเลขฐานสิบในปี 1795 ซึ่งหลายประเทศก็ได้นำเอาระบบเมตริกนี้ไปใช้ในช่วงระหว่างปี 1795 ถึง 1875 ด้วยเหตุนี้เองเพื่อให้แน่ใจได้ว่าทุกประเทศทั่วโลกจะมีมาตรฐานการวัดที่ตรงกันจึงได้มีการจัดตั้งสำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ (BIPM) ตามสนธิสัญญาเมตริกขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าสำนักงานดังกล่าวเดิมทีแล้ว ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดหน่วยวัดและมาตรฐานการวัดให้เป็นสากล แต่ขอบเขตการทำงานในภายหลังก็ขยายไปจนถึงมาตรฐานการวัดค่ากระแสไฟฟ้า ความเข้มของแสง และปริมาณการแผ่รังสีไอออไนซ์ และในปีคริสตศักราชที่ 1960 ระบบเมตริกก็ถูกพัฒนาไปเป็นระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศ (SI) ด้วยมติที่ประชุมใหญ่ว่าด้วยการชั่งตวงวัดครั้งที่ 11

สาขาของมาตรวิทยา

สำนักงานช่างตวงวัดระหว่างประเทศได้ให้ความหมายของคำว่ามาตรวิทยา (Metrology) เอาไว้ว่า “เป็นวิทยาศาตร์ศาสตร์ของการวัดที่ครอบคลุมทั้งทางด้านทฤษฎีและปฎิบัติทดลอง กับค่าความไม่แน่นอนของการวัดในสาขาใดๆ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” มาตรวิทยาถือเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญและกว้างมาก โดยมีกิจกรรมหลักสำคัญ 3 ประการ คือ การนิยามหน่วยวัดที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ การทำให้หน่วยวัดนั้นสามารถนำมาใช้ได้จริง และกระบวนการสร้างสายโซ่ของการสอบกลับได้โดยนำเอาค่าการวัดไปเทียบกับมาตรฐาน พื้นฐานสำคัญเหล่านี้ถูกนำไปปรับใช้ในมาตรวิทยาที่ระดับแตกต่างกันไปตามสาขาย่อย อันได้แก่ มาตรวิทยาเชิงเทคนิค มาตรวิทยาเชิงอุตสาหกรรม และมาตรวิทยาเชิงกฎหมาย

มาตรวิทยาเชิงเทคนิค (Scientific metrology)
มาตรวิทยาเชิงเทคนิคเกี่ยวข้องกับการสร้างหน่วยวัดและพัฒนามาตรฐานวิธีการวัดใหม่ๆ ทำให้หน่วยวัดเป็นจริงในทางปฏิบัติและสามารถสอบกลับได้ มาตรวิทยาสาขานี้ถือเป็นสาขาที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด ทั้งนี้ตามปกติแล้วสำนักงานชั่งตวงวัดจะมีฐานข้อมูลความสามารถในการวัดและการสอบเทียบเครื่องมือกับค่ามาตรฐานที่สามารถสอบกลับได้ของทุกสถาบันทั่วโลกซึ่งจะมีการตรวจประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยจะสามารถแยกประเภทการวัดออกเป็น 9 สาขาอันได้แก่ เสียง ไฟฟ้าและแม่เหล็ก ความยาว มวลและปริมาณที่เกี่ยวข้อง แสงสว่างและการกระจายของคลื่นแสง การแผ่รังสีของไออนแตกตัว เวลาและความถี่ อุณหภูมิ และเคมี
นอกจากนี้มาตรวิทยาเชิงเทคนิคยังเป็นสาขาที่มีความสำคัญในการนิยามหน่วยวัดใหม่ โดยในเดือนพฤษภาคม ปีคริสตศักราช 2019 ถือเป็นวันที่ไม่มีหน่วยฐานใดถูกกำหนดด้วยวัตถุทางกายภาพ เนื่องจากความต้องการที่จะให้ทุกหน่วยฐานนั้นได้มาจากค่าคงตัวทางฟิสิกส์ จึงทำให้มวลของกิโลกรัมต้นแบบ (IPK) ถูกยกเลิกการใช้และถือเป็นจุดสิ้นสุดของการนิยามหน่วยด้วยวัตถุลง ในกรณีของการนิยามหน่วยกิโลกรัมใหม่นั้น ด้วยมาตรวิทยาเชิงเทคนิคและการพัฒนาของตาชั่งคิบเบิลที่อาศัยการวัดน้ำหนักด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ก็ทำให้นักวิทยาศาตร์สามารถนิยามหน่วยกิโลกรัมใหม่ได้ด้วยค่าคงตัวของพลังค์ (Plank constant)

 

มาตรวิทยาเชิงอุตสาหกรรม (Industrial metrology)
มาตรวิทยาเชิงอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้การวัดกับอุตสาหกรรมกระบวนการผลิต สร้างความมั่นใจว่าเครื่องมือวัดที่ใช้นั้นมีความเหมาะสม มีการควบคุมคุณภาพและการสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างถูกต้อง เนื่องจากประสิทธิภาพและความถูกต้องของการวัดนั้นจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าและคุณภาพของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงต้นทุนการผลิต อีกทั้งมาตรวิทยาสาขานี้ยังนับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและอุตสาหกกรรม และยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆอีกด้วย ทั้งนี้การยอมรับความสามารถทางมาตรวิทยาในอุตสาหกรรมนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากสามวิธีหลัก อันได้แก่ การปฎิบัติตามข้อตกลงต่างๆ ที่มีการยอมรับร่วมกัน การได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือการตรวจประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ (Peer review)

 

มาตรวิทยาเชิงกฎหมาย (Legal metrology)

สำหรับมาตรวิทยาเชิงกฎหมายจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามข้อตกลงในกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวัด หน่วยวัดและวิธีการวัดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบทกฎหมายต่างๆ ก็มักจะถูกร่างขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อการป้องกันทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัยของสาธารณะ สิ่งแวดล้อม การจัดเก็บภาษีอากร และเพื่อปกป้องผู้บริโภคและการค้า ด้วยเหตุนี้เององค์การระหว่างประเทศด้านการชั่งตวงวัดทางกฎหมาย (OIML) จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้ข้อกำหนดทางกฎหมายระหว่างประเทศมีความสอดคล้องกันและไม่เกิดอุปสรรคทางการค้า ทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดที่ผ่านการรับรองในประเทศหนึ่งจะตรงตามมาตรฐานและสามารถยอมรับได้ในอีกประเทศหนึ่ง ทำให้สามารถขายสินค้า รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องมือวัดได้

 

แนวคิดหลัก

การนิยามหน่วยวัด (Definition of units) ระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศ (SI) ประกอบไปด้วย 7 หน่วยฐาน อันได้แก่ ความยาว มวล เวลา กระแสไฟฟ้า อุณหูมิอุณหพลวัติ ปริมาณสสาร และความเข้มของการส่องสว่าง ซึ่งตามข้อตกลงแล้วหน่วยฐานแต่ละหน่วยจะมีความอิสระและไม่ขึ้นอยู่กับอีกหน่วยฐาน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ เช่นกรณีการใช้หน่วยฐานหนึ่งเพื่ออธิบายนิยามของอีกหน่วยฐาน เป็นต้น

ปริมาณ  ชื่อหน่วย สัญลักษณ์ นิยาม
ความยาว เมตร m ความยาวที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศ ในช่วงเวลา 1/299,792,458 วินาที
มวล กิโลกรัม kg นิยามจากค่าคงตัวของพลังค์ เท่ากับ 6.62607015×1034 Js
เวลา วินาที s ระยะเวลา 9,192,631,770 คาบในการแผ่รังสีที่เกิดจากการเปลี่ยนสถานะระดับไฮเพอร์ไฟน์ของสถานะพื้นของอะตอมซีเซียม-133 ที่สถานะพื้น
กระแสไฟฟ้า แอมแปร์ A ปริมาณกระแสไฟฟ้าคงที่ที่ถ้าให้กับลวดตัวนำตรงและขนานกัน2 เส้น ที่มีความยาวอนันต์และมีพื้นที่หน้าตัดน้อยมากจนไม่ต้องคำนึงถึง แล้ววางห่างกัน 1 เมตรในสุญญากาศจะมีแรงระหว่างตัวนำทั้งสองเท่ากับ 2×10 7 นิวตันต่อความยาว 1 เมตร
อุณหภูมิอุณหพลวัติ เคลวิน K 1/273.16 ของอุณหภูมิอุณหพลวัติของจุดร่วมสามสถานะของน้ำ
ปริมาณของสสาร โมล mol ปริมาณของสารในระบบซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบมูลฐานอะตอมที่เทียบเท่าคาร์บอน-12 ปริมาณ 0.012 กิโลกรัม
ความเข้มของการส่องสว่าง แคนเดลา cd ความเข้มส่องสว่างในทิศทางที่กำหนดของแหล่งกำเนิดที่แผ่รังสีของแสงความถี่เดียวที่มีความถี่ 540×1012 เฮิรตซ์ และมีความเข้มของการแผ่รังสีในทิศทางนั้นเท่ากับ 1/683 วัตต์ต่อสเตอเรเดียน

เนื่องจากหน่วยฐานถูกใช้เป็นจุดอ้างอิงสำหรับการวัดทั้งหมดที่ใช้หน่วย SI ดังนั้นหากค่าอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไปย่อมทำให้ค่าที่ได้จากการวัดก่อนหน้าเกิดความคลาดเคลื่อน ยกตัวอย่างเช่นหากมวลกิโลกรัมต้นแบบเกิดความเสียหาย แตกหักไปบางส่วน มวลต้นแบบก็ยังคงจะถูกพิจารณาเป็นมาตรฐานการวัดในหน่วยกิโลกรัม ซึ่งก็เท่ากับว่าค่าที่ได้จากการวัดก่อนหน้านั้นทั้งหมดจะหนักมากขึ้นกว่าปกติ และด้วยความสำคัญของการทำซ้ำได้ของผลการวัดด้วยหน่วยฐาน SI สำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศจึงได้ริเริ่มนิยามหน่วยฐานด้วยค่าคงที่ทางฟิสิกส์ ด้วยเพราะสามารถทำให้การเป็นไปได้จริงในทางปฎิบัตินั้นมีความแม่นยำและความสามารถในการทำซ้ำได้ของการวัดสูงขึ้นและด้วยการเปลี่ยนนิยามของหน่วยฐานที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019 หน่วยฐานอันได้แก่ กิโลกรัม แอมแปร์ เคลวิน และโมล ก็ถูกเปลี่ยนนิยามใหม่โดยใช้ค่าคงที่ทางฟิสิกส์ที่มีค่าแน่นอนอย่าง ค่าคงตัวของพลังค์ (h) ประจุมูลฐาน (e) ค่าคงที่บ็อลทซ์มัน (k) และค่าคงตัวอาโวกาโดร (NA) ตามลำดับ

 

การทำให้หน่วยวัดเป็นไปได้จริงในทางปฎิบัติ (Realisation of units)

เป็นการทำให้หน่วยวัดสามารถใช้ได้จริง โดยมี 3 วิธีการที่เป็นไปได้ตาม คำศัพท์มาตรวิทยานานาชาติ (VIM) ที่บัญญัติไว้ได้แก่ การทำให้เป็นจริงจากนิยามของหน่วยวัด การทำให้เป็นจริงจากการทำซ้ำได้ของผลการวัด และการทำให้เป็นจริงด้วยการใช้วัตถุเพื่อเป็นมาตรฐานในการวัด

มาตรฐานการวัด

มาตรฐานการวัด คือ วัตถุ ระบบ หรือการทดลองใดๆ ที่มีนิยามความสัมพันธ์กับหน่วยวัดและปริมาณทางกายภาพ ซึ่งถือเป็นค่าอ้างอิงหลักในระบบการวัดและชั่งตวง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ อันได้แก่ มาตรฐานปฐมภูมิ มาตรฐานทุติยภูมิ และมาตรฐานขั้นใช้งาน
สำหรับมาตรฐานปฐมภูมิที่มีคุณภาพสูงสุดจะไม่มีการใช้มาตรฐานใดมาเป็นตัวอ้างอิง ในขณะที่มาตรฐานทุติยภูมิจะมีการสอบเทียบโดยใช้มาตรฐานปฐมภูมิอ้างอิง และมาตรฐานขั้นใช้งานซึ่งจะถูกใช้ในการสอบเทียบหรือตรวจการทำงานของเครื่องมือวัดอื่นๆนั้น จะใช้มาตรฐานทุติยภูมิเป็นเกณฑ์ในการสอบเทียบ ด้วยลำดับขั้นของมาตรฐานนี้เองที่เป็นตัวรักษาให้ระดับความแม่นยำของมาตรฐานยังคงสูงอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องมือมาตรฐานความยาวอย่างเกจบล็อค (Gauge block) ซึ่งเป็นแท่งเทียบมาตรฐานที่อาจทำจากเหล็กหรือเซรามิค โดยมีหน้าตัดเรียบขนานกันสองฝั่ง และมีระยะห่างกันที่แม่นยำเทียบเท่ากับความยาวที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศ ในช่วงเวลา 1/299,792,458 วินาที ดังนั้นเกจบล็อคจึงถือเป็นมาตรฐานปฐมภูมิและสามารถนำไปใช้ในการสอบเทียบมาตรฐานทุติยภูมิได้

 

ความสามารถสอบกลับได้ และการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Tractability and calibration)

การสอบกลับได้มีนิยามว่าเป็นคุณสมบัติของผลการวัดที่สามารถเชื่อมโยงไปยังค่าอ้างอิงมาตรฐาน โดยไม่มีการขาดช่วงของการสอบเทียบซึ่งจะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนของการวัดขึ้น ทั้งนี้การสอบกลับได้ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลการวัดไม่ว่าจะกับผลการวัดครั้งก่อนในห้องทดลองเดียวกัน กับผลการวัดเมื่อหนึ่งปีก่อน กระทั่งเทียบกับผลการวัดที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือเดียวกันไม่ว่าจะที่ใดในโลก สายโซ่การสอบกลับจะเป็นตัวที่เอื้อให้สามารถเปรียบเทียบการวัดที่เกิดขึ้นกับการวัดที่มีมาตรฐานสูงกว่าจนกระทั่งย้อนกลับไปยังนิยามของหน่วยวัดได้ความสามารถในการสอบกลับได้มักทำได้เมื่อเครื่องมือวัดมีประวัติการสอบเทียบ ซึ่งหมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างค่ามาตรฐานการวัดที่ทราบค่าความไม่แน่นอนกับเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบ กระบวนการสอบเทียบนี้เองจะเป็นตัวบ่งชี้ค่าที่ได้จากการวัดและความไม่แน่นอน และสร้างความสามารถในการสอบกลับได้ไปยังมาตรฐานการวัด

 

สำหรับเหตุผลหลักในการสอบเทียบเครื่องมือ ประกอบไปด้วย 4 ประการ อันได้แก่เพื่อให้สามารถสอบกลับเครื่องมือได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดหรือกระทั่งมาตรฐานการวัดสอดคล้องกับการวัดอื่นๆ เพื่อตรวจสอบความแม่นยำถูกต้องของเครื่องมือวัด และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเครื่องมือ

อาจพูดได้ว่าการสอบกลับได้ของเครื่องมือวัดมีรูปแบบคล้ายกันกับพีระมิด นั่นคือที่บริเวณยอดบนสุดจะเป็นระดับของมาตรฐานนานาชาติ ถัดมาเป็นสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่ในการสอบเทียบมาตรฐานปฐมภูมิ ตลอดจนทำให้หน่วยวัดเป็นจริงในเชิงปฏิบัติ ดังนั้นในขั้นนี้จึงสามารถสอบกลับจากมาตรฐานปฐมภูมิไปยังนิยามของหน่วยวัดได้ สำหรับในขั้นถัดลงไปอีกจะเป็นการสอบเทียบในห้องปฎิบัติการการสอบเทียบ และในฐานพีระมิดก็จะเป็นห้องปฎิบัติการเพื่อการทดลองและอุตสาหกรรม

ซึ่งถ้าดูในเรื่องของทิศทางแล้วการทำหน่วยวัดให้เป็นจริงในเชิงปฏิบัติจะเกิดขึ้นตั้งแต่การสอบเทียบจากทางด้านบนของพีระมิดจนกระทั่งถึงฐาน แต่ในทางกลับกันการสอบกลับเครื่องมือจะมีทิศทางย้อนจากฐานพีระมิดไปยังด้านบนสุด ที่เริ่มจากค่าที่ได้จากการวัดในห้องปฏิบัตการทดลองและอุตสาหกรรมเชื่อมโยงกลับขึ้นไปยังนิยามของหน่วยวัดที่อยู่บนสุดของสายโซ่การสอบกลับซึ่งเกิดขึ้นการสอบเทียบเครื่องมือวัด

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

แม่นแค่ไหนถึงใช้ได้ คู่มือ การใช้ค่าความไม่แน่นอนในการวัด Uncertainty

ในมาตรวิทยาคำว่า “ความไม่แน่นอนของการวัด” (Measurement uncertainty) หมายถึง ช่วงการกระจายทางสถิติของค่าที่จะได้จากการวัด หรืออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือ ช่วงที่บอกว่า “ค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เราวัด” อาจอยู่ในช่วงไหน เนื่องจากในการวัดค่าใดๆ ล้วนแล้วแต่มีความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนของการวัด จึงเป็นเหตุผลที่กระบวนการการวัดจะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีการ ระบุค่าความไม่แน่นอนในการวัด เอาไว้  (และค่าเหล่านั้นจะต้องไม่เป็นลบและเป็นไปตามหลักทางสถิติ) เช่น ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้นโดยทั่วไปแล้วค่าความไม่แน่นอนของการวัด มักแสดงในรูปของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพราะคิดได้เป็น ตัวแทนของการกระจายตัว ของค่าที่ได้จากการวัดซ้ำหลายๆครั้งที่จะบ่งบอกถึงช่วงค่าที่สามารถเป็นไปได้จากการวัด หรือเข้าใจได้ว่า เป็นตัววัดว่า “ค่าที่วัดแต่ละครั้งอยู่ห่างจากค่าเฉลี่ยแค่ไหน” ในขณะที่หากพูดถึงค่าความไม่แน่นอนสัมพัทธ์จะหมายถึง ค่าความไม่แน่นอนของการวัดหารด้วยค่าสัมบูรณ์ที่ได้จากการวัดนั้นๆ ซึ่งค่าดังกล่าวจะต้องไม่เท่ากับศูนย์ และต้องเป็นค่าเพียงค่าเดียว เช่น ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน หรือฐานนิยม

ค่าความไม่แน่นอนของการวัด (Uncertainty)

ค่าความไม่แน่นอนของการวัด เป็น ค่าที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างช่วงของค่าที่อาจเป็นไปได้จากการวัด และความไม่น่าเชื่อถือของผลการวัดเชิงปริมาณ โดยมีองค์ประกอบหลัก 2 ประการ คือ ความกว้างของช่วงความไม่แน่นอนซึ่งหมายถึงช่วงของค่าที่อาจได้จากการวัด และระดับความเชื่อมั่น ที่หมายถึงโอกาสที่ค่าที่ได้จากการวัดจะอยู่ในช่วงของค่าความไม่แน่นอน ทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กันตามสมการ

Y = y ± U

ตัวประกอบครอบคลุม: k =2
จากสมการ y เท่ากับค่าที่ได้จากการวัด U คือ ค่าความไม่แน่นอน และ k เป็นตัวประกอบครอบคลุมซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความเชื่อมั่น ในขณะที่ขอบบนและขอบล่างของช่วงค่าความไม่แน่นอนได้จากการลบหรือบวกค่าความไม่แน่นอนกับค่าที่ได้จากการวัด ทั้งนี้ตัวประกอบครอบคลุม k = 2 ตามปกติจะหมายถึงระดับความเชื่อมั่นที่ค่าจากการวัดจะอยู่ในช่วงค่าความไม่แน่นอนนั้นเท่ากับ 95% สำหรับค่าตัวประกอบครอบคลุมอื่นๆ จะบ่งชี้ระดับความเชื่อมั่นที่สูงหรือต่ำกว่า เช่น k=1 และ k=3 จะหมายถึงระดับความเชื่อมั่นที่ 66% และ 99.7% ตามลำดับ


ความหมายในการตีความค่า Uncertainty ในการนำไปใช้งาน

ยกตัวอย่างเช่น หากเราทำการวัดเครื่องมือวัดทางอุณหภูมิได้ 25°C และคำนวณความไม่แน่นอน (U) ได้ ±0.5°C

1. กรณีที่ใช้ k = 2 (ความเชื่อมั่น 95%)

– ช่วงค่าที่เป็นไปได้ = 25 ± (2 × 0.5) = 24°C ถึง 26°C แปลว่า มีความมั่นใจ 95% ที่อุณหภูมิจริงอยู่ระหว่าง 24-26°C

2. กรณีที่ใช้ k = 1 (ความเชื่อมั่น ~66%)

– ช่วงค่าที่เป็นไปได้ = 25 ± (1 × 0.5) = 24.5°C ถึง 25.5°C หมายถึง ความมั่นใจลดลง แต่ช่วงแคบกว่า

3. กรณีที่ใช้ k = 3 (ความเชื่อมั่น 99.7%)

– ช่วงค่าที่เป็นไปได้ = 25 ± (3 × 0.5) = 23.5°C ถึง 26.5°C หมายถึง ความมั่นใจสูงมาก แต่ช่วงกว้างกว่า

ค่าความไม่แน่นอนของการวัดจะถูกกำหนดจากการวิเคราะห์ทางสถิติจากการสอบเทียบและค่าความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาดในกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถประเมินได้จากประวัติเครื่องมือวัด ข้อกำหนดมาตรฐานสินค้าของผู้ผลิต และเอกสารข้อมูลของเครื่องมือวัดนั้นๆ ในการตัดสินว่าเครื่องมือวัดนั้นควรใช้งานต่อหรือไม่ เราสามารถพิจารณาได้จากการ “ผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์” จะใช้ค่าความไม่แน่นอนเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน เพื่อบ่งบอกสถานะของเครื่องมือวัดนั้นๆว่ายังสามารถใช้งานโดยให้ค่าที่ถูกต้องหรือไม่ ที่หลายคนเลือกที่จะมองข้าม(หากต้องการเข้าใจในเชิงลึก สามารถอ่านได้ที่) เบื้องหลังตัวเลข Measurement Uncertainty ความไม่แน่นอนในการวัดที่หลายคนไม่รู้ว่าต้องสนใจ ซึ่งจะสามารถรู้ได้จากการสอบเทียบเครื่องมือจากห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่มีมาตรฐานยืนยัน เช่นที่ได้รับรองตาม ISO/IEC 17025

หากท่านต้องการมั่นใจว่าเครื่องมือวัดที่ใช้อยู่นั้นยังคงอยู่ในมาตรฐานการวัดหรือไม่ สามารถส่งเครื่องมือมาเพื่อสอบเทียบเครื่องมือวัดกับทาง Calibration Laboratory ได้ เราได้รับการรับรองจากสถาบันถึง 2 สถาบันมาตรวัด ทั้งสมอ.(ไทย) และ ANAB (สหรัฐอเมริกา) เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่าเครื่องมือที่ใช้อยู่จะคงอยู่ในเกณฑ์การใช้งานที่ให้ค่าถูกต้อง สมบูรณ์ สามารถป้องกันความผิดพลาดในการผลิตหรือในด้านงานอื่นๆเนื่องจากเครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน

 

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)
ANAB
มาตรฐานการรับรองISO/IEC 17025

 

 

 

การตั้งค่าเกณฑ์การยอมรับ(MPE) ของเครื่องมือวัด

วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ไมโครมิเตอร์คืออะไร การเลือกใช้และการดูแลรักษาทำได้อย่างไร

ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ไมโครมิเตอร์สกรูเกจ เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้งานด้านวิศวกรรม จุดประสงค์การใช้งานเพื่อสำหรับวัดขนาดที่ต้องการความละเอียดแม่นยำสูง  โดยใช้วัดความกว้าง ยาว หรือ ความหนาของวัตถุ เหมือนคาลิปเปอร์ แต่ไมโครมิเตอร์จะสามารถวัดได้ละเอียดสูงกว่าคาลิปเปอร์

ไมโครมิเตอร์(Micrometer) มีกี่ชนิด?

ประเภทของไมโครมิเตอร์ (Micrometer) ที่นิยมใช้ มี 3 ประเภทคือ

1. ไมโครมิเตอร์แบบวัดภายนอก (Outside Micrometer) นิยมใช้กันมากกว่าแบบอื่นใช้วัดขนาดความกว้าง ความยาว และ ความหนา ภายนอก ของเพลา บล็อก สายทรงกลม เส้นลวด วัตถุทรงกลม ฯลฯ

2. ไมโครมิเตอร์แบบวัดภายใน (Inside Micrometer) ใช้วัดความกว้างของช่องว่างต่างๆ เช่น เส้นผ่าศูนย์กลางภายในหลุม วงกลม รูเปิด

3. ไมโครมิเตอร์สำหรับวัดความลึก (Depth Micrometer) ใช้วัดความลึกของชิ้นงานที่มีลักษณะเป็นหลุม บ่อ หรือช่อง ต่างๆ

 

ส่วนประกอบและการทำงานของไมโครมิเตอร์เป็นอย่างไร

ส่วนประกอบต่างๆ ของไมโครมิเตอร์ เรียกตำแหน่งต่างๆของไมโครมิเตอร์

(1) ตําแหน่งสำหรับวัดระยะชิ้นงาน

(2) ตําแหน่งสเกลหลัก

(3) ตําแหน่งสเกลเวอร์เนียร์

(4) ตำแหน่งสำหรับจับไมโครมิเตอร์ขณะวัด

(5) ตำแหน่งปุ่มเลื่อนแกน

 

การเลือกใช้ เครื่องมือวัด ประเภท ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) 

การเลือกประเภทของไมโครมิเตอร์จะพิจารณาจาก

  • วัตถุที่จะใช้วัด เช่น ความหนา ความกว้าง หรือ ลึก ภายในวัตถุ
  • เลือกใช้จากค่าความละเอียดที่ต้องการ เช่นค่าความละเอียดต่ำ (1/100 mm) หรือ ค่าความละเอียดสูง (1/10000 mm)
  • เลือกเป็นไมโครมิเตอร์แบบอนาล็อกเมื่อไม่ต้องการวัดค่าความละเอียดมาก ช่วยลดต้นทุนหรือ เลือกไมโครมิเตอร์แบบดิจิตอลซึ่งจะสามารถต่อผลการอ่านค่าเข้าคอมพิวเตอร์ได้

 

การดูแลรักษา เครื่องมือวัด ประเภทไมโครมิเตอร์ (Micrometer) 

เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของไมโครมิเตอร์ Micrometer ควรมีการดูแลอย่างเหมาะสม และนำมา สอบเทียบเครื่องมือวัด ควร

  • เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าสะอาดให้ทั่วทุกครั้ง ก่อนเก็บเข้ากล่อง
  • ไม่ควรหมุนให้หน้าผิวสัมผัสวัดงานทั้งสองด้านเข้ามาชนกันจนแน่น เพราะจะทำให้เกิดการเสียหายจากแรงกดอัดได้ ควรใช้กระดาษน้ำมันคั่นกลางหรือเว้นช่องว่างไว้เล็กน้อยก่อนเก็บเข้ากล่องแทน
  • ทำความสะอาดปากวัดทั้งสองด้านหลังเลิกใช้งานเป็ประจำ ด้วยการนำกระดาษที่อ่อนนุ่มใส่ระหว่างหน้าผิวสัมผัสวัดงานทั้งสองด้าน ก่อนหมุนแกนวัดทั้งสองด้านชนกระดาษเบาๆ เป็นการทำความสะอาดผิวสัมผัส
  • หากต้องการหมุนไมโครมิเตอร์อย่างรวดเร็ว ไม่ควรใช้นิ้วมือหมุนรัวๆ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหรือทำให้สเกลวัดคลาดเคลื่อนได้ ควรใช้ฝ่ามือค่อยๆหมุนเลื่อนแกนวัดแทน
  • ไม่ควรใช้ไมโครมิเตอร์วัดวัตถุที่มีผิวหน้าหยาบ เพราะจะทำให้ผิวสัมผัสวัดงานเกิดความเสียหาย หรือ เสียสมดุลย์ศูนย์ได้
  • ไม่ควรใช้ไมโครมิเตอร์วัดชิ้นงานที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ ไม่ควรใช้ไมโครมิเตอร์วัดชิ้นงานที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ จะทำให้ไมโครมิเตอร์เสียหายได้
  • ควรเช็ดทำความสะอาดไมโครมิเตอร์และหล่อลื่นเป็นประจำ
  • เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของการวัดควร สอบเทียบเครื่องมือวัด เพื่อความเที่ยงตรงไมโครมิเตอร์ตามตารางการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอ

 

 บริการสอบเทียบ Dimension

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

หลักการทํางานเครื่องมือวัดลําดับเฟส ( PHASE DETECTOR) เป็นอย่างไร

 เครื่องวัดลำดับเฟส ( PHASE DETECTOR )

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะกลับมาพบกันอีกเช่นเคยนะคะ ครั้งนี้ทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ก็มีเครื่องมือวัดตัวใหม่มาแนะนำกันอีกแล้วล่ะค่ะแต่ต้องขอบอกก่อนเลยว่าการใช้งานของเครื่องมือวัดตัวนี้จะมีการใช้งานวงจำกัดและใช้ในงานค่อนข้างเฉพาะทาง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลทั่วไปมากนัก จึงทำให้เราอาจไม่ค่อยเห็นการใช้เครื่องมือตัวนี้มากนัก แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมตามโรงงานใหญ่ๆ หรือตามสำนักงานที่มีการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่เยอะกว่าไฟบ้านปกติ จะต้องพบเห็นหรือเคยใช้งานอย่างแน่นอน และเครื่องมือตัวนี้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเราไม่ทำการตรวจสอบเครื่องจักรด้วยเครื่องมือตัวนี้ก่อนการใช้งาน ก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายและเสียเวลาอย่างมากได้เลยล่ะค่ะ อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเจ้าเครื่องนี้คือเครื่องมืออะไร และมีหลักการทำงานอย่างไร

ใช่แล้วล่ะค่ะวันนี้ผู้เขียนก็มีเครื่องวัดลำดับเฟส (PHASE DETECTOR) มาแนะนำกันนะคะ แน่นอนค่ะว่าคนส่วนใหญ่โดยทั่วไปจะไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกับเจ้าเครื่องนี้สักเท่าไรนัก นอกจากท่านที่มีการใช้งานเครื่องจักรที่ต้องขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ค่ะ เจ้าเครื่องมือนี้มักนิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมซะส่วนใหญ่แล้วใช้ทำอะไรและมีความสำคัญยังไง ซึ่งทาง CLC เรามีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด นี้ด้วยไปดูกันค่ะ

 

ก่อนอื่นเรามารู้จักระบบไฟฟ้าที่เราใช้กันก่อนดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง

  1. ระบบไฟฟ้า 1 เฟสทุกท่านทราบไหมคะว่าระบบไฟฟ้า1เฟสนั้นเป็นระบบไฟฟ้าที่เราใช้ตามบ้านเรือนทั่วๆไป โดยที่เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ พัดลม ทีวี ตู้เย็น หรืออื่นๆที่ใช้ไฟฟ้า ส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส แบบสองสายและแรงดันอยู่ที่ 220 โวลต์ ทุกท่านสามารถสังเกตได้จากสายไฟที่เราใช้ทั่วไปจะมี 2 สายใช่ไหมคะ โดยที่สายหนึ่งจะเป็นสายที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ค่ะเรียกว่า (Current Line) ส่วนสายอีกหนึ่งเส้นที่ทุกท่านเห็นจะเป็นสายที่ไม่มีกระแสไฟเรียกว่า (Neutral Line) ดังนั้นปลั๊กไฟที่เราเห็นตามบ้านจึงมีสองช่องก็เพื่อให้กระแสไฟไหลได้ครบวงจรนั่นเองค่ะ และเพิ่มเติมอีกหนึ่งสายก็คือสายดินค่ะ ทุกท่านคงเห็นปลั๊กที่มีสามช่องด้วยใช่ไหมคะ ช่องที่สามนี่แหละค่ะที่เรียกว่าสายดิน (Ground) สายดินมีไว้ช่วยป้องกันหากเกิดไฟฟ้ารั่ว เป็นตัวเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านค่ะ
  2. ระบบไฟฟ้า 3 เฟส โดยส่วนใหญ่แล้วระบบไฟฟ้า 3 เฟสเป็นระบบไฟฟ้าที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าส่วนมากใช้กันค่ะ ซึ่งระบบไฟก็จะเป็นระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส 4 สาย มีแรงดัน 380 โวลต์ โดยแบ่งเป็นสายไฟ 3 เส้นจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านที่เรียกว่า (Current Line) ส่วนสายอีกหนึ่งเส้นก็จะเป็นสายที่เดินไว้เฉยๆแต่ไม่มีกระแสไฟ เรียกว่า (Neutral Line) เพราะทุกโรงงานมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่มากกว่าไฟบ้านเยอะมาก ทุกท่านคงสังเกตเห็นแล้วใช่ไหมคะว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟส มีความแตกต่างกันอย่างไร

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเรามองในส่วนของราคาค่าติดตั้ง ค่าไฟที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนรวมไปถึงค่าดำเนินการอื่นๆที่ต้องเสียตอนติดตั้งทำให้ ระบบไฟฟ้า 3 เฟส ดูจะมีราคาที่สูงกว่า ระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส ค่อนข้างมาก แต่ความสามารถในการใช้งานระบบไฟ 3 เฟส ก็เป็นที่นิยมนำมาใช้กับโรงงานมากกว่า เพราะโรงงานต้องการการใช้ไฟฟ้าที่มาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรต่างๆในไลน์ผลิต มอเตอร์ต่างๆ ระบบเครื่องทำความเย็น ระบบไฟส่องสว่าง หรืออื่นๆก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้แรงดันไฟฟ้าที่สูงทั้งนั้น แต่เมื่อเรามองในระยะยาวนั้นระบบไฟฟ้า 3 เฟสก็สามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้เพราะสามารถต่อใช้งานแบบ 1 เฟสได้เช่นกันในส่วนงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังไฟสูงๆเช่น สำนักงานทั่วไป เมื่อเรารู้จักกับระบบของไฟฟ้ากันแล้วต่อไปเรามาทำความรู้จักเจ้าเครื่องมือวัดลำดับสามเฟส (Phase Detector) กันต่อเลยดีกว่าค่ะ

 

ครื่องวัดลำดับเฟส (PHASE DETECTOR) คืออะไร

 

เครื่องวัดลำดับเฟส (Phase Detector) เป็น เครื่องมือวัด ที่นำมาใช้เพื่อทดสอบว่าในระบบไฟฟ้ากระแสสลับแบบสามเฟสที่ท่านใช้อยู่นั้นมีการเรียงเฟสได้ถูกต้องหรือไม่ เช่น งานระบบไฟจ่าย, มอเตอร์สามเฟส, วงจรขับต่างๆ เพราะเครื่องจักรบางเครื่องที่ใช้มอเตอร์สามเฟสในการขับเคลื่อนนั้น หากมีการสลับเฟสเกิดขึ้นก็จะทำให้โหลดของมอเตอร์หมุนสลับทิศทาง จนก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวของเครื่องจักรได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้ใช้งานเองเสียเวลาในการแก้ไขหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นด้วยนะคะ ดังนั้นก่อนมีการใช้งานเครื่องจักร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำการตรวจวัดลำดับของเฟสก่อนเสมอว่าเรียงลำดับถูกต้องหรือไม่นั่นเอง และนอกจากตรวจสอบลำดับเฟสของมอเตอร์แล้วนั้น หากโรงงานหรือสถานประกอบการณ์ไหนมีการต่อใช้งานเบรกเกอร์หลายๆตัว ซึ่งการต่อสายเมนในตู้สวิทช์บอร์ดที่ใช้สำหรับจ่ายไฟให้กับเบรคเกอร์เหล่านั้นก็ควรจะต้องมีการตรวจสอบลำดับเฟสเช่นกันและลำดับของเฟสก็ควรเป็นเฟสแบบบวกซึ่งถือเป็นมาตรฐานสำหรับมอเตอร์และตู้ไฟ

และนอกจากนี้ควรหมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องวัดลำดับเฟส และนำเข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ สอบเทียบเครื่องมือวัดกับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดลำดับเฟสสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รูปที่ 3

 

จากรูปที่ 3 ลักษณะการเรียงลำดับของเฟสที่ถูกต้องแบ่งออกดังนี้

ลำดับเฟสบวกลำดับเฟสลบ

R → S → T                      R → T → S

S→ T → R                      S → R → T

T→ R → S                      T → S → R

 

หลักการทำงานเครื่องวัดลำดับเฟส ( PHASE DETECTOR ) โดยทั่วไป

ตัวเครื่องจะมีตัวอักษร R, S, T หรือ L1, L2, L3 และแสดงสถานะเป็นไฟ LED หรือเป็นดิจิตอลแสดงลำดับเฟส พร้อมเสียงเตือน (แล้วแต่ลักษณะการใช้ของเครื่องนั้นๆนะคะ)ถ้าตามเข็มนาฬิกา (Clockwise) ก็คือลำดับเฟสบวก แต่ถ้าทวนเข็มนาฬิกา (Counter Clockwise)ก็คือลำดับเฟสลบ

ถ้ามีการเรียงลำดับเฟสผิด ยกตัวอย่าง เช่น ถ้ามอเตอร์ต้องการลำลับเฟสเป็นบวก เเต่ป้อนลำดับเฟสเป็นลบ ก็จะทำให้มอเตอร์หมุนกลับทิศทางเเละเกิดความเสียหายตามมาได้

 

รูปที่ 4 ตัวอย่างหัวแคลมป์

 

ปัจจุบันมี เครื่องมือวัด หลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้โดยมีหัวแคลมป์ (รูปที่ 4) หนีบลงบนฉนวนที่หุ้มสายไฟในขณะที่ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ ทำให้เราไม่ต้องสัมผัสกับเนื้อโลหะโดยตรงซึ่งก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเราจะได้ไม่ถูกไฟดูด

โดยทั่วไปเครื่องแต่ละรุ่นนั้นจะมีข้อจำกัดอยู่ว่าควรใช้กับแรงดันไฟฟ้าเท่าไร ก่อนการเลือกใช้งานสิ่งที่ผู้ใช้ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือแรงดันไฟฟ้า (Volt) ของระบบที่จะใช้วัดนะคะ

 

ในปัจจุบันเครื่องวัดลำดับเฟสมีจำหน่ายมากมายหลายรุ่นและยังมีหลายราคาให้เลือกมากมาย ซึ่งทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ของเราก็ยังมีเครื่องมือวัดลำดับเฟสไว้บริการลูกค้า พร้อมทั้งยังสามารถนำเครื่องมือวัดลำดับเฟส เข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ  สอบเทียบเครื่องมือวัด กับห้องปฏิบัติการของ แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับ ISO/IEC 17025 : 2017 (ANAB) อีกด้วยนะคะ หากลูกค้าท่านใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทางเลยนะคะ ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ

 ผู้เขียน KATAI

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

วิธีการทดสอบการกัดกร่อนด้วยเครื่อง SALT SPRAY TESTER (เครื่องทดสอบละอองเกลือ)

SALT SPRAY TESTER เป็นเครื่องมือวัดเพื่อทดสอบชิ้นงานว่ามีความทนทานต่อการกัดกร่อนของโลหะหรือผิวชิ้นงานทั่วไป โดยหลักการจะเป็นการใช้วิธีการกัดกร่อนของละอองเกลือ

โดยวิธีการทดสอบของเครื่องเราสามารถวางชิ้นงานไว้ในตู้ SALT SPRAY TESTER แล้วควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 35 หรือ 50 องศาเซลเซียสตามชิ้นงานที่ต้องการจะทดสอบ และพ่นละอองน้ำเกลือเข้าไปที่ชิ้นงาน และดูความบกพร่องที่เกิดขึ้นกับชิ้นงาน เช่น มีรูพรุน ผิวชิ้นงานเปลี่ยนไปจากเดิม ผิวลอก ผิวพอง ผิวย่น เป็นต้น หากชิ้นงานเป็นเหล็กหรือสังกะสีเราก็มาสามารถดูจำนวนจุดที่เกิดสนิม สีของสนิมที่ชิ้นงานนั้นได้

เครื่องมือวัด SALT SPRAY TESTER นี้เรามักพบในอุตสาหกรรมยานยนต์พวกผลิตชิ้นส่วนรถยนต์,รถมอเตอร์ไซค์, ชิ้นส่วน AUTOPARTต่างๆ เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องทดสอบชิ้นงาน เพื่อดูว่าชิ้นงานนั้นมีความทนทานต่อการกัดกร่อนหรือไม่อย่างไร และผิวชิ้นงานที่ถูกเคลือบแล้วนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใดบ้าง

 

ทำไมเราจึงต้องสอบเทียบ SALT SPRAY TESTER ?

ในเครื่อง SALT SPRAY TESTER นั้น สิ่งที่ต้องควบคุมและมีผลต่อการทดสอบชิ้นงานคือ

1. อุณหภูมิที่อยู่ภายในตู้

2. แรงดันที่เครื่องพ่นละอองเกลือออกมา

3. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดสอบชิ้นงาน

4. กรดเกลือที่ผสม

ซึ่งทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) สามารถแคลิเบรท (Calibrate) หรือ สอบเทียบเครื่องมือวัด ได้ทั้งในส่วนของอุณหภูมิ(Temperature) แรงดัน(Pressure) และเวลาที่ตั้งค่าได้(Timer) ซึ่งได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จาก ANAB

สาเหตุที่เราจำเป็นต้องทำแคลิเบรท (Calibrate) หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดนั้น ก็เพื่อดูว่าในตู้ SALT SPRAY TESTER สามารถทำอุณหภูมิได้ตรงตามที่เราตั้งค่าไว้หรือไม่ และแรงดันที่กรดเกลือปล่อยออกมา อยู่ในแรงดันที่เหมาะสมหรือตรงตามที่เราตั้งค่าไว้หรือไม่ เพราะแรงดันและอุณหภูมินั้นมีส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลการทดสอบและการใช้งานเครื่อง SALT SPRAY TESTER อย่างมาก

โดยทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC ได้รับการรับรอง ISO:IEC 17025 ANAB ที่อุณหภูมิ (-30) ถึง 70 องศาเซลเซียส ด้วยวิธี WIRE สาย SENSOR 5 ตำแหน่งตามภาพด้านล่าง

 

เครื่องมือ STANDARD ที่ทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC ใช้ในการ สอบเทียบเครื่องมือ SALT SPRAY TESTER คือ HYDRA DATA LOGGERกับ THERMOCOUPLE TYPE T เป็น SENSOR ในการวาง 5 จุด

การใช้งานเครื่องมือวัด SALT SPRAY TESTER เบื้องต้น

1. นำชิ้นงานที่ต้องการจะทดสอบเข้าวางในเครื่องมือวัด SALT SPRAY TESTER

2. กดปุ่ม POWER เพื่อเปิดเครื่อง

3. กด SET อุณหภูมิ(Temperature), กด SET แรงดัน(Pressure), กดปุ่มปล่อย ละอองเกลือ

4. กดตั้งเวลา(Timer)ที่เราต้องการ TEST ชิ้นงาน เช่น 72 ชั่วโมง 240 ชั่วโมง หรือ 1 เดือน เป็นต้น

5. พอครบเวลาตามที่ตั้งไว้ เอาชิ้นงานออกมาดูสภาพผิวชิ้นงานที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อวิเคราะห์ชิ้นงานต่อไป

6. ปิดเครื่องมือวัดทุกครั้งหลังการใช้งาน

ข้อควรระวังในการใช้งาน เครื่องมือวัด SALT SPRAY TESTER

  1. ระวังกรดโดนมือตอนใส่หรือเปลี่ยนกรดเกลือ เพราะจะเป็นอันตรายกับผิวหนังและดวงตา อาจทำให้เราแสบและระคายเคืองผิวหนังได้ หากสัมผัสกรดเกลือควรรีบล้างด้วยน้ำสะอาดทันที
  2. ต้องปิดฝาให้สนิทก่อนกดเริ่มใช้งานเพราะถ้าเราปิดฝาไม่สนิทกรดเกลืออาจรั่วออกมาข้างนอกเครื่องมือวัดได้ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในการสูดดมหรือโดนผิวหนัง
  3. หมั่นตรวจดู PRESSURE GAUGE ว่าแรงดันอยู่ในระดับที่เราใช้งานหรือไม่

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือวัด เครื่องทดสอบละอองเกลือ หลังใช้งาน

  1. ต้องวางไว้ในห้องที่อุณหภูมิเหมาะสม ไม่วางกลางแจ้ง ซึ่งปรกติก็จะวางไว้ในห้องที่อุณหภูมิปรกติอยู่แล้ว และจัดวางในที่ที่ใช้งานสะดวก ใส่ชิ้นงานได้สะดวก
  2. ต้องล้างถังน้ำทิ้ง และทำความสะอาดถังน้ำทิ้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดสนิม
  3. หมั่นตรวจดูความสะอาดตัวเครื่องมือวัดอยู่เสมอ ทำความสะอาดภายในตู้หลังการใช้งาน
  4. เช็ดคราบเกลือบริเวณขอบฝาปิดเครื่องมือวัดหลังใช้งานเสมอ
  5. หมั่นตรวจเช็คสายท่อลมในระบบว่าแตกหรือมีรอยรั่วหรือไม่
  6. หมั่นสังเกตน้ำตรงขอบฝาปิด คอยดูตลอดไม่ให้น้ำแห้ง เพราะถ้าน้ำแห้งจะทำให้ไอเกลือรั่วออกมา อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
  7. นำเครื่องมือวัด เครื่องทดสอบละอองเกลือ เข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือการ สอบเทียบเครื่องมือวัด กับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าวัด SALT SPRAY TESTER สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากที่รู้จักเครื่องมือตัว SALT SPRAY TESTER และการใช้งานเครื่องมากขึ้นจากบทความนี้ ลูกค้าสามารถเรียกใช้บริการทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC ไปสอบเทียบเครื่องมือวัดได้นะคะ เราได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จาก ANAB ด้วยน๊า ^^

ผู้เขียน จุ๊บจิ๊บ วีไอพี

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

ข้อควรระวังในการใช้งาน Crane Scale (เครื่องชั่งแขวน)

Crane Scale (เครื่องชั่งแบบแขวน) อีกหนึ่งเครื่องมือวัดที่ลูกค้านิยมนำมา สอบเทียบเครื่องมือวัด ที่ แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ก็คือ Crane Scale หรือ  เครื่องชั่งแบบแขวน ซึ่งเป็นเครื่องชั่งอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมากมายในบ้านเรา เนื่องจากใช้งานง่าย เหมาะสมกับหน้างานที่ต้องการ และไม่มี Function ซับซ้อนเท่าไหร่

Crane Scale (เครื่องชั่งแบบแขวน) เป็นอีกหนึ่ง เครื่องมือวัด ที่พบเจอบ่อยๆตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รูปร่างหน้าตาก็จะคล้ายๆ กัน แตกต่างกันแค่รายละเอียดนิดหน่อย ตามแต่การออกแบบของผู้ผลิต (ตัวอย่างรูปที่ 1)

รูปที่ 1ทีนี้จะขอกล่าวถึงเรื่องของการแบ่งประเภทของการติดตั้งเครื่องชั่งแขวนที่พบเห็นกันตามโรงงานอุตสาหกรรม หรือ หน้างานต่างๆ

ประเภทที่ 1 ติดตั้งร่วมกับเครนภายในอาคารโรงงานอุตสาหกรรม

 

รูปที่ 2

ข้อดี

        1.Crane Scale สามารถเคลื่อนที่ไปตามคานของเครนที่ถูกออกแบบไว้อย่างมั่นคง 

        2.มีความเสถียรในการวัดค่าน้ำหนักได้ดี (มีการแกว่งน้อย) เพราะจับยึดอยู่กับคานของเครน

        3.ดูแลรักษาง่าย  สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องชั่งแบบแขวน ได้ เพราะติดตั้งและใช้งานภายในอาคาร ไม่โดนแดด หรือ ฝน

ข้อเสีย

        1.ค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องมีการวางคานระบบเครนภายในโครงสร้างของอาคารโรงงาน

        2.มีข้อจำกัดของการใช้งาน เพราะเครื่องชั่งจะเคลื่อนที่ได้ตามแนวคานที่ได้ออกแบบไว้เท่านั้น

 

ประเภทที่ 2 ติดตั้งร่วมกับเครนภายนอกอาคาร (ตัวอย่างรูปที่ 3)

รูปที่ 3

 

ข้อดี

        1.สะดวกในการติดตั้งและเคลื่อนย้าย

        2.ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เมื่อเทียบกับประเภทที่ 1

        3.การเคลื่อนที่ทำได้หลากหลาย สามารถปรับให้เหมาะกับหน้างานได้ง่าย

ข้อเสีย

        1.ความมั่นคงในการติดตั้งน้อยกว่าประเภทที่ 1 (อาจมีการแกว่งมากกว่า)

        2.อาจจะชำรุดได้ง่ายกว่า เนื่องจากต้องใช้ที่หน้างานภายนอกอาคาร อาจเจอแดดหรือฝน

 

ข้อควรระวังของเครื่องแบบชั่งแขวน

        1. การติดตั้งเครื่องชั่งแขวน ไม่ว่าจะเป็นประเภทที่ 1 (ติดตั้งร่วมกับเครนภายในอาคารโรงงานอุตสาหกรรม) หรือ ประเภทที่ 2 (ติดตั้งร่วมกับเครนภายนอกอาคาร) ควรคำนึงถึงความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก จุดสำคัญเลยคือพวกตะขอหรือชิ้นส่วน / อุปกรณ์จับยึดต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย หากพบความผิดปกติของชิ้นส่วน / อุปกรณ์เหล่านี้ ผู้ใช้งานต้องรีบแจ้งให้กับหัวหน้าหรือผู้รับผิดชอบรับทราบ เพื่อที่จะได้ให้ผู้ที่ชำนาญเรื่องนี้เข้ามาตรวจสอบต่อไป

        2. ไม่ควรแก้ไข / ดัดแปลงเครื่องชั่งแขวนด้วยตัวเอง ควรให้เจ้าหน้าที่หรือบริษัทที่ชำนาญการโดยตรง เข้ามาดำเนินการจะเหมาะสมและปลอดภัยกว่า

 

Crane Scale (เครื่องชั่งแขวน) การดูแลรักษา

หมั่นตรวจสอบเครื่องชั่งแขวนตามแผน ทั้งก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้ง

  • ตรวจดูที่สภาพภายนอก เช่น หน้าจอแสดงผลตัวเลขขึ้นครบ ชัดเจนหรือไม่
  • อุปกรณ์ / ชิ้นส่วนจับยึดต่างๆ ควรหมั่นดูแลไม่ให้เกิดสนิม อาจใช้น้ำมัน Sonax ฉีดตามจุดหมุนที่เป็นเหล็ก เพื่อขจัดและป้องกันสนิม
  • เข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างน้อยปีละ 1 ถึง 2 ครั้ง(ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน) เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่าเครื่องชั่งแขวน ของท่านจะยังคงอ่านค่าได้อย่างเที่ยงตรงตามเกณฑ์การยอมรับ(MPE)ที่กำหนด

            ซึ่งบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) มีบริการให้คำปรึกษาและบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ที่ได้รับรองมาตรฐานISO/IEC17025 จาก 2 สถาบัน ทั้งประเทศไทย (สมอ.) และประเทศสหรัฐอเมริกา (ANAB) ด้วยเครื่องมือคุณภาพที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำสูง และช่างสอบเทียบผู้ชำนาญงาน โดยให้บริการสองรูปแบบได้แก่ 

  • แบบรับกลับมาสอบเทียบที่ห้องปฏิบัติการ (In-Lab)
  • แบบออกไปบริการสอบเทียบที่หน้างาน (On-Site)

ซึ่งทั้งสองแบบนี้ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC จะใช้ Standard Weight ที่ได้รับการสอบเทียบและปรับค่า เครื่องมือวัด แล้ว ยังมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ระดับมาตรฐานสากล เป็น Standard ในการสอบเทียบค่ากับ เครื่องชั่งแขวนให้คุณมั่นใจได้ว่าผลการ สอบเทียบเครื่องมือ ใน Certificate นั้น เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้งานได้จริง

หากสนใจการบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เครื่องชั่งแขวน สามารถติดต่อสอบถามและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของ แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ผ่านช่องทางการติดต่อของบริษัทได้โดยตรง

หวังว่าทั้งหมดนี้คงจะพอมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับครั้งนี้ขอจบเรื่อง Crane Scale ไว้เพียงเท่านี้ก่อน ไว้พบกันครั้งต่อไป..ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องรอติดตามครับ…ขอบคุณครับ

 

ผู้เขียน CHOK AM

 

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร

—————

ขอใบเสนอราคา     ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง