คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

ทำความรู้จักกับเครื่องดูดจ่ายสารละลาย Dispenser

 Dispenser หรือ เครื่องดูดจ่ายสารละลาย

Dispenser หรือ เครื่องดูดจ่ายสารละลาย เป็นเครื่องมืออีกชนิดที่ผมจะขอหยิบยกมาพูดคุยกันในครั้งนี้ เจ้าดิสเพนเซอร์หรือ เครื่องดูดจ่ายสารละลายนี้ ใช้เพื่อการจ่ายของเหลว สารเคมี หรือสารเคมีอย่างแม่นยำและควบคุมได้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบเจอได้ตามห้องทดลอง หรือตามห้องแลบของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รูปร่างหน้าตาอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างตามลักษณะการออกแบบของแต่ละยี่ห้อ แต่ไม่ว่าจะยังไงจุดประสงค์เดียวกันคือ ใช้สำหรับดูด-จ่าย สารละลายนั่นเอง เรามาดูกันครับว่าเจ้าดิสเพนเซอร์ที่เกริ่นมานี้ รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวอย่างรูปที่ 1

รูปที่ 1

ซึ่งวัสดุภายในตัวเครื่องต้องผลิตมาจากวัสดุที่สามารถป้องกันการกัดกร่อนของสารเคมี (Excellent Chemical Resistance) ได้เป็นอย่างดี (ก็แหง๋ล่ะเพราะเจ้าตัวนี้มันอาจจะใช้งานกับสารเคมี) และส่วนมากดิสเพนเซอร์ที่ได้มาตรฐานจะผลิตมาจากวัสดุที่มีส่วนประกอบของ PTFE, FEP, BSG, PP เป็นต้น ก่อนและหลังใช้งาน ตัวเครื่องควรผ่านการนิ่งฆ่าเชื้อ (Autoclave able) ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าวัสดุที่จะนำมาทำตัวเครื่องดิสเพนเซอร์ (เครื่องดูดจ่ายสารละลาย) อย่างน้อยก็ต้องทนความร้อนได้ที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส นอกจากนั้นคุณสมบัติที่จำเป็นก็คือ ตัวเครื่องต้องสามารถทนแรงดัน (Vapor Pressure Max.) ได้ดีอีกด้วย อย่างน้อยก็ประมาณ 400-500 mbar และคุณสมบัติอื่นๆเช่น

  • สามารถหมุนล็อคปริมาณในการปล่อยของสารละลายได้
  • ตัวเครื่องสามารถต่อเข้ากับขวดของสารเคมีได้หลายขนาด

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือรูปร่างหน้าตาและคุณสมบัติที่สำคัญของเครื่องดูดจ่ายสารละลายชนิดกดปั๊มด้วยมือ แต่จริงๆแล้วถ้าจะเรียกให้ถูกต้องจะเรียกว่า Bottle Top Dispenser (เครื่องดูดจ่ายสารละลายชนิดกดปั๊ม)

แต่มาระยะหลังๆนี้ ก็สามารถพบเห็นห้องปฎิบัติการหรือผู้ใช้งานบางแห่งได้เปลี่ยนมาจากเครื่องดูดจ่ายสารละลายชนิดกดปั๊มมาเป็น Electronic Digital Bottle TopDispenser (เครื่องดูดจ่ายสารละลายอัตโนมัติ) ตัวอย่างรูปที่ 2

รูปที่ 2

จากรูปตัวอย่างทั้งสองจะเห็นได้ว่ารูปร่างหน้าตาจะใกล้เคียงกัน เพียงแต่แบบแรกจะเป็นแบบดั้งเดิม คือใช้มือกดปั๊มกับอีกแบบคือใช้การปั๊มอัตโนมัติ ทั้งสองแบบมีข้อดีและข้อด้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับงบประมาณของท่านแล้วล่ะครับว่าจะเลือกใช้แบบไหน ทั้งนี้คุณสมบัติที่สำคัญต่างๆก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แบบอัตโนมัติอาจจะได้เรื่องรูปร่างหน้าตาและความสะดวกเพิ่มเข้ามา แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่สูงกว่าแบบปั๊มมืออยู่ค่อนข้างมาก

การดูแลรักษาและข้อควรระวัง

  • ก่อนและหลังใช้งานควรทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนเก็บเข้าที่
  • ไม่ควรใช้กับสารละลายที่ค่าความหนืดเกินกว่าสเปคของเครื่องมือ
  • ไม่ควรแก้ไขดัดแปลงเครื่องมือด้วยตัวเอง
  • ถึงแม้เครื่องมือจะทนความร้อนได้พอสมควร แต่ไม่ได้ทนไฟ
  • ไม่ควรจัดเก็บในที่ความชื้นสูงมากจนเกินไป
  • หมั่นตรวจสอบเครื่องให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งานได้เสมอ
  • หมั่นส่งเครื่องมือมาสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC มีบริการให้คำปรึกษาและบริการสอบเทียบดิสเพนเซอร์ ในรูปแบบ Accredit 17025 ทั้ง สมอ. และ ANAB ครอบคลุมย่านการใช้งาน ถ้าหากมีข้อสงสัยตรงไหนทางห้องปฏิบัติการสอบเทียบก็ยินดีให้คำปรึกษาโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการในเรื่องนี้โดยเฉพาะ(ปรึกษาได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับงานสอบเทียบ) ก็ลองติดต่อกันเข้ามาตามช่องทางต่างๆได้เลยครับ

      เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับเรื่องเครื่องดูดจ่ายสารละลายทั้งแบบกดปั๊มด้วยมือและแบบอัตโนมัติ พอสังเขปในวันนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจไม่มากก็น้อยนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยกันไว้ ณ ที่นี้ด้วย แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า ขอบคุณครับ

 

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

สำรวจคุณสมบัติเด่นของ Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT เครื่องมือวัดที่คุณต้องรู้จัก

Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT

อุปกรณ์บันทึกข้อมูลขนาดเล็กสำหรับอุณหภูมิและความชื้น

Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลขนาดเล็กที่สามารถ บันทึกข้อมูลอุณหภูมิและความชื้น ได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่ รุ่น  Testo 174 T BT ถูกออกแบบมาสำหรับการวัดอุณหภูมิอย่างเฉพาะเจาะจง และในรุ่น Testo 174 H BT ถูกออกแบบมาสำหรับการวัดอุณหภูมิและความชื้น  อุปกรณ์ทุกชนิดสามารถบันทึกข้อมูลได้ถึง 16,000 ค่า และรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลด้วยระบบสำรองอัตโนมัติ ในกรณีที่แบตเตอรี่หมดหรือถูกเปลี่ยนเครื่องมือเหล่านี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิและความชื้นในคลังสินค้า รวมถึงการตรวจสอบสภาพภูมิอากาศในอาคารอย่างต่อเนื่องได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะใช้งานในส่วนไหนของอาคารสำนักงาน หรือสถานที่ที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างเคร่งครัด อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าและสภาพแวดล้อมของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเสมอ

และมีตัวซอฟต์แวร์ ComSoft Basic ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดฟรี จะช่วยให้สามารถตั้งค่าและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถส่งออกข้อมูลในรูปแบบ Excel และ PDF เพื่อการจัดทำเอกสารได้อย่างง่าย

คุณสมบัติหลักของ Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT

  • การอ่านข้อมูลอย่างรวดเร็วและสะดวกผ่าน USB-C
  • ซอฟต์แวร์มืออาชีพสำหรับการส่งออกข้อมูลในรูปแบบ Excel, การตั้งค่าโปรแกรม, การวิเคราะห์ข้อมูล และการรายงานในรูปแบบ PDF
  • ช่วงการวัดอุณหภูมิที่กว้างตั้งแต่ -30 °C ถึง +70 °C
  • การวัดความชื้นและอุณหภูมิอย่างแม่นยำในช่วง -20 °C ถึง +70 °C
  • การสำรองข้อมูลอัตโนมัติที่เชื่อถือได้ในกรณีแบตเตอรี่หมดหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ พร้อมทั้งพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุดถึง 16,000 ค่า

Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT เป็นรุ่นที่รองรับ Bluetooth และการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันมาพร้อมกับความสามารถในการใช้งานผ่าน Bluetooth และการแสดงผลข้อมูลการวัดผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่านแอปพลิเคชัน Testo Smart App ที่ให้ดาวน์โหลดฟรีในแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สามารถสร้างรายงาน PDF และส่งออกข้อมูลในรูปแบบ Excel พร้อมทั้งเพิ่มรูปภาพและความคิดเห็นลงในรายงานได้ นอกจากนี้ยังสามารถส่งข้อมูลผ่านอีเมล แอปพลิเคชันนี้รองรับทั้งระบบ iOS และ Android อุปกรณ์ บันทึกข้อมูลอุณหภูมิและความชื้น เหล่านี้มีราคาที่คุ้มค่าและรับประกันความแม่นยำของผลการวัดด้วยเทคโนโลยีการวัดที่ทันสมัย พร้อมเซ็นเซอร์ที่ทนทานเพื่อความเสถียรของข้อมูลที่วัดได้ สำหรับการปฏิบัติตามและจัดทำเอกสารตามมาตรฐานการควบคุมคุณภาพ

รายละเอียดทางเทคนิคของรุ่น Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT

  • ชนิดเซ็นเซอร์: ดิจิทัล
  • ช่วงการวัด: -30 ถึง +70 °C
  • ความแม่นยำ: ±0.5 °C
  • ความละเอียด: 0.1 °C
  • จำนวนช่องสัญญาณ: 1 ช่องภายใน
  • ชนิดแบตเตอรี่: ลิเธียม 2 ก้อน (CR2032)
  • อายุแบตเตอรี่: 500 วัน (รอบการวัด 15 นาที ที่อุณหภูมิ 25 °C)
  • อุณหภูมิการทำงาน: -30 ถึง +70 °C
  • อุณหภูมิการเก็บรักษา: -40 ถึง +70 °C
  • ขนาด: 60 x 38 x 18.5 มม.
  • น้ำหนัก: 35 กรัม
  • การรับรอง: EN12830, HACCP, NSF
  • ระดับการป้องกัน: IP65
  • รอบการวัด: 1 นาที ถึง 24 ชั่วโมง
  • หน่วยความจำ: 16,000 การอ่านค่า
  • การเชื่อมต่อ: Bluetooth

ซอฟต์แวร์ที่รองรับรุ่น Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT

  1. Testo Smart App: ใช้งานสำหรับการตั้งค่าเครื่องมือ การประเมินข้อมูลการวัด และการสร้างรายงาน
  2. ComSoft Basic: ซอฟต์แวร์พื้นฐานสำหรับการตั้งค่าและอ่านค่าข้อมูล พร้อมการแสดงผลในรูปแบบกราฟและตาราง รวมถึงฟังก์ชันการส่งออกข้อมูล
  3. ComSoft Professional: ซอฟต์แวร์มืออาชีพสำหรับการเก็บถาวรข้อมูล การตั้งค่า และการรวมข้อมูลการวัดจากหลายสถานที่

หากคุณต้องการสั่งซื้อสินค้า คุณสามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่ Calibration Laboratory หรือ CLC เรามีจำหน่ายพร้อมบริการสอบเทียบเครื่องมือวัดตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 (ACC.ANAB)

สุดท้ายนี้เราขอแนะนำ Testo 174 T BT และ Testo 174 H BT เป็นตัวเลือกหรือเป็นผู้ช่วยที่คุ้มค่าและใช้งานง่ายสำหรับทุกความต้องการในการตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้น ช่วยให้คุณทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ

BDS TEAM

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) แบบ Preset และแบบ Adjustable แตกต่างกันอย่างไร?

ไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) แบบ Preset และแบบ Adjustable แตกต่างกันอย่างไร?

ไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) หรือ ไขควงปอนด์ เป็นเครื่องมือที่จะต้องมีไว้ในกล่องเครื่องมือพื้นฐาน หรือมีอยู่ในชุดเครื่องมืออเนกประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นช่างหรือไม่ใช่ช่างก็คงมีไว้ ในการใช้ขันสกรูให้แน่นหรือคลายสกรูออก ซึ่งไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) จะประกอบด้วยแท่งโลหะ ส่วนปลายใช้สำหรับยึดกับสกรู ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกัน เพื่อให้ใช้ได้กับสกรูชนิดต่าง ๆ และมีแท่งสำหรับจับคล้ายทรงกระบอกอยู่อีกด้านหนึ่งสำหรับการไขด้วยมือ หรือไขควงบางชนิดอาจจะหมุนด้วยมอเตอร์ก็ได้  ขนาดและรูปทรงของไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) ถูกออกแบบให้เป็นไปตามลักษณะการใช้งานที่เหมาะสม เพื่อให้การประกอบเข้ากันกับชิ้นงานมีคุณภาพมากที่สุด และไม่ทำให้สกรูเกิดความเสียหาย

ไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) แบบ Preset และแบบ Adjustable แตกต่างกันอย่างไร

ไขควงทอร์คที่นิยมถูกนำมาใช้งานกันทั่วไปจะเป็น แบบ Preset Type จะใช้ขันสกรูได้ค่าแรงบิดเพียงค่าเดียวตลอดการใช้งาน ไม่สามารถใช้งานค่าอื่นได้ นอกจากค่าที่ระบุไว้เท่านั้น ซึ่งจะเหมาะกับการประกอบงานซ้ำๆ โดยสังเกตได้จากตัวเครื่องมือจะไม่มีขีดสเกลระบุไว้

ส่วนแบบ Adjustable Type จะสามารถใช้งานได้หลากหลายกว่า แบบ Preset Type จะขันสกรูที่มีหลายชนิด มีค่าแรงบิดไม่เท่ากันในแต่ละชิ้นงานได้ ตัวอย่างเช่น การขันสกรูเพื่อยึดชิ้นงานด้วยแรงบิด 20 N·m  25 N·m และ 30 N·m เป็นต้น

วิธีเลือกใช้ไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) ควรต้องเลือกยังไง

  1. พิจารณาเลือกชนิดของไขควงทอร์ค ว่าเป็นแบบ Preset หรือแบบ Adjustable
  2. เลือกจากรูปแบบการแสดงผลค่าแรงบิดเป็นแบบหน้าปัดดิจิทัล, แบบขีดสเกลหรือแบบเข็มหน้าปัด

รูปแสดงตัวอย่าง Torque Screwdriver แบบหน้าปัดดิจิทัล

รูปแสดงตัวอย่าง Torque Screwdriver แบบขีดสเกล

รูปแสดงตัวอย่าง Torque Screwdriver แบบเข็มหน้าปัด

  1. เลือกขนาดหัวไขควงให้เหมาะกับค่าแรงบิดที่จะใช้งาน ใช้เป็นหน่วยวัดอะไร นิวตันเมตร(N.m) ฟุตปอนด์(ft.lb) กิโลกรัมเซนติเมตร(kg.cm) นิ้วปอนด์(in.lb) เป็นต้น
  2. ลักษณะด้ามจับ ตัวด้ามต้องพอเหมาะมือ จับกระชับไม่ลื่น ไม่เกร็งเวลาใช้งานและใช้แรงขันได้ดี
  3. วัสดุที่ใช้ทำหัวไขควง ที่เป็นแบบแฉก, แบบแบนหรือแบบทอร์ค จะต้องทำจากเหล็กที่มีความแข็งทนทานสูง สังเกตตัวไขควงที่มีคุณภาพสูงตรงหัวไขควงจะเป็นสีดำ  ซึ่งจะมีส่วนผสมของเหล็กคาร์บอนสูงที่มีความแข็ง แต่ข้อเสียของเหล็กคาร์บอนสูงจะแตกง่ายกว่าคาร์บอนต่ำถ้าบิดเกิน Spec แต่หากใช้ตาม Spec จะใช้งานได้นาน

ข้อแนะนำและการบำรุงรักษาไขควงทอร์ค (Torque Screwdriver) 

  • ควรเลือกใช้ไขควงให้เหมาะสมกับประเภทของงานที่ปฏิบัติ
  • ตรวจสอบปลายของไขควงว่ามีลักษณะตรงกับชนิดของร่อง และมีขนาดพอดีกับร่องของหัวสกรูที่จะทำการไขหรือคลายสกรู
  • ห้ามใช้ไขควงตอกหรือสกัด
  • ห้ามใช้ไขควงที่ปากบิ่นหรือปากสึกหรอ รวมทั้งที่ด้ามหลวมหรือด้ามแตก
  • ไม่ควรใช้ไขควงงัดแงะแทนเหล็กสกัด เพราะจะทำให้ไขควงเกิดความเสียหายได้
  • เมื่อไขควงชำรุดหรือเสียหาย ไม่ควรนำมาใช้ต่อ
  • หลังใช้งาน ควรทำความสะอาดแล้วทาน้ำมันหรือกันสนิม เช็ดให้แห้งแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

หากไม่สอบเทียบเครื่องมือวัด ในอุตสาหกรรมรถยนต์ จะเกิดผลอย่างไร

สอบเทียบเครื่องมือวัด ความสำคัญในการผลิตและประกอบชิ้นส่วนรถยนต์อย่างแม่นยำ

กระบวนการผลิตรถยนต์ที่ต้องใช้เครื่องมือวัด
ในการผลิตและประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ กระบวนการต่างๆ ล้วนต้องการความแม่นยำสูง ซึ่งต้องใช้เครื่องมือวัดหลากหลายประเภท ตัวอย่างขั้นตอนการผลิตรถยนต์ เช่น

1.การปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนโลหะ (Stamping Process)

ในกระบวนการ ปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนโลหะ (Stamping Process) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น แผ่นตัวถัง ประตู ฝากระโปรง หรือชิ้นส่วนโครงสร้างต่างๆ จะใช้ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) และ เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper) เพื่อวัดขนาดและความแม่นยำของชิ้นส่วนโลหะ ดังนี้

🛠️ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer)

ใช้สำหรับวัดความหนาของชิ้นส่วนโลหะที่ผ่านการปั๊มขึ้นรูป

  • วัตถุประสงค์: ตรวจสอบว่าความหนาของแผ่นโลหะตรงตามมาตรฐานหรือไม่ เพื่อให้ชิ้นส่วนมีความแข็งแรงและปลอดภัย
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • วัดความหนาของแผ่นโลหะก่อนและหลังการปั๊ม
    • ตรวจสอบความสม่ำเสมอของความหนาในแต่ละจุดของชิ้นส่วน
    • ใช้ควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เพื่อลดการเกิดของเสีย (Scrap)

📏 เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper)

ใช้สำหรับวัดขนาดภายนอก เส้นผ่านศูนย์กลาง ความกว้าง และความลึกของชิ้นส่วนโลหะ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นส่วนโลหะที่ปั๊มขึ้นรูปมีขนาดพอดีกับการประกอบในขั้นตอนถัดไป
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • วัดขนาดของขอบ ขนาดรู (เช่น รูสำหรับสกรูหรือน็อต)
    • วัดระยะระหว่างจุดยึดหรือจุดเชื่อมต่อ (Fitting Points)
    • ใช้ในการตรวจสอบแบบสุ่ม (Sampling Inspection) ระหว่างการผลิต

🔍 ความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัด

การสอบเทียบเครื่องมือวัดเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ (Calibration) จะช่วยให้การวัดค่ามีความแม่นยำ หากเครื่องมือวัดให้ค่าไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้

  • ชิ้นส่วนโลหะที่ปั๊มขึ้นรูปมีขนาดผิดเพี้ยน ทำให้ไม่พอดีกับการประกอบ
  • เกิดปัญหาในขั้นตอนการประกอบ เช่น การเชื่อมไม่แน่น หรือชิ้นส่วนติดขัด
  • ความปลอดภัยของรถยนต์ลดลง โดยเฉพาะในส่วนโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนัก

การใช้ไมโครมิเตอร์และเวอร์เนียคาลิปเปอร์อย่างถูกต้อง ร่วมกับการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้กระบวนการปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วนโลหะในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงตรงตามมาตรฐานการผลิต 😊

2. กระบวนการเชื่อม (Welding Process)

ในกระบวนการ เชื่อม (Welding Process) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการประกอบชิ้นส่วนโลหะของรถยนต์ เช่น โครงสร้างตัวถัง (Body Frame) ชิ้นส่วนช่วงล่าง (Chassis) และชิ้นส่วนโครงเหล็ก (Steel Components) จะใช้ เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ (Laser Distance Meter) และ เครื่องวัดมุม (Angle Gauge) เพื่อควบคุมความแม่นยำและคุณภาพในการเชื่อม ดังนี้

🔭 เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ (Laser Distance Meter)

ใช้สำหรับวัดระยะทางและความตรงของชิ้นส่วนก่อนและหลังการเชื่อม

  • วัตถุประสงค์: เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนโลหะถูกเชื่อมในตำแหน่งที่ถูกต้อง และระยะระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ตรงตามแบบ (Blueprint)
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • ตรวจสอบระยะห่างระหว่างจุดเชื่อม (Welding Points) บนโครงสร้างรถยนต์
    • วัดความตรงของแนวเชื่อม (Weld Line) เช่น ในการเชื่อมแผ่นตัวถังรถ (Body Panel)
    • ใช้ในกระบวนการควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของระยะ

📐 เครื่องวัดมุม (Angle Gauge)

ใช้สำหรับตรวจสอบมุมในการเชื่อมของชิ้นส่วนโลหะ เพื่อให้ได้มุมการประกอบที่ถูกต้อง

  • วัตถุประสงค์: เพื่อควบคุมมุมของการเชื่อมให้ตรงตามมาตรฐาน โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องการความแข็งแรงและความปลอดภัยสูง
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์
    • ตรวจสอบมุมในการเชื่อมโครงสร้าง (Frame Welding) เช่น การเชื่อมจุดเชื่อมต่อระหว่างคาน (Beam)
    • วัดมุมการติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ เช่น บานพับประตู (Door Hinges) หรือมุมกระจกหน้า (Windshield)
    • ช่วยในการตั้งตำแหน่งชิ้นส่วนก่อนการเชื่อม เพื่อลดโอกาสการเกิดการบิดเบี้ยว (Distortion)

🚦 ความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัดในการเชื่อม

เครื่องมือวัดทั้งสองประเภทจำเป็นต้องได้รับการ สอบเทียบ (Calibration) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าค่าที่วัดได้แม่นยำ

  • ผลเสียหากไม่สอบเทียบ
    • หากเครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ให้ค่าที่คลาดเคลื่อน อาจทำให้ระยะห่างระหว่างชิ้นส่วนไม่พอดี ส่งผลให้โครงสร้างรถยนต์อาจมีความไม่แข็งแรง
    • หากเครื่องวัดมุมไม่แม่นยำ มุมของการเชื่อมอาจผิดเพี้ยน ทำให้ชิ้นส่วนที่เชื่อมไม่พอดีกัน ส่งผลต่อคุณภาพการประกอบ และอาจเกิดเสียงรบกวนขณะขับขี่ (Rattling Noise)
    • ความผิดพลาดในการเชื่อมโครงสร้างหลักอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

การใช้เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์และเครื่องวัดมุมอย่างถูกต้อง พร้อมกับการสอบเทียบเครื่องมือวัดเป็นประจำ จะช่วยให้การเชื่อมชิ้นส่วนรถยนต์เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความแข็งแรงของรถยนต์ได้อย่างมั่นใจ 😊

3. การประกอบเครื่องยนต์ (Engine Assembly)

ในกระบวนการ การประกอบเครื่องยนต์ (Engine Assembly) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ถือเป็นหัวใจหลักที่ส่งกำลังให้กับรถยนต์ จึงต้องใช้เครื่องมือวัดที่แม่นยำ เช่น เกจวัดความดัน (Pressure Gauge) และ ไดอัลเกจ (Dial Gauge) เพื่อควบคุมคุณภาพและความแม่นยำในทุกขั้นตอน ดังนี้:

🔧 เกจวัดความดัน (Pressure Gauge)

ใช้สำหรับวัดความดันในระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ เช่น ระบบหล่อลื่น (Lubrication System) และระบบเชื้อเพลิง (Fuel System)

  • วัตถุประสงค์

    • ตรวจสอบแรงดันน้ำมันเครื่อง (Oil Pressure) ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์
    • วัดแรงดันในระบบเชื้อเพลิง เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันเชื้อเพลิงถูกส่งไปยังหัวฉีด (Fuel Injector) อย่างถูกต้อง
    • ใช้ในการทดสอบแรงดันห้องเผาไหม้ (Cylinder Pressure) เพื่อประเมินการทำงานของเครื่องยนต์
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์

    • ทดสอบแรงดันของระบบต่างๆ ก่อนและหลังการประกอบเครื่องยนต์
    • ใช้ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Inspection) เช่น การทดสอบการรั่วซึมของซีล (Seal Leak Test)
    • ช่วยในการปรับตั้งค่าระบบเครื่องยนต์ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด

🧭 ไดอัลเกจ (Dial Gauge)

ใช้สำหรับวัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance) หรือระยะการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ เช่น ลูกสูบ (Piston) และเพลาลูกเบี้ยว (Camshaft)

  • วัตถุประสงค์

    • ตรวจสอบระยะห่างวาล์ว (Valve Clearance) เพื่อให้การเปิด-ปิดวาล์วเป็นไปอย่างแม่นยำ
    • วัดระยะการเคลื่อนที่ของลูกสูบในกระบอกสูบ (Piston Travel) เพื่อป้องกันการกระทบกับชิ้นส่วนอื่นๆ
    • ประเมินความเรียบของพื้นผิว (Flatness) เช่น หน้าสัมผัสของฝาสูบ (Cylinder Head)
  • การใช้งานในกระบวนการผลิตรถยนต์

    • ใช้วัดความตรงของเพลา (Shaft Alignment) และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนของชิ้นส่วนแบบหมุน (Rotational Components)
    • ตรวจสอบระยะห่างของฟันเกียร์ (Gear Backlash) เพื่อให้การขบกันของเกียร์ราบรื่น
    • ช่วยในการตั้งตำแหน่งของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ขณะประกอบ

🚦 ความสำคัญของการสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration)

การสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะในเครื่องมือวัดที่ใช้ในกระบวนการประกอบเครื่องยนต์

  • ผลเสียหากไม่สอบเทียบ
    • เกจวัดความดันให้ค่าที่ผิดพลาด อาจทำให้แรงดันในระบบเครื่องยนต์ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์ร้อนเกินไป (Overheating) หรือเกิดการสึกหรอเร็วขึ้น
    • ไดอัลเกจที่ไม่แม่นยำ อาจทำให้การวัดระยะห่างชิ้นส่วนไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน (Vibration) และเสียงรบกวน (Noise) ขณะเครื่องยนต์ทำงาน
    • การประกอบเครื่องยนต์ด้วยข้อมูลการวัดที่ไม่แม่นยำ อาจนำไปสู่ปัญหาคุณภาพ เช่น เครื่องยนต์ไม่สามารถจุดระเบิดได้เต็มที่ (Misfiring) หรือประสิทธิภาพการใช้น้ำมันลดลง

การใช้ เกจวัดความดัน และ ไดอัลเกจ ร่วมกับการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างถูกต้อง จะช่วยให้การประกอบเครื่องยนต์ในอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อปัญหาการใช้งาน และช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ

 

การสอบเทียบเครื่องมือวัด คืออะไร?

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

ซื้อเครื่องมือด้านแรงบิดและแรง   บริการสอบเทียบด้านแรงบิดและแรง

การกำหนดคุณลักษณะของเครื่องแก้วปริมาตร

การกำหนดคุณลักษณะของ เครื่องแก้ว ปริมาตร

การแบ่งคุณลักษณะของ เครื่องแก้ว ปริมาตร สามารถแบ่งได้ดังนี้

1.แบ่งโดยระดับชั้นคุณภาพ

เครื่องแก้ววัดปริมาตร (Volumetric Glassware) สามารถแบ่งได้ตามระดับชั้นคุณภาพ (Class) ได้ 2 ระดับชั้นคุณภาพตามความแม่นยำ (Accuracy) คือ Class A และ Class B ซึ่งจะถูก

กำหนดด้วยค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ (Tolerance)

  • Class A  ใช้สัญลักษณ์ A เป็นเครื่องแก้วที่มีความแม่นยำสูง มีค่าความคลาดเคลื่อนของปริมาตร (Tolerance) ต่ำ เหมาะสำหรับงานทดสอบ งานวิเคราะห์ที่ต้องการความแม่นยำสูง
  • Class B  ใช้สัญลักษณ์ B เป็นเครื่องแก้วที่มีความแม่นยำต่ำกว่า Class A มีค่าความคลาดเคลื่อนของปริมาตร (Tolerance) เป็น 2 เท่า ของเครื่องแก้ว Class A

ตัวอย่างเครื่องแก้วที่ผลิตตามมาตรฐานจะมีการชี้บ่งที่ตัวของเครื่องแก้ว

2.การแบ่งประเภทการใช้งานของ เครื่องแก้ว

เครื่องแก้ววัดปริมาตรในห้องปฏิบัติการ จะแบ่งตามวิธีการใช้งาน ได้แก่ เครื่องแก้ววัด

ปริมาตรชนิดการใช้งานสำหรับบรรจุของเหลว (To Contain) และเครื่องแก้ววัดปริมาตรชนิดการใช้

งานสำหรับถ่ายของเหลว (To Deliver)

  • เครื่องแก้ววัดปริมาตรชนิดการใช้งานสำหรับบรรจุของเหลว (To Contain) จะมีอักษรย่อ

TC หรือ In หรือ C ปริมาตรที่ระบุบนเครื่องแก้วจะเป็นปริมาตรน้ำกลั่นที่บรรจุภายในเครื่องแก้วนั้นที่อุณหภูมิอ้างอิง โดยทั่วไปเป็นอุณหภูมิ 20oC เครื่องแก้วชนิดนี้ใช้ในการบรรจุของเหลวที่ต้องการปริมาตรที่ถูกต้อง เช่น การเตรียมสารละลาย การเจือจางสารละลาย และการวัดปริมาตรของเหลวที่บรรจุในเครื่องแก้ว ห้ามนำไปใช้ในการตวงหรือการถ่ายของเหลว เพราะจะทำให้ปริมาตรที่ถ่ายออกมาไม่ครบตามที่ระบุ เนื่องจากมีบางส่วนติดอยู่ภายในภาชนะไม่ว่าจะถ่ายออกด้วยวิธีใด

  • เครื่องแก้ววัดปริมาตรชนิดการใช้งาน สำหรับถ่ายของเหลว (To Deliver) จะมีอักษรย่อ

TD หรือ Ex หรือ D ปริมาตรที่ระบุบนเครื่องแก้วจะเป็นปริมาตรของน้ำกลั่นที่ถ่ายออกจากเครื่องแก้วนั้นที่อุณหภูมิอ้างอิง เครื่องแก้วชนิดนี้สำหรับตวงหรือการถ่ายของเหลว โดยการถ่ายจะต้องปฏิบัติตามวิธีที่กำหนดในวิธีมาตรฐาน ซึ่งจะได้ปริมาตรที่ระบุ

ตัวอย่าง

 

 

ผู้เขียน LAB 7

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

 

 

 

เทคนิคการสอบเทียบ นาฬิกาจับเวลา (Stopwatch) และ ตัวจับเวลา (Timer)

เทคนิคการสอบเทียบ นาฬิกาจับเวลา และ ตัวจับเวลา (Calibration Techniques for Stopwatch and Timer)

เครื่องมือวัด ประเภท นาฬิกาจับเวลา และตัวจับเวลา สามารถนำมาใช้ได้กับหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งทั้งสองประเภทนั้น
มีความแตกต่างกัน

นาฬิกาจับเวลาและตัวจับเวลา (Stopwatch and Timer)

นาฬิกาจับเวลา (Stopwatch)

  • เครื่องกลหรือดิจิตอล (Mechanical or digital)
  • ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ หรือ แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ Spring Drive
  • ใช้วัดเวลาที่ผ่านไปจากจุดเริ่มต้น
  • สามารถหยุดและอ่านเวลาที่ผ่านไปได้

ตัวจับเวลา (Timer)

  • เครื่องกลหรือดิจิตอล (Mechanical or digital)
  • ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ หรือ แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
  • สามารถตั้งค่าช่วงเวลาที่ต้องการวัด
  • นับถอยหลังถึงศูนย์ (Counts down to zero)
  • มีเสียงเตือนเมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้

ชนิดของนาฬิกาจับเวลา (Types of Stopwatch)

ชนิดที่ 1 นาฬิกาจับเวลาแบบ ดิจิตอล (Digital Stopwatch)

  • มีความแม่นยำสูง
  • ง่ายต่อการใช้งาน
  • ใช้แบตเตอรี่ และ คริสตัลควอทซ์ (quartz crystal)

ชนิดที่ 2 นาฬิกาจับเวลาแบบเครื่องกล (Mechanical Stopwatch)

  • ความละเอียด 1/5 วินาทีถึง 1/100 วินาที
  • โดยปกติขับเคลื่อนด้วยสปริง (Spring Drive) หรือ การเคลื่อนไหวทางกล (Mechanical movement)

 

ตัวจับเวลา (Timer)

 

 

วิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ประเภทตัวจับเวลาและนาฬิกาจับเวลา (Timer and Stopwatch Calibration Methods)

วิธีการที่ใช้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ภายใต้การทดสอบ (DUT) และมาตรฐาน (Standard) ที่มีอยู่

1.วิธีการสอบเทียบโดยใช้การเปรียบเทียบโดยตรง (Direct Comparison Method) 

แหล่งที่มาของเวลาที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceable Time Source) ใช้เพื่อเริ่มและหยุดนาฬิกาจับเวลา

  • สามารถตรวจสอบแหล่งที่มา (Source) ได้โดยใช้โทรศัพท์ (Telephone) หรือเครื่องรับวิทยุ (Radio Receiver)
  • เมื่อเวลาเดิน กดเริ่มนาฬิกาจับเวลาและบันทึกค่า
  • รอเวลาที่เหมาะสม
    • ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความแม่นยำของนาฬิกาจับเวลา
    • ยิ่งระยะเวลามาก ผลกระทบจากผู้ปฏิบัติงานยิ่งน้อย
  • รอเวลาที่เหมาะสม
  • เมื่อเวลาเดินถึงเป้าหมายที่ต้องการ กดหยุดนาฬิกาจับเวลาและบันทึกค่า
  • นำเวลาที่หยุดลบด้วยเวลาที่เริ่มจากแหล่งที่มา (Source) นำมาเปรียบเทียบกับเวลาที่หยุด ลบด้วยเวลาที่เริ่มจากนาฬิกาจับเวลา (Stopwatch)

2.วิธีการสอบเทียบโดยใช้การรวม (Totalize Method)

  • คล้ายกับการเปรียบเทียบโดยตรง ใช้มาตรฐานการรับรองท้องถิ่น
    • ห้องปฏิบัติการอ้างอิงความถี่ (Laboratory frequency reference)
    • เครื่องสังเคราะห์เสียง (Synthesizer)
    • ตัวนับช่วงเวลา (Time-interval counter)
    • เครื่องสังเคราะห์เสียงใช้อ้างอิงความถี่เป็นฐานเวลาภายนอก
  • ตั้ง Counter เป็น TOTALIZE
  • ใช้สัญญาณคลื่นสี่เหลี่ยม (Square wave signal) 1 kHz จากเครื่องสังเคราะห์เสียง
  • เปิด Gate ของ Counter และเริ่มจับเวลานาฬิการจับเวลา (Stopwatch) พร้อมกัน
    • ใช้ปุ่มเริ่ม/หยุดของนาฬิกาจับเวลาเพื่อกดปุ่ม Gate ของ Counter

 

 

3.วิธีการสอบเทียบโดยใช้ฐานเวลา (Time Base Method)

  • ใช้เครื่องสอบเทียบนาฬิกาจับเวลาที่ผ่านการรับรอง
  • โดยฐานเวลาของนาฬิกาจับเวลาวัดคือ
    • 32,768 Hz (215 Hz) สำหรับนาฬิกาคริสตัลควอตซ์ส่วนใหญ่
    • 4.19 MHz สำหรับนาฬิกา LED รุ่นเก่า
  • ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ต่ำสุดที่ 0.05 วินาที/วัน (± 5.80 x 10-7 หรือ 0.000058%)
  • ยังสามารถใช้เพื่อสอบเทียบนาฬิกาจับเวลาแบบกลไก (ขับเคลื่อนด้วยสปริง) ได้

 

ผู้เขียน L5

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

เครื่องวัดความเค็ม เป็นอย่างไร

อย่างที่รู้กันดีการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หรือมีปริมาณโซเดียมสูงเกินไปนั้น จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว จึงต้องมีการตรวจสอบด้วย เครื่องวัดความเค็ม ถึงแม้ว่าโซเดียมจะช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายและช่วยในการทำงานของเส้นประสาทรวมถึงกล้ามเนื้อให้เป็นปกติดี แต่การได้รับโซเดียมหรือความเค็มปริมาณสูงเกินไปนั้น จะก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้ ทั้งโรคความดันสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และโรคไตเรื้อรัง ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นโรคยอดฮิตอันดับต้นๆ ของคนไทย เนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนไทยที่ชอบทานอาหารที่มีรสจัดซึ่งรวมไปถึงการปรุงอาหารด้วยเกลือ, น้ำปลา, ผงชูรส, ซีอิ๊ว, เต้าเจี้ยว, น้ำมันหอย และเครื่องปรุงต่างๆ ด้วยนั้นเอง เพราะฉะนั้น เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีและยั่งยืน การลดเค็มเท่ากับลดโรคต่างๆลงได้ และระดับความเค็มในอาหารควรเป็นเท่าไหร่ที่จะกินได้อย่างปลอดภัยและพอดีล่ะ? แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารที่เราบริโภคทุกวันนี้มันมีความเค็มเท่าไหร่?…วันนี้ผู้เขียนจะพามาแนะนำผู้ช่วยในการตรวจสอบความเค็มในอาหารนั้นคือ !!!

Salt Meter หรือ Salinity Meter (เครื่องวัดความเค็ม)

เครื่องมือความเค็ม (Salinity Meter หรือ Salt Meter) คือ เครื่องมือวัดความเค็มชนิดหนึ่ง ที่ได้ค่าจากการวัดความเข้มข้นของเกลือที่ละลายในน้ำ โดยจะมีพลังงานไฟฟ้ามากกว่าน้ำเปล่าๆ การทดสอบโดยการส่งผ่านกระแสไฟฟ้า (Electrical Conductivity หรือ EC) และแปลงออกมาเป็นค่าความเค็มโดยอาศัยหลักการหักเหของแสงที่มีหน่วยในการวัดเป็น % หรือ ppt (ที่เข้าใจในชื่อ เครื่องวัดความเค็ม ppt) ซึ่งเครื่องวัดความเค็มส่วนใหญ่จะใช้ในการควบคุมคุณภาพน้ำเพื่อระบุว่าน้ำปลอดภัยสำหรับการชลประทานหรือไม่ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเกษตร หรือควบคุมคุณภาพปริมาณความเค็มในงานอุตสาหกรรมด้านอาหาร (หรือที่เรียกกันว่า เครื่องวัดความเค็มในอาหาร) เช่น การผลิตอาหารสำเร็จรูป น้ำผลไม้ เครื่องปรุงและเครื่องดื่มต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยในเรื่องสุขภาพ

 

ความเค็ม หมายถึง ระดับความเข้มข้นของโซเดียมที่ละลายอยู่ในน้ำ ซึ่งมาตราฐานความเค็มอ้างอิงจากน้ำทะเลเท่ากับ 35 ppt น้ำทะเลจะมีโซเดียมที่ละลายอยู่เช่น โซเดียมแมกนีเซียม แคลเซียมและโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) หรือที่เรียกกันว่าเกลือแกง เป็นสารที่ให้ความเค็มที่พบได้บ่อยที่สุด โซเดียมจะพบได้ในอาหารหลากหลายชนิดตามธรรมชาติ เช่น นม เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลต่างๆ และมักพบในอาหารแปรรูปจำนวนมากอย่างเช่นขนมปัง, เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน, ขนมขบเคี้ยว เครื่องปรุงต่างๆ เช่น โมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) ซึ่งใช้เป็นวัตถุปรุงรสอาหาร 

 

หน่วยการวัดค่า Salinity

1) หน่วย % (เปอร์เซ็นต์) หมายถึงทุกกิโลกรัม (ประมาณหนึ่งลิตรโดยปริมาตร) ของโซเดียมละลายอยู่

2) หน่วย ppt (ส่วนในพันส่วน) เขียนย่อเป็น % มีค่าเท่ากับกรัม/ลิตร (g/L)

3) ความเค็มในหน่วย PSU (Practical salinity unit) มาตราส่วนความเค็มเชิงปฏิบัติ

หมายเหตุ: 1 ppt = 1,000 ppm = 1,000 mg/L = 0.1 เปอร์เซ็นต์

หลักการทำงานและวิธีการใช้งาน Salinity Meter หรือ Salt Meter

เราสามารถวัดค่า Salinity โดยใช้หลักการวัดค่า Conductivity ส่งผ่านกระแสไฟฟ้าระหว่างขั้วไฟฟ้าทั้งสองของเครื่องวัดความเค็มในตัวอย่างน้ำ ค่าการนำไฟฟ้าหรือค่า EC ของตัวอย่างได้รับอิทธิพลจากความเข้มข้นและองค์ประกอบของโซเดียมที่ละลายในน้ำ โซเดียมช่วยเพิ่มความสามารถของสารละลายในการนำกระแสไฟฟ้า ดังนั้นค่า EC ที่สูงแสดงว่ามีระดับความเค็มสูงและเครื่องวัดมีการสร้างความสัมพันธ์ที่แม่นยำระหว่างค่าการนำไฟฟ้าและความเค็ม จะแสดงค่าความเค็มในหน่วยของ % (เปอร์เซ็นต์) หรือ ppt หรือ กรัม/ลิตร หรือ PSU ขึ้นอยู่กับชนิดและความสามารถของเครื่องวัดในแต่ละรุ่น

วิธีการใช้งานเครื่องวัดความเค็ม

  1. เปิดเครื่องที่ปุ่ม On/Off
  2. จุ่มหัว Electrode ลงในตัวอย่างให้เครื่องมือตั้งฉากตรง
  3. กดปุ่มเซ็นเซอร์การวัดรอ 3 วินาที เปอร์เซ็นต์เกลือของตัวอย่างจะแสดงบนจอแสดงผลดิจิตอล
  4. บันทึกค่า และเช็ดทำความสะอาดเครื่องมือหลังใช้งาน

หมายเหตุ: เป็นการยกตัววิธีการใช้งานในบางรุ่นเท่านั้น เครื่องวัดความเค็มแต่ละรุ่นใช้งานไม่เหมือนกันให้ผู้ใช้งานศึกษาคู่มือก่อนใช้งาน

 

Salt Meter หรือ Salinity Meter (เครื่องวัดความเค็ม)มีกี่ประเภท

เครื่องวัดความเค็มในปัจจุบันมีการพัฒนาให้สามารถแสดงค่าความเค็มแบบติจิตอลได้ มีความสะดวกสะบาย ใช้งานง่าย รวดเร็วและความแม่นยำถูกต้องในการวัดมากขึ้น บางรุ่นสามารถอ่านค่าอุณหภูมิได้ด้วยในตัว เครื่องมือมีขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เปลืองเนื้อที่ในการเก็บ มีระบบป้องกันฝุ่น จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งานเครื่องวัดความเค็มให้ตรงกับงานที่ทำได้ โดยเครื่องวัดความเค็มที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลักๆอยู่  3 แบบดังนี้

1.เครื่องวัดความเค็มแบบกล้องส่อง

จะอาศัยแสงจากภายนอกในการส่องดูและอ่านค่าตามขีดวัดสเกล

 

2.เครื่องวัดความเค็มแบบปากกาจุ่ม

สามารถวัด ความเค็ม ได้โดยการนำหัววัด (Electrode) ไปจุ่มในตัวอย่างที่ต้องการวัดได้โดยตรงและอ่านค่าเป็นแบบดิจิตอล

3.เครื่องวัดความเค็มแบบหลุมปริซึม 

โดยนำตัวอย่างหยอดลงในหลุมปริซึม ซึ่งจะใช้แสง Laser ภายในเครื่องสะท้อนหาค่าดัชนีหักเหและแสดงผลเป็นตัวเลขแบบดิจิตอล ข้อดีสามารถอ่านค่าตัวอย่างของเหลวที่ทึบแสงได้

เกล็ดความรู้เพื่อสุขภาพ

  • ระดับความเค็มที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ มีความเค็มต่ำ จะต้องวัดได้ค่าน้อยกว่า 7%NaCl และสามารถคำนวณกลับเป็นปริมาณโซเดียมได้เท่ากับ 275.3 มิลลิกรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร
  • ระดับความเค็มที่มีความเค็มปานกลาง จะวัดได้ค่า 7-0.9% NaCl และสามารถคำนวณกลับเป็นปริมาณโซเดียมได้เท่ากับ 275.3-354 มิลลิกรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร
  • ระดับความเค็มที่มีความเค็มสูง จะวัดได้ค่าที่มากกว่า 9% NaCl และสามารถคำนวณกลับเป็นปริมาณโซเดียมได้มากกว่า 354 มิลลิกรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่อันตรายและไม่ควรกิน
  • ร่างกายของเรานั้นรับโซเดียมได้ไม่ควรเกิน 2,400 มก./วัน

ส่วนประกอบ เครื่องวัดความเค็ม (Salinity meter หรือ Salt Meter)

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้งาน

  1. เครื่องวัดความเค็มสามารถวัดตัวอย่างเฉพาะของเหลวได้เท่านั้น ไม่สามารถวัดตัวอย่างที่เป็นของแข็งหรือของแห้งได้
  2. เช็ดทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังใช้งาน
  3. ระวังหัวโพรบ Electrode กระทบกับของแข็ง อาจทำให้แตกหักเสียหายได้
  4. หมั่นส่งเครื่องมือสอบเทียบประจำทุกปี เพื่อตรวจวัดค่าความถูกต้องของเครื่องมือ
  5. ไม่ควรจุ่มเครื่องวัดความเค็ม ทิ้งไว้ในอาหารหรือตัวอย่าง
  6. ไม่ควรวัดอาหารร้อน ใช้วัดอาหารหรือตัวอย่าง ณ อุณหภูมิห้องเท่านั้น

SCOPE ที่ได้รับการรับรอง (Accredited17025)

ทางบริษัท แคริเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถ สอบเทียบเครื่องมือ วัดความเค็ม
และได้รับการรับรอง Accredited ISO/IEC 17025:2017 ของ Scope ต่างประเทศ ANAB จากอเมริกา
Range ที่ได้รับการรับรอง 0-26% Salinity  โดยใช้วิธีการสอบเทียบแบบ Direct Measurement by NaCl Salt Standard Solution
สามารถดูรายละเอียด Scope Update ได้ที่นี่ คลิก

Credited by Timnorton

 

 

 


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

 

 

 

เจาะลึก!ชิ้นส่วนภายในที่สำคัญ Pressure Indicator, Pressure Gauge หรือ Pressure Sensor

เจาะลึก!ชิ้นส่วนภายในที่สำคัญ Pressure Indicator, Pressure Gauge หรือ Pressure Sensor

Pressure Indicator (เกจวัดความดัน)     มีกี่แบบ ไปดูกัน…แต่ก่อนอื่นอย่างที่ทราบๆกันแล้วว่าเกจวัดความดัน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานง่ายและเป็นที่นิยมในการใช้วัดความดัน (Pressure) ภายในกระบวนการ อาจจะติดตั้งกับท่อในไลน์ผลิต หรือกับส่วนอื่นๆที่เราต้องการทราบค่าความดันภายใน เช่น ความดันของลม, ความดันของน้ำ, ความดันของน้ำมันไฮดรอลิกส์ เป็นต้น  ลักษณะของการวัดเช่นนี้ เป็นการวัดเพื่อแสดงผลการวัดได้ทันที อาจใช้ในการ Monitoring หรือ เพื่อจดบันทึกค่า แต่มันก็มีบางรุ่นที่จะเป็นสวิตช์ด้วยในตัว  ใช้สั่ง ตัด/ต่อ กระบวนการทำงานของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่อไป จริงๆแล้วเรื่องราวเกี่ยวกับ Pressure ต่างๆทาง CLC ก็ได้ลงไปหลายบทความแล้วก่อนหน้านี้ (หาเสพย้อนหลังกันได้เลย) ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยเรื่อง Pressure เหมือนเดิมนี่แหละครับ!!!?  แต่ครับแต่…วันนี้เราจะมาลงรายละเอียดในตัว Pressure Gauge หรือ Pressure Sensor ก็สุดแล้วแต่จะเรียกนะครับ หลักการการทำงานเป็นอย่างไร , มีชิ้นส่วนภายในที่สำคัญอะไรบ้าง วันนี้เราจะเน้นเรื่องชิ้นส่วนภายในและระบบการทำงานของเกจเป็นหลัก เกจวัดความดันจำพวกนี้ คุ้นหน้าคุณตากันเป็นอย่างดี ใช้งานง่าย ราคาไม่แพงจนเกินไป ชิ้นส่วนและหลักการทำงานเป็นอย่างไร ไปดูกันครับ

เกจวัดความดันแบบบูร์ดอง (Bourdon Tube)

เกจวัดความดันชนิดนี้ด้านในตัวเครื่องจะมีลักษณะเป็นขดทองแดงกลวง มีพื้นที่หน้าตัดเป็นวงรี เมื่อมีความดันเข้าไปในท่อขดทองแดงจะพยามยามขยายตัวออกเป็นวงกลม และขดทองแดงที่ว่านี้ก็ติดตั้งให้ทำงานร่วมกับชุดเฟืองและเฟืองก็ติดตั้งให้ทำงานสัมพันธ์กับตัว Pointer(เข็มอ่าน) พอขดทองแดงยืด หด ตามความดันจากภายนอกที่อัดเข้ามา ก็ทำให้ Pointer เคลื่อนที่ไปตามวงรอบของหน้าปัด และเราสามารถอ่านค่าจากสเกลได้ทันที ลองดูจากรูปตัวอย่างรูปที่ 1 ประกอบ

รูปที่ 1

ถ้าดูจากรูปตัวอย่างที่ 1 แล้วยังงงๆ ให้ลองดูรูปที่ 2 นี้ประกอบคำอธิบายด้านบนดูครับ น่าจะเข้าใจหลักการได้ง่ายขึ้น (สงสัยใช่มั้ยว่าผมเอารูปมาแนบผิดหรือปล่าว ลองอ่านด้านล่างให้จบ ท่านจะเข้าใจ)

รูปที่ 2

พอจะจำของเล่นในวัยเด็กชิ้นนี้กันได้บ้างมั้ยครับ ที่เราเป่าลม เข้า-ออก ตรงด้านที่เป็นคล้ายหลอด แล้วปลายอีกด้านจะม้วนเข้าออกตามแรงลมที่เราเป่าเข้าไป ทีนี้พอจะจินตนาการออกแล้วใช่มั้ยครับว่า เจ้าเกจวัดแรงดันแบบบูร์ดอง(Bourdon Tube) นั้น หลักการคร่าวๆก็จะคล้ายๆกับเจ้าของเล่นชนิดนี้เลย(จำชื่อของเล่นไม่ได้) ให้เปรียบเสมือนว่าแรงดันลมจากปากของเราที่เป่าเข้าไปในหลอด คือความดันที่อัดเข้าไปยังเกจวัดความดัน ส่วนตรงปลายของเล่นที่ม้วนเข้าออกนั้น ก็คือขดทองแดงที่อยู่ภายในเกจนั่นเอง

เกจวัดความดันแบบเบลโลว์ (Bellow)

เป็นเกจวัดความดันอีกชนิด ที่อาศัยหลักการของการเปลี่ยนแปลงเชิงกล ด้วยหลักการยืด,โก่งตัว ของวัสดุที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่น เช่นเดียวกับบูร์ดอง (Bourdon Tube) แต่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้วัดในย่านแรงดันค่อนข้างต่ำ หรือในบางตัวต่ำกว่าบรรยากาศ มีค่า Max สุดไม่เกิน 1.5 bar โครงสร้างของเจ้าเบลโลว์ที่ว่านี้มีลักษณะคล้ายลูกฟูก ภายในกลวง ปลายด้านนึงยึดติดกับเข็มชี้ค่าความดัน (Pointer) ส่วนปลายอีกด้านเปิด เพื่อเป็นช่องสำหรับให้ความดันที่ต้องการวัดค่าเข้ามา เมื่อเบลโลว์ได้รับความดันจากภายนอกเข้ามา ทำให้ความดันภายในสูงขึ้น ส่งผลให้เบลโลว์ยืดตัวออกในทิศทางเดียวกับความดัน  และพาเข็มชี้วัด(Pointer) เคลื่อนที่  เกจวัดความดันแบบเบลโลว์จะมีค่าความถูกต้อง (Accuracy) และความแม่นยำ (Precision) สูงกว่าเกจวัดความดันแบบบูร์ดอง เนื่องจากปลายด้านนึงของเบลโลว์ติดกับเข็มชี้ค่าเลย โดยที่ไม่ผ่านระบบเฟืองเหมือนแบบบูร์ดอง

ตัวอย่างรูปที่ 3

รูปที่ 3

   มาถึงตรงนี้พอจะเข้าใจหลักการทำงานรวมทั้งชิ้นส่วนภายในของ Pressure Indicator ทั้งสองชนิดกันบ้างแล้วนะครับ ศรัทธาชนิดไหนก็เลือกหามาใช้ได้ตามความเหมาะสมได้เลย หรือถ้าต้องการข้อมูล,ปรึกษาหารือเรื่องนี้ ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC ก็ยินดีครับ และไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือในรูปแบบไหน หรือหลักการทำงานแบบใด ทาง CLC ก็มีบริการรับสอบเทียบทั้งในและนอกสถานที่ ในรูปแบบ Accredit ISO/IEC 17025:2017 ทั้งจาก สมอ. และ ANAB อีกเช่นเคย แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ..

 

MKS

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

วัดเส้นผ่านศูนย์กลางทำไมต้องเป็น Pi Tape

ในยุคที่ความแม่นยำเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตและการออกแบบอุตสาหกรรม การเลือกใช้ เครื่องมือวัด ที่เชื่อถือได้กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัวคือ เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง ภายนอกแบบละเอียดจากแบรนด์ Pi Tape ซึ่งโดดเด่นด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้า เหมาะสำหรับผู้ใช้งานในหลากหลายสาขาที่ต้องการความแม่นยำระดับสูงสุด

ความเป็นเลิศในด้านการผลิต

เทปผลิตขึ้นในโรงงานที่ควบคุมอุณหภูมิอย่างเข้มงวดที่ 68°F (20°C) เพื่อให้มั่นใจว่าทุกชิ้นส่วนได้รับการผลิตด้วยมาตรฐานสูงสุด กระบวนการนี้ช่วยลดการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและการขยายตัวของวัสดุ ส่งผลให้เทปวัดมีความคงทนและแม่นยำในทุกสถานการณ์

นอกจากนี้ เทปยังมีค่าการอ่านที่ตายตัว ข้อดีคือ ไม่ต้องปรับแต่งหรือสอบเทียบเครื่องมือวัดซ้ำเป็นระยะ ผู้ใช้งานจึงสามารถมั่นใจในความแม่นยำได้ในทุกครั้งที่ใช้งาน ซึ่งเหมาะสำหรับการวัดในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การตรวจสอบขนาดของชิ้นส่วนเครื่องจักร การวัดท่อ และการควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ

 

ความแม่นยำที่เหนือกว่า

เทปมาตรฐานของ Pi Tape มีความแม่นยำระดับ ± 0.001 นิ้ว สำหรับเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุดถึง 144 นิ้ว (หรือ ± 0.03 มิลลิเมตร สำหรับเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุดถึง 3600 มิลลิเมตร) ความแม่นยำระดับนี้ช่วยให้การวัดมีความถูกต้องในระดับที่ไม่อาจพบได้จากเครื่องมือวัดทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในงานออกแบบเครื่องจักรกลหนัก งานวิจัยและพัฒนา หรือการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องการความละเอียดสูงสุด

การรับรองคุณภาพระดับสากล

เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน เทปวัดทุกชิ้นมาพร้อมกับ รายงานการสอบเทียบ (Calibration Report) ตามตัวอย่างด้านล่างนี้

การออกแบบที่สะดวกและเป็นมิตรกับผู้ใช้

Pi Tape ไม่เพียงโดดเด่นในด้านความแม่นยำ ข้อดีที่คุณจะได้รับ

  • ยังมีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานจริง
  • เทปวัดมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และพกพาได้ง่าย
  • เหมาะสำหรับการใช้งานในสถานที่ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ห้องปฏิบัติการ หรือพื้นที่ก่อสร้าง
  • การอ่านค่าของเทปยังถูกออกแบบให้ง่ายต่อการมองเห็น
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการตีความที่ผิดพลาด

การใช้งานที่หลากหลาย

ด้วยความแม่นยำและความสะดวกสบายในการใช้งาน เทปวัด Pi Tape จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เช่น

  1. อุตสาหกรรมยานยนต์: ใช้ในการตรวจสอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์และส่วนประกอบต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกส่วนมีขนาดที่ถูกต้อง
  2. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ: ความแม่นยำสูงของเทปช่วยรับประกันคุณภาพของชิ้นส่วนที่ใช้ในเครื่องบินและยานอวกาศ
  3. อุตสาหกรรมก่อสร้าง: ใช้สำหรับการวัดท่อหรือโครงสร้างที่ต้องการความละเอียดสูง

นวัตกรรมที่รองรับอนาคต

Pi Tape ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมยุคใหม่ เช่น การผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับเครื่องมือวัด เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ผลการวัดได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

ทำไมต้องเลือก Pi Tape

  • ความน่าเชื่อถือ ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล
  • ความแม่นยำสูงสุด ตอบโจทย์งานวัดที่ต้องการความละเอียดสูง
  • ความคุ้มค่า ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสอบเทียบซ้ำ
  • การใช้งานที่ง่ายและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกสภาพแวดล้อม

สรุป

เทปวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง ภายนอกแบบละเอียด Pi Tape เป็นเครื่องมือวัดที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความแม่นยำ การออกแบบที่สะดวก และความน่าเชื่อถือในระดับสากล หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่ช่วยยกระดับคุณภาพงานวัด Pi Tape คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ ไม่ว่าคุณจะทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การเลือกใช้ Pi Tape จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าผลการวัดของคุณจะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ในทุกครั้งที่ใช้งาน

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเรายังตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของสินค้ายี่ห้อ Pi Tape หากคุณต้องการสั่งซื้อสินค้า คุณสามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่ Calibration Laboratory หรือ CLC เรามีจำหน่ายพร้อมบริการสอบเทียบเครื่องมือวัดตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 (Acc.ANAB)

 

ผู้เขียน BDS Team

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

Refractometer มีกี่ประเภทพร้อมข้อดี-ข้อเสีย ในแต่ละประเภท

Refractometer

Refractometer รีแฟรกโตมิเตอร์ / รีแฟคโตมิเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการที่เรียกว่า “การหักเหของแสง” ซึ่งการหักเหของแสง (Refraction) เกิดจากการที่แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นต่างกัน เป็นผลทำให้ทิศทางของแสงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในขณะที่เกิดการหักเหก็จะเกิดการสะท้อนของแสงขึ้นมาพร้อมๆกันด้วย

การแบ่งชนิดรีแฟคโตมิเตอร์แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด

  1. Hand-Held รีแฟคโตมิเตอร์
  2. Abbe รีแฟคโตมิเตอร์
  3. Digital รีแฟคโตมิเตอร์
  4. Inline Process รีแฟคโตมิเตอร์

ประเภทของรีแฟคโตมิเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. Hand-Held 
  2. Bench Top 

ข้อดี-ข้อเสีย ในแต่ละประเภท

Hand-Held 

ข้อดี ข้อเสีย
1. ใช้งานง่าย 1. ช่วงการใช้งานแคบ
2. ราคาไม่แพง 2. ควบคุมอุณหภูมิไม่ได้
3.  เคลื่อนย้ายสะดวก 3. บอกค่าได้แค่โดยประมาณ

Bench Top 

ข้อดี ข้อเสีย
1. ช่วงการใช้งานกว้าง 1. ราคาแพง
2. บอกค่าความละเอียดได้ 0.01% 2. เคลื่อนย้ายไม่สะดวก
3. ควบคุมอุณหภูมิได้
4. อายุการใช้งานนาน

การประยุกต์ใช้งาน

อุตสาหกรรมอาหารจะใช้วัดความเข้มข้นของน้ำตาลหรือปริมาณของแข็งที่ละลายได้ (%) ของผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อ

  • หาค่าความเข้มข้นที่แน่นอนของผลิตภัณฑ์
  • วัดค่าอัตราส่วนของสารผสมสำหรับสารละลายที่ใช้ในรสชาติน้ำอ้อย
  • ควบคุมการส่งออกตามมาตรฐานสากล
  • เปรียบเทียบคุณภาพกับมาตรฐานสากล
  • เปรียบเทียบคุณภาพกับมาตรฐานคู่แข่ง
  • พัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์

อุตสาหกรรมเคมีจะใช้วัดความเข้มข้นของสารละลายทางเคมี เช่น

  • สารละลายจากการคัดแยกน้ำมัน
  • สารละลายจากน้ำยาล้างแอลกอฮอล์

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด รีแฟคโตมิเตอร์ จึงมีความสำคัญ เนื่องจากจะทำให้เกิดความมั่นใจว่า เครื่องมือวัดมีความถูกต้อง เพิ่มความน่าเชื่อถือในผลการวัดที่ได้ และทำให้มั่นใจว่าเครื่องมือมีความผิดพลาดในการวัดอยู่ในช่วงที่กำหนดอยู่เสมอ

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้ผลการวัดผิดพลาด

  • เครื่องมือไม่เหมาะสมกับสารละลายตัวอย่างที่จะทำการวัด เช่น ในน้ำนม หรือเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้ไม่เหมาะสมกับรีแฟคโตมิเตอร์ ชนิด Hand-Held จะเหมาะกับชนิด Digital
  • ช่วงการใช้งาน นำสารละลายตัวอย่างที่อยู่นอกช่วงการใช้งานของเครื่องมือมาวัด
  • เลือกความละเอียดของเครื่องมือไม่เหมาะสมกับสารละลายบางชนิด นอกจากนี้ งานบางประเภทต้องการความละเอียดของเครื่องมือวัดสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหารและยา
  • เครื่องมือไม่ได้รับการสอบเทียบ แล้วนำมาใช้ในการวัดสารละลายต่างๆ อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้
  • คุณภาพของสารมาตรฐานที่ใช้ในการสอบเทียบจะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตทั้ง ISO 17025 และ ISO Guild 34 ตามมาตรฐานของห้องปฎิบัติการการผลิต
  • ผู้ใช้งานไม่มีความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือวัด ทักษะการใช้งานของเครื่องมือที่ไม่ชำนาญ
  • สภาพแวดล้อมในการใช้เครื่องมือ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ที่ไม่เหมาะสม

ผู้เขียน L7

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด