คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

Brix Refractometer คืออะไร มีวิธีการทำงานและใช้งานอย่างไร

เครื่อง Brix Refractometer  คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดค่าความเข้มข้นของสารละลาย หรือใช้ตรวจสอบปริมาณน้ำตาลในของเหลว (หรือที่เรียกว่า เครื่องวัดความหวาน) โดยอาศัยหลักการหักเหของแสง มีหน่วยวัดเป็น % Brix

เครื่องวัดความหวานทำงานอย่างไร

เครื่องวัดความหวาน มีหลักการทำงานง่ายๆคือ ใช้การหักเหของแสงจากปริซึมเพื่ออ่านค่าในสเกล ซึ่งค่าการหักเหของแสงจะแปรเปลี่ยนไปตามปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในของเหลวตัวอย่างที่ใช้วัด

วิธีการใช้งาน เครื่องวัดความหวาน เบื้องต้น

ก่อนเริ่มใช้ เครื่องมือวัด วัดค่าตัวอย่าง เราจะต้องทำการปรับตั้งอุปกรณ์ให้ตรงก่อน ซึ่งสิ่งที่ควรนำมาเป็นตัวปรับตั้งค่าคือ น้ำกลั่นบริสุทธิ์  เพื่อให้เครื่องมือมีความเที่ยงตรงและแม่นยำที่สุด

วิธีการปรับตั้งค่า ทำได้ดังนี้

  1. ยกแผ่นเพลทขึ้น และหยดน้ำกลั่นบริสุทธิ์ 2-3 หยด ลงบนกระจกปริซึม จากนั้นยกแผ่นเพลทลงปิด โดยให้น้ำกระจายให้ครอบคลุมทั่วผิวกระจกทั้งหมด และต้องระวังอย่าให้มีฟองอากาศเกิดขึ้น
  2. ปล่อยให้น้ำอยู่บนผิวกระจกประมาณ 15 วินาที เนื่องจากจะเป็นการทำให้อุณหภูมิของน้ำปรับเข้าสมดุลกับอุณหภูมิโดยรอบของ  Refractometer
  3. ส่องดูน้ำตัวอย่างที่เป็นน้ำบริสุทธิ์ ให้สเกลระหว่างสีขาวและสีฟ้าให้อยู่ในระดับ 0 หากสเกลเส้นเชื่อมต่อระหว่างสีฟ้าและสีขาวซึ่งเป็นตัวชี้สเกลไม่อยู่ตรงที่ระดับ 0  ให้ใช้ไขควงที่มีมาในชุดทำการหมุนปรับตั้งค่าให้สเกลสีฟ้าและสีขาวอยู่ในระดับ 0
  4. เมื่อปรับตั้งสเกลเรียบร้อยแล้ว เครื่องมือวัดก็พร้อมใช้งานทันที

วิธีการวัดค่าเครื่อง Brix Refractometer

  1. ทำการหยดสารละลายที่ต้องการทราบค่าบนแผ่นปริซึม ปิดแผ่นเพลท แล้วส่องมองผ่านช่องในที่มีแสง จะมองเห็นเป็นแถบสี อ่านค่าตัวเลขที่ได้ตามสเกล มีหน่วยวัดเป็น %Brix

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC สามารถ สอบเทียบเครื่องวัด ความหวาน ได้ที่ Range ใดบ้าง

สามารถให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด โดยได้รับการรับรอง Scope ดังนี้

  1.ANSI National Accreditation  Board (ANAB)

Refractometer % Brix

 

 (1 to 60) % Brix

Refractive Index

(1.340 2 to 1.441 9) nD

0.11 % Brix

 

0.000 22 nD

In house method: CLC-CPCH-03 by Direct Measurement with Certified Reference Material

 

2.สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

Refractometer % Brix 5.00

10.00

20.00

30.00

40.00

50.00

60.00

Refractive Index

1.34026

1.34782

1.36384

1.38115

1.39986

1.42009

1.44193

0.07 % Brix

0.07 % Brix

0.07 % Brix

0.07 % Brix

0.07 % Brix

0.07 % Brix

0.07 % Brix

 

0.00010 nD

0.00010 nD

0.00010 nD

0.00010 nD

0.00010 nD

0.00011 nD

0.00010 nD

การดูแล เครื่องมือวัดความหวาน เบื้องต้น ทำอย่างไร

  1. ควรทำความสะอาดปริซึมและฝาปิด ให้สะอาดก่อนและหลังใช้งาน โดยต้องเช็ดให้แห้งสนิท
  2. ควรเก็บเครื่องมือเข้ากล่องเก็บเครื่องมือ
  3. ห้ามทำความสะอาดเครื่องมือโดยการเทน้ำล้างเครื่องมือโดยตรง เพราะจะทำให้น้ำเข้าในเครื่องได้

ผู้เขียน Leader ลูกคิด

 

 

 

เครื่องวัดความหวาน (Refractometer) Atago วิธีใช้งานง่ายกว่าที่คิดจริงมั้ย

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาดกับค่าแก้ ใน การสอบเทียบเครื่องมือวัด

ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาด (Error) และ ค่าแก้ (Correction) ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด และวิธีการนำค่านั้นๆไปใช้งาน

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) หรือการทวนสอบเครื่องมือวัด (Verification) เป็นข้อกำหนดหนึ่ง ในการควบคุมเครื่องมือวัดตามข้อกำหนดของ ISO 9001 ผู้ใช้งานเครื่องมือจึงต้องดำเนินการสอบเทียบหรือทวนสอบเครื่องมือเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐาน ซึ่งการสอบเทียบเครื่องมือวัดทางห้องปฏิบัติการสอบเทียบจะรายงานผลการสอบเทียบในรูปแบบของใบรายงานผลการสอบเทียบ (Certificate of calibration) โดยทั่วไปแล้วห้องปฏิบัติการสอบเทียบจะรายงานค่าความผิดพลาด (Error) หรือค่าแก้ (Correction) ในใบรายงานผลการสอบเทียบ ซึ่งบทความนี้จะกล่าวถึง ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาดและค่าแก้ รวมถึงการนำค่าทั้งสองไปใช้งาน

ความแตกต่างระหว่างค่าความผิดพลาด (Error) และ ค่าแก้ (Correction)

ค่าความผิดพลาด (Error)

ตามนิยามของ มอก.235 เล่ม 15-2557 ให้คำนิยามว่า ค่าปริมาณที่วัดได้ลบด้วยค่าปริมาณอ้างอิง
ค่าความผิดพลาด (Error)  = ค่าที่วัดได้ (UUC Reading) – ค่าจริง (Standard Reading)

ตัวอย่างเช่น สอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100°C โดย Thermometer อ่านค่าได้ 98 °C และ Standard Thermometer อ่านค่าได้ 100.0 °C ซึ่งสามารถคำนวณหาค่าความผิดพลาดได้ดังนี้

ค่าความผิดพลาด (Error)  = ค่าที่วัดได้ (UUC Reading) – ค่าจริง (Standard Reading)  

=    98 °C – 100.0 °C

=    -2 °C    

ส่วนการนำค่าความผิดพลาดจากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งานสามารถทำได้โดย การนำค่าความผิดพลาดลบด้วยค่าที่เครื่องมือวัดอ่านค่าได้

ตัวอย่าง จากใบรายงานผลการสอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100 °C โดย Thermometer มีค่าความผิดพลาดเท่ากับ -2 °C เมื่อนำ Thermometer ไปใช้วัดอุณหภูมิน้ำมันโดยอ่านค่าได้ 98°Cสามารถหาค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมันได้ดังนี้

ค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมัน = ค่าที่วัดได้โดย Thermometer – ค่าความผิดพลาด (Error) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ

=    98°C – (-2) °C

=    100°C

ค่าแก้ (Correction)

คือ ค่าชดเชยสำหรับแก้ค่าความผิดพลาดของเครื่องมือวัด โดยนำมาบวกทางพีชคณิตกับค่าที่ยังไม่ปรับแก้ของเครื่องมือวัดโดยสามารถคำนวณหาค่าแก้ได้จาก
ค่าแก้ (Correction) = ค่าจริง (Standard Reading) – ค่าที่วัดได้ (UUC Reading)

ตัวอย่างเช่น สอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100 °C โดยThermometer อ่านค่าได้ 98 °C และ Standard Thermometer อ่านค่าได้ 100.0°C ซึ่งสามารถคำนวณหาค่าแก้ได้ดังนี้

ค่าแก้ (Correction) = ค่าจริง (Standard Reading) – ค่าที่วัดได้ (UUC Reading)       

=       100.0 °C – 98 °C
=       2 °C  

ส่วนการนำค่าแก้จากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งานสามารถทำได้โดย การนำค่าแก้บวกทางพีชคณิตกับค่าที่เครื่องมือวัดอ่านค่าได้

ตัวอย่าง จากใบรายงานผลการสอบเทียบ Thermometer ที่อุณหภูมิ 100 °C โดยThermometer มีค่าแก้เท่ากับ 2 °C เมื่อนำ Thermometer ไปใช้วัดอุณหภูมิน้ำมันโดยอ่านค่าได้ 98 °C สามารถหาค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมันได้ดังนี้

ค่าอุณหภูมิจริงของน้ำมัน = ค่าที่วัดได้โดย Thermometer + ค่าแก้ (Correction) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ

 =    98 °C + 2 °C

 =    100 °C               

สรุป

การคำนวณหาค่าความผิดพลาด (Error) และ ค่าแก้ (Correction) จะแตกต่างกันโดย

  • ค่าความผิดพลาด (Error)   =   ค่าที่วัดได้ (UUC Reading) – ค่าจริง (Standard Reading)
  • ค่าแก้ (Correction)           =   ค่าจริง (Standard Reading) – ค่าที่วัดได้ (UUC Reading)

ส่วนการนำค่าทั้งสองจากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งานจะแตกต่างกันโดย

ค่าจริงของเครื่องมือวัด = ค่าที่วัดได้เครื่องมือวัด – ค่าความผิดพลาด (Error) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ
ค่าจริงของเครื่องมือวัด = ค่าที่วัดได้เครื่องมือวัด + ค่าแก้ (Correction) จากใบรายงานผลการสอบเทียบ

ผู้เขียน L3

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ทำไมต้องเลือกประแจทอร์ค TDT Series

ประแจทอร์ค (ประแจปอนด์) TONE TDT Series มีดีอย่างไร

การจัดการและตรวจสอบแรงบิดด้วย เครื่องมือวัดแรงบิด ประแจทอร์ค ดิจิทัล TDT Series ความแม่นยำและความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรม ในโลกของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การควบคุมและจัดการแรงบิด (Torque) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความปลอดภัยและคุณภาพของการผลิต การประกอบชิ้นส่วนในโรงงานและการบำรุงรักษายานยนต์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่การขันแน่นของสกรูหรือโบลต์มีความสำคัญสูง หากขันแน่นเกินไปหรือน้อยเกินไป อาจทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์หรือแม้แต่เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ การใช้เครื่องมือวัดแรงบิดที่มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็น

คุณสมบัติเด่นของ TONE TDT Series ควบคุมแรงบิดได้อย่างแม่นยำ

เครื่องมือวัดแรงบิดดิจิทัลในซีรีส์ TDT เป็นหนึ่งใน เครื่องมือวัด ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง โดยมีช่วงการควบคุมแรงบิดที่กว้าง ตั้งแต่ 6 N·m ถึง 850 N·m อีกทั้งยังมีให้เลือกถึง 9 รุ่น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน

ประแจทอร์คเหล่านี้มาพร้อมกับฟังก์ชันการตรวจสอบสภาพการขันแน่นที่ทันสมัย ผู้ใช้สามารถตรวจสอบแรงบิดผ่านหน้าจอ LCD ที่แสดงผลอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีไฟ LED และเสียงเตือนเมื่อถึงแรงบิดเป้าหมาย ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างปลอดภัยและแม่นยำ

ฟังก์ชันและการใช้งาน: สะดวกสบายและเชื่อถือได้

เครื่องมือวัดแรงบิด ประแจทอร์ค  (ประแจปอนด์) TONE TDT Series มาพร้อมกับฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น

  • ฟังก์ชัน Pass & Fail: ช่วยให้ผู้ใช้สามารถระบุสถานะการขันแน่นได้ทันที โดยไม่ต้องคาดเดา
  • การเก็บและถ่ายโอนข้อมูล: สามารถบันทึกค่าแรงบิดที่วัดได้ถึง 250 ค่า และถ่ายโอนข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ในรูปแบบ CSV เพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติม
  • โหมดการวัด 2 โหมด: เครื่องมือมีโหมด Track Mode และ Peak Mode ให้ผู้ใช้เลือกตามความเหมาะสมของงาน
  • การแสดงสถานะการขันแน่น: เมื่อแรงบิดถึง 80% ของเป้าหมาย ไฟ LED สีเขียวจะสว่างขึ้น และเมื่อถึง 100% ไฟสีแดงจะสว่างและมีเสียงเตือน เพื่อป้องกันการขันแน่นเกินหรือขาด

ความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งานประแจทอร์ค

เครื่องมือในซีรีส์ TDT ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย มีระบบยึดซ็อกเก็ตที่แน่นหนาแต่สามารถเปลี่ยนได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีรูสำหรับติดตั้งเชือกนิรภัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องทำในที่สูง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

การบำรุงรักษาและความแม่นยำ : มาตรฐานที่ไม่ควรมองข้าม

เพื่อให้เครื่องมือวัดแรงบิดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำในระยะยาว ผู้ใช้งานควรทำการตรวจสอบความแม่นยำของอุปกรณ์เป็นประจำ โดยทั่วไปแนะนำให้สอบเทียบปีละครั้งหรือหลังการใช้งานไปแล้ว 10,000 ครั้ง ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้มาพร้อมกับใบรับรองการสอบเทียบตามมาตรฐาน ทำให้มั่นใจได้ว่าการวัดแรงบิดจะมีความแม่นยำสูงสุด

ประแจทอร์ค TONE TDT Series เป็นคำตอบสำหรับงานอุตสาหกรรม

ประแจทอร์คดิจิทัลในซีรีส์ TDT เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการจัดการแรงบิดในงานอุตสาหกรรม ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและความแม่นยำสูง นอกจากจะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบำรุงรักษา ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

หากใครยังมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเกี่ยวกับการใช้งาน หรือเลือกซื้อประแจทอร์ค สามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่ทาง CLC ของเรานะคะ ทางเรามีจำหน่ายพร้อมบริการสอบเทียบตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 เพื่อให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นในมาตรฐานระดับสากลของเรา CLC พร้อมยินดีให้คำปรึกษาและพร้อมยินดีให้บริการค่ะ โอกาสหน้าจะมาแนะนำเครื่องมือชนิดไหน คอยติดตามกันด้วยนะคะ  ขอบคุณค่ะ

ผู้เขียนBEW JJ.

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

การใช้งาน Liquid in Glass Thermometer

Liquid in Glass Thermometer (เทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว) เป็น เครื่องมือวัด อุณหภูมิที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งานแต่ในความเป็นจริงการนํา เทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว ไปใช้งานนั้นมีข้อจํากัดอยู่บ้าง เช่น ระยะของการจุ่ม การอ่านค่าและชนิดของเครื่องมือวัด ดังนั้นในการนำเครื่องมือประเภทนี้ไปใช้งานจึงยังไม่ถูกต้องมากนัก จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาถึงข้อกำหนดต่างๆเพื่อให้ทราบก่อนนำเครื่องมือไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

การใช้งานและค่าแก้ของ Liquid in Glass Thermometer แบบจุ่มทั้งหมด (Total Immersion)

จากรูปภาพแสดงตัวอย่างการใช้งานเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้วแบบจุ่มทั้งหมด(Total Immersion) จะพบว่าหากใช้เครื่องมือชนิดนี้วัดอุณหภูมิของเหลวในภาชนะที่มีอุณหภูมิประมาณ 25°C เครื่องมือวัดนี้จะสามารถวัดอุณหภูมิได้ถูกต้อง เนื่องจากมีระยะการจุ่มถูกต้องตามหลักการวัดของเครื่องมือเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้วแบบ Total Immersion แต่ถ้าหากอุณหภูมิ ของเหลวในภาชนะสูงขึ้นเป็น 90°C และทําการวัดโดยใช้เครื่องมือเดิมจะพบว่าความลึกของภาชนะส่งผลต่อระยะจุ่มของเครื่องมือและส่งผลต่อผลการวัด ทำให้อ่านค่าอุณหภูมิได้ต่ำกว่าอุณหภูมิจริงในภาชนะ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้อันเนื่องมาจากสารที่บรรจุในแท่งแก้วของ เครื่องมือวัด ได้รับการรบกวนจากสภาวะแวดล้อมส่งผลทําให้การขยายตัวของสารภายในท่อ Capillary ลดลง เนื่องจากระยะการจุ่ม เครื่องมือวัด ไม่เหมาะสม (Immersion Error)  จึงทําให้ค่าอุณหภูมิที่อ่านได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

ดังนั้นการใช้งานหรือการอ่านค่าเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้วให้ถูกต้องจึงจำเป็นต้องทําการแก้ค่า ซึ่งสามารถคํานวณหาค่าแก้อุณหภูมิเนื่องจากผลกระทบของระยะจุ่มที่ไม่เหมาะสม (Immersion Error) โดยการวัดอุณภูมิรอบก้านแก้วขณะทำการวัดได้จากสมการดังนี้

Emergent Stem Correction = kn(T-t)

เมื่อ :  k = ค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวของของเหลวที่บรรจุในเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว

สำหรับเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้วที่มีหน่วยวัดอุณหภูมิเป็นองศาเซลเซียส (°C ) ชนิดที่ของเหลวบบรรจุภายในกระเปาะแก้วเป็นปรอท (Mercury) จะมีค่า k เท่ากับ 0.00016 สําหรับหน่วยวัดอุณหภูมิเป็นองศาฟาเรนไฮต์ (°F )  จะมีค่า k เท่ากับ 0.00009 และเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว ที่มีหน่วยวัดอุณหภูมิเป็นองศาเซลเซียสชนิดที่ของเหลวบบรรจุภายในกระเปาะแก้วเป็นแอลกอฮอล์ (Alcohol) จะมีค่า k เท่ากับ 0.00104 สำหรับหน่วยวัดอุณหภูมิเป็นองศาฟาเรนไฮต์ จะมีค่า k เท่ากับ 0.0006

n = จํานวนขีดสเกลแสดงค่าของเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว ในส่วนที่โผล่พ้นจากระดับผิวของของเหลวในภาชนะถึงอุณหภูมิที่ทำการวัด

T = อุณหภูมิของของเหลวในภาชนะที่อ่านได้จากเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว

t  = อุณหภูมิรอบก้านแก้วของเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว ที่ทําการวัด (Emergent Stem)

จากสมการจะพบว่าเราต้องทราบค่าของอุณหภูมิที่อยู่รอบๆตัวเทอร์โมมิเตอร์ในขณะทำการวัด จึงจะสามารถใช้งานสมการแก้ค่านี้ได้ โดยการใช้เครื่องมือวัดที่สามารถอ่านค่าได้ติดตั้งคู่กันกับ เทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว โดยให้ส่วนปลายของเครื่องมือวัดอยู่เหนือระดับผิวของของเหลวดังรูป

รูปแสดงตัวอย่างการวัดอุณหภูมิรอบก้านแก้ว (Emerget Stem Temperature)

จากรูป เป็นตัวอย่างการใช้งานเครื่องมือวัดที่มีของเหลวบรรจุภายในกระเปาะแก้วเป็นของเหลวชนิดปรอท (k = 0.00016) วัดอุณหภูมิของเหลวในภาชนะที่อุณหภูมิประมาณ 90°C โดยอ่านค่าอุณหภูมิจากจาก เทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว ได้ 89°C และ อ่านค่าอุณหภูมิรอบก้านแก้ว (Emerget Stem Temperature) จาก เทอร์โมมิเตอร์ อีกตัวได้ 28°C โดยมีจำนวนสเกลโผล่พ้นเหนือระดับของเหลวที่ทำการวัดจำนวน 50 สเกล สามารถคำนวณหาค่าแก้จากอุณหภูมิรอบก้านแก้วได้จากสมการ

Emergent Stem Correction = kn(T-t)

= 0.00016 x 50 (89-28)

= 0.488 °C

ดังนั้นอุณหภูมิจริงของของเหลวที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์แบบแท่งแก้ว

= 89 + 0.488

= 89.488 °C

 

ผู้เขียน L3

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ทำความรู้จักกับ Dissolved Oxygen

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ออกซิเจนมีความสำคัญในการดำรงชีวิตของ มนุษย์ สัตว์ และพืช หากขาดออกซิเจนก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตตายในไม่กี่นาที ออกซิเจนพบได้ในอากาศและในน้ำ โดยวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับออกซิเจนในน้ำกันว่ามีความสำคัญมากน้อยอย่างไร

Dissolved Oxygen : DO คือ ปริมาณของก๊าซออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ โดยปกติแล้วออกซิเจนในน้ำจะมาจากการดูดซึมโดยตรงจากชั้นบรรยากาศ  รวมไปถึงการสังเคราะห์แสงของพืชน้ำในเวลากลางวัน ปริมาณของออกซิเจนในน้ำจะแปรผันกับอุณหภูมิ และความเข้มข้นของแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากอุณหภูมิและความเข้มข้นของแร่ธาตุในน้ำสูง จะทำให้ออกซิเจนในน้ำมีน้อยลง ออกซิเจนละลายได้ง่ายกว่าในน้ำเย็นมากกว่าน้ำอุ่นซึ่งนั่นก็หมายถึง ในน้ำอุ่นมีออกซิเจนน้อยกว่าในน้ำเย็นนั่นเองค่ะ ทั้งนี้อุณหภูมิของน้ำ และปริมาณการไหลของน้ำยังส่งผลต่อระดับออกซิเจนที่ละลายในน้ำด้วยเช่นกัน ดังนั้นออกซิเจนละลายน้ำจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพน้ำ และจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตจึงทำให้ส่งผลอย่างมากกับการดำรงชีวิตอยู่ในการมีชีวิตรอด การเจริญเติบโต ของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ทุกรูปแบบที่อาศัยอยู่ในน้ำ ซึ่งในน้ำจะมีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบประมาณ 20.9%  น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่เป็นที่อยู่อาศัยของปลา และสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ควรมีค่าออกซิเจนละลายในน้ำอยู่ที่  9.5 – 12 mg/L หรือหากเป็นตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะต้องมีการบำบัดน้ำเสียนั้นก็ควรมีการวัดค่าออกซิเจนในน้ำด้วยเพราะนั่นสามารถบ่งบอกได้ว่าน้ำที่ท่านบำบัดอยู่มีสภาพเป็นเช่นไร ถ้าปล่อยออกสู่ธรรมชาติแล้วจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ วันนี้เรามีตัวช่วยในการวัดค่าออกซิเจนในน้ำมาฝากกันค่ะ

เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำ (Dissolved Oxygen Meter)

เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำ (Dissolved Oxygen Meter : Do Meter) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในของเหลว เช่นน้ำ โดยมีหน่วยการวัดเป็นหน่วยมิลลิกรัม/ลิตร (mg/L) (1 mg/L = 1 ppm) เรามาดูกันว่าการวัดออกซิเจนในน้ำนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในด้านใดบ้าง

  1. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การวัดออกซิเจนในน้ำถือเป็นการตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ
  2. มาตรฐานน้ำดื่ม ระดับ DO 8 -9 mg/L คุณภาพน้ำดี ใช้สำหรับการอุปโภคบริโภค
  3. การตรวจสอบและบำบัดน้ำเสีย ทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมและตามแหล่งน้ำธรรมชาติ
ระดับ DO (mg/L) คุณภาพของน้ำ การใช้ประโยชน์
8 – 9 ดี ใช้อุปโภค บริโภค
6.7 – 8 เริ่มมีการปนเปื้อน ใช้ในการอุปโภค
4.5 – 6.7 ปนเปื้อนปานกลาง ใช้ในการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ต่ำกว่า 4.5 มีการปนเปื้อนมาก พืชและสัตว์น้ำเริ่มได้รับอันตรายใช้ประโยชน์ได้น้อย
ต่ำกว่า 4 น้ำอยู่ในภาวะวิกฤติ พืชและสัตว์น้ำได้รับอันตราย ใช้ประโยชน์ไม่ได้
ต่ำกว่า 2 น้ำอยู่ในภาวะวิกฤติ พืชและสัตว์น้ำไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย
  • มาตรฐานน้ำที่มีคุณภาพดี จะมีค่า DO ประมาณ 5 – 8 mg/L
  • น้ำเสีย จะมีค่า DO ต่ำกว่า 3 mg/L
  • ปริมาณออกซิเจนในน้ำ สำหรับสัตว์น้ำ

ต่ำกว่า 4 mg/L ปลาตายหมด
ต่ำกว่า 4 -6 mg/L ปลาจำนวนน้อยมากๆ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ต่ำกว่า 6.5 – 9.5 mg/L ปลาตัวใหญ่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ปลาตัวเล็กๆอยู่ไม่ได้
ต่ำกว่า 9.5 – 12 mg/L ปลาทุกขนาดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำจำแนกตามประเภทเซนเซอร์

1. Polarographic Cell เซนเซอร์ประเภทนี้ถือเป็นเซนเซอร์ที่นิยมใช้กันมากที่สุดเนื่องจากมีราคาที่ไม่สูงมากนัก แต่ผู้ใช้งานจะต้องหมั่นดูแลรักษา เติมน้ำยาที่เรียกว่าสารละลายอิเล็คโทรไลด์ เพื่อรักษาเซนเซอร์ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ หากมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดีก็จะทำให้สามารถใช้งานเครื่องมือได้นานค่ะ

2.Galvanic Cell เซนเซอร์ประเภทนี้ราคาสูงกว่า Polarographic Cell  โดยทางผู้ผลิตจะทำการบรรจุน้ำยาไว้ภายในหัวเซนเซอร์ ทำให้สามารถใช้งานได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเติมน้ำยาให้ยุ่งยาก แต่เซนเซอร์ประเภทนี้จะมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ปี (หลังจากที่เซนเซอร์เสื่อมสภาพ ต้องเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่เท่านั้น) ซึ่งโดยปัจจุบันเครื่องมือบางรุ่นจะมีการแจ้งเตือนที่หน้าจอแสดงอายุเมื่อเซนเซอร์ใกล้หมดอายุล่วงหน้า 30 วัน หลักจากนั้นให้เปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่

 เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนในน้ำ (Dissolved Oxygen) ทั้งแบบ Polarographic Cell และ Galvani Cell จะทำงานโดยใช้หลักการทางไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) ซึ่งภายในเซนเซอร์จะประกอบไปด้วยขั้วแคโทด ขั้วแอโนดสารละลายอิเล็คโทรไลด์ และเยื่อหุ้มหัววัด ( Membrane) เป็นวัสดุที่มีความสามารถในการเลือกให้เฉพาะออกซิเจนผ่านได้โดยที่

  • Polarographic Cell จะใช้แรงดันไฟฟ้าจากภายนอกเพื่อช่วยเพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้กับเซลล์จากแบตเตอรี่เป็นแหล่งกำเนิดแรงดันไฟฟ้าจากภายนอก มักนิยมใช้โลหะ เช่น ทอง ทองคำขาว (Platinum) หรือ พัลลาเดียม เป็นขั้วแคโทด
  • Galvanic Cell หัววัดชนิดนี้เป็นหัววัดที่ก่อให้เกิดการ polarize และสร้างกระแสไฟฟ้าได้ด้วยตัวเอง (Self- Polizing Amperometric Cell) มักนิยมใช้ตะกั่วกับทอง หรือตะกั่วกับเงิน เป็นขั้วแคโทด

3.Optional Sensor เซนเซอร์ประเภทนี้จะเป็นแบบ Optical โดยใช้หลักการของ Fluorescence ในการวัดปริมาณของออกซิเจนในน้ำ โดยใช้หลักการของแสงที่จำกัดความยาวคลื่น (Wavelength) และทำการควบคุมค่าความเข้มข้นของแสงที่ตกกระทบลงบนแผ่นเลนส์ ประมวนผลจากค่าความแตกต่างระหว่างการส่งไปและกลับ แล้วคำนวณออกมาเป็นค่าออกซิเจนในน้ำ แต่เซนเซอร์ประเภทนี้มักมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทั้งสองแบบที่กล่าวมา

แบ่งประเภทของเครื่องวัดออกซิเจนในน้ำ (DO Meter)

เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำแบบตั้งโต๊ะ

1.เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำแบบตั้งโต๊ะ (Bench Type Dissolved Oxygen Meter – DO Meter) เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับใช้ภายในห้องทดลอง ไม่เหมาะกับการนำออกไปนอกสถานที่เพราะเคลื่อนย้ายลำบาก การวัดปริมาณออกซิเจนในน้ำ วิธีการที่ดีที่สุดคือการวัด On site (การสุ่มและนำน้ำตัวอย่างมาวัดหาปริมาณออกซิเจนในน้ำในห้องทดลอง อาจส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนเปลี่ยนแปลงได้จากหลายๆปัจจัย)

2. เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำแบบพกพา (Portable Dissolved Oxygen meter – Do Meter) สามารถนำเครื่องวัดหาปริมาณออกซิเจน : DO จากแหล่งน้ำได้เลยนิยมใช้เนื่องจากการใช้งานสะดวก ได้ผลการวัดรวดเร็ว แม่นยำ โพรบวัดค่าออกซิเจนสามารถหย่อนลงในน้ำเหมาะกับการวัดค่าออกซิเจนที่ในน้ำในบ่อน้ำลึกสำหรับตัวที่มีโพรบแยก
“การวัดค่าออกซิเจนในน้ำต้องวัดในบ่อ หรือ แหล่งน้ำเท่านั้น ไม่แนะนำให้ตักน้ำตัวอย่างมาวัดค่า เพราะระดับความลึกส่งผลกับค่าการวัด”

3.เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำแบบติดตั้งออนไลน์ (On-line Dissolved Oxygen Meter – DO Meter) เป็นเครื่องวัดออกซิเจน ที่ติดตั้งไว้แบบถาวรเช่นตามบ่อบำบัด วิธีการเลือกซื้อเครื่องวัดออกซิเจนแบบติดตั้งสิ่งที่สำคัญหรือเป็นหัวใจหลักคือเซนเซอร์ที่ใช้วัดออกซิเจนเซนเซอร์หรือโพรบวัดออกซิเจนที่แนะนำคือ Optical เซนเซอร์ อายุการใช้งานจะยาวนานกว่าเซนเซอร์ประเภทอื่นๆและการดูแลรักษาง่าย 

การดูแลรักษาเซ็นเซอร์เครื่องวัดออกซิเจนในน้ำ

เซนเซอร์ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ง่าย อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถเปลี่ยนอะไหล่ได้โดยตัวเอง ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นแบบ Polarographic Cell ที่กล่าวไว้ข้างต้นก็ควรหมั่นเติมน้ำยาอิเล็คโทรไลด์ภายในเซ็นเซอร์อย่างสม่ำเสมอ ระวังอย่าให้น้ำยาอิเล็คโทรไลด์เเห้ง หากน้ำยาเเห้งจะทำให้เซ็นเซอร์พังได้

ปัญหาที่เจอกับเครื่องวัดออกซิเจนในน้ำ

โดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องวัดออกซิเจนในน้ำจะพบปัญหาบ่อยเกี่ยวกับ เซนเซอร์เสีย, น้ำยาอิเล็คโทรไลด์ในโพรบเเห้ง, แผ่นไดอะเเฟรมรั่ว ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักทำให้เครื่องมือไม่สามารถวัดค่าได้ หรืออ่านค่าไม่ตรง เเต่ทุกท่านสามารถเเก้ไขได้อย่างง่ายดายโดยการเปลี่ยนอะไหล่ด้วยตนเอง

วิธีเเก้ปัญหาเบื้องต้นเมื่อเซ็นเซอร์ไม่สามารถใช้งานได้

เมื่อเครื่องวัดออกซิเจนไม่สามารถวัดค่าได้ หรือไม่สามารถสอบเทียบได้ ให้ตรวจเช็คตามขั้นตอน ดังนี้

  1. เปิดฝาไดอะแฟรมตรงส่วนปลายของเซ็นเซอร์  ตรวจสอบเเผ่นไดอะแฟรมว่ามีรอยรั่วหรือไม่ หากมีรอยรั่วให้เปลี่ยนไดอะแฟรมอันใหม่ ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนอุปกรณ์มาบ้างนะคะ
  2. ตรวจสอบว่าน้ำยาอิเล็คโทรไลด์เเห้งหรือไม่ หากน้ำยาเเห้งให้ทำการเติมน้ำยาลงไป 3/4 ของไดอะแฟรมเมื่อตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยให้ผู้ใช้งานทดสอบโดยการสอบเทียบ หากเครื่องอ่านค่าได้ 20.9 mg/L หรือไกล้เคียง เเสดงว่าเครื่องสามารถใช้งานได้ปกติ หากเครื่องยังไม่สามารถใช้งานได้ อาจเกิดสาเหตุมาจากเซ็นเซอร์เสีย จะต้องทำการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ใหม่ หรือส่งเครื่องไปซ่อม

หากท่านผู้อ่านสนใจซื้อหรือต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัด

          ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC ของเราก็สามารถให้บริการสอบเทียบ
เครื่องมือ DO Meter โดยได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 (ANAB) 

[button size=”medium” style=”primary” text=”Scope การสอบเทียบ Dissolved Oxygen Meter คลิก ” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

หากต้องการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด กับทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถติดต่อสอบถามได้ตามช่องทางต่างๆ
ได้เลย ทางเรายินดีให้บริการค่ะ

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

อุณหภูมิและความชื้น ที่มาของ THERMO-HYGROMETER

ความรู้เพิ่มเติม และที่มาของอุณหภูมิที่ ตัววัดอุณหภูมิและความชื้น Thermo-Hygrometer

อุณหภูมิและความชื้นที่ตัวความชื้นของอากาศ มาจากไอน้ำเป็นส่วนใหญ่จะอยู่ทั่วไปในอากาศเลยทำให้ชั้นบรรยากาศเกิดความชื้น ซึ่งตัววัดอุณหภูมิและความชื้นมีความสำคัญต่อ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม และ บริษัท ทั่วๆไป ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง เครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้น จึงจัดให้อยู่ในประเภท เครื่องมือวัด ที่ไว้ตรวจเช็คอุณหภูมิสภาพอากาศในบริเวณนั้นๆ เครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้น  มีความสำคัญในการใช้งานในห้องปฏิบัติการที่ต้องการการควบคุม หรือหากในพื้นที่ตรงส่วนนั้นต้องการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น หากอากาศมีความชื้นสูงหมายถึงอากาศมีไอน้ำอยู่เป็นปริมาณมาก หากอากาศมีความชื้นต่ำหมายถึง อากาศมีปริมาณไอน้ำอยู่เป็นจำนวนน้อย ตัววัดอุณหภูมิและความชื้นเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความชื้นหรือช่วยวัดปริมาณไอน้ำในอากาศได้ค่อนข้างดี สำหรับผู้ใช้งานที่จำเป็นต้องรู้ว่าอุณหภูมิของอากาศและอุณหภูมิของความชื้นในสภาพอากาศบริเวณนั้นๆเครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้น จึงเป็น เครื่องมือวัด ที่จะช่วยให้เราควบคุมและดูวิเคราะห์พิจารณาสภาพอากาศว่าจะลดความชื้นหรือไม่ ไอน้ำในอากาศมีระดับสูงมากเกินไปมากไหม เราจะได้ควบคุมอุณหภูมิสภาพอากาศได้ถูกต้อง

อะไรที่ทำให้เกิดอุณภูมิในอากาศ

อากาศร้อนมีความหนาแน่นต่ำกว่าอากาศเย็นและเมื่ออากาศร้อนปะทะกับอากาศเย็น อากาศร้อนจะยกตัวขึ้นทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงระดับที่สามารถทำให้เกิดความควบแน่นจึ งทำให้เกิดเมฆและฝนขึ้น และเมื่ออากาศเกิดการบีบตัวเกิดขึ้นเมื่อกระแสลมพัดมาปะทะกัน อากาศจะยกตัวขึ้นและทำให้อุณหภูมิของอากาศลดต่ำลงจนเกิดอากาศอิ่มตัวจึงทำให้เกิดไอน้ำในอากาศควบแน่นเป็นหยดน้ำในก้อนเมฆ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น อากาศจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมากสุดในช่วงเที่ยงและช่วงบ่าย เลยช่วงเวลานี้อุณหภูมิก็จะค่อยๆลดลงจนต่ำสุดในช่วงเวลาเช้าเราสามารถวัดอุณหภูมิสภาพของอากาศได้จาก Thermometer หรือ เครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้น อากาศในแต่ละพื้นที่แต่ละจุดจะเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นและถ้าระดับความสูงของพื้นที่ สูงขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิของอากาศก็จะลดต่ำลง ปริมาณของก้อนเมฆ ก็มีผลต่อสภาพอากาศในแต่ละวันด้วยเพราะวันที่ท้องฟ้ามีปริมาณเมฆมาก อากาศมีอุณหภูมิต่ำกว่าวันที่ท้องฟ้ามีปริมาณเมฆน้อยเพราะเมฆทำหน้าที่สะท้อนและดูดกลืนพลังงานจากดวงอาทิตย์ไว้ จึงทำให้ผิวโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์น้อยลงเมฆช่วยลดอุณหภูมิอากาศในตอนกลางวันและช่วยเพิ่มอุณหภูมิอากาศในตอนกลางคืน

ที่มาของอุณหภูมิในอากาศ

เวลากลางวันพื้นโลกได้รับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอากาศจะได้รับพลังงานความร้อนที่พื้นโลกคายออกมา ทำให้อุณหภูมิของอากาศบริเวณนั้นสูง ส่วนในเวลากลางคืนพื้นโลกไม่ได้รับพลังงานจากแสงแดดของดวงอาทิตย์ อุณหภูมิของอากาศเวลากลางคืนจึงต่ำกว่าเวลาในกลางวัน เป็นที่มาของความกดอากาศต่ำลงทำให้เกิดความเย็นขึ้น

ที่มาของความชื้นในอากาศ

จากที่กล่าวมา ความชื้นในอากาศเกิดขึ้นได้จาก 3 ประการ

การระเหยของน้ำ

เมื่อดวงอาทิตย์แผ่ความร้อนโดนผิวน้ำ (ทะเล, แม่น้ำ หรือพื้นดินที่มีความชื้น) ทำให้น้ำเกิดการระเหยกลายเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่บรรยากาศ จากการที่อุณหภูมิสูงขึ้น (ช่วงกลางวัน) ทำให้มีการเพิ่มอัตราการระเหย และลมช่วยพาไอน้ำกระจายไปในอากาศ


การควบแน่นจากอากาศที่มีอุณหภูมิสูงเจออากาศอุณหภูมิต่ำ

อากาศที่มีอุณหภูมิสูง (ความหนาแน่นต่ำ) พุ่งขึ้นข้างบนเมื่อเจอกับอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ ทำให้เมื่อขึ้นสูง อุณหภูมิจะลดลงจนถึงจุดน้ำค้าง (Dew Point) ไอน้ำในอากาศควบแน่นเลยกลายเป็นเมฆ (กลุ่มหยดน้ำเล็กๆ) และหากหยดน้ำในเมฆรวมตัวกันใหญ่พอ จะส่งผลให้กลายเป็นฝนทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ (RH) ในบริเวณนั้นสูงขึ้น

การบีบตัวของอากาศ

เมื่อลมปะทะกันหรือถูกบีบให้ยกตัวขึ้น (เช่น พัดเข้าหาภูเขา) อากาศจะเกิดการขยายตัวและอุณหภูมิลดต่ำลงและหากอุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆจนอิ่มตัว จะทำให้ไอน้ำควบแน่นเป็นเมฆ หรือเกิดฝนตกได้

ความชื้นของอากาศถูกแบ่งออกเป็นอยู่ 2 หัวข้อหลักๆ

  1. ความชื้นสัมบูรณ์ (Absolute Humidity)

       หมายถึง อัตราส่วนระหว่างมวลของไอน้ำในอากาศกับปริมาตรของอากาศ ณ อุณหภูมิเดียวกัน โดยหน่วยที่ใช้วัดมักเป็นกรัมต่อปริมาตรอากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร (g/m³) เป็นค่าที่ไม่ขึ้นกับอุณหภูมิ บอกปริมาณไอน้ำจริงในอากาศ มักใช้ในงานวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม (เช่น ควบคุมสภาพแวดล้อมในห้องคลีนรูม)

2. ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity)

หมายถึง สัดส่วนของปริมาณไอน้ำที่มียู่จริงในอากาศขณะนั้นต่อปริมาณไอน้ำอิ่มตัว แสดงค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) หากความชื้นสัมพัทธ์เท่ากับ 100% แสดงว่าอากาศอิ่มตัวด้วยไอน้ำ และอาจจะเกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำได้ เป็นค่าที่ขึ้นกับอุณหภูมิ (ยิ่งอากาศร้อน ยิ่งเก็บไอน้ำได้มาก)ส่งผลต่อความรู้สึกสบาย

 

ความชื้นทั้งสองประเภทมีความสัมพันธ์กันเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ความชื้นสัมบูรณ์ อาจจะมีค่าคงที่ (หากไม่มีไอน้ำเพิ่ม) แต่ความชื้นสัมพัทธ์ จะมีค่าลดลง เพราะเมื่ออากาศร้อนจะเก็บไอน้ำได้มากขึ้น ในขณะที่เมื่ออุณหภูมิลดลง (เช่น ตอนกลางคืน) ความชื้นสัมพัทธ์จะมีค่าเพิ่มขึ้น อาจถึงจุดน้ำค้าง (Dew Point) ทำให้เกิดเป็นหมอกหรือหยดน้ำได้

 

ลักษณะรูปแบบของ Thermo-Hygrometer

Thermo-Hygrometer รุ่นแรก ๆ ยังเป็นแบบ Analog ใช้เข็มหมุนและหน้าปัดที่ต้องอ่านค่าเอง ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาเซ็นเซอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ก็ทำให้สามารถออกแบบเครื่องที่แสดงผลเป็นตัวเลขดิจิทัลได้อย่างแม่นยำและใช้งานง่าย

เครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้นแบบ Analog

เครื่องมือวัดอุณหภูมิและความชื้นแบบ DIGITAL

ประโยชน์ในปัจจุบัน

เทอร์โมไฮโกรมิเตอร์ ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน และใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายวงการ

 

  • การแพทย์ ตรวจสอบอุณหภูมิและความชื้นในห้องผ่าตัดหรือห้องแล็บ
  • อุตสาหกรรมต่างๆ ควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงงานผลิตอาหาร ยา ห้องคลีนรูม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • การเกษตร ใช้ตรวจสอบความชื้นและอุณหภูมิในโรงเรือนเพาะชำ ห้องปลูกพืชไร้ดิน (Hydroponics)
  • การใช้ในบ้านหรืออาคารสำนักงาน เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในบ้านและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะสถานที่ที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
  • งานวิจัยทางการพยากรณ์อากาศ เป็นอุปกรณ์พื้นฐานในการเก็บข้อมูลสภาพอากาศ ใช้ในสถานีตรวจอากาศแบบพกพา

 

แบรนด์และรุ่นยอดนิยม

  1. แบบพกพา OMEGA, Testo, Fluke, DIGICON
  2. แบบตั้งโต๊ะ Vaisala, Rotronic
  3. สมาร์ทเซ็นเซอร์ Govee, SensorPush (เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน via Bluetooth/Wi-Fi)

ซึ่งทางบริษัท Calibration Laboratory มีจัดจำหน่ายและบริการสอบเทียบเครื่องมือวัด สำหรับ สามารถดูได้จากลิงก์ด้านล่าง หรืออ่านรีวิว TESTO รุ่น 608-H1 ได้ค่ะ

 

 

ผู้เขียน Gaem Yui

 

 

 

 

ประเภทของเครื่องมือวัดอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ หรือ Dry-Wet Bulb

 

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

 

 

Snap Gauge คืออะไร

Snap Gauge คืออะไร

Snap Gauge (เกจก้ามปู) คือ เครื่องมือวัดที่เอาไว้ใช้วัดขนาดความโตด้านนอกของชิ้นงานที่ต้องการจะทราบค่าของชิ้นงานอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะชิ้นงานที่มีรูปทรงกระบอก หรือแบน เกจวัดเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่ต้องการความเร็ว และความแม่นยำ ที่ทำงานบนหลักการ “Go/No-Go” ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการตรวจสอบ มีช่องวัด หรือช่องว่างสองช่องที่ตั้งค่าตามค่าความคลาดเคลื่อนเฉพาะ ช่อง “Go” อนุญาตให้ชิ้นงานผ่านได้หากอยู่ในช่วงค่าความคลาดเคลื่อนที่เหมาะสม ในทางกลับกัน หากชิ้นงานผ่านช่อง “No-Go” ไม่ได้ จะถือว่าไม่อยู่ในค่าความคลาดเคลื่อน และต้องถูกปฏิเสธหรือแก้ไขใหม่

คุณสมบัติหลักและการใช้งานของ เกจก้ามปู

ข้อดีหลักอย่างหนึ่งของ Snap Gauges คือใช้งานง่าย เครื่องมือวัด นี้ไม่ต้องใช้ทักษะมากในการใช้งาน จึงมีประโยชน์อย่างมากในการผลิตที่ต้องมีการตรวจสอบชิ้นส่วนจำนวนมาก และรวดเร็ว ความง่ายของวิธี Go/No-Go ช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดของมนุษย์ ซึ่งทำให้ Snap Gauges เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมที่เน้นประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำเป็นหลัก

ในด้านความแม่นยำ Snap Gauges จุดเด่นคือการวัดที่แม่นยำสูง ความแม่นยำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนต่างๆ เป็นไปตามค่าความคลาดเคลื่อนที่กำหนด ซึ่งมีความสำคัญในอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรฐานคุณภาพสูง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยานยนต์ และการผลิตที่แม่นยำ การใช้ Snap Gauges ตรวจสอบชิ้นงานช่วยให้ผลิตชิ้นส่วนที่สามารถใช้ในการเปลี่ยนแทนกันได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการผลิตสมัยใหม่

เกจก้ามปู มีอยู่ 2 ประเภท

  1. ประเภทที่สามารถปรับระยะความกว้างของปากวัดได้
  2. ประเภทที่ไม่สามารถปรับระยะความกว้างของปากวัดได้แต่จะมีค่าเป็นตัวเลขระบุตายตัวไว้อยู่บนตัว Gauge

วิธีใช้งานของ เกจก้ามปู

ถ้าจะใช้วัดระยะขนาดด้านนอกที่เป็นระยะโตสุดจะมีคำว่า Go ระบุไว้ที่ตัว Gauge แต่ถ้าจะใช้วัดขนาดด้านในเป็นระยะกว้างที่ต่ำสุดจะมีคำว่า No Go ระบุไว้ที่ตัว Gauge โดยการวัดลักษณะนี้จะไม่สามารถรู้ถึงขนาดชิ้นงานจริงได้ แต่จะรู้ได้แค่ว่างานที่ใช้วัดค่านั้นดีหรือเสียเท่านั้น โดยแบ่งออกได้เป็น 3 สถานะ ดังนี้

  1. ขนาดงานถูกต้อง : ชิ้นงานผ่านปากวัดดี (GO) แต่ไม่ผ่านปากวัดเสีย (NO GO) คือ ชิ้นงานนั้นอยู่ในพิกัดค่าที่ยอมรับได้ (อยู่ใน MPE)
  2. ขนาดงานโตเกินไป : ชิ้นงานไม่ผ่านปากวัดดี (GO) คือ ชิ้นงานที่ตรวจเช็คโตกว่าที่ได้กำหนดเอาไว้ (Out Spec)
  3. ขนาดเล็กเกินไป : ชิ้นงานผ่านทั้งปากวัดดี (GO) และปากวัดเสีย (NO GO) คือ ชิ้นงานนั้นมีขนาดเล็กกว่าที่กำหนดเอาไว้ (Out Spec)

โดยสรุปแล้ว Snap Gauges เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการผลิตในปัจจุบัน โดยให้ทั้งความเร็ว ความแม่นยำ และความสะดวกในการใช้งาน อำนวยความสะดวกในการผลิตชิ้นส่วนที่ใช้เปลี่ยนแทนกันได้พร้อมทั้งยังรักษาคุณภาพมาตรฐานสูง ทำให้ Snap Gauges เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะใช้ในการผลิตปริมาณมาก หรือสำหรับการวัดที่ต้องการความแม่นยำ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดนี้อยู่เป็นประจำ เพื่อลดความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องมือเป็นระยะเวลานาน

MKS

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ชนิดของไม้บรรทัดสำหรับงานอุตสาหกรรม

รู้ไหมไม้บรรทัดก็ใช้ในกลุ่มงานด้านอุตสาหกรรมได้ด้วยนะ!!

พูดถึงเครื่องมือในการวัด ในปัจจุบันนี้ เครื่องมือวัด มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น เกจบล็อก ไม้บรรทัด ตลับเมตร ฯลฯ แต่ละชนิดจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามการใช้งาน เช่น ใช้วัดขนาด รูปร่าง ระยะต่างๆ สำหรับงานที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ มาตรฐานสูง ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำเชื่อถือได้ และให้ค่าตรงตามเดิมทุกครั้งที่ทำการวัดชิ้นงาน เพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐาน อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาอันเนื่องมาจากต้องทำงานเดิมซ้ำ และป้องกันการทำงานผิดพลาด ในการออกแบบ ประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์ชิ้นงาน

 

วันนี้เราจะมาแนะนำเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้ในการวัดไม่ว่าจะเป็นงานช่าง หรือกลุ่มงานอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นั้นคือ ไม้บรรทัด ค่ะ

ไม้บรรทัดสำหรับงานอุตสาหกรรมมีความแตกต่างจากไม้บรรทัดทั่วไปในแง่ของวัสดุ, ขนาด และคุณสมบัติพิเศษ เพื่อให้สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หนักหน่วงและให้ความแม่นยำสูง ในงานอุตสาหกรรม การเลือกไม้บรรทัดที่เหมาะสม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้การวัดมีความแม่นยำและเหมาะสมกับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

ลักษณะและคุณสมบัติของ ไม้บรรทัด สำหรับงานอุตสาหกรรม

1.วัสดุ

สแตนเลส : ไม้บรรทัดที่ทำจากสแตนเลสมีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อนและการสึกหรอ เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสกับน้ำมันหรือสารเคมี



อลูมิเนียม : ไม้บรรทัดอลูมิเนียมมีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง และสามารถทนต่อการใช้งานหนักได้ดี

พลาสติกชนิดพิเศษ :
พลาสติกชนิดพิเศษที่ทนทานต่อสารเคมี และอุณหภูมิสูง

2. ขนาด

ความยาวที่หลากหลาย สำหรับงานอุตสาหกรรม บางครั้งอาจต้องการไม้บรรทัดที่ยาวมากกว่า 1 เมตร เช่น 1.5 เมตร หรือ 2 เมตร เพื่อความสะดวกในการวัดขนาดที่ใหญ่

ขนาดเล็กพิเศษ สำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง บางครั้งอาจใช้ไม้บรรทัดที่มีขนาดเล็กและมีการแบ่งย่อยที่ละเอียด

การใช้งาน

การวัดขนาดชิ้นงาน : ใช้ในการวัดขนาดของชิ้นงานที่มีความแม่นยำสูง เช่น ในการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร
การตรวจสอบความตรง : ใช้ในการตรวจสอบความตรงและความเรียบของพื้นผิว
การวัดการยืดหยุ่น : สำหรับการวัดการยืดหยุ่นของวัสดุต่างๆ



ไม้บรรทัดจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือวัดที่จำเป็นในงานช่าง และงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ความแม่นยำในการวัดขนาดของชิ้นงานที่ต้องนำมาออกแบบ ประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อีกทั้งยังช่วยตรวจสอบคุณภาพ ว่าขนาดที่ได้นั้นตรงต่อความต้องการหรือไม่ ไม่ว่างานช่างประเภทใด ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือการนำมาใช้งานในการวัด เพื่อนำค่าที่ได้ไปใช้ประโยชน์ จึงควรใช้งานเครื่องมืออย่างถูกต้องและถูกวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานนั่นเองค่ะ

หากใครยังมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเกี่ยวกับการเลือกซื้อไม้บรรทัด (Steel Ruler) สามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่ทาง CLC ของเรานะคะ เรามีจำหน่ายพร้อมบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ตามมาตราฐาน ISO/IEC 17025 เพื่อรับรองว่าเครื่องมือวัดทุกชิ้นจากเราได้รับมาตรฐานระดับสากล Calibration Laboratory พร้อมยินดีให้คำปรึกษา และให้บริการค่ะ โอกาสหน้าจะมาแนะนำเครื่องมือชนิดไหน คอยติดตามกันด้วยนะคะ  ขอบคุณค่ะ

 

BEW JJ.

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

Air Micrometer มีดีอย่างไร

Air Micrometer

Air Micrometer หรือไมโครมิเตอร์วัดอากาศ เป็น เป็นอุปกรณ์วัดขนาด Diameter รูได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกหรือภายใน โดยนำหลักการกลศาสตร์ของไหลของอากาศ มาประยุกต์ใช้ มีความแม่นยำ ปลอดภัยและรวดเร็ว สามารถเปลี่ยนหัววัดให้เหมาะกับงานชนิดต่างๆ ที่ต้องการวัดด้วยความละเอียดสูง เครื่องมือนี้มักใช้ในงานวิศวกรรมและการผลิตเพื่อการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำเป็นต้องมีความแม่นยำสูง

ไมโครมิเตอร์วัดอากาศ มี 2 แบบ ได้แก่

  • แบบ Analog สเกลที่แสดงผลเป็นแบบเข็มมีความละเอียดระดับ 1 ไมครอน ใช้งานง่าย และราคาไม่สูงจนเกินไป

  • แบบ Digital แสดงผลเป็นตัวเลขดิจิตอลมีความละเอียดระดับน้อยกว่า 1 ไมครอน มีความแม่นยำสูง แสดงผลเป็นแถบ 3 สี สามารถป้อนข้อมูลหรือพิมพ์ข้อมูลออกมาได้

Air Micrometer มีดีอย่างไร ?

  • สามารถวัดชิ้นงานได้หลากหลายรูปแบบ ไมโครมิเตอร์วัดอากาศใช้สำหรับทำการวัดงาน Dimension ทั่วไป เช่น เส้นผ่านศูนย์กลางภายใน, วัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก, วัดความสูง และยังสามารถวัดชิ้นงานในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก เช่นความตั้งฉาก, ความร่วมศูนย์, ความกลม ฯลฯ นอกจากนี้ยังเหมาะสมในการวัดชิ้นงานที่ทำจากวัสดุที่อ่อนนุ่มที่เป็นรอยจากการวัดได้ง่าย ด้วยการใช้หัววัดสำหรับไมโครมิเตอร์วัดอากาศที่สามารถวัดโดยไม่ต้องสัมผัสชิ้นงาน จะช่วยป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน , รอยบุบได้
  • มีความแม่นยำในการวัดค่อนข้างสูง ไมโครมิเตอร์วัดอากาศมีหน้าจอแสดงผลที่มีความละเอียดระดับไมครอน (µm) ซึ่งในปัจจุบันรุ่นใหม่ๆ ที่ผลิตออกมายิ่งมีความละเอียดระดับน้อยกว่า 1 ไมครอน
  • รวดเร็วและเที่ยงตรง เนื่องจากการออกแบบเครื่องมือที่สามารถใช้งานง่าย และค่อนข้างเสถียร
  • ลดปัญหา Human Error การใช้ไมโครมิเตอร์วัดอากาศในการวัดชิ้นงาน ไม่จำเป็นต้อง Set เครื่องมือกับชิ้นงานให้ยุ่งยากเหมือนการใช้เครื่องมือ Micrometer ทั่วไป หรือเครื่องมือระดับ High Precision อย่าง Universal Length Measuring Machine ดังนั้นจึงช่วยลดปัญหาการ Set Standard ไม่ตรงจากผู้ใช้งานได้
  • สามารถออกแบบให้เชื่อมต่อกับไลน์การผลิตแบบ Automatic ได้ง่าย เพื่อสะดวกในการติดตั้งในไลน์เพื่อการใช้งาน
  • สามารถตรวจสอบข้อมูลการวัดได้สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากเป็นระบบ Digital มีหน้าจอแสดงผลลัพธ์ด้วยแถบ 3 สี สามารถป้อนข้อมูลและพิมพ์ข้อมูลออกมาได้ ด้วยการอ่านขนาดในการวัดชิ้นงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว จึงเหมาะอย่างยิ่งในการใช้ควบคุมคุณภาพและปรับปรุงประสิทธิภาพในการวัดชิ้นงานให้สูงขึ้น

ทำไมต้องสอบเทียบ ไมโครมิเตอร์วัดอากาศ ?

เนื่องจากเครื่องมือวัดสามารถวัดชิ้นงานได้ในความละเอียดระดับไมครอน (µm.) การสอบเทียบเพื่อดู Performance ของเครื่องมือวัดจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเครื่องมือให้ผลการสอบเทียบที่ Error มาก อาจส่งผลต่อคุณภาพของชิ้นงานที่ไม่ได้มาตรฐานและเสี่ยงต่อการโดน Reject งานได้

มีหน่วยวัดอะไรบ้าง ?

ในการสอบเทียบเครื่องมือวัดจะเน้นในเรื่องของการสอบเทียบทางด้านมิติ (Dimension)  ซึ่งหน่วยการวัดหลักๆ ที่ใช้จะเป็นหน่วยมิลลิเมตร (mm.) และไมโครเมตรหรือไมครอน (µm.) ตามระบบเมตริก

ตัวอย่างผลการสอบเทียบ ไมโครมิเตอร์วัดอากาศ ในหน่วยไมโครเมตรหรือไมครอน (µm.)

ส่งสอบเทียบกับ CLC จะได้อะไรบ้าง

  • ได้ผลการสอบเทียบที่เที่ยงตรง แม่นยำ
  • ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025

ในการสอบเทียบ Air Micrometer ทาง CLC ได้รับการรับรอง ACCREDIT 17025  จาก ANSI National Accredit Board (ANAB) อ้างอิงมาตรฐาน ASTM E 715 ด้วยวิธีการสอบเทียบแบบ Direct Measurement with Calibration Tester

[button size=”medium” style=”primary” text=”Scope การสอบเทียบ Air Micrometer คลิก ” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

รู้หรือไม่ !! ไมโครมิเตอร์วัดอากาศที่มีมากกว่า 1 Column จำเป็นต้องสอบเทียบทุก Column หากลูกค้าใช้งานหลาย Column เนื่องจากแต่ละColumn อาจมีความคลาดเคลื่อนต่างกันส่งผลทำให้ผลการสอบเทียบไม่เท่ากัน แต่ถ้าหากลูกค้าไม่ได้ใช้ทุก Column สามารถเลือกสอบเทียบเครื่องมือวัดเฉพาะ Column ที่ใช้งานได้เพื่อประหยัดค่าสอบเทียบได้เช่นกัน

MKS

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

Spring Balance คืออะไร ต้องสอบเทียบหรือไม่

เครื่องชั่งสปริง

เครื่องชั่งสปริง คือ เครื่องมือวัด น้ำหนักหรือเครื่องชั่งที่ใช้ในการวัดน้ำหนัก โดยจะแสดงผลของการวัดหรือชั่งน้ำหนักเป็นแบบเข็มชี้ขีดของน้ำหนักที่วัดได้ ซึ่งน้ำหนักที่วัดได้นั้นจะอาศัยความถ่วงของสปริง จึงเรียกกันว่า Spring Balance หรือเครื่องชั่งสปริงนั้นเอง

เรามักจะพบเจอเครื่องชั่งสปริงแบบนี้บ่อยๆ ในตลาดสด เช่น ร้านขายหมู ผัก ผลไม้  เป็นต้น ซึ่งเราจะทราบได้อย่างไรล่ะว่าเครื่องชั่งเหล่านั้นมีความแม่นยำถูกต้องหรือไม่ ถึงแม้ว่าเครื่องชั่งสปริงจะไม่ได้มีความละเอียดมาก แต่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการสอบเทียบเครื่องชั่งสปริงเพื่อความมั่นใจของผู้บริโภคนั่นเอง

หน่วยการวัด หน่วยในการใช้วัดน้ำหนักที่มักจะพบเจอบ่อยในเครื่องชั่งสปริงโดยการเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่จะใช้ในการวัด

g = กรัม

kg = กิโลกรัม

ปัญหาที่พบเจอบ่อยในเครื่องชั่งสปริงคือ

เข็มไม่ตรง เลข 0 ก่อนใช้งานควรมีการเช็คก่อนทุกครั้ง

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี  จำกัด (CLC) Scope Lab (Accredited 17025:2017)

วิธีการส่ง เครื่องชั่งสปริงมา สอบเทียบเครื่องมือวัด กับทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) โดยติดต่อผ่านช่องทาง Online เช่น Website  Facebook  Line OA หรือทาง Email โดยทางบริษัทของเราให้บริการสอบเทียบเครื่องชั่งสปริง โดยใช้  Standard Weight ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด และได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ของขอบข่ายการรับรองของ (สมอ.) ประเทศไทยและ (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา

[button size=”medium” style=”primary” text=”การสอบเทียบ Spring Balance” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

อีกทั้งหน่วยงานหรือร้านค้าที่ต้องการเอกสารรับรองจากกรมชั่งตวงวัด ทางเราก็มีการประสานงานเพื่อบริการลูกค้าด้วยเช่นกัน และทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ของเรามีบริการรับ – ส่งเครื่องมือ ฟรี ในหลายเขต เช่น กรุงเทพ ปริมณฑล และมีระยะเวลาการสอบเทียบไม่เกิน 5 – 7 วันทำการ

การดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องชั่งสปริง

            ถึงแม้ว่าเครื่องชั่งประเภทนี้จะไม่ได้มีความละเอียดมากแต่การดูแลรักษาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อยืดอายุการใช้งาน

  • ก่อนใช้งานให้วางกับพื้นที่ที่ได้ระนาบ ไม่เอียงไปด้านใดด้วนหนึ่ง เช็คเข็มปรับให้ตรง 0
  • ทำความสะอาดแผ่นหรือจานรองชั่งทุกครั้งก่อน และหลังการใช้งาน
  • เมื่อใช้งานเสร็จเก็บให้เข้าที่และไม่ควรวางสิ่งของที่ไม่ได้ชั่งวางทิ้งไว้
  • ในการเคลื่อนย้ายเครื่องชั่งสปริง กรณีที่เป็นแบบถาดรองที่สามารถถอดออกได้ ให้ถอดจานรองเครื่องออกก่อนในระหว่างเคลื่อนย้าย เนื่องจากตัวสปริงภายในเกิดความเสียหายขึ้นได้
  • หลีกเลี่ยงการวาง เครื่องชั่งสปริง ลงอย่างแรงหรือกระแทกรุนแรง เพื่อป้องกันอุปกรณ์ภายในเสียหาย
  • สิ่งที่ลืมไม่ได้นั้นคือหมั่นตรวจเช็คเครื่องชั่งสปริง ให้อยู่ในสภาพใช้งานปกติ และ ส่งสอบเทียบเครื่องมือ เพื่อให้ความมั่นใจกับผู้ใช้และผู้บริโภค

MKS

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด