คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

การบำรุงรักษาเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ถูกต้อง

การบำรุงรักษาเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ถูกต้อง

การบำรุงรักษา เครื่องมือวัดทางไฟฟ้า อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เครื่องมือทำงานได้อย่างแม่นยำและมีอายุการใช้งานยาวนาน การดูแลรักษาเครื่องมือวัด เช่น การทำความสะอาด การตรวจสอบความถูกต้องของการวัด และการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การวัดค่าทางไฟฟ้ามีความแม่นยำและเชื่อถือได้ รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดความผิดพลาดในการวัดที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการจัดการพลังงานและการผลิตในองค์กร การบำรุงรักษาที่ดีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าในระยะยาว

ความปลอดภัยทางไฟฟ้า (Electrical Safety) 

  • ฟังก์ชน Self-Test เป็นฟังก์ชันเป็นการตรวจเช็คเครื่องมือเบื้องต้นเท่านั้น (อาจไม่พบปัญหา 100% และไม่สามารถรับประกันได้ว่าเครื่องมือทำงานอย่างถูกต้อง)
  • เลือกแรงดันไฟฟ้าที่ถูกต้อง
  •  ควรใช้ฟิวส์ที่ถูกต้องตามข้อกำหนดของผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นชนิด Fast Blow หรือ Slow Blow โดยแนะนำให้ศึกษาคู่มือจากผู้ผลิตก่อนใช้งาน

ด้านสิ่งแวดล้อม

  • อุณหภูมิและความชื้นในห้องปฏิบัติการที่เหมาะสมสำหรับการสอบเทียบ อุณหภูมิเฉลี่ยอาจถูกต้อง แต่หากอุณหภูมิและความชื้นมีการเปลี่ยนแปลง อาจส่งผลกระทบต่อความแม่นยำ
  • มัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Multimeter) และเครื่องสอบเทียบมัลติฟังก์ชั่น (Multi-Function Calibrator) ใช้ระบบระบายความร้อนประกอบด้วยตัวกรองอากาศทำหน้าที่สำคัญในการป้องกันฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกเข้าสู่ภายในเครื่อง การบำรุงรักษาตัวกรองอากาศเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานไม่ควรมองข้าม เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของอุปกรณ์
    เมื่อตัวกรองอากาศเกิดการอุดตัน จะส่งผลให้การไหลเวียนของอากาศลดลง ทำให้อุณหภูมิภายในเครื่องเพิ่มสูงขึ้น ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความแม่นยำในการวัดและการสอบเทียบเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงต่อองค์ประกอบภายในเครื่อง โดยในกรณีร้ายแรงอาจเกิดการเผาไหม้ของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้

คำเตือน ! ควรถอดตัวกรองอากาศออกและทำความสะอาดทุกๆ 30 วันหรือบ่อยกว่านั้นหากใช้งานเครื่องสอบเทียบในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมาก

  • หลีกเลี่ยงการวางเครื่องมือซ้อนกัน และไม่ควรวางสิ่งของปิดกั้นช่องระบายอากาศของเครื่องมือใดๆ กรณีที่ต้องใช้พื้นที่ร่วมกันบนชั้นวางหรือโต๊ะปฏิบัติการ การจัดวางอาจปรับเปลี่ยนไปตามรูปทรงและขนาดของโต๊ะ แต่ควรคำนึงถึงการระบายอากาศที่เพียงพอสำหรับทุกเครื่องมือเสมอ การจัดวางอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เครื่องมือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย
  • สัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า Electromagnetic Interference – EMI) อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการวัด เช่น คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์พร้อมทำงานในสภาพแวดล้อมเดียวกับที่ต้องการสอบเทียบ และควรใช้ Function  ให้เหมาะสมกับตัวรับสัญญาณ
  • การตรวจสอบจอแสดงผลดิจิตอล เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลรักษาเครื่องมือ ควรสังเกตระหว่างการเปิดเครื่อง เนื่องจากเครื่องมือส่วนใหญ่จะเปิดแสดงผลทุกส่วนในช่วงเริ่มต้นทำงาน ขั้นตอนนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้อย่างครบถ้วนว่าทุกส่วนของจอแสดงผลทำงานได้อย่างถูกต้อง ไม่มีจุดที่แสดงผลผิดปกติหรือส่วนใดเสียหาย หากพบความผิดปกติของจอแสดงผลควรดำเนินการซ่อมบำรุงทันที เพื่อป้องกันปัญหาในการอ่านค่าที่อาจส่งผลต่อความแม่นยำในการใช้งาน
  • GPIB หรือ Serial Interface ควรตรวจสอบว่าข้อมูลอินเทอร์เฟซและจอแสดงผลของอุปกรณ์ตรงกัน และจอแสดงผลหรือเอาต์พุตของอุปกรณ์ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเชื่อมต่อสายอินเทอร์เฟซหรือถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์และคอมพิวเตอร์

  • Guard terminal หรือขั้วต่อ Guard ควรได้รับการตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง

ตัวอย่างการบำรุงรักษา เครื่องมือวัดทางไฟฟ้า

True RMS Clamp Meter Fluke 376

ขั้นตอนการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐาน

1.ทำความสะอาดเครื่องมือ : เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ที่กำลังทดสอบ ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เพราะจะทำให้เคสอุปกรณ์เสียหาย ในการทำความสะอาดเครื่องมือ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆ

2.เปลี่ยนแบตเตอรี่ : เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต  และเพื่อป้องกันการวัดค่าที่ไม่ถูกต้อง ให้เปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่อ่อนแสดงขึ้น

True RMS Multimeter Fluke 187

ขั้นตอนการบำรุงรักษาขั้นพื้นฐาน

1.ทำความสะอาดเครื่องมือ : เช็ดเคสด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ และน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆ ห้ามใช้สารกัดกร่อนหรือตัวทำละลาย การสะสมของฝุ่นละอองหรือความชื้นบริเวณเทอร์มินอลสามารถส่งผลเสียต่อความแม่นยำในการอ่านค่า และอาจกระตุ้นให้ระบบแสดงการแจ้งเตือนอินพุตผิดพลาด ซึ่งจะรบกวนการทำงานปกติของอุปกรณ์

  • ปิดเครื่องและถอดสายทั้งหมดออก
  • ปัดสิ่งสกปรกที่อาจอยู่ในขั้ว
  • เช็คทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ในแต่ละขั้ว

2.เปลี่ยนแบตเตอรี่ : เปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นแบตเตอรี่ AA สี่ก้อน เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • หมุนสวิตช์ไปที่ OFF และถอดสายออกจากขั้วต่อ
  • ถอดฝาแบตเตอรี่ออก
  • เปลี่ยนแบตเตอรี่และปิดฝาแบตเตอรี่

คำเตือน : เพื่อหลีกเลี่ยงการอ่านค่าที่ผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ไฟฟ้าช็อต ให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ทันทีที่ไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ปรากฏขึ้น 

ทดสอบฟิวส์

  • ก่อนวัดกระแส ให้ทดสอบฟิวส์ที่เหมาะสม หากการทดสอบให้ค่าที่อ่านได้นอกเหนือจากที่แสดงไว้ ให้นำมิเตอร์ไปซ่อมแซม
  • ควรถอดสายวัดเพื่อหลีกเลี่ยงไฟฟ้าช็อต
  • ควรปิดเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือฟิวส์ เพื่อป้องกันเครื่องมือเกิดความเสียหาย ให้ติดตั้งเฉพาะฟิวส์สำรองที่ระบุโดยมีอัตราแอมแปร์ แรงดันไฟฟ้า และความเร็วตรงตาม Spec เครื่องมือ

ผู้เขียน Lab 5

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ความจำเป็นของการใช้ Lux meter กับการ ปลูกพืชออแกนิค

การ ปลูกพืชออแกนิค มุ่งเน้นที่การใช้วิธีการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยจากสารเคมี ในการปลูกพืชออแกนิคในโรงเรือนหรือระบบการเกษตรที่ควบคุมสภาพแวดล้อม การใช้ Lux Meter หรือ เครื่องวัดแสง จึงมีความสำคัญในหลายๆ ด้านเพื่อให้สามารถควบคุมและปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและผลผลิตของพืชออแกนิค

ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและผลผลิตของพืชออแกนิค

1. การควบคุมความเข้มแสงที่เหมาะสม

  • แสงเป็นปัจจัยสำคัญในการสังเคราะห์แสงของพืช การใช้ Lux Meter จะช่วยวัดความเข้มแสงในพื้นที่ ปลูกพืชออแกนิค ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับระดับแสงได้ตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด โดยเฉพาะในโรงเรือนหรือฟาร์มที่ใช้ไฟประดิษฐ์ในการทดแทนแสงธรรมชาติ
  • การวัดแสงให้ได้ค่าที่เหมาะสม (เช่น ระดับ Lux ที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละประเภท) จะช่วยให้พืชได้รับแสงเพียงพอในการเจริญเติบโต โดยไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งมีผลต่อการสังเคราะห์แสงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

2. การเลือกแสงไฟที่เหมาะสมในระบบการเกษตร

  • การปลูกพืชออแกนิคในโรงเรือนมักจะใช้ไฟประดิษฐ์ เช่น ไฟ LED เพื่อทดแทนแสงธรรมชาติ เครื่องวัดแสง Lux Meter สามารถช่วยวัดความเข้มแสงที่แผ่กระจายจากหลอดไฟเพื่อให้แน่ใจว่าแสงที่ให้กับพืชมีความเหมาะสมและเหมาะกับการสังเคราะห์แสง
  • ด้วยการเลือกไฟที่มีสเปกตรัมแสงที่เหมาะสม (เช่น สีฟ้าและสีแดง) การใช้ Lux Meter ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าแสงที่ใช้จะมีความเหมาะสมและช่วยให้พืชออแกนิคเติบโตได้ดี

3. การควบคุมความสม่ำเสมอของแสง

  • พืชออแกนิคต้องการแสงที่สม่ำเสมอเพื่อให้การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ Lux Meter จะช่วยให้เกษตรกรสามารถวัดและตรวจสอบระดับแสงในพื้นที่ปลูกได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แน่ใจว่าแสงกระจายไปทั่วพื้นที่ปลูกอย่างสม่ำเสมอ
  • การมีแสงที่เหมาะสมและสม่ำเสมอจะช่วยลดปัญหาการเจริญเติบโตที่ไม่สมดุลหรือการเติบโตไม่เท่ากันของพืชในโรงเรือน

4. การลดความเสี่ยงจากการใช้สารเคมี

  • พืชออแกนิคเน้นการปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม การใช้ Lux Meter เพื่อควบคุมแสงในโรงเรือนช่วยลดความจำเป็นในการใช้สารเคมีกำจัดแมลงหรือโรคพืช เนื่องจากการควบคุมแสงที่ดีช่วยให้พืชแข็งแรงและทนทานต่อโรคได้มากขึ้น
  • การใช้เครื่องมือวัดแสงอย่าง Lux Meter จึงช่วยให้การปลูกพืชออแกนิคเป็นไปอย่างยั่งยืนและปลอดภัย

5. การปรับแต่งแสงตามช่วงเวลา

  • พืชในโรงเรือนหรือฟาร์มออแกนิคบางชนิดอาจต้องการแสงในช่วงเวลาที่ต่างกัน เช่น บางพืชต้องการแสงที่เข้มข้นในช่วงกลางวันและบางชนิดอาจต้องการแสงน้อยในช่วงกลางคืน การใช้ Lux Meter ช่วยให้สามารถวัดระดับแสงในช่วงต่างๆ ได้ และสามารถปรับตั้งเวลาเปิด-ปิดแสงให้เหมาะสมกับความต้องการของพืช
  • การปรับแต่งแสงตามช่วงเวลานี้ช่วยให้พืชออแกนิคเติบโตได้ตามธรรมชาติและมีคุณภาพสูงสุด

สรุป

การใช้ Lux Meter ในการปลูกพืชออแกนิคมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะการควบคุมแสงที่มีผลต่อการสังเคราะห์แสงและการเจริญเติบโตของพืช การใช้เครื่องมือวัดแสงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พืชเติบโตได้ดี แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกพืชออแกนิคที่ปลอดภัยจากสารเคมีและรักษาคุณภาพของผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาและแนวทางการปรับปรุงการใช้เครื่องวัดแสงในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่

การควบคุมแสงในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่เป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากพื้นที่ปลูกพืชที่กว้างขวางทำให้ยากต่อการจัดการแสงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟาร์มที่ปลูกพืชในระบบโรงเรือนหรือการปลูกพืชในพื้นที่ที่มีการใช้ไฟประดิษฐ์ เช่น การใช้ไฟ LED เพื่อทดแทนแสงธรรมชาติ หรือในพื้นที่ที่มีแสงจากดวงอาทิตย์ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืช ดังนั้นเครื่องวัดแสง (Lux Meter) จึงเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการบริหารจัดการแสงให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการเกษตรขนาดใหญ่

1. ปัญหาการกระจายแสงที่ไม่สม่ำเสมอ

  • ปัญหา: ฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่โดยเฉพาะฟาร์มที่มีพื้นที่กว้างและโรงเรือนหลายหลังมักพบปัญหาการกระจายแสงที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากแต่ละพื้นที่ได้รับแสงในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโรงเรือน หรือแหล่งกำเนิดแสงที่ใช้งาน
  • วิธีการแก้ปัญหา: การใช้เครื่องวัดแสง เช่น Lux Meter ช่วยวัดระดับแสงในพื้นที่ต่างๆ ของฟาร์มได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลฟาร์มสามารถตรวจสอบและปรับเปลี่ยนแหล่งแสง หรือการตั้งค่าของไฟในโรงเรือนหรือพื้นที่ปลูกพืชให้มีการกระจายแสงอย่างสม่ำเสมอ โดยการตรวจวัดความเข้มของแสงในจุดต่างๆ จะช่วยให้สามารถปรับปรุงการติดตั้งไฟให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. การใช้แสงธรรมชาติและแสงประดิษฐ์ร่วมกัน

  • ปัญหา: ฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชในโรงเรือนมักจะพึ่งพาแสงจากดวงอาทิตย์เป็นหลัก แต่การได้รับแสงจากดวงอาทิตย์อาจมีข้อจำกัดในบางช่วงเวลา เช่น ในฤดูฝน หรือในพื้นที่ที่มีเมฆมาก ซึ่งอาจทำให้การเจริญเติบโตของพืชไม่สมบูรณ์
  • วิธีการแก้ปัญหา: การใช้ Lux Meter ช่วยในการวัดระดับแสงทั้งจากดวงอาทิตย์และจากแสงประดิษฐ์ เพื่อให้ผู้ดูแลฟาร์มสามารถควบคุมและปรับสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น โดยการเพิ่มการใช้ไฟ LED หรือแสงประดิษฐ์ในช่วงเวลาที่แสงธรรมชาติไม่เพียงพอ การใช้เครื่องวัดแสงจะช่วยให้การควบคุมแสงมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นและช่วยลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น

3. ปัญหาการเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอในฟาร์มขนาดใหญ่

  • ปัญหา: ฟาร์มขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชจำนวนมากในพื้นที่กว้างอาจพบปัญหาการเจริญเติบโตที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น พืชในบางจุดเติบโตได้ดี แต่บางจุดเติบโตช้า หรือมีปัญหาการเหี่ยวแห้ง ซึ่งอาจเกิดจากการกระจายแสงที่ไม่เหมาะสมในบางพื้นที่
  • วิธีการแก้ปัญหา: การใช้ Lux Meter วัดระดับแสงในแต่ละจุดของฟาร์มเพื่อระบุจุดที่ได้รับแสงไม่เพียงพอหรือมากเกินไป ทำให้สามารถปรับปรุงการติดตั้งไฟ หรือการจัดสรรพื้นที่ในโรงเรือนให้มีแสงที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืชอย่างสม่ำเสมอ การใช้เครื่องวัดแสงช่วยให้สามารถติดตามและควบคุมการกระจายแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดีทุกจุด

4. การจัดการแสงในฟาร์มที่มีการใช้ระบบไฟ LED

  • ปัญหา: ในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟ LED เป็นแหล่งแสงหลัก อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกประเภทของแสงที่เหมาะสมสำหรับพืชแต่ละชนิด รวมถึงการตั้งค่าความเข้มแสงของไฟ LED ที่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและการออกดอกของพืช
  • วิธีการแก้ปัญหา: การใช้ Lux Meter จะช่วยให้สามารถวัดความเข้มแสงจากไฟ LED ได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถปรับระดับแสงให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิดได้ เช่น การเลือกแสงที่มีสเปกตรัมสีแดงและสีฟ้าเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตในช่วงต่างๆ โดยไม่ทำให้แสงมีความเข้มมากเกินไปหรือบางเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้การเจริญเติบโตของพืชมีประสิทธิภาพสูงสุด

5. การประหยัดพลังงานในการใช้แสงประดิษฐ์

  • ปัญหา: ฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ที่ใช้แสงประดิษฐ์อาจเผชิญกับปัญหาการใช้พลังงานที่สูง ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่แสงจากดวงอาทิตย์มีความเข้มต่ำ
  • วิธีการแก้ปัญหา: การใช้ Lux Meter ช่วยวัดความเข้มแสงจากไฟประดิษฐ์และสามารถปรับตั้งระบบไฟให้เหมาะสมกับระดับแสงที่พืชต้องการ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น เช่น การปรับเวลาการเปิดไฟหรือการปรับความเข้มแสงให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช

สรุป

การใช้เครื่องวัดแสง (Lux Meter) ในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ช่วยให้การบริหารจัดการแสงมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถควบคุมและปรับปรุงการกระจายแสงในพื้นที่ปลูกพืชให้สม่ำเสมอและเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิด ซึ่งช่วยลดปัญหาการเติบโตที่ไม่สมดุลและประหยัดพลังงานในการใช้แสงประดิษฐ์ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนในระยะยาว การใช้เครื่องวัดแสงจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตรในฟาร์มขนาดใหญ่

Lux meter หรือ Light Meter (เครื่องวัดแสง) นั้นสำคัญมากจริงหรือ? แล้วมีวิธีใช้อย่างไร?
วิดีโอวิธีใช้งานเครื่องวัดแสง (Lux Meter) อย่างง่าย! พร้อมเจาะลึกการสอบเทียบอย่างละเอียด

เลือกใช้ Hydrometer ให้ถูกชนิด มารู้จักกับชนิดของไฮโดรมิเตอร์กัน

เลือกใช้ Hydrometer ให้ถูกชนิด มารู้จักกับชนิดของไฮโดรมิเตอร์กัน

ไฮโดรมิเตอร์ (Hydrometer) อาจเรียกว่า มาตรวัดความหนาแน่นของเหลว คือ อุปกรณ์วัดความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) หรือ ความหนาแน่น (Density) ของของเหลว โดยอาศัยหลักการลอยตัวของวัตถุ (Buoyant force)

ลักษณะของไฮโดรมิเตอร์

ไฮโดรมิเตอร์ทำมาจากแก้วปิดสนิททุกด้าน ด้านบนของไฮโดรมิเตอร์ เรียกว่า ส่วนก้าน (Stem) มีลักษณะเป็นหลอดยาวแคบๆ เป็นส่วนที่ใช้จับเพื่อจะจุ่มไฮโดรมิเตอร์ลงไปในสารละลายในส่วนของก้าน (Stem) ข้างในจะมีสเกล (Scale) เพื่ออ่านค่าของสารละลายที่ไฮโดรมิเตอร์กำลังลอย ส่วนด้านล่างของไฮโดรมิเตอร์เป็นกระเปาะ ปลายกระเปาะจะมีตะกั่ว และมีขี้ผึ้งหรือ wax ในการปิดตะกั่ว เพื่อไม่ให้เคลื่อนที่ ระดับความลึกที่จมจะแปรผกผันกับความหนาแน่น

ชนิดของไฮโดรมิเตอร์

ไฮโดรมิเตอร์มีหลายชนิด Scale ของไฮโดรมิเตอร์จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้วัดความหนาแน่นที่ต่างชนิดกัน โดยการเทียบค่าการจมในของเหลว ชนิดของไฮโดรมิเตอร์ที่ใช้วัดความหนาแน่นของเหลวต่างๆ มีดังนี้

  1. ไฮโดรมิเตอร์ ที่ใช้วัดความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) จะมีสเกลในการวัดเป็น spgr, SG ในส่วนของก้านสเกล (Stem) จะมีตัวเลขบอกช่วงของการวัด มีอุณหภูมิอ้างอิงการใช้งาน 60/60oF หรือ 15.6/15.6oC

  1. ไฮโดรมิเตอร์ที่ใช้วัดความหนาแน่น (Density) ก้านสเกล (Stem) จะเป็นตัวเลขช่วงของการวัด มีหน่วยของสเกล g/cm3, g/ml และ kg/L3 มีอุณหภูมิที่ใช้อ้างอิงการวัด 20oC

  1. Baume ’scale เป็นไฮโดรมิเตอร์ที่ใช้วัดสารละลายที่มีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ มีสัญลักษณ์เป็น o Be หรือ o B (degree Baume) จะอ่านค่าเป็นองศาโบเม อุณหภูมิที่ใช้อ้างอิงในการวัด 15, 15.4, 15.6 oC

  1. API Hydrometer (American petroleum institute) เป็นไฮโดรมิเตอร์ที่วัดสารละลายชนิดปิโตรเลียม จะมีสัญลักษณ์ oAPI หรือ API (Degree API) อุณหภูมิอ้างอิงที่ใช้ในการวัด 60/60 oF หรือ 15.6/15.6 oC

  1. Brix Scale สเกลบนไฮโดรมิเตอร์ชนิดนี้ มีหน่วยเป็น Brix ซึ่งหมายถึง เปอร์เซ็นต์ของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (Total Soluble Solid) ต่อน้ำหนักของสารละลายโดยเทียบมาตรฐานที่ 20oC ไฮโดรมิเตอร์ชนิดนี้จะใช้กันมากในอุตสาหกรรมน้ำตาล อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม น้ำอัดลม ตัวเลขบนสเกลจะเท่ากับเปอร์เซ็นต์ของน้ำตาลต่อน้ำหนัก (ปริมาณของน้ำตาลต่อน้ำหนัก 100 กรัมของของเหลว (w/w) ในส่วนไฮโดรมิเตอร์ที่ใช้วัด Brix ตรงกระเปาะของไฮโดรมิเตอร์ จะมีเทอร์โมมิเตอร์ใช้วัดอุณหภูมิของสารละลายด้วย

  1. Alcohol Hydrometer จะมี Scale 0-100% อุณหภูมิที่ใช้อ้างอิงในการวัด 20oC

 

ข้อควรระวังในการใช้งาน

  1. จับ ไฮโดรมิเตอร์ส่วนของปลายก้าน (Stem)
  2. การจะทำการหย่อนไฮโดรมิเตอร์ในสารละลาย ต้องค่อยๆ ปล่อย เพราะถ้าปล่อยมือจากก้านไฮโดรมิเตอร์ในทันที จะทำให้ไฮโดรมิเตอร์กระแทกตรงก้น Cylinder ทำให้ไฮโดรมิเตอร์แตกได้
  3. หลักการใช้ควรทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างเครื่องแก้ว และปล่อยให้แห้งก่อนเก็บในกล่อง
  4. การเลือกใช้ไฮโดรมิเตอร์ในการวัดสารละลาย ต้องดูประเภทของสารละลายที่ต้องการวัด และเลือกใช้ไฮโดรมิเตอร์ให้ถูกประเภทกับสารละลาย

 

ผู้เขียน LAB 7

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

จำเป็นไหม ใช้ บริการสอบเทียบจาก บริษัทที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025

ความสำคัญของบริการสอบเทียบเครื่องมือวัดจากบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025

ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องมือวัดเพื่อควบคุมคุณภาพ ความแม่นยำของเครื่องมือมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเลือกใช้ บริการสอบเทียบ จากบริษัทที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดของคุณให้ค่าที่ถูกต้องและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

บริการสอบเทียบคืออะไร?

บริการสอบเทียบ(Calibration Service) เป็นกระบวนการตรวจสอบและปรับค่าความถูกต้องของเครื่องมือวัด โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) การสอบเทียบที่แม่นยำช่วยให้เครื่องมือวัดทำงานได้อย่างถูกต้อง ลดความคลาดเคลื่อน และช่วยให้กระบวนการผลิตหรือการทดสอบเป็นไปตามมาตรฐาน

มาตรฐาน ISO/IEC 17025 คืออะไร?

ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดทั่วไปสำหรับความสามารถของห้องปฏิบัติการทดสอบและสอบเทียบ (Testing and Calibration Laboratories) โดยออกโดย International Organization for Standardization (ISO) และ International Electrotechnical Commission (IEC)

มาตรฐานนี้ใช้เป็นแนวทางให้ห้องปฏิบัติการสามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ โดยครอบคลุมทั้งด้าน การบริหารจัดการ (Management Requirements) และ ข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Requirements) เพื่อให้ผลการทดสอบและสอบเทียบมีความถูกต้องและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

บริการสอบเทียบ กับ ISO/IEC 17025

Calibration Services เป็นกระบวนการตรวจสอบและปรับค่าความถูกต้องของเครื่องมือวัดเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือนั้นสามารถให้ผลการวัดที่แม่นยำและเชื่อถือได้ โดยอ้างอิงกับมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability to National or International Standards)

ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับห้องปฏิบัติการที่ให้บริการทดสอบและสอบเทียบ ซึ่งหมายความว่า ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้สามารถให้บริการสอบเทียบที่มีคุณภาพสูง มีความแม่นยำ และผลลัพธ์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  1. มาตรฐานสำหรับห้องปฏิบัติการสอบเทียบ

    • ห้องปฏิบัติการที่ให้บริการสอบเทียบต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ ISO/IEC 17025 เพื่อให้แน่ใจว่าผลการสอบเทียบมีความน่าเชื่อถือ
    • การสอบเทียบต้องดำเนินการโดยใช้เครื่องมือที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังมาตรฐานแห่งชาติหรือสากล
  2. ความสามารถของผู้ให้บริการสอบเทียบ

    • ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ต้องมีบุคลากรที่มีความสามารถและผ่านการอบรมด้านการสอบเทียบ
    • ต้องใช้วิธีการสอบเทียบที่เป็นที่ยอมรับและมีการควบคุมคุณภาพ
  3. การรับรองผลการสอบเทียบ

    • ผลการสอบเทียบที่ออกโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตาม ISO/IEC 17025 จะมีเอกสารรับรองผล (Calibration Certificate) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าเครื่องมือวัดได้รับการสอบเทียบตามมาตรฐาน
    • เอกสารนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิต, การแพทย์, ยานยนต์ และอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง
  4. การตรวจสอบย้อนกลับของค่ามาตรฐาน (Traceability)

    • ห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับของค่ามาตรฐานไปยังหน่วยงานมาตรฐานระดับประเทศหรือสากล เช่น NIST, NIMT, UKAS เป็นต้น
    • การสอบเทียบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องมือวัดให้ค่าที่ถูกต้องและสามารถเปรียบเทียบกับมาตรฐานในระดับโลกได้
  5. การควบคุมคุณภาพของบริการสอบเทียบ

    • ISO/IEC 17025 กำหนดให้ห้องปฏิบัติการต้องมีระบบบริหารคุณภาพ เช่น การตรวจติดตามภายใน, การจัดการข้อร้องเรียน และการปรับปรุงกระบวนการสอบเทียบอย่างต่อเนื่อง
    • ช่วยให้ลูกค้าของบริการสอบเทียบมั่นใจว่าผลการสอบเทียบมีมาตรฐานและได้รับการตรวจสอบคุณภาพ

ทำไมต้องเลือกบริการสอบเทียบจากบริษัทที่ได้รับรอง ISO/IEC 17025?

ISO/IEC 17025 เป็นมาตรฐานสากลที่กำหนดข้อกำหนดสำหรับความสามารถของห้องปฏิบัติการสอบเทียบและทดสอบ ซึ่งหมายความว่าบริษัทที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานนี้มีคุณสมบัติและความสามารถในการให้บริการสอบเทียบที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้

1. รับรองความแม่นยำและความน่าเชื่อถือ

บริษัทสอบเทียบที่ได้รับการรับรองตาม ISO/IEC 17025 ต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานรับรองที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล ทำให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการสอบเทียบเป็นไปตามมาตรฐาน มีความแม่นยำสูง และสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังมาตรฐานแห่งชาติหรือสากล

2. ป้องกันข้อผิดพลาดในการวัด

เครื่องมือวัดที่ไม่ได้รับการสอบเทียบอย่างสม่ำเสมออาจให้ค่าที่ผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในการควบคุมคุณภาพ การใช้บริการสอบเทียบจากบริษัทที่ได้รับการรับรองช่วยลดความเสี่ยงนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลการวัดมีความถูกต้อง

3. เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและควบคุมคุณภาพ

ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อาหารและยา หรืออิเล็กทรอนิกส์ การวัดที่ถูกต้องมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การสอบเทียบที่ได้มาตรฐานช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ ลดของเสีย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

4. เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม

หลายอุตสาหกรรมกำหนดให้เครื่องมือวัดต้องได้รับการสอบเทียบตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อบังคับ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและยา (GMP, HACCP), อุตสาหกรรมยานยนต์ (IATF 16949) หรืออุตสาหกรรมการแพทย์

5. ได้รับใบรับรองการสอบเทียบที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 จะออกใบรับรองผลการสอบเทียบ (Calibration Certificate) ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบย้อนกลับและยืนยันความถูกต้องของเครื่องมือวัดได้

เลือกบริษัท บริการสอบเทียบ อย่างไรให้มั่นใจในคุณภาพ?

  1. ตรวจสอบว่าบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), NAC, UKAS, ANAB
  2. ดูประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ของบริษัทในด้านการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่คุณใช้งาน
  3. ตรวจสอบระยะเวลาการให้บริการและเงื่อนไข เช่น การสอบเทียบในสถานที่ (On-Site Calibration) หรือการสอบเทียบในห้องปฏิบัติการ (In-Lab Calibration)
  4. อ่านรีวิวและสอบถามจากลูกค้ารายอื่น เพื่อประเมินคุณภาพของบริการ

สรุป

การใช้บริการสอบเทียบจากบริษัทที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เครื่องมือวัดของคุณทำงานได้อย่างแม่นยำ ลดความผิดพลาด และเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานจะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

หากคุณต้องการให้เครื่องมือวัดของคุณมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ อย่าลืมเลือกบริการสอบเทียบที่ได้รับรองตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและสามารถให้ผลการวัดที่แม่นยำตลอดเวลา

 สนใจบริการสอบเทียบที่ได้มาตรฐาน ISO/IEC 17025 ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาและบริการที่ดีที่สุด!

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ไขน็อตให้แน่นเป๊ะ! เหตุผลที่คุณควรใช้ ลูกบล็อก 6 เหลี่ยม TONE คู่กับประแจวัดแรงบิด

ลูกบล็อก 6 เหลี่ยม (Hex Socket Wrench) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ร่วมกับเครื่องมือช่างหลายประเภท โดยเฉพาะในการทำงานที่ต้องใช้แรงบิดที่แม่นยำ 6 Socket Wrench ของ TONE เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเครื่องมือช่าง เนื่องจากคุณภาพและความแข็งแรงที่เหนือกว่า ในบทความนี้ก็จะกล่าวถึง Hex Socket Wrench ของ TONE รวมถึงการใช้งานร่วมกับประแจวัดแรงบิด (Torque Wrench) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ลูกบล็อก 6 เหลี่ยม (Hex Socket Wrench) ของ TONE คืออะไร?

Hex Socket Wrench ของ TONE เป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับด้ามขัน (Ratchet) หรือประแจวัดแรงบิด (Torque Wrench) เพื่อช่วยขันหรือคลายสลักเกลียวและน็อตต่างๆ 6 Socket Wrench ของ TONE ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานสูง และสามารถใช้งานได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือที่ต้องการแรงบิดที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ

คุณสมบัติเด่นของ Brand TONE

  1. วัสดุคุณภาพสูง – ผลิตจากเหล็กกล้าเกรดพิเศษเพื่อให้มีความแข็งแรงและทนต่อการสึกหรอ
  2. ขนาดที่หลากหลาย – มีให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 5 mm จนถึง 24 mm
  3. ดีไซน์แบบ 6 เหลี่ยม  – ช่วยให้การจับน็อตและสลักเกลียวแน่นขึ้น ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  4. ความแม่นยำในการใช้งาน – เหมาะสำหรับงานที่ต้องการค่าทอร์กที่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับประแจวัดแรงบิด
  5. การใช้งานที่สะดวก – มีลูกบล็อกแบบเซตที่มาพร้อมกับลูกบล็อกโฮลเดอร์เพื่อความสะดวกในการเก็บและพกพา

เหตุผลที่ควรใช้ 6 Socket Wrench ยี่ห้อ TONE กับประแจวัดแรงบิด

  1. ความแม่นยำในการส่งแรงบิด – ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE ผลิตด้วยกระบวนการที่แม่นยำ ทำให้สามารถส่งแรงบิดไปยังสลักเกลียวหรือน็อตได้อย่างถูกต้อง
  2. ป้องกันความเสียหายของชิ้นงาน – ด้วยดีไซน์แบบ 6 เหลี่ยม ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE ช่วยป้องกันการลื่นไถล และลดความเสี่ยงในการทำลายหัวน็อต
  3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน – การใช้ลูกบล็อกคุณภาพสูงทำให้สามารถขันหรือคลายสลักเกลียวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. ความปลอดภัยสูงสุด – ในงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น งานประกอบเครื่องจักร การใช้ประแจทอร์คให้ถูกต้องและการขันน็อตให้ได้ค่าทอร์คที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่ไม่คาดคิดได้

วิธีการเลือก Hex Socket Wrench ให้เหมาะสมกับประแจวัดแรงบิด

  1. เลือกขนาดที่ตรงกับงาน
  • ตรวจสอบขนาดของน็อตหรือสลักเกลียวที่ต้องการใช้งาน และเลือกลูกบล็อกที่มีขนาดเหมาะสม
  • ลูกบล็อกมีหลายขนาด ควรเลือกขนาดที่ตรงกับหัวน็อตหรือสลักเกลียวที่ต้องการใช้งาน เพื่อป้องกันการลื่นหลุดหรือเสียหาย
  • ตัวอย่างขนาดที่นิยมใช้ เช่น 8mm, 10mm, 12mm, 14mm, 17mm เป็นต้น
  1. เลือกลูกบล็อกที่รองรับแรงบิดสูง – ตรวจสอบว่าสามารถใช้งานกับค่าทอร์กที่ต้องการได้ โดยควรเลือกลูกบล็อกที่สามารถรองรับแรงบิดได้มากกว่าค่าทอร์กสูงสุดที่ใช้งาน
  2. พิจารณาประเภทของลูกบล็อก – สำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำ ควรเลือกลูกบล็อกแบบ เนื่องจากมีการจับน็อตที่แน่นกว่า
  3. เลือกลูกบล็อกที่ใช้กับเครื่องมือมือ (Hand Tool) – หลีกเลี่ยงการใช้ลูกบล็อกที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องมือไฟฟ้ากับประแจวัดแรงบิด เนื่องจากอาจเกิดความเสียหายได้

ความสำคัญสำหรับการนำไปใช้ในงานต่างๆ

  1. งานซ่อมบำรุงยานยนต์

ในการซ่อมรถยนต์ การใช้ประแจทอร์คร่วมกับลูกบล็อก (Socket) ของ TONE ช่วยให้สามารถขันน็อตต่างๆ เช่น น็อตล้อรถ หรือสลักเกลียวเครื่องยนต์ ได้ตามค่าทอร์คที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่น็อตจะคลายตัวหรือขาดเนื่องจากแรงบิดที่มากเกินไป

  1. งานติดตั้งโครงสร้างเหล็ก

ในงานก่อสร้างที่ต้องมีการประกอบโครงสร้างเหล็กหรือเครื่องจักรที่ต้องรองรับน้ำหนักสูง การใช้ลูกบล็อก (Socket) TONE กับ ประแจวัดแรงบิด ช่วยให้มั่นใจได้ว่าน็อตทุกตัวถูกขันแน่นตามค่ามาตรฐาน ซึ่งช่วยป้องกันการคลายตัวและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

  1. งานอุตสาหกรรม

ในอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตเครื่องจักร ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE สามารถใช้ร่วมกับประแจวัดแรงบิดเพื่อให้ได้ค่าทอร์คที่แม่นยำ ช่วยให้การประกอบชิ้นส่วนมีความแข็งแรง และยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร

  1. งานก่อสร้างอุปกรณ์พลังงานไฟฟ้า

ในอุตสาหกรรมก่อสร้างอุปกรณ์พลังงานไฟฟ้า เช่น งานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เป็นงานที่ต้องใช้ประแจในการขันน๊อตเช่นกัน เพื่อให้มั่นใจว่าแผงโซลาร์เซลล์ที่ขันยึดติดมีความแน่นไม่คลายการใช้ลูกบล็อก (Socket) TONE กับประแจวัดแรงบิดช่วยให้ทำงานให้สะดวกและแม่นยำมากขึ้น

ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE เป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพสูงและสามารถใช้งานร่วมกับประแจวัดแรงบิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่องานที่ต้องการความแม่นยำและความทนทานสูง การเลือกใช้ลูกบล็อกที่เหมาะสมกับงานสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความเสียหายของชิ้นงาน และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน การใช้ลูกบล็อก (Socket) ของ TONE กับประแจวัดแรงบิดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูงและความปลอดภัยที่มากขึ้น

ผู้เขียน BDS Team

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

หลักการทำงานของ Autoclave ประเภทและข้อแนะนำในการใช้งาน

หม้อนึ่งความดันไอน้ำ (Autoclave)

หม้อนึ่งความดันไอน้ำ (Autoclave) คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับนึ่งฆ่าเชื้อ โดยมีหลักการการใช้ไอน้ำร้อนและแรงดันสูงทำให้ของที่ผ่านการนึ่งแล้วอยู่ในสภาพปราศจากเชื้อ สาเหตุที่ต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดเนื่องจากเครื่องมือ  Autoclave ถูกนำมาใช้กับส่วนงานที่ต้องปราศจากเชื้อเป็นส่วนใหญ่ โดยอุณหภูมิและความดันของเครื่องมีผลต่อการทำลายเชื้อถ้าหากเครื่องมือวัดสามารถทำอุณหภูมิและความดันที่ผิดปกติไป ประสิทธิภาพของการทำลายเชื้อก็จะลดน้อยลงด้วย

โดยหม้อนึ่งความดันไอน้ำนี้มีหน่วยวัดคือ

วัดอุณหภูมิภายในตู้ หน่วยที่ใช้ องศาเซลเซียส  (°C)

วัดแรงดันภายในตู้ หน่วยที่ใช้  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (psi)

ประเภทหม้อนึ่งความดันไอน้ำ 

หม้อนึ่งความดันไอน้ำมีทั้งประเภทให้ความร้อนโดยตรงและแบบผ่านตัวกลาง (ส่วนใหญ่เป็นน้ำ) สามารถแบ่งเป็น 4 ประเภทดังนี้

        1. ให้ความร้อนจากไอน้ำโดยตรง (saturate Steam)

        2. ให้ความร้อนแบบผ่านตัวกลางโดยน้ำแบบจุ่ม (Water Immersion) ซึ่งมีทั้งแบบคงที่ (static) และแบบหมุน (rotary)

        3. อัดแรงดันพ่นน้ำ (water spray processing) ซึ่งมีทั้งแบบคงที่ (static) และแบบหมุน (rotary)รวมถึงแบบน้ำตกไหลผ่าน water cascade processing)

        4. ให้ความร้อนจากไอน้ำและอากาศโดยตรง (Steam -Air)

ข้อแนะนำในการใช้งาน

            ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับนึ่งฆ่าเชื้อ ต้องเป็นสิ่งของที่สามารถทนต่ออุณหภูมิและแรงดันไอน้ำสูงได้ เช่น เครื่องมือที่ทำจากแก้ว, เซรามิค,โลหะหรือยาง, น้ำ และของเหลวทางการแพทย์ โดยใช้อุณหภูมิ แรงดันและเวลาที่เหมาะสม

            เครื่องหม้อนึ่งความดันไอน้ำส่วนใหญ่จะถูกใช้สำหรับการฆ่าเชื้อ แต่บ่อยครั้งที่พบว่าหม้อนึ่งความดันไอน้ำถูกนำมาใช้ในเรื่องการอบแห้งและการอุ่นของเหลว, การละลายและการอุ่นอาหารเลี้ยงเชื้อ  ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของเครื่องมือวัดว่ามีฟังก์ชั่นเหล่านี้หรือไม่ โดยสามารถดูได้จาก Spec ผู้ผลิต

ข้อควรระวังในการใช้งานหม้อนึ่งความดันไอน้ำ

        1.  การนำสิ่งของออกจากเครื่องหม้อนึ่งความดันไอน้ำต้องรอให้เข็มของ Pressure Gauge ตกลงมาที่ 0 psi ก่อนจึงสามารถเปิดฝาเครื่องได้

        2.  ควรสวมถุงมือกันความร้อนทุกครั้งก่อนจับชิ้นส่วนของตู้ เนื่องจากยังมีความร้อนอยู่

        3.  ต้องรอจนกว่าของเหลวในหม้อนึ่งความดันไอน้ำจะเย็นลงหรืออุณหภูมิลดลง ถึงจุดที่จะเอาสิ่งของออกได้

        4.  ต้องปิดฝาหม้อนึ่งให้สนิททุกครั้งก่อนใช้งาน

        5.  ไม่ควรวางสิ่งของซ้อนกันแน่นเกินไป

        6.  การนึ่งของเหลว ควรคำนึงถึงปริมาตรที่บรรจุลงในภาชนะ ถ้าบรรจุมากเกินไปอาจทำให้ของเหลวล้นออกมาในขณะนึ่งเชื้อ

Calibration Laboratory (CLC) ให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

            Calibration Laboratory สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดโดยได้การรับรองรอง ISO/IEC 17025:2017 จาก ANAB ส่วนของอุณหภูมิภายในตู้ 105-135 °C และจาก TISI ส่วนของอุณหภูมิภายในตู้ 115-135 °C

            Calibration Laboratory สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด หม้อนึ่งความดันไอน้ำ ให้ลูกค้าได้โดยใช้วิธีการ Comparison โดยแบ่งออกเป็น 3 วิธีการ

        1. Comparison with hydra data logger ใช้ร่วมกับ Sensor RTD 4 Wire

        2. Comparison with hydra data logger ใช้ร่วมกับ Sensor TC wire type K

        3. Comparison with Wireless Data Logger ใช้ร่วมกับ Sensor แบบ Wireless

รูปภาพตัวอย่างเครื่องมือ Hydra Data Logger ของบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรีจำกัด

ซึ่งการเลือกวิธีการสอบเทียบเครื่องมือวัดขึ้นอยู่กับเครื่องมือลูกค้า(DUC)และเกณฑ์การยอมรับ (MPE) ของเครื่องมือ
การสอบเทียบ Autoclave Comparison with hydra data logger ใช้ร่วมกับ Sensor มีวิธีการดังนี้

  •  ติดตั้ง Sensor (RTD 4 Wire, TC wire type K, Wireless) ตามตำแหน่งของหม้อนึ่งความดันไอน้ำทั้งหมด 9 Position (ขนาดไม่เกิน 1 m 3) ตามตัวอย่างรูปด้านล่าง
  • ให้หม้อนึ่งความดันไอน้ำ (DUC) ทำอุณหภูมิตามpointที่ต้องการสอบเทียบ
  •   อ่านค่า Comparison กับเครื่อง Hydra data logger (STD) และบันทึกผล
รูปตำแหน่งการวาง Probe Sensor  9 Position ใน Autoclave ขนาดไม่เกิน 1 m3

วิธีการดูแลรักษา Autoclave ก่อนและหลังใช้งาน

ก่อนใช้งาน

        1. ต้องตรวจเช็คสภาพของขอบยางของหม้อนึ่งความดันไอน้ำอยู่เสมอไม่ให้รั่ว,ซึม,ชำรุด

        2. ต้องตรวจเช็คระดับน้ำในหม้อนึ่งความดันไอน้ำให้อยู่ในระดับที่กำหนดด้วยทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้หม้อนึ่งไหม้และห้ามใช้ของเหลวชนิดอื่นใช้งานแทนน้ำ

หลังใช้งาน

        1. เพื่อป้องกันการอุดตันของท่อต่างๆควรถ่ายน้ำออกจากหม้อนึ่งความดันไอน้ำ และเปลี่ยนน้ำทุกๆวัน

        2. จะเริ่มทำการบำรุงรักษาต้องรอให้เครื่องหม้อนึ่งความดันไอน้ำเย็นก่อน

        3. เช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกออกจากตัวเครื่องด้วยผ้าเนื้ออ่อน เช็ดที่ผิวของตัวเครื่องแล้วเช็ดให้แห้ง

 ข้อแนะนำ เมื่อต้องการส่งเครื่องมือหม้อนึ่งความดันไอน้ำ (Autoclave) มาสอบเทียบกับ Calibration Laboratory

    เครื่องมือวัดหม้อนึ่งความดันไอน้ำส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก จึงไม่แนะนำให้เคลื่อนย้ายและนำเข้ามาสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ห้องปฏิบัติการสอบเทียบ  ดังนั้น การเข้าไปสอบเทียบเครื่องมือวัดที่บริษัทลูกค้าจึงมีความเหมาะสมมากกว่า  และเวลาดำเนินการสอบเทียบในเครื่องมือไม่ควรมีชิ้นงานหรือสิ่งของอยู่ภายในเครื่องมือวัดหม้อนึ่งความดันไอน้ำ

หากท่านใดสนใจส่งสอบเทียบ(Calibrate)เครื่องมือวัดกับทางบริษัท Calibration Laboratory สามารถติดต่อผ่านช่องทางต่างๆด้านล่างได้เลยค่ะ

ผู้เขียน ลูกคิด

Oven คืออะไร?? แล้วทำไมเราจึงต้องสอบเทียบ

———-

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

เลือก Compound Gauge อย่างไรให้เหมาะสมกับงานอุตสาหกรรมคุณ

เลือก Compound Gauge อย่างไรให้เหมาะสมกับงานอุตสาหกรรมคุณ

Compound Gauge หรือเครื่องวัดความดันแบบรวม ถือเป็นอุปกรณ์วัดแรงดัน (Pressure) คือ เครื่องมือวัด ที่ใช้ในการวัดและควบคุมแรงดัน มีทั้งแบบที่เป็นระบบอนาล็อก (Analog) และแบบที่เป็นดิจิทัล (Digital) โดยอุปกรณ์สามารถที่จะระบุค่าแรงดันออกมาในหน่วยต่างๆได้ ขึ้นอยู่กับรุ่นและความต้องการในการใช้งาน  โดยปกติเราจะต้องเลือกด้วยว่าต้องการใช้งานแบบใด โดยอุปกรณ์วัดแรงดันมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • Pressure gauge หรือเกจวัดแรงดัน นิยมใช้สำหรับวัดค่าความดันทั่วๆ ไป อ่านค่าความดันได้ที่หน้าปัด ส่วนใหญ่เป็นแบบอนาล็อก หรือ แบบเข็ม แบ่งเป็น
  • Pressure gauge
  • Vacuum gauge
  • Compound gauge
  • Pressure switch หรือสวิตซ์ความดัน และ Pressure transmitter เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดแรงดันและสามารถแปลงค่าความดันเป็นสัญญาณทางไฟฟ้ามาตรฐานได้ นิยมใช้ในระบบที่ต้องมีการควบคุมความดัน มักมีระบบการทำงานแบบดิจิทัล ON-OFF

Pressure gauge, Vacuum gauge และ Compound gauge แตกต่างกันอย่างไร

  • Pressure gauge (ใช้วัดได้เฉพาะย่านวัดแรงดันปกติหรือแรงดันค่าบวก)
  • Vacuum gauge  (ใช้วัดได้เฉพาะย่านวัดสุญญากาศหรือแรงกดด้านลบ)
  • Compound gauge (ใช้วัดได้ทั้งย่านวัดแรงดันปกติและย่านวัดสุญญากาศ ย่านการวัดมีทั้งย่านบวกและย่านลบ)

เครื่องวัดความดันแบบรวมเป็นอุปกรณ์ที่สามารถแสดงแรงดันทั้งบวกและลบ (สุญญากาศและเกจวัดแรงดัน) เราจำเป็นต้องใช้ เครื่องวัดความดันแบบรวม เมื่อทำการวัดระบบที่ใช้ความดันทั้งบวกและลบในเกจ

ในการเลือกใช้งาน เครื่องวัดความดันแบบรวม ลูกค้าควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานเช่น Media ที่ใช้วัดคืออะไร ยกตัวอย่างเช่น วัดลมและวัดน้ำ ควรเลือกแบบย่านวัดต่ำแต่มีความละเอียดสูง วัดน้ำมันควรเลือกแบบช่วงวัดสูง วัดสารที่กัดกร่อนควรเลือกแบบตัวเรือนสเตนเลสที่ทนการกัดกร่อนได้ดี หรือใช้วัดสารไม่กัดกร่อนก็สามารถเลือกตัวเรือนเหล็กแบบปกติ เป็นต้น

โดยปกติสำหรับการเลือกใช้ เครื่องวัดความดันแบบรวม สิ่งที่ควรระบุสำหรับเลือกอุปกรณ์ มีดังนี้

  • หน่วยวัด(Unit) คือ หน่วยความดันบนหน้าปัดที่เราต้องการให้อุปกรณ์วัดแสดง
  • ย่านการวัด (Range) คือ ช่วงความดันต่ำสุด-สูงสุด ที่อุปกรณ์ตัวนั้นสามารถวัดให้เราได้
  • ขนาดหน้าปัด (Dial Size) คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหน้าปัดอุปกรณ์วัด มักระบุเป็น นิ้วหรือมิลลิเมตร
  • ชนิดวัสดุ คือ ชนิดของวัสดุที่ใช้เป็นตัวเรือน เช่น เหล็ก / พลาสติก / สเตนเลส / ทองเหลือง
  • วัสดุใช้ทำเกลียว เช่น ทองเหลือง / สเตนเลส
  • แบบ/ขนาดของเกลียว (Type/Thread size) คือ ขนาดของเกลียวที่จะใช้ต่อกับอุปกรณ์อื่น มีทั้งแบบออกด้านล่างและออกด้านหลัง ตัวอย่างขนาดเกลียวมาตรฐาน NPT และ BSP
  • Option พิเศษต่างๆ เช่น แบบมีน้ำมัน มีปีกยึดติดตู้

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบได้ทั้งแบบรับกลับมา สอบเทียบเครื่องมือวัด ที่ห้องปฏิบัติการ (In lab)และแบบสอบเทียบหน้างานที่บริษัทลูกค้า (Onsite) อีกทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และ  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม
รายละเอียด Scope การสอบเทียบ คลิก

 

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

ทำไม TMN-Series Torque Wrench จึงเป็นความแม่นยำที่คุณวางใจได้ในทุกงาน

TMN-Series Torque Wrench ที่ปรับตั้งค่าได้เสริมความแม่นยำและประสิทธิภาพให้กับงาน

ทำไมต้องเลือกประแจวัดแรงบิดแบบ Preset type รุ่น TMN-Series ?

ประแจวัดแรงบิด หรือ ประแจทอร์ค แบบ Preset type รุ่น TMN-Series มีคุณสมบัติที่โดดเด่นด้วยความแม่นยำและใช้งานง่าย มีย่านการใช้งานที่ครอบคลุม มีตัวเลขแสดงผลที่ชัดเจนช่วยลดการคาดเดา ทำให้เครื่องมือนี้เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นการใช้งานและผู้มีประสบการณ์การใช้งานอยู่แล้ว

ความแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการผลิตในอุตสาหกรรม ประแจวัดแรงบิด หรือ ประแจทอร์ค จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในอุตสาหกรรม และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งานในปัจจุบันบทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับคุณสมบัติ การใช้งาน และความก้าวหน้าของประแจวัดแรงบิดแบบ Preset type เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงสุด

ทำความเข้าใจกับประแจวัดแรงบิด (Torque Wrench)

ประแจวัดแรงบิดเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการปรับแรงบิดให้กับตัวยึด เช่น สลักเกลียว หรือน็อต ช่วยให้ชิ้นส่วนต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกันด้วยความตึงและแรงที่เหมาะสม ป้องกันการขันแน่นหรือหลวมเกินไป การใช้แรงบิดที่ไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้อุปกรณ์ หรือชิ้นงานเกิดความเสียหายหรือเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ประแจวัดแรงบิดจึงกลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในหลากหลายอุตสาหกรรม

ในปัจจุบัน ประแจวัดแรงบิดได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ทำให้มีความแม่นยำสูง ผู้ใช้สามารถตั้งค่าแรงบิดที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ และเมื่อแรงบิดถึงค่าที่กำหนด เครื่องมือจะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง “คลิก” พร้อมแรงต้านเล็กน้อย เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้งานให้หยุดการขัน

คุณสมบัติเด่นของประแจวัดแรงบิดที่ปรับตั้งค่าได้

  1. ช่วงแรงบิดที่กว้าง: ประแจวัดแรงบิดที่มีหน้าอ่านแบบตัวเลขรองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยมีรุ่นที่มีช่วงแรงบิดตั้งแต่ 1 N·m ถึง 300 N·m
  2. ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น: ด้วยความแม่นยำของแรงบิดที่ ±3% เครื่องมือเหล่านี้จึงให้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้และคงที่ แม้หลังการซ่อมแซม ความแม่นยำจะปรับเป็น ±4% แต่ยังคงมาตรฐานสูง
  3. การสอบเทียบและการตรวจสอบย้อนกลับ: เครื่องมือทุกชิ้นมาพร้อมใบรับรองการสอบเทียบจากผู้ผลิต เพื่อให้ได้รับความถูกที่ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น ควรสอบเทียบโดยผ่านมาตรฐานการรับรองของ ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 อีกครั้ง เพื่อที่จะยืนยันการรับรองการตรวจสอบย้อนกลับและการปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และขอแนะนำให้ตรวจสอบการสอบเทียบเป็นประจำเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
  4. การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์: น้ำหนักเบาและกะทัดรัด ประแจวัดแรงบิดออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่สะดวก ลดความเมื่อยล้าของผู้ใช้งานระหว่างการทำงานที่ยาวนาน
  5. ความทนทานและการบำรุงรักษา: ประแจวัดแรงบิดทนทานต่อการใช้งานหนัก และมีคำแนะนำให้ตรวจสอบเป็นระยะหลังจากใช้งาน หรือส่งสอบเทียบอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้เครื่องมือที่มีความถูกต้องแม่นยำ

รายละเอียดรุ่นและคุณสมบัติ

ประแจแรงบิดมีหลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะ มีรายละเอียดดังนี้ :

  1. รุ่น T2MN6

  • Torque Range: 1~6 N·m
  • Increments: 0.1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 222 mm น้ำหนัก: 0.26 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M4~M6
    • High strength: M4~M5
  • เหมาะสำหรับ: งานขันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความละเอียดสูง
  1. รุ่น T2MN10
  • Torque Range: 2~10 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.3 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M5~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานที่ต้องการแรงบิดเพิ่มขึ้น เช่น งานประกอบเครื่องจักรขนาดเล็ก
  1. รุ่น T2MN13
  • Torque Range: 3~13 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.29 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานขันทั่วไปที่ต้องการแรงบิดระดับปานกลาง
  1. รุ่น T3MN15
  • Torque Range: 3~15 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 6.35 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.29 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานขันทั่วไปที่ต้องการแรงบิดระดับปานกลาง
  1. รุ่น T3MN20
  • Torque Range: 4~20 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.30 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M6~M8
  • เหมาะสำหรับ: งานขันอุปกรณ์ทั่วไปในงานอุตสาหกรรม

6.รุ่น T3MN25

  • Torque Range: 5~25 N·m
  • Increments: 0.2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 253 mm น้ำหนัก: 0.30 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M6~M8
    • High strength: M5~M6
  • เหมาะสำหรับ: งานขันอุปกรณ์ทั่วไปในงานอุตสาหกรรม
  1. รุ่น T3MN50
  • Torque Range: 10~50 N·m
  • Increments: 0.5
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 308 mm น้ำหนัก: 0.52 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M10
    • High strength: M8
  • เหมาะสำหรับ: งานขันขนาดกลาง เช่น งานซ่อมยานยนต์
  1. รุ่น T4MN50
  • Torque Range: 10~50 N·m
  • Increments: 0.5
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 308 mm น้ำหนัก: 0.55 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M10
    • High strength: M8
  • เหมาะสำหรับ: งานขันขนาดกลาง เช่น งานซ่อมยานยนต์
  1. รุ่น T3MN100
  • Torque Range: 20~100 N·m
  • Increments: 1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 9.5 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 387 mm น้ำหนัก: 0.75 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M12~M14
    • High strength: M10
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN100
  • Torque Range: 20~100 N·m
  • Increments: 1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 387 mm น้ำหนัก: 0.77 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M12~M14
    • High strength: M10
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN140
  • Torque Range: 40~140 N·m
  • Increments: 1
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 450 mm น้ำหนัก: 0.82 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14
    •  High strength: M10~M12
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN200
  • Torque Range: 40~200 N·m
  • Increments: 2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 474 mm น้ำหนัก: 1.40 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14~M16
    •  High strength: M12
  • เหมาะสำหรับ: งานประกอบเครื่องจักรที่ต้องการแรงบิดสูง
  1. รุ่น T4MN300
  • Torque Range: 40~300 N·m
  • Increments: 2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 12.7 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 716 mm น้ำหนัก: 1.88 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14~M20
    •  High strength: M12~M14
  • เหมาะสำหรับ: งานขันที่ใช้แรงบิดสูงในอุตสาหกรรมหนัก เช่น การประกอบโครงสร้างขนาดใหญ่
  1. รุ่น T6MN300
  • Torque Range: 40~300 N·m
  • Increments: 2
  • ขนาดหัว (Sq.dr): 19 mm
  • ขนาดตัวเครื่อง: ความยาว (L): 716 mm น้ำหนัก: 1.89 kg
  • รองรับน็อต:
    • Ordinary: M14~M20
    •  High strength: M12~M14
  • เหมาะสำหรับ: งานขันที่ใช้แรงบิดสูงในอุตสาหกรรมหนัก เช่น การประกอบโครงสร้างขนาดใหญ่

การใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ

ประแจแรงบิดเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ที่มีการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม:

  1. อุตสาหกรรมยานยนต์: เพื่อให้แน่ใจว่าสลักเกลียวและน็อตในเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังขันแน่นอย่างเหมาะสม
  2. อุตสาหกรรมอวกาศ: ตอบสนองความปลอดภัยและมาตรฐานประสิทธิภาพที่เข้มงวดสำหรับการประกอบและบำรุงรักษาอากาศยาน
  3. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง : ยึดส่วนประกอบโครงสร้างในอาคาร สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
  4. อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักร : การประกอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามข้อกำหนดที่แน่นอน

วิธีการใช้งานที่ดีที่สุด

เพื่อยืดอายุการใช้งานและประสิทธิภาพของประแจแรงบิดของคุณ ควรพิจารณาวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด ดังนี้

  1. การจัดเก็บที่เหมาะสม : เก็บประแจไว้ในกล่องพลาสติกที่จัดมาให้ เพื่อป้องกันฝุ่นและความเสียหาย
  2. การตรวจสอบเป็นประจำ : ตรวจสอบสัญญาณการสึกหรอ เช่น การไม่มีเสียงคลิกหรือแรงต้านลดลง
  3. ปฏิบัติตามขีดจำกัดน้ำหนัก : หลีกเลี่ยงการใช้งานเกินช่วงแรงบิดที่ระบุ เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องมือ
  4. การบำรุงรักษาประจำปี : กำหนดการสอบเทียบประจำปีหรือหลังการใช้งาน 10,000 ครั้ง เพื่อให้ความแม่นยำยังคงอยู่การใช้งานอีกด้วย

ในขณะที่อุตสาหกรรมต่างๆ ยังคงต้องการมาตรฐานความแม่นยำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น เครื่องมืออย่าง ประแจทอร์ค กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ด้วยการเข้าใจคุณสมบัติ การใช้งาน และข้อกำหนดการบำรุงรักษา ผู้ใช้สามารถมั่นใจในประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนาน การลงทุนในประแจวัดแรงบิดคุณภาพสูงไม่ใช่แค่การซื้อเครื่องมือ แต่เป็นการลงทุนในความปลอดภัย ความแม่นยำ และความเป็นเลิศในทุกงานที่ทำ

สรุปคุณสมบัติเด่น

  1. ความแม่นยำสูง: ±3% ของค่าที่ตั้ง
  2. รองรับงานหลากหลาย: จากงานขนาดเล็กที่ต้องการความละเอียดสูงไปจนถึงงานหนักที่ต้องการแรงบิดสูง
  3. การออกแบบทนทาน: ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงเพื่อความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  4. อุปกรณ์ครบชุด: มาพร้อมใบรับรองการสอบเทียบ คู่มือการใช้งาน และกล่องเก็บ

TMN-Series Torque Wrench เป็นเครื่องมือวัดที่ตอบโจทย์การทำงานในทุกอุตสาหกรรมด้วยความหลากหลายของรุ่นที่ออกแบบมาให้รองรับทุกความต้องการ!

 

ผู้เขียน BDS Team

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

Sounding Tape คืออะไร มีวิธีวัดระยะอย่างไร

Tank Dipping Tape หรือ Sounding Tape คืออะไรใช้งานอย่างไร

Tank Dipping Tape หรือ Sounding Tape คือ เครื่องมือที่เป็นสายวัด

โดยลักษณะของ Tank Dipping Tape มักทำจากทองเหลืองหรือ Stainless Steel มีตุ้มถ่วงน้ำหนัก หรือ Plum Bob ติดอยู่ที่ปลายของสายวัดจากการใช้ขอเกี่ยว หน่วยของการวัดเป็น mm, m หรือ inch, foot ตุ้มถ่วงน้ำหนัก หรือ Plum Bob ทำจากทองเหลือง ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกหรือทรงตอร์ปิโด ซึ่งทรงตอร์ปิโดจะเป็นทรงกระบอกที่เป็นทรงกรวยที่ปลายด้านล่าง

การใช้งาน

มักใช้กับของเหลวที่มีความเข้มข้น เพราะทรงกรวยจะแทรกซึมน้ำมันหรือกากตะกอนได้ดีกว่า ใช้สำหรับวัดระดับของน้ำมันภายในถังสำรองน้ำมัน เป็นการวัดระยะความสูงของน้ำมันเพื่อนำค่าที่ได้ไปหาค่าปริมาตรของน้ำมันภายในถัง โดยใช้ตารางประจำถัง ซึ่ง ตารางประจำถัง นั้นจะระบุปริมาณของน้ำมันภายในถังที่ระดับความสูงต่างๆ

วิธีการใช้งาน

โดยจะหย่อน Tank Dipping Tape ประกอบกับ Plum Bob ลงไปกระแทกกับ Dip Plate จนได้ยินเสียงกระทบกันระหว่าง Plum Bob กับ Dip Plate แสดงว่า Plum Bob ไปอยู่บนตำแหน่งอ้างอิงแล้ว จากนั้นดึงเครื่องมือวัดขึ้นมาอ่านค่าความสูงเทียบกกับตำแหน่งอ้างอิง

  Tank Dipping Tape หรือ SoundingTape Plum Bob

 

รูปแสดง การวัดระดับของเหลวภายในถังสำรองด้วย Tank Dipping Tape หรือ Sounding Tape

นิยามของค่าความสูงหรือระยะต่างๆ

  1. จุดระดับอ้างอิง (Dipping datum point) คือ จุดตัดกันระหว่างแกนวัดตั้งฉาก (Vertical Measurement Axis) กับพื้นผิวด้านบนของแผ่นระดับอ้างอิง
  2. แผ่นระดับอ้างอิง (Dip Plate) คือ แผ่นโลหะที่ติดตั้งอยู่ด้านล่างของถัง
  3. ระยะวัด (Dip) คือ ระดับความสูงของของเหลวซึ่งวัดในแนวดิ่งจากจุดระดับอ้างอิงถึงผิวหน้าของของเหลว
  4. จุดอ้างอิงบนสุด (Upper Reference Point) คือ จุดบนสุดของถังที่ใช้เป็นตำแหน่งอ้างอิงระดับความสูง (Ullage or Height) จะเป็นแผ่นโลหะบอกระดับอ้างอิงความสูงโดยจะระบุค่าระดับอ้างอิงบนสุดของท่อที่ใช้สำหรับหย่อน Plum Bob ที่ประกอบกับ Tank Dipping Tape 
  5. ระดับความสูง (Ullage or Height) คือ ระยะความสูงของพื้นที่ว่างภายในถังซึ่งวัดจากผิวหน้าของของเหลวถึงจุดอ้างอิงบนสุดของถัง

การวัดระยะความสูงของเหลวภายในถังสำรอง

แบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ

  1. Innage Method เป็นการยึดเอาจุดระดับอ้างอิง Dipping datum point ซึ่งอยู่ตำแหน่งบริเวณใกล้ก้นถังสำรอง แต่จะอยู่สูงกว่าจุดต่ำสุดของพื้นถังสำรองประมาณ 10 cm โดย Dip Plate จะเผื่อระยะไว้สำหรับตะกอนก้นถัง การวัดระยะจะวัดจาก Dip Plate จนถึงระดับผิวของของเหลว ซึ่งจะเป็นระยะความสูงของของเหลว

การวัดระดับของเหลวภายในถังสำรองแบบ INNAGE  Method

การวัดระดับของเหลวภายในถังสำรองแบบ OUTAGE or ULLAGE Method

ข้อควรปฏิบัติตามขั้นตอนในการใช้งาน Tank Dipping Tape / Sounding Tape

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขอเกี่ยว Plum Bob แน่น เพื่อป้องกันเครื่องมือวัด และ Plum Bob ได้รับความเสียหาย เช่น Plum Bob ตกหล่นลงไปภายในท่อ
  2. ควรทราบการอ่านค่าครั้งล่าสุด เพื่อให้เป็นแนวทางว่าจะใช้วิธีการอ่านค่าจาก Tank Dipping Tape หรือใช้วิธีการคำนวณ Ullage Value ของถัง
  3. ควรทราบว่านำไปใช้ตรวจสอบอะไร เช่น น้ำ หรือ น้ำมัน เพื่อเลือกใช้น้ำยาสำหรับตรวจสอบที่ถูกต้อง
  4. การหย่อน Plum Bob ลงไปในท่อ ต้องค่อยๆหย่อน Plum Bob เพื่อป้องกัน Plum Bob แกว่งตัว หาก Plum Bob เอียงจะส่งผลให้ค่าที่วัดได้ผิด
  5. ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า Plum Bob สัมผัสกับแผ่น Sticker / Datum Plate ก่อนทำการอ่านค่า ใช้งานไม่ทะนุถนอมเช่น สายแถบโลหะจนเกิดการพับหักงอ หรือปลายลูกดิ่งสึกหรอ สายแถบโลหะยืดไม่คืนตัว

การบำรุงรักษา Tank Dipping Tape / Sounding Tape

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ทำความสะอาดเครื่องมือวัดหลังการใช้งานแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการวัดถังน้ำมันหนักหรือของเหลวที่มีความหนืด
  2. ทำความสะอาดเครื่องมือวัด และ Plum Bob ทุกครั้งหลังใช้งาน
  3. จัดเก็บเครื่องมือวัดในกล่องเพื่อป้องกันการเกิดการพับ, หักงอ, ขาดปลายของ Plum Bob สึกหรอ
  4. ควรมีการสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อเป็นการทวนสอบค่าของเครื่องมือวัด

ผู้เขียน SMT

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

หลักการทำงานและตัวอย่างของ Manometer

Manometer

Manometer (มาโนมิเตอร์) คือ เครื่องมือที่ใช้ในการวัด Pressure ที่มีค่าแรงดันต่ำ อย่างกรณีนี้เป็นการวัดโดยอาศัยหลักการวัดของของเหลวในท่อใส เช่น น้ำ, ปรอทหรือของไหลอื่นๆ แบบทั่วไปจะมีลักษณะที่เป็นหลอดใสที่มีของไหลอยู่ด้านในหลอดแก้ว การวัดค่า Pressure หลักการจะมีความคล้ายกันกับ Differential Pressure โดยจะเป็นแบบ 2 ด้านที่เป็น Pressure หรือ Vacuum

หลักการทำงานพื้นฐานของ Tube Manometer

การวัดค่าของPressureของ Tube Manometer จะเป็นการวัดการเคลื่อนที่ของ ของเหลวภายในตัวเครื่องโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นท่อใสที่สามารถมองเห็นการไหลเคลื่อนที่ของ ของเหลวได้อย่างชัดเจนและส่วนปลายของท่อมี 2 ด้านจะเป็นส่วนที่มี Pressure เข้ามาโดยที่การไหลเคลื่อนที่ของของเหลวจะเปลี่ยนแปลงตามปริมาณของ Pressure ที่ไหลเข้ามาจากปลายทั่ง 2 ด้าน

ตัวอย่างเช่น

  • เมื่อ P1 มีค่า Pressure เท่ากันกับ P2 ระดับของเหลว ทางฝั่ง P1 และ P2 จะมีระดับที่เท่ากัน
  • เมื่อ P1 มีค่า Pressure มากกว่า P2 ระดับของเหลว ทางฝั่ง P2 จะอยู่สูงกกว่า P1
  • เมื่อ P1 มีค่า Pressure น้อยกว่า P2 ระดับของเหลว ทางฝั่ง P1 จะอยู่สูงกกว่า P2

การใช้งานของมาโนมิเตอร์

โดยทั่วไปจะใช้วัด Pressure ที่มีแรงดันไม่มากและสามารถวัดการเปลี่ยนแปลง ของ Pressure ที่เล็กน้อยได้ดีสังเกตุเห็นได้ง่าย มีการบำรุงรักษาที่ง่าย เพราะเป็นเพียงแท่งพลาสติกหรือแก้วใส ไม่มีชิ้นส่วนประกอบที่ซับซ้อน โดยส่วนใหญ่มักใช้ในอุตสาหกรรม ต่างๆ

  • วัดแรงดันในระบบงานที่มี Pressure ที่มีแรงดันต่ำ
  • สามารถใช้วัด Pressure ทั้ง 2 ด้าน
  • สามารถใช้งานเป็น Vacuum ที่มี Range ไม่สูงมาก

ตัวอย่างของ TubeManometer ลักษณะที่พบได้ทั่วไป มีหลักๆอยู่ 3 ชนิด

1.U-Tube Manometer

มีลักษณะรูปทรงเป็นกับตัวยู (U) ความสูงของปลายท่อเท่ากัน เมื่อไม่มีแรงดัน Pressure หรือ Vacuum ที่ปลายท่อ ระดับของเหลวจะ มีระดับที่เท่ากัน เมื่อตัวเครื่องมือ ถูกวางหรือตั้งในระดับที่เรียบไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง

2.Well-Type Manometer

มีรูปร่างเป็นแท่งทรงแนวตั้งมีส่วนบริเวณที่มีไว้เก็บของเหลวมีลักษณะเป็นเหมือนถังเก็บของเหลว จะมี Scale วัดค่า Pressure และ Vacuum 1 ด้าน และอีก 1 ด้านจะไม่มี Scale

3.Incline-Tube Manometer

มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับ Well-TypeManometer มี Scale วัดค่า Pressure และ Vacuum แบบเอียง แตกต่างจากแบบ Well-TypeManometer ทีมี Scale แนวตั้ง

การสอบเทียบมาโนมิเตอร์

                การเลือกวิธีการสอบเทียบสามารถดูได้จาก Scale ของตัวเครื่องและหน่วยของตัวเครื่องมือ แต่ในบางรุ่น บางแบรนผู้ผลิตจะมีการกำหนดเป็น Scale ของหน่วยวัดด้านมิติ (Dimension) เช่น mm, cm เป็นต้น แต่จะมีการคำนวณเพื่อที่จะหาค่า Pressure ต่อไปตามที่ผู้ผลิตกำหนด

ตัวอย่างเช่น มาโนมิเตอร์ตัวนี้มี Scale 0-100 และข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่าตัวเครื่องมือมี Range อยู่ที่ 100-0-100 mmWC
จากตัวอย่างนี้ สามารถกำหนดจุดสอบเทียบได้ตาม Scale ที่เครื่องมือได้ 0-100 mmWC [Low ,High] หรือ (-100)-0 mmWC และ 0-100 mmWC

มาโนมิเตอร์ตัวนี้มี Scale 0 – 40 mmH2O ก็สามารถกำหนดจุดสอบเทียบ ได้ตาม Main Scale ของเครื่องมือ

การกำหนดเกณฑ์การยอมรับ (MPE)

          เป็นเครื่องมือที่ไม่มีการกำหนด MPE ที่ชัดเจนจากผู้ผลิต แต่ส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ ½ -1 ของช่อง Scale เล็กสุดที่เครื่องมือสามารถอ่านค่าได้ เช่น มาโนมิเตอร์ มี Range อยู่ที่ 40 mmH2O และมีช่อง Scale เล็กสุดที่เครื่องมืออ่านค่าได้อยู่ที่ 1 mmH2O ทำให้สารถระบุได้ว่า เครื่องมือวัดนี้มีค่าเกณฑ์การยอมรับอยู่ที่ 0.5 – 1 mmH2O

 

ผู้เขียน L1 Pressure

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด