คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

Volumetric flask คืออะไร พร้อมวิธีเตรียมก่อนการใช้งาน

Volumetric Flask (ขวดวัดปริมาตร) คือ เครื่องมือวัดที่มีลักษณะเป็นเครื่องแก้วที่ใช้วัดปริมาตรของของเหลว ส่วนมากมักใช้ในห้องปฎิบัติการ หรือห้องทดลอง ใช้เพื่อเตรียมสารละลาย โดยลักษณะของเครื่องมือจะเป็นขวดทรงกลมก้นแบน มีจุกปิดด้านบนโดยจะมีขีดวัดปริมาตรที่บริเวณคอขวดเพียงขีดเดียว เพื่อบ่งชี้ว่าปริมาตรดังกล่าวมีความจุเท่าไหร่ หน่วยที่เครื่องมือจะเป็นมิลลิลิตร (ml)

ประเภทของขวดวัดปริมาตร

จะมีเพียงลักษณะเดียว แต่จะแบ่งความปริมาตรการใช้งาน โดยส่วนมากจะเป็นขนาด 50, 100, 250, 500, 1000 ml และมีขวดวัดปริมาตรปริมาตรจุถึง 2 ลิตรก็มี และจะแบ่งตาม CLASS ของมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน ASTM ที่เขากำหนดไว้ ยิ่ง CLASS ดีๆ แบบ CLASS A ค่าความแม่นยำของเครื่องมือก็จะมีมาก

การใช้งาน Volumetric Flask (ขวดวัดปริมาตร)

  1. เตรียมสารละลายในบีกเกอร์ (Beaker) ก่อน
    ขั้นตอนแรกคือการเตรียมสารละลายที่ต้องการใน บีกเกอร์ (Beaker) ซึ่งเป็นภาชนะที่มีลักษณะกว้างและมักใช้สำหรับการผสมสารเคมีต่างๆ โดยสามารถผสมสารละลาย เช่น ผงเกลือหรือสารเคมีอื่นๆ กับตัวทำละลาย (เช่น น้ำ) เพื่อให้ได้สารละลายที่ต้องการ โดยควรใช้บีกเกอร์ที่มีขนาดเหมาะสมกับปริมาตรที่ต้องการเตรียม
  2. เทสารละลายในบีกเกอร์ลงในขวดวัดปริมาตร หลังจากที่สารละลายผสมเสร็จแล้ว ให้เทสารละลายจากบีกเกอร์ลงใน Volumetric Flask โดยค่อยๆ เทเพื่อหลีกเลี่ยงการหกหรือการเกิดฟองอากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิดการวัดปริมาตรที่ไม่แม่นยำ ควรใช้การเทในทิศทางที่เหมาะสมและถ้าเป็นไปได้ให้ใช้กรวยช่วยในการเทสารละลาย เพื่อให้การเทลงในขวดวัดปริมาตรมีความสะดวกและหลีกเลี่ยงการหกเลอะเทอะ
  3. เติมน้ำ (หรือสารละลาย) จนถึงขีดสเกล
    เมื่อสารละลายถูกเทลงในขวดวัดปริมาตรแล้ว ให้เติมน้ำ (หรือสารละลายเพิ่มเติม) จนถึงขีดสเกลที่กำหนดไว้บนขวดวัดปริมาตร โดยปกติแล้วจะมีเครื่องหมายขีดที่บ่งบอกปริมาตรที่ชัดเจนที่คอของขวด เมื่อเติมน้ำจนถึงขีดสเกลนี้จะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพื่อให้ได้ปริมาตรที่แม่นยำ
  4. อ่านค่าที่ท้องน้ำให้ถึงขอบขีดสเกล
    หลังจากเติมสารละลายหรือสารตัวทำละลายจนถึงขีดสเกลแล้ว ให้มองระดับของสารละลายที่คอขวด โดยให้ท้องน้ำ (ระดับของสารละลาย) ถึงขอบขีดสเกลที่กำหนดไว้ ซึ่งการอ่านค่าควรทำในลักษณะของการอ่านที่มุมมองตรงกับระดับท้องน้ำ โดยไม่ให้มีการบิดเบือนมุมมองจากการก้มมองหรือการมองในมุมที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในการอ่านค่า

    วิธีที่ดีที่สุดในการอ่านค่าคือให้มองในแนวนอนกับขอบขีดสเกลและระดับของน้ำ (ท้องน้ำ) ที่พอดีกับขอบสเกลที่ตรงที่สุด หลีกเลี่ยงการอ่านในมุมที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการคำนวณปริมาตร

ทำไมถึงต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัดขวดวัดปริมาตร

เพราะการที่เราจะเตรียมสารละลาย หรือกำหนดสารละลายแต่ละตัว แต่ละส่วนผสม ไม่ว่าจะส่วนผสมของยา หรือสารเคมีใดๆ เราต้องใส่ส่วนผสมในสูตรที่เราต้องตวงมาเป๊ะๆ เพื่อให้ได้มาตรฐาน และคุณภาพที่คงที่ เราจึงจำเป็นที่จะต้องตวงให้ได้ปริมาณเป๊ะๆ ฉะนั้นอุปกรณ์การวัดตวงทุกอย่าง ต้องสอบเทียบ เพื่อการันตีและเพื่อยืนยันค่าว่า ความจุของเครื่องแก้วนั้นๆ ยังให้ค่าที่ตรงอยู่ เพราะการใช้งานนานๆไป การผสมสารละลายที่เป็นสารเคมี หรือ ของเหลวที่มีความร้อนสูง ย่อมส่งผลต่อการกัดกร่อนของเครื่องแก้ว ซึ่งจะทำให้เครื่องแก้วอ่านค่าผิดไป หรือแม้กระทั่งตะกอนตะกลันที่ติดอยู่ภายในภาชนะก็มีผลทำให้ค่าความจุที่วัดได้นั้นอ่านค่าผิดไป ผู้ใช้งานจึงจำเป็นต้องส่งเครื่องมือดังกล่าวมาสอบเทียบเพื่อยืนยันค่า

วิธีการตรวจเช็คเครื่องมือขวดวัดปริมาตรก่อนการสอบเทียบ

  1. ตรวจสอบกายภาพของเครื่องมือก่อนว่ามีรอย แตก หัก เสียหาย หรือบิ่นมาหรือเปล่า
  2. ล้างทำความสะอาดเครื่องมือก่อนทำการสอบเทียบ
  3. ปล่อยให้เครื่องมือแห้งตามธรรมชาติเราจะไม่ใช้ความร้อนในการเร่งให้เครื่องมือแห้ง
  4. สอบเทียบโดยการใช้น้ำกลั่นตวงใส่เข้าไปในปริมาตรที่ขีดสเกลกำหนด
  5. ดูที่ท้องน้ำว่าท้องน้ำอยู่ที่ขีดสเกลหรือไม่
  6. อ่านค่าจากเครื่องชั่งที่มีความละเอียดสูง (Micro Balance) แปลงค่ากลับไปหน่วยปริมาตร
  7. บันทึกค่าที่วัดได้
  8. ทำความสะอาดเครื่องมือและรอให้เครื่องมือแห้งตามธรรมชาติ
  9. นำเข้าสโตร์เพื่อเตรียมจัดส่งคืนลูกค้า

เครื่องมือวัดดังกล่าวทาง CLC (Calibration Laboratory) ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ครอบคลุมตั้งแต่ขนาดเล็ก จนถึงใหญ่ ทั้ง Scope ในประเทศ (สมอ.)และต่างประเทศ (ANAB)

[button size=”medium” style=”primary” text=”Scope การสอบเทียบ Volumetric Flask คลิก” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

ข้อควรระวังในการใช้งาน

  1. ควรมีชั้นเก็บที่เหมาะสม เพื่อป้องกันเครื่องมือแตก
  2. ไม่ควรเก็บไว้ที่สูง เพราะอาจทำให้ร่วงหล่นลงมาได้
  3. หมั่นทำความสะอาดเครื่องมือหลังใช้งานสม่ำเสมอ เพราะหากมีฝุ่นมากอาจทำให้สารละลายที่ผสมนั้นปนเปื้อนได้

MKS

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

 

หลักการเลือกใช้ Temperature Transmitter

Transmitter คือ เครื่องมือทางไฟฟ้าสำหรับแปลงค่ามาตรฐาน ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรม เนื่องจากในอุตสาหกรรมนั้นมีการติดตั้งระบบควบคุมต่างๆมากมายจึงจำเป็นต้องติดตั้ง Transmitter หรือตัวแปลงค่ามาตรฐานอยู่ในระบบควบคุมต่างๆ เพราะในอุตสาหกรรมนั้นมีการต่อพ่วงกันเป็นระบบ และแน่นอนอุปกรณ์เหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีการรับและส่งสัญญาณกันในรูปแบบของ Analog  ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดค่ามาตรฐานการวัดในรูปแบบของ Analogให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ควบคุมต่างๆได้ยึดถือและออกแบบอุปกรณ์ต่างๆโดยใช้มาตรฐานเดียวกันเป็นสากล วันนี้เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับ Transmitter ที่ใช้วัดอุณภูมิ หรือเรียกกันว่า Temperature Transmitter

Temperature Transmitter คือ เครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ใช้วัดค่าอุณภูมิ โดยจะใช้การแปลงค่าสัญญาณจากตัวเซนเซอร์โดยจะมีสัญญาณการวัดเป็นแบบมาตรฐาน ที่มีลักษณะ

เป็น 4-20 mA , 1-5 VDC ,   ซึ่งมีเซนเซอร์ที่ใช้วัดได้หลากหลายรูปแบบ แต่ในอุตสาหกรรมมักนิยมใช้ในรูปแบบ RTD , Thermocouple เป็นหลัก

 

การส่งสัญญาณในรูปแบบต่างๆ

4-20mA หรือการส่งสัณญาณในรูปแบบของกระแสตรง (DC Current)

โดยทำความเข้าใจง่ายๆคือ เมื่อวัดค่าเป็น 0% ค่าก็จะเท่ากับ 4 mA และถ้าหากวัดได้ที่ 100% ก็เท่ากับ 20 mA นั้นเอง โดยค่าที่วัดได้ที่อยู่ในช่วง 0-100% ก็จะสัมพันธ์เชิงเส้นกับกระแส 4-20 mA

 1-5 VDC หรือการส่งสัณญาณในรูปแบบของแรงดันไฟฟ้า (DC Voltage)

โดยทำความเข้าใจง่ายๆคือ เมื่อวัดค่าเป็น 0% ค่าก็จะเท่ากับ 1 VDC และถ้าหากวัดได้ที่ 100% ก็เท่ากับ 5 VDC นั้นเอง แต่การใช้

 

ข้อจำกัดในการวัดแรงดันไฟฟ้า

การวัดค่าในรูปแบบแรงดันไฟฟ้านั้นจะไม่เหมาะกับการที่ต้องต่อสัญญาณระยะไกล เนื่องจากความต้านทานของสายสัญญาณจะส่งผลให้มีความคลาดเคลื่อนอ่านค่าผิดค่อนข้างสูง และอาจมีการรบกวนจากสัญญาณอื่นๆได้ง่าย เพราะฉะนั้นการวัดค่าในรูปแบบของแรงดันไฟฟ้านั้นจึงมีความเหมาะสมกับการติดตั้งและส่งสัญญาณระยะใกล้เท่านั้น

 

อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการวัดแรงดันไฟฟ้า

  • RTD (Resistance Temperature Detector) คือ อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นเซนเซอร์ที่ใช้วัดอุณภูมืในรูปแบบ ที่ใช้วัดออกมาแป็นค่าความต้านทานและจะมีการคำนวณและเปลี่ยนแปลงค่าให้เป็นอุณภูมิที่วัดออกมาได้ โดยหลังจากที่ใช้ต่อเข้ากับทรานสมิตเตอร์วัดอุณหภูมิและวัดค่าความต้านทานแล้วเสร็จก็จะคำนวณออกมาเป็นค่าอุณภูมิและจะแสดงผลไปยังอุปกรณ์นั้นเอง
  • Thermocouple คือ อุปกรณ์ที่มีลักษณะที่เป็นเซนเซอร์วัดอุณภูมิ โดยจะมีหลักการทำงาน ที่ใช้วัดค่าเป็นสัณญาณแรงเคลื่อนไฟฟ้า โดยจะมีโลหะต่างชนิดกันมาเชื่อมต่อที่ปลายอีกข้างหนึ่ง เมื่อเกิดอุณภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ปลายโลหะของแต่ละข้างเกิดขึ้นเมื่อต่ออุปกรณ์เข้ากับตัวเครื่องมือวัดตัวอุปกรณ์ก็จะมีการคำนวณและแปลงจากค่าแรงเคลื่อนไฟฟ้าให้ออกมาเป็นอุณภูมิและแสดงผลไปที่อุปกรณ์นั้นเอง

 

หลักการพิจารณาในการเลือกใช้งาน Temperature Transmitter เบื้องต้น

  1. จุดประสงค์ในการใช้งานว่าต้องการติดตั้งแบบไหน การพิจารณาระยะของสายสัญญาณในการติดตั้งมีส่วนสำคัญในการเลือกใช้งาน
  2. การติดตั้งของ Transmitter หน้างานเป็นแบบไหน ติดตั้งแบบใดจึงเหมาะสม
  3. สัญญาณ Output ที่ต้องการเป็นแบบไหน
  4. ย่านการใช้งาน (Range)ความแม่นยำ (Accuracy) เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การใช้งานได้สูงสุด

 

วิธีการดูแลรักษา ทรานสมิตเตอร์วัดอุณหภูมิ

  1. ควรศึกษาคู่มือของอุปกรณ์ที่ต้องการติดตั้งให้ครบถ้วนก่อนติดตั้งเพื่อประโยชน์ในการใช้งานได้สูงสุดและป้องกันการเสียหายในการติดตั้ง
  2. ควรตรวจเช็คจุดเชื่อมต่อและหน้าสัมผัสให้คงมีความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  3. ควรมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) ตัว Transmitter ตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างน้อยปีละ1ครั้ง เพื่อทางผู้ใช้งานจะได้ทราบถึงความแม่นยำหรือความคลาดเคลื่อนของตัว ธTransmitter อยู่เสมอ

 

บทความนี้นำเสนอเป็นเพียงการแค่ใช้งานของ ตัวอุปกรณ์ Transmitter ที่นำมาใช้และติดตั้งกับการใช้งานที่ต้องการวัดอุณภูมิเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ เพราะในการใช้งาน Transmitter ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ยังมีการใช้งานของ อุปกรณ์ Transmitter อีกหลากหลายรูปแบบต่างๆ อย่างแพร่หลายและเครื่องมือวัดทุกชนิดจำเป็นต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อความถูกต้องแม่นยำในการวัด

 

ผู้เขียน THM Melo

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

การวัดความหนาแน่นของวัตถุดิบจาก เครื่องชั่ง สามารถทำได้อย่างไร

รู้หรือไม่ VIBRA ก็มีฟังก์ชันการวัด ความหนาแน่น ชิ้นงานของแข็งได้เหมือนกันนะ!! เพื่อนๆ จำบทความเรื่อง DIGITAL BALANCE  MODEL ALE SERIES ที่เป็นอีกหนึ่งในบรรดา เครื่องชั่ง ของแบรนด์  VIBRA ที่มีประสิทธิภาพความแม่นยำสูงและมีความทนทานสูงสุด ในงานระยะยาวได้ไหมคะ

คุณสมบัติอื่นของ เครื่องชั่ง VIBRA ALE Series

เครื่องชั่ง ALE ตัวนี้ยังมีความสามารถใช้ในการวัดความหนาแน่นของชิ้นงานได้ โดยตัวเครื่องนั้นจะตรวจวัดความหนาแน่นของตัวอย่างเป็นตัววัดคุณภาพที่สำคัญของทั้งวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เทคนิคที่หลากหลายทำให้สามารถวัดความหนาแน่นของของแข็ง เช่น โลหะ พลาสติก เป็นต้น

ประโยชน์ของการวัด ความหนาแน่น ของวัตถุดิบ

การควบคุมคุณภาพด้วยความหนาแน่นในการเปลี่ยนแปลงของวัตถุดิบซึ่งอ้างอิงได้จากการเปลี่ยนแปลงของความหนาแน่น อาจทำให้เกิดผลเสียหายต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายได้ ซึ่งสามารถใช้การตรวจวัดความหนาแน่นของวัตถุดิบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของวัสดุได้ หากวัตถุดิบมีสิ่งอื่นแปลกปลอมปนอยู่ ความหนาแน่นของวัสดุคอมโพสิต (Composite Material)  ที่วัดได้จะแตกต่างไปจากสารบริสุทธิ์ค่ะ

เรามาดูขั้นตอนการวัด ความหนาแน่น ในตัวอย่างของแข็งกันนะคะ วิธีนี้เรียกว่าการลอยตัวโดยการใช้หลักการของอาร์คิมิดีส

หลักการของอาร์คิมิดีส ระบุว่า วัตถุที่จุ่มลงในของเหลวบางส่วน หรือทั้งหมดจะมีแรงลอยตัวกระทำกับวัตถุนั้นในทิศทางพยุงขึ้น โดยที่แรงมีขนาดเท่ากับน้ำหนักของของเหลวที่วัตถุนั้นเข้ามาแทนที่นั้นเองค่ะ

มีการชั่งน้ำหนักของแข็งในอากาศ (A) และชั่งน้ำหนักอีกครั้ง (B) ในของเหลวเสริมที่ทราบความหนาแน่น โดยสามารถคำนวณความหนาแน่นของของแข็ง ρ ได้ดังต่อไปนี้

ρ        = ความหนาแน่นของตัวอย่าง

A        = น้ำหนักของตัวอย่างในอากาศ

B        = น้ำหนักของตัวอย่างในของเหลวเสริม

ρ0       = ความหนาแน่นของของเหลวเสริม

ρL       = ความหนาแน่นของอากาศ

ในการคำนวณต้องพิจารณาถึงอุณหภูมิของของเหลวด้วย เนื่องจากอาจทำให้ความหนาแน่นเปลี่ยนแปลงในระดับ 0.001 ถึง 0.1 ต่อ °C โดยจะสังเกตเห็นผลกระทบได้ในจุดทศนิยมตำแหน่งที่สามของผลลัพธ์ที่ได้

 

ข้อควรระวังเรื่องการวัด ความหนาแน่น

ส่วนใหญ่แล้ว ที่มาของข้อผิดพลาดที่พบมากที่สุดในการตรวจวัดความหนาแน่นคือ ชิ้นงานตัวอย่างมีความสามารถในการเปียกที่จำกัด เมื่อจุ่มตัวอย่างลงในของเหลว สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ ต้องไม่มีฟองอากาศใดๆ เกาะอยู่ที่ตัวอย่างและอุปกรณ์ฟองอากาศใดๆ ที่เหลืออยู่จะทำให้เกิดผลการลอยตัวและทำให้การคำนวณความหนาแน่นผิดไป (ฟองอากาศที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 มิลลิเมตรจะทำให้เกิดการลอยตัว 0.5 มิลลิกรัม) 

คำแนะนำใจการวัด ความหนาแน่น ด้วย เครื่องชั่ง

เราขอให้คำแนะนำดังนี้ค่ะ

  • ใช้สารที่ทำให้เปียกหรือของเหลวอินทรีย์ (ไม่ต้องคำนึงถึงความหนาแน่นของน้ำกลั่นที่เปลี่ยนไปจากการเติมสารที่ทำให้เปียกไม่กี่หยด)
  • กำจัดไขมันออกจากของแข็งที่ทนต่อตัวทำละลาย
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
  • ห้ามใช้มือเปล่าสัมผัสชิ้นส่วนที่จะจุ่ม
  • ใช้แปรงขนละเอียดกำจัดฟองอากาศที่หลงเหลืออยู่

เรื่องอุณภูมิก็มีส่วนเช่นกันนะคะ มีส่วนโดยทั่วไปของแข็งจะไม่ไวต่อความผันผวนของอุณหภูมิโดยรอบ จนทำให้การเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นที่สัมพันธ์กันไม่มีผลใดๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการวัดความหนาแน่นด้วยของเหลวเสริม จึงต้องพิจารณาถึงอุณหภูมิด้วย อุณหภูมิมีผลกับของเหลวมากกว่า และทำให้ความหนาแน่นเปลี่ยนแปลงไปที่ระดับขนาด 0.1 ถึง 1‰ ต่อ °C ผลกระทบดังกล่าวปรากฏชัดเจนในจุดทศนิยมตำแหน่งที่สามของผลลัพธ์ที่ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง เราขอแนะนำให้ผู้อ่านพิจารณาถึงอุณหภูมิของของเหลวเสริมในการวัดความหนาแน่นทั้งหมดเสมอ โดยสามารถดูค่าต่างๆ ได้จากคู่มือตารางจากเครื่องมือวัดเฉพาะ ส่วนใน เครื่องชั่งจะมีการจัดเก็บความหนาแน่นต่างๆ ของของเหลวอ้างอิงที่สำคัญที่สุด (H2O และเอทานอล)

นอกจาก ALE Series จะใช้วัดความหนาแน่น (Density) ได้ด้วยแล้ว ตัวเครื่องชั่งก็มีฟังก์ชันการนับชิ้นงาน (Count) ฟังก์ชันคำนวณค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)  และมีฟังก์ชันการหักค่าภาชนะ (Tare)  สามารถใช้งานง่าย สะดวกในการเคลื่อนย้าย และที่สำคัญการดูแลและเก็บรักษาก็ทำได้ง่ายเช่นเดียวกัน เพียงแค่หลังจากที่ไม่ใช้งานแล้วก็ปิดเครื่องไว้ปกติ

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับเรื่อง เครื่องชั่ง ALE SERIES แบรนด์ VIBRA แบบดิจิตอล (Digital) ในฟังก์ชันวัดความหนาแน่น หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ได้นะคะ รุ่น ALE SERIES แบรนด์ VIBRA พร้อมชุด Set Density Measurement Kit ตอบโจทย์การใช้งานของเพื่อนๆ แน่นอนค่ะ

นอกจากนี้ทางเราก็มีสินค้าจำหน่ายหลากหลายรุ่นให้เพื่อนๆ ได้เลือกสรร พร้อมสอบเทียบตามมาตรฐาน ได้รับการรับรอง ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 ให้เกิดความเชื่อมั่นในมาตรฐานระดับสากลของเราอีกด้วยค่ะ ครั้งหน้าทาง CLC จะนำบทความที่มีประโยชน์ หรือสินค้าชิ้นใดมานำเสนอเพื่อนๆ คอยติดตาม CLC กันด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในครั้งหน้าค่ะ ขอบคุณค่ะ

ผู้เขียน BEW JJ.

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

ทำความรู้จักกับฟังก์ชันหลักของ MULTIMETER

MULTIMETER (มัลติมิเตอร์) คือ เครื่องมือวัด อิเล็กทรอนิกส์อเนกประสงค์ที่รวมฟังก์ชันการวัดหลายอย่างไว้ในหน่วยเดียว สามารถวัดคุณสมบัติทางไฟฟ้าต่างๆ เช่น แรงดันไฟฟ้า (โวลต์มิเตอร์), กระแสไฟฟ้า (แอมมิเตอร์) และความต้านทาน (โอห์มมิเตอร์)
ดิจิตอล มัลติมิเตอร์ สามารถเลือกใช้งานได้อยู่ 2 แบบ คือ

  • DIGITAL MULTIMETER แบบ ย่านวัดอัตโนมัติ

จะมีปริมาณไฟฟ้าแต่ละชนิดที่จะทำการวัด มีย่านในการตั้งวัดเพียงย่านเดียวสามารถใช้วัดปริมาณไฟฟ้าตั้งแต่ค่าต่ำๆไปจนถึงค่าที่มันสูงสุดที่เครื่องมือสามารถแสดงค่าออกมาได้

  • DIGITAL MULTIMETER แบบ ย่านวัดปรับด้วยมือ

จะแตกต่างจากย่านวัดแบบอัตโนมัติเพราะผู้ใช้งานจะต้องเป็นคนปรับเลือกย่านในการวัดให้เหมาะสมกับค่าปริมาณไฟฟ้าในจุดนั้นๆถ้าเราเลือกและปรับไม่ถูกต้อง ตัวมัลติมิเตอร์จะไม่สามารถอ่านค่าที่วัดออกมาได้ ตัวมัลติมิเตอร์แบบย่านปรับด้วยมือจะใช้งานในรูปแบบคล้ายๆ Analog

MULTIMETER สามารถนำมาใช้วัดอะไรได้บ้างในเบื้องต้น

  • วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
  • วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
  • วัดความต้านทาน

มาทำความรู้จักอักษรที่ใช้งานบ่อยๆบนตัว มัลติมิเตอร์

  • Ω จะอ่านค่าความต้านทาน
  • VDC จะอ่านค่าโวลต์ไฟฟ้ากระแสตรง
  • VAC จะอ่านค่าโวลต์ไฟฟ้ากระแสสลับ
  • ขั้วต่อ Output จะเอาไว้ใช้วัดสัญญาณ Output
  • ขั้วต่อ – (ลบ) COM MEASURING TERMINAI-COM ใช้ต่อกับสาย PROBE สีดำ
  • ขั้วต่อ + (บวก) MEASURING TERMINAI ใช้ต่อกับสาย PROBE สีแดง

ในการใช้งานของตัวมัลติมิเตอร์จะมีสาย PROBE ใช้งานร่วมด้วย ซึ่งสาย PROBE นั้นจะมีลักษณะเป็นสายไฟ ดำ ,แดง เอาไว้ใช้วัดกระแสไฟสาย PROBE สีดำจะเป็นวัดขั้วลบ สาย PROBE สีแดงจะเป็นวัดขั้วบวกในส่วนของตัวเครื่องมือวัดหลักๆจะมีฟังก์ชัน Amp และ Ohm อยู่ในตัวเครื่อง

Amp Meter แอมป์มิเตอร์ คือ เครื่องมือวัด ที่ใช้วัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าที่สามารถวัดได้นั้นจะมี 2 แบบ คือ กระแส AC และกระแส DC มีหน่วยในการวัดออกมาเป็นแอมป์ (A)

Ohm Meter โอห์มมิเตอร์ คือ เครื่องมือวัดในส่วนของความต้านทานค่า  Ω

ข้อควรระวังในการใช้ มัลติมิเตอร์

  1. ก่อนการใช้งานควรศึกษาดูคู่มือในการใช้งานให้ดีก่อนจะได้ใช้งานไม่ผิดประเภท
  2. ควรนำไปใช้งานให้เหมาะสม ไม่ควรนำไปใช้งานเกินความสามารถของตัวเครื่องมือ
  3. เสียบสาย PROBE ให้ถูกต้อง ขั้วบวก ,ขั้วลบ ไม่ควรเสียบสลับกัน
  4. ต้องเอาสายวัดออกจากวงจรทดสอบก่อนที่จะปรับเปลี่ยนพิสัยการวัด
  5. ควรหาข้อมูลก่อนที่จะทำการวัดค่า ว่าจุดที่จะวัดมีไฟกี่โวลต์เพราะจะได้เลือกย่านในวัดใช้งานได้เหมาะสม
  6. กรณีต่อสายวัดผิดขั้วตัวมัลติมิเตอร์จะแจ้งให้ทราบว่าเรากำลังต่อผิดขั้วอยู่ ให้ทำการสลับสายวัดให้ถูกต้อง
  7. อย่าปรับโหมดฟังก์ชั่นการวัดขณะทำการวัด ห้ามปรับไปที่ย่านวัดอื่นๆเด็ดขาด ( มัลติมิเตอร์จะพัง) ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนโหมดฟังก์ชันในการวัดต้องถอดสายวัดออกจากจุดวัดก่อนทุกครั้ง
  8. หากค่าที่อ่านได้อ่านเกินสเกลจะต้องรีบเอาสาย PROBE ออกจากตัวมัลติมิเตอร์ทันที
  9. ถ้าไม่ได้ใช้งานตัวมัลติมิเตอร์ บ่อยๆ ควรเอาถ่าน หรือ แบตเตอรี่ออกด้วยทุกครั้ง
  10. ควรสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อความเที่ยงตรงแม่นยำของการใช้งาน

ผู้เขียน Gaem Yui

 

 

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

แนะนำการใช้เครื่อง Durometer

Durometer หรือ เรียกอีกชื่อนึงว่า Shore Hardness คือ เครื่องวัดความแข็งของวัสดุ ซึ่งการทดสอบความแข็งวิธีนี้ถูกคิดค้นโดย Albert F.Shore ในปี 1920

สเกลการวัด Durometer

สเกลการวัดมีหลายสเกลสำหรับการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัสดุ การทดสอบความแข็งตามมาตรฐาน ASTM D2240-00 แบ่งสเกลออกเป็น 12 สเกล ดังต่อไปนี้ A, B, C, D, DO, E, M, O, OO, OOO,OOO-SและR  แต่ละสเกลมีค่าการวัดอยู่ที่ 0-100 หน่วย

โดยส่วนใหญ่ที่เราพบเจอบ่อยๆหรือนิยมใช้งานกันอยู่จะมีด้วยกันอยู่ 3 แบบ คือ

  1. Shore A คือ ทดสอบยางทั่วไป ยางสังเคราะห์ ยางนิ่ม โฟลิเรซิน หนัง ขี้ผึ้ง
  2. Shore C คือ ทดสอบความแข็งยางที่มีความนิ่ม
  3. Shore D คือ ทดสอบความแข็งยางที่มีความแข็งสูง พวกฮาร์ดเรซิน อะคริลิค แก้ว เทอร์โมพลาสติก แผ่นพิมพ์ เส้นใย

ลักษณะของความคมของปลายแหลมของหัวกด

ประเภทวัสดุที่นำมาวัด

การตรวจสอบก่อนใช้เครื่องและการเก็บรักษา

  • ตรวจสอบแรงสปริงโดยใช้เครื่องตรวจสอบเครื่องวัดความแข็งของวัสดุ (Durometer Tester) วางเครื่องมือวัดเข้าไปในเครื่องตรวจสอบ เครื่องตรวจสอบจะมีน้ำหนักมาตรฐานให้ 3 ก้อน ให้ใส่น้ำหนักไปทีละก้อนหลังจากใส่ก้อนที่ 1 เข็มควรที่จะไปที่ Checkpoint ที่ 1 ค่า 25, ก้อนที่ 2 เข็มไปที่ 50 และ ก้อนที่ 3 อยู่ที่ 75 เข็มลงตรง Check point ทั้ง3จุด (±1) แสดงว่า แรงสปริงยังใช้ได้ หากเข็มหยุดไม่ตรงจุดหมายความว่าสปริงเสื่อมควรที่จะซื้อเครื่องใหม่
  • เข็ม (Pointer) ควรที่จะอยู่ที่ 0 หากไม่มีการวัดใดๆ
  • โปรดรักษาหัวกด (Indenter) ไม่เกิดการกระแทกหรือตกลง หากเกิดแรงกระแทกที่หัวกดอาจจะทำให้สปริงข้างในเสียหาย ส่งผลให้ค่าที่วัดผิด
  • ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เครื่องมือโดนน้ำหรือน้ำมัน

ทางห้องปฎิบัติการบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบ และได้รับการรับรอง Accredited 17025:2017
ซึ่งจะทำการสอบเทียบตามมาตรฐานตามฟังก์ชันดังนี้

  • Function  :  Force
  • Function  :  Indentation-depth
  • Function  :  Measuring device
  • Function  :  Angle
  • Function  :  Diameter

[button size=”medium” style=”primary” text=”ดาวน์โหลด Scope การสอบเทียบ Durometer คลิก” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

หากสนใจสอบเทียบเครื่องมือ Durometer สามารถโทรเข้ามาสอบถาม แอดไลน์ ส่งเมลล์เข้ามา ได้ทุกช่องทางได้เลยนะคะ

 

ผู้เขียน  ORANIJ  S.

 

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

เกจวัดแรงดัน (pressure gauge) คืออะไร? ข้อดีข้อเสียของเกจแบบอนาล็อกและดิจิตอลต่างกันอย่างไร?

เกจวัดแรงดัน (pressure gauge) คือ อุปกรณ์ที่ใช้วัดหรืออ่านค่าแรงดันก๊าซและของเหลว ในงานวิศวกรรมหรืออุตสาหกรรมที่มีการใช้ของไหล เช่น อุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องตรวจความดันในหม้อไอน้ำ, ระบบท่อ อุตสาหกรรมยานยนยานยนต์เช่นการใช้เพื่อวัดลมยางรถยนต์ หรืออุตสาหกรรมทางการแพทย์ เช่น วัดความดันเลือด (สฟิกโมมาโนมิเตอร์) เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องวัดความดันเพื่อควบคุมประสิทธิภาพและความปลอดภัย เกจวัดแรงดันแบ่งออกเป็นหลายประเภทมาก การจะเลือกซื้อเกจวัดแรงดันไปใช้ให้ถูกงานนั้นต้องคำนึงถึงชนิดต่างๆของเกจวัดความดันดังนี้

ประเภทของเกจวัดแรงดัน

เกจวัดแรงค่าดันจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน คือ

1.General pressure gauge

คือ เครื่องมือวัดความดันที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมและระบบ เพื่อตรวจสอบความดันของของเหลวหรือก๊าซในสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าบวก ไม่เหมาะกับสารกัดกร่อนหรือของไหลที่มีความหนืดสูงๆ

2. Vacuum gauge

คือ เครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับตรวจสอบความดันต่ำกว่าความดันบรรยากาศ(สุญญากาศ) ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าลบ โดยสามารถแบ่งประเภทของ Vacuum Gauge ได้เป็น เกจเชิงกล (Mechanical Vacuum Gauges) เกจไฟฟ้า (Electrical Vacuum Gauges) และ เกจความจุไฟฟ้า (Capacitance Manometer) ซึ่งการเลือกใช้งานนั้นขึ้นอยู่กับช่วงความดันสุญญากาศและสภาพแวดล้อมการทำงาน

3. Compound gauge

คือ เครื่องมือวัดความดันที่วัดแรงดันได้ทั้งค่าบวกและลบได้ในตัวเดียวกัน ซึ่งใช้ในงานประเภทการตรวจสอบแรงดันในระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างแรงดันบวกและแรงดันลบเช่น การใช้เพื่อวัดความดันสารทำความเย็นในแอร์ ในระบบดูดอากาศเครื่องยนต์ วัดแรงดูดในปั๊มสุญญากาศ หรือตรวจสอบแรงดันในหม้อต้มไอน้ำ เป็นต้น ลักษณะของหน้าปัดจะสามารถแสดงหน่วยวัดได้ทั้งฝั่งแรงดันบวก (PSI, Bar ฯลฯ) และแรงดันลบหรือสุญญากาศ (inHg หรือ mmHg)

 

เกจวัดแรงดัน เป็นเครื่องมือวัดที่ทนต่อแรงสั่นสะเทือนเพื่อใช้ในการวัดความดันซึ่งควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยสามารถแบ่งเกจได้เป็นทั้งแบบอนาล็อกและเกจดิจิตอล

เกจวัดแรงดัน อนาล็อกหรือดิจิตอล

1. เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล 

จะมีราคาสูงกว่าเพจอนาล็อกแต่จะมีข้อดีกว่าตรงเกจแบบดิจิตอลมีความแม่นยำมากกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการการวัดความดันแม่นยำสูง นอกจากนั้นเกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลในหลายรุ่นสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถอ่านค่าได้จากระยะไกลได้ด้วย

เพรสเชอร์เกจแบบดิจิตอล เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล

2. เกจวัดแรงดันแบบอนาล็อก (แบบเข็ม) 

มีข้อดีคือราคาถูกกว่าไม่ต้องการการบำรุงรักษามากเมื่อเทียบกับเกจแบบดิจิตอล โดยเกจวัดแรงดันแบบอนาล็อกนั้นแบ่งออกอีกเป็น 2 ประเภท คือ

2.1 เกจวัดแรงดันอนาล็อกปรกติ มีข้อดีคือ ราคาถูก แต่จะรับแรงสั่นสะเทือนสูงไม่ได้

2.2 เกจวัดแรงดันอนาล็อก แบบมีน้ำมัน มีข้อดีคือทนทานกว่า เหมาะกับงานมีแรงสั่นสะเทือนสูง เพราะน้ำมันจะช่วยลดการสั่นของเข็มอ่าน ทำให้อ่านค่าได้แม้มีการสั่นสะเทือนสูง และยังเป็นตัวซับแรงทำให้เข็มอ่านค่าไม่หัก

 

ขนาดหน้าปัดของเกจ

ข้อมูล ณ ปัจจุบันตามมาตรฐานอุตสาหกรรมปี 2024 ที่สามารถครอบคลุมการใช้งานส่วนใหญ่ได้อย่างครบถ้วน
ขนาดหน้าปัดของเกจวัดแรงดันมีหลากหลายขนาดให้เลือก มีตั้งแต่ 1-1/2″, 2″ 2-1/2″, 3″ 3-1/2″, 4″, 6″, 8″ ไปถึงขนาดหน้าปัด 10″ ตามความเหมาะสมของการใช้งาน

ขนาดหน้าปัด (นิ้ว) ขนาดหน้าปัด (มิลลิเมตร) ความละเอียด การใช้งานโดยทั่วไป ข้อแนะนำ
1.5″ (1½ นิ้ว) 38-40 mm ปานกลาง – อุปกรณ์พกพา
– ระบบลมยาง
– เครื่องมือช่าง
ไม่เหมาะสำหรับการอ่านค่าจากระยะไกล
2″ (2 นิ้ว) 50-51 mm ปานกลาง – ระบบเคลื่อนที่
– อุปกรณ์ขนาดเล็ก
– HVAC ขนาดเล็ก
ขนาดมาตรฐานสำหรับงานทั่วไป
2.5″ (2½ นิ้ว) 63-65 mm ดี – งานอุตสาหกรรมทั่วไป
– เครื่องจักรกล
ขนาดที่พบมากที่สุดในโรงงาน
4″ (4 นิ้ว) 100-102 mm ดีมาก – ระบบท่อหลัก
– หม้อไอน้ำ
– ระบบไฮดรอลิก
เหมาะสำหรับการอ่านค่าจากระยะ 2-3 เมตร
6″ (6 นิ้ว) 150-152 mm ยอดเยี่ยม – ระบบควบคุมกลาง
– ห้องควบคุม
– งานที่ต้องการความแม่นยำสูง
สามารถอ่านค่าจากระยะ 4-5 เมตรได้ชัดเจน
8″ (8 นิ้ว) 200-203 mm ยอดเยี่ยม – โรงงานขนาดใหญ่
– ระบบพลังงาน
– แผงควบคุมหลัก
มักใช้กับระบบความดันสูงหรืออันตราย
10″ (10 นิ้ว) 250-254 mm ยอดเยี่ยม – โรงไฟฟ้า
– ระบบปิโตรเคมี
– ห้องควบคุมกลาง
สำหรับงานที่ต้องการการมองเห็นในระยะไกลมาก

 

 

การพิจารณาและเลือกใช้เกจวัดแรงดัน

1. ควรพิจารณาจากประเภทของเกจวัดแรงดันและ การนำไปใช้ ควรเลือกใช้ให้ตรงกับการใช้งาน เช่น ใช้วัดลม,วัดน้ำ ,วัดน้ำมัน หรือ วัดสารกัดกร่อน หากต้องการใช้วัดลมและน้ำ ควรเลือกแบบย่านวัดต่ำ ที่มีความละเอียดสูง หากต้องการนำเกจไปใช้วัดน้ำมัน ควรเลือกแบบที่มีช่วงวัดสูง หรือ ถ้าต้องการนำไปใช้วัดสารที่มีการกัดกร่อน ควรพิจารณาจากตัวเรือนที่ทำจากวัสดุที่แข็งแรงทนการสึกกร่อนได้ดี

2. พิจารณาจากงบประมาณ ความสำคัญและความสามารถในการใช้งานของเกจวัดแรงดัน หากมีงบประมาณมากและต้องการความแม่นยำ ให้ค่าความละเอียดสูง ในงานที่มีความสำคัญควรเลือกใช้เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลแทนเกจแบบอนาล็อก เพราะเกจแบบดิจิตอลจะวัดค่าได้ละเอียดกว่า ใช้งานง่าย และสะดวกสบายกว่าเกจแบบอนาล็อก

3. พิจารณาจากคุณลักษณะเฉพาะของเกจวัดแรงดัน เช่น หน่วยวัดเป็นแบบไหน?,ย่านความต่ำสุด และสูงสุดของอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆเป็นอย่างไร ขนาดความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือนหน้าปัดที่เหมาะสมต่อการนำไปใช้งาน วัสดุที่ใช้ขึ้นรูปประกอบร่าง ชนิดเกลียวที่จะใช้ประกอบกับท่อหรือข้อต่อต่างๆ และฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ ตามความเหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น มีระบบล็อคด้วยรหัสพิเศษ มีการป้องกันการสั่นสะเทือน เป็นต้น

 

Calibration Laboratory  ผู้แทนจำหน่ายเกจวัดแรงดันแบรนด์ระดับโลกอย่างเป็นทางการ สามารถเลือกซื้อเกจวัดแรงดันแบบต่างๆได้ตามลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ

 

Ref.

Omega

Ashcroft

Dwyer-OMEGA

 

 

บริการสอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

Lux meter หรือ Light Meter (เครื่องวัดแสง) นั้นสำคัญมากจริงหรือ? แล้วมีวิธีใช้อย่างไร?

  ความปลอดภัยในสถานที่ทำงานนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจขณะปฏิบัติงาน ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญคือเรื่องแสงสว่าง ที่ควรมี ความสว่างเป็นไปตามกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาแวดล้อมในสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งความสว่างของแสงนั้นมีผลกระทบกับผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เช่น ถ้าแสงสว่างน้อยอาจทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักมากเกินไปจากการเพ่งมองวัตถุหรือชิ้นงานต่างๆ ทำให้มึนศรีษะได้ แต่ถ้าสว่างมากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อตาล้า พร่ามัว ปวดตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือส่งผลต่อสุขภาพทางสายตาของผู้ปฏิบัติงานได้ !!! แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแสงสว่างในที่ทำงานเรานั้น มีความสว่างมากน้อยเพียงใด ? และค่าที่วัดได้จากเครื่องมือวัดนั้น Lux meter (เครื่องวัดแสง) มีความแม่นยำถูกต้องหรือไม่จากการสอบเทียบเครื่องมือวัด วันนี้เรามาทำความรู้จักกับครื่องวัดชนิดนี้กัน ……

Light Meter แบบต่างๆ

 

ลักซ์ มิเตอร์ (หรือ Light Meter, เครื่องวัดแสง, เครื่องวัดแสงสว่าง) คือ เครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ใช้วัดปริมาณความเข้มของแสงสว่างในสภาพแวดล้อมที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งวัดค่าออกมาเป็นหน่วย Lux (ลักซ์) หรือ FC (Foot candle) โดย Lux meter (เครื่องวัดแสง) ปัจจุบันถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย มีความรวดเร็วในการวัด สามารถพกพาได้สะดวก เล็กนํ้าหนักเบาและมีความแม่นยำในการวัดสูง ซึ่งเหมาะในการวัดในโรงงานอุตสาหกรรม, อาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

 

เครื่องมือวัดแสง (Light Meter) ทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ Light Meter ทำงานโดยใช้ Photo Electric cell หรือตัว Sensor ซึ่งถูกติดตั้ง ในโคมพลาสติกสีขาวขุ่น เมื่อจับแสงที่กระทบได้แล้ว จะส่งข้อมูลประมวลผล แปลงคลื่นแสงเป็นประจุไฟฟ้า คำนวณค่าเป็นหน่วย Lux แสดงผลออกมาที่หน้าจอDigital เพื่อสะดวกในการอ่านค่าที่วัดได้ให้ผู้ใช้งานทราบ

 

Light Meter มีกี่ประเภท ?

เครื่องมือวัดแสงมี 2 ประเภท

  1. เครื่องมือวัดแสงประเภท Analog หน้าจอในการวัดเป็นเข็ม
  2. เครื่องมือวัดแสงประเภท Digital แสดงผลเป็นตัวเลขหน้าจอเป็น LED

ซึ่งแบ่งเป็นช่วงการวัดเฉลี่ย 5 point ของ Range ที่ใช้งาน โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้เครื่องมือวัดแบบ Digital โดยที่ Calibration Laboratory รับสอบเทียบ เครื่องวัดแสง ได้ถึง 25000 Lux

 

วิธีการใช้งาน เครื่องวัดแสง โดยทั่วไป

  1. กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง
  2. เปิดฝาครอบตัว Sensor ออก
  3. หัน Sensor ไปยังตำแหน่งแสงที่ต้องการวัด โดยหัน Sensor ตั้งฉากกับตัวกำเนิดแสง
  4. เลือกช่วงการวัดให้เหมาะสม
  5. สามารถปรับค่าหน่วยการวัด โดยกดปุ่มเปลี่ยนหน่วย Lux หรือ CD ได้ตามต้องการ
  6. สามารถบันทึกค่าสูงสุดในการวัดได้ โดยกดปุ่มบันทึกค่า
  7. หลังจากใช้งานเสร็จแล้วให้กดปุ่ม Off หรือปล่อยให้ปิดเองอัตโนมัติ และปิดฝาครอบ Sensor

 

**หมายเหตุ** เครื่องวัดแสง (แต่ละยี่ห้อหรือรุ่น มีปุ่มกดหรือฟังก์ชั่นแตกต่างกันบ้าง วิธีใช้งานสามารถเรียนรู้การใช้งานเพิ่มเติมจากคู่มือได้

 

ชมวิดีโอการใช้งานเครื่องมือวัด ลักซ์ มิเตอร์ และการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

 

 

 

ระดับความเข้มของแสงสว่างทั่วไปโดยประมาณ

  • แสงดวงอาทิตย์ 100,000 Lux
  • ภายนอกอาคาร 10,000 Lux
  • ในโรงงานอุตสาหกรรม 750 – 1,500 Lux
  • ใน Supermarket 500 – 1,000 Lux
  • Office สำนักงาน 350 – 750 Lux
  • บ้านที่อยู่อาศัย 150 – 250 Lux

โดย 1 Lux = 1 Lumen/M2 หรือ = 0.0929 FC

1 FC = 1 Lumen / Ft2 หรือ = 10.752 Lux

 

ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดแสง

เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดแสงซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยต่อสายตาผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งต้องการความแม่นยำสูงมาก หากเครื่องมือมีการอ่านค่าผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนนั้น หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการ สูญเสียดวงตา เพราะหากการดูแลรักษาเครื่องมือหรือใช้งานเครื่องมือผิดวิธี อาจทำให้เครื่องมือมีการอ่านค่าคลาดเคลื่อน (error) ไปจากเดิมได้ เพราะฉะนั้นการสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง


วิธีเก็บรักษาและข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือวัด

  • ควรเก็บเครื่องมือไว้ในกล่องหรือซองที่ผู้จำหน่ายให้มาหลังใช้งานเสมอ
  • ควรเก็บไว้ในอุณภูมิที่ไม่สูงเกินไปและชื้นเกินไป
  • ระมัดระวังไม่ให้ เครื่องวัดแสง เกิดการตกหล่นระหว่างการใช้งานหรือหลังจากใช้งาน
  •  ควรศึกษาคู่มือก่อนการใช้งานเพื่อความแม่นยำในการตรวจวัด


วิธีเก็บบำรุงรักษาและข้อควรระวัง Lux meter

  1. หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นผงหรืออุณหภูมิสูง
  2. หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาในที่ชื้นอบเกินไปหรือถูกแสงแดดโดยตรง
  3. หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาโดยการวางใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าสูง
  4. การเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทำได้โดยถอดฝาด้านหลังของเครื่องมือออกและเปลี่ยนแบตเตอรี่ขนาด 9 v
  5. เช็ดทำความสะอาดเครื่องมือเสมอหลังจากใช้งานเสร็จแล้ว


        ในภาคอุตสาหกรรมนั้นเครื่องวัดแสง มีบทบาทสำคัญในการวัดและควบคุมคุณภาพแสงในสถานที่ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนดไว้ ทำให้ทุกโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต้องมีเครื่องมือวัดนี้ไว้ใช้งาน และจะต้องมีการวัดปริมาณของแสงเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของสถานที่ทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ทาสีผนังใหม่ การเปลี่ยนหลอดไฟ หรือต่อเติมผนัง ฝา / เพดานเป็นต้น

        ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ เครื่องวัดแสงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่โรงงาน อุตสาหกรรมต่างต้องมีใช้ ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องมือวัดแสง Lux meterก็มีความสำคัญเพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน ต้องมีการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก.รวมทั้ง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การสอบเทียบเครื่องมือวัด ให้ได้มาตรฐานทุกปี โดย Calibration Laboratory สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดแสง ได้และได้รับการรับรองมาตรฐาน ANAB Range 1-20000 Lux และ 1 – 20000 cd/m 2


หากต้องการสอบเทียบเครื่องมือวัด

ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี่ จำกัด (Calibration Laboratory) มีบริการให้การสอบเทียบเครื่องมือวัด Light Meter โดยใช้ Lux and Luminance Meter Calibration ใช้เป็น Standard ในการสอบเทียบ โดยทาง CLC สามารถให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดแสง ได้ถึง 25,000 ลักซ์ หากต้องการส่ง Calibrate เครื่องมือวัดกับทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี่สามารถสอบถามได้ตามช่องทางต่างๆได้เลยค่ะ

 

 

ผู้เขียน Timnorton และ THM 87

 

 

 

ความจำเป็นของการใช้ Lux meter กับการ ปลูกพืชออแกนิค

วิธีใช้งานเครื่องวัดแสง (Lux Meter) อย่างง่าย! พร้อมเจาะลึกการสอบเทียบอย่างละเอียด

ซื้อสินค้าด้าน Electrical   บริการสอบเทียบห้องปฏิบัติการไฟฟ้า

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ใช้ Anemometer ให้เหมาะสม กับงาน

เครื่องวัดความเร็วลม (Anemometer) คือ เครื่องมือใช้สำหรับวัดความเร็วลม วัดแรงลม ความเร็วของก๊าซ เช่น การไหลของอากาศในท่อ การไหลของลม  ความเร็วลมในบรรยากาศ  การวัดความเร็วของการไหลของอากาศในอุโมงค์ลม เป็นต้น คำว่า “แอนีโม” ( anemos ) เป็นคำมาจากภาษากรีก แปลว่าลม เครื่องวัดความเร็วลม เครื่องแรกได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใช้โดย นายลีโอนาโด ดาวินชี ( Leonardo da Vinci ) ซึ่งจากบันทึกพบว่าถูกสร้างขึ้นในปี คศ. 1450 และพัฒนาในช่วงศตวรรษที่ 15 ปัจจุบัน เครื่องวัดความเร็วลม ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพียงแค่งานเกี่ยวกับสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ เท่านั้น แต่ยังนำไปใช้ในการคำนวณเพื่อออกแบบระบบต่าง ๆ เช่น ระบบระบายอากาศในอุโมงค์ ระบบทดสอบการบิน และการนำทางอากาศ ระบบปรับอากาศ เป็นต้น

ประเภทของเครื่องวัดความเร็วลม Anemometer

ปัจจุบัน เครื่องวัดความเร็วลม ถูกออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานต่างๆอยู่หลายโมเดล เช่น

  • เครื่องวัดความเร็วลมแบบ pilot tube

หัววัดจะมีลักษณะเป็นท่อ เหมาะสำหรับวัดความดันและการไหลของอากาศ และก๊าซ ถูกใช้อย่างแพร่หลายกับการวัดความเร็วลมในการบิน และเป็นเครื่องมือวัดความเร็วของอากาศและก๊าซในงานอุตสาหกรรม  pressure ซึ่ง sensor ประเภทนี้จะมีความแข็งแรงทนทาน เหมาะสำหรับการวัดลมที่แรงมาก ๆ และ ลมที่ร้อน หรือเย็นมาก

  • เครื่องวัดความเร็วลมแบบใบพัด 

เหมาะสำหรับวัดความเร็วลมทั่วไป การใช้งานไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก มีอุปกรณ์เพียง 2 ส่วน นั่นคือ กังหันที่ใช้วัดความเร็วลม และตัวเครื่อง วิธีการใช้งานเพียงหันกังไปในทิศทางของลมที่ต้องการวัด จากนั้นอ่านค่าที่หน้าจอของตัวเครื่อง

  • เครื่องวัดความเร็วลมแบบhot wire

จะมีหัวเซนเซอร์ที่ประกอบด้วยเส้นลวดความร้อนเส้นบาง ๆ ซึ่งแม้ว่าเซนเซอร์ค่อนข้างจะบอบบาง แต่ข้อดีของโพรบประเภทนี้คือ สามารถยืดความยาวของโพรบได้ กรณีต้องการวัดเข้าไปในรู หรือ ช่องที่เข้าไม่ถึง เหมาะสำหรับการวัดความเร็วลมในท่อ HVAC และช่องระบายอากาศขนาดเล็กอื่น ๆ สามารถวัดความเร็วลมได้ต่ำถึง 01 m/S

**เครื่องวัดความเร็วลมบางรุ่นยังสามารถวัดอุณหภูมิ ความชื้น Dew Point ได้อีกด้วย**

หน่วยการวัดเครื่องวัดความเร็วลม

หน่วยการวัดความเร็วลม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. หน่วยในการวัดค่าความเร็วลม

สามารถแบ่งได้ ดังนี้

  • เมตรต่อวินาที (m/s)
  • กิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/hr)
  • ฟุตต่อนาที (ft/min)
  • ไมล์ต่อชั่วโมง (mph)
  • นอต (knots)

โดยมีสูตรคำนวณ    V=S/T (V=ความเร็ว, S=ระยะทาง, T=เวลา) ซึ่งแต่ละหน่วยการวัดมีค่าแปลงหน่วยความเร็วลม ตามตาราง ดังนี้

2. ค่าอัตราการไหล

ค่าอัตราการไหล (Air Flow) คือ อัตราส่วนระหว่างปริมาตรของลมที่ไหลผ่านต่อหนึ่งหน่วยเวลาการวัดลักษณะนี้มีไว้สำหรับการวัดกับแหล่งกำเนิดลม เช่น ท่อแอร์ เป็นต้น แต่ข้อควรระวังคือ ต้องทราบขนาดพื้นที่หน้าตัดของท่อหรือแหล่งกำเนิดลม เพื่อนำมาใส่ข้อมูลในตัวเครื่องเพื่อแปลงค่าเป็นค่า Air Flow แบ่งเป็น 2 หน่วยคือ

  • CFM (cubic feet per minute, ft3/min) หรือ ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที ต้องหาค่าพื้นที่หน้าตัดในหน่วยตารางฟุต
  • CMM (cubic meters per minute, m3/min) หรือ ลูกบาศก์เมตรต่อนาที ต้องหาค่าพื้นที่หน้าตัดในหน่อยตารางเมตร

สมการการคำนวณของทั้ง 2 หน่วยมีดังนี้

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบ Anemometer  และได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยขอบข่ายการวัดสามารถสอบเทียบได้ถึง 45 m/s โดยวิธีการ Comparison with a known Velocity

[button size=”medium” style=”primary” text=”ดาวน์โหลด Scope การสอบเทียบ Anemometer คลิก” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

 

 

ผู้เขียน KAEW VIP

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ทำความรู้จักกับ Linear Scale

Linear Scale หรือสามารถเรียกอีกชื่อว่า Linear Position Transducer คือ เครื่องมือวัดที่นิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลาย และหลายรูปแบบในการใช้งานในเชิงภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง หรือตำแหน่งในแนวเส้นตรง ที่ทางผู้ใช้งานมักจะใช้ศัพย์เรียกว่า สโตค (stroke) ซึ่งจะมีความละเอียดสูงถึง 0.001 mm โดยจะมีหน่วยวัดเป็น มิลลิเมตร (mm) โดยผู้ผลิตมักจะติดตั้งตัวอุปกรณ์ ไว้ในเครื่องจักรต่างๆเช่น เครื่อง  Machine  CNC เครื่องกลึง เครื่องมิลลิ่ง เครื่องเลื่อย เครื่องเจาะ เครื่องเจียร์ระไน  หรือ เครื่องจักรที่มีลักษณะที่มีการใช้งานแบบการขยับเคลื่อนที่ตามแกน X, Y, Z เป็นแนวเส้นไปตามชิ้นงานต่างๆ เป็นต้น..

 

หลักการทำงานของ Linear Scale

หรือ Linear Position Transducer จะมีหลักการทำงานคร่าวๆโดยจะมีตัวอุปกรณ์ที่เป็นแท่งแก้วที่จะมีคุณสมบัติที่มีค่าความละเอียดสูงโดยจะมีขีดระบุระยะเอาไว้เพื่อคอยที่จะรับสัณญาณการยิงแสง Photo Diode และทำให้เกิดช่วงแสง แต่จะมีช่วงแสงที่ผ่านแท่งแก้วได้และไม่ได้ โดยช่วงแสงนี้จะมีการตรวจจับสัณญาณผ่านเซนเซอร์รับแสง ซึ่งจะติดตั้งอยู่อีกฝั่งนึงของแท่งแก้ว เมื่อตัวเซนเซอร์รับรู้ถึงสัณญาณที่ผ่านแท่งแก้วแล้วนั้น ก็จะแปลงสัณญาณ เป็น สัณญาณไฟฟ้า ในรูปแบบของ Sine Wave หรือ Square Wave ซึ่งจะขึ้นอยู่ที่ชนิดของตัวอุปกรณ์โดยที่จะมีสัณญาณ Out Put และจะถูกส่งต่อไปยังหน้าจอแสดงผลในรูปแบบต่างๆที่ติดตั้งอยู่หน้าเครื่องจักร

สำหรับ เครื่องมือวัด ชนิดนี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะต้องมีการดูรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นอย่างดี ควรศึกษาคู่มือก่อนการใช้งานอย่างละเอียดเพื่อลดความผิดพลาดและหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวชิ้นงานของทางผู้ใช้งานเองนั้น การเลือกซื้อตัวอุปกรณ์เอง ทางผู้ใช้งานก็ต้องคำนึงถึงมาตรฐานเป็นหลักและเรื่องการรับประกันสินค้าก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ความสมบูรณ์ ค่าความถูกและความแม่นยำของอุปกรณ์จำเป็นต้องมีความสำคัญที่สุด ถามว่าต้องทำอย่างไรนั้น ทางผู้ใช้งานจะมีวิธีดังนี้คือ เมื่อซื้ออุปกรณ์มาติดตั้งแล้วเสร็จนั้น ทางผู้ใช้งานเองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอบเทียบ (Calibration)  เจ้าตัว Linear Scale หรือ Linear Position Transducer เพื่อทางผู้ใช้งานจะได้สามารถรู้ค่าความแม่นยำความถูกต้อง ว่าค่าที่แสดงที่จอแสดงผลนั้นมีความถูกต้องตรงตามสเปคหรือไม่ หรือหากผิดเพี้ยนไปจากสเปคที่ทางผู้ใช้งานใช้วัดชิ้นงานนั้นทางผู้ใช้งานจะได้มีการแก้ไขก่อนที่จะนำไปใช้วัดกับตัวชิ้น เพื่อลดความเสียและผิดพลาดของทางผู้ใช้งาน

โดยทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (CLC) มีให้บริการสอบเทียบ (Calibration) Linear Measurement
Range 0-6,000 mm ในรูปแบบการบริการ Onsite Service

[button size=”medium” style=”primary” text=”Scope การสอบเทียบ Linear Scale” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

และรับกลับบริษัท ( In Lab) โดยมี Laser Interferometer (LSI) เป็น Standard ในสอบเทียบ (Calibration) และได้การรับการรับรอง ISO/IEC 17025: 2017 จากสถาบัน สมอ. และ ANAB

ตัวอย่าง Laser Interferometer (LSI) ของทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

 

ผู้เขียน THM Melo

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ประเภทของ Tachometer และการบำรุงรักษา

เครื่องวัดความเร็วรอบ (Tachometer) เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดงานในด้านการวัดความเร็วของรอบในการหมุนของวัตถุ โดยงานส่วนใหญ่ที่พบเจอ ที่ใช้ตัว เครื่องวัดความเร็วรอบในการวัดจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะนำเครื่องนี้ไปวัดความเร็วรอบของ ใบพัด เพลา และมอเตอร์ของรถยนต์ การวัดจะมีหน่วยความเร็วของแต่ละรอบเทียบกับเวลา หรือรอบต่อนาที (RPM = Revolutions Per Minute) และจะแสดงข้อมูลหรือผลการวัดเป็นตัวเลขบนหน้าจอดิจิตอล นอกจากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่นิยมใช้แล้วยังมีในส่วนของทางการแพทย์ที่มีการใช้เครื่องวัดความเร็วรอบด้วย
เพื่อให้ทราบถึงจำนวนรอบและเวลาในการหมุนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ผลของประเภทงาน

เครื่องวัดความเร็วรอบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.แบบสัมผัส (Contact Tachometer)

เป็นการวัดโดยการใช้เครื่องในส่วนของปลายวัดหรือหัวเซนเซอร์ไปแตะสัมผัสเพื่อวัดชิ้นงานโดยตรงในตำแหน่งที่ต้องการวัด เช่น ใบพัด เพลา และมอเตอร์ของรถยนต์ เพื่อต้องการทราบความเร็วรอบต่อนาที  (RPM)

ที่มา http://iconjpn.com

2.แบบไม่สัมผัส (Non-Contact Tachometer)

เป็นการวัดโดยการใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงไปที่ตำแหน่งที่ต้องการวัดเพื่อวัดความเร็วรอบ โดยหัวเซนเซอร์จะไม่สัมผัสชิ้นงานโดยตรง เช่น ใบพัด เพลา และมอเตอร์ของรถยนต์ เพื่อต้องการทราบความเร็วรอบต่อนาที (RPM)

 

การบำรุงรักษาเครื่องทดสอบความความเร็วรอบ

1.เลือกประเภทเครื่องมือวัดความเร็วรอบให้เหมาะสมกับหน้างานที่ต้องการนำไปใช้

2.จัดเก็บเข้ากล่องเครื่องมือทุกครั้งหลังใช้งาน

3.เช็ดทำความสะอาดเครื่องมือวัดเป็นประจำหลังใช้งาน

ทำไมต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด

โดยทั่วไปแล้วเครื่องมือที่มีการใช้งานอยู่แล้วนั้นจะใช้งานเป็นประจำหรือไม่เป็นประจำ เครื่องมือจะมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานซึ่งจะส่งผลไปถึงความแม่นยำในการอ่านค่าของเครื่องมือ จะทราบได้ก็ต่อเมื่ออ่านค่าไม่เที่ยงตรง มีผลการสอบเทียบที่เกินค่าเกณฑ์การยอมรับ (MPE) ที่ตั้งไว้ ซึ่งส่งผลโดยตรงเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งานและคนรับผิดชอบเกี่ยวกับงานนั้นๆ เพราะอย่างนั้นแล้วการสอบเทียบเครื่องมือ ควรสอบเทียบกับห้องแลปที่มีเครื่องมือมาตรฐานเพื่อให้เกิดความมั่นใจ
และความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

Calibration Laboratory (CLC) มีการให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ทั้ง 2 แบบ

  1. รับกลับมาสอบเทียบที่ LAB (In Lab)
  2. บริการสอบเทียบนอกสถานที่ (Onsite)

โดย Standard ที่ CLC ใช้ ในการสอบเทียบเครื่องวัดความเร็วรอบ คือ High Resolution Programmable Time/Counter , Function/Arbitrary waveform Generator, Agilent  สอบเทียบด้วยทีมงานฝ่ายสอบเทียบที่มีความเชี่ยวชาญ และเครื่องมือสอบเทียบ (STD) ที่สามารถสอบย้อนกลับได้จนถึง SI Unit

Calibration Laboratory (CLC) ได้การรับรอง ISO/IEC 17025 จากสถาบัน ANAB ของสหรัฐอเมริกา (In Lab, Onsite)

สามารถเช็ค Scope การสอบเทียบ ได้ที่นี่

[button size=”medium” style=”primary” text=”Scope การสอบเทียบ Tachometer คลิก” link=”https://bit.ly/3tiELAM” target=””]

 

ผู้เขียน Ple

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา