คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

คุณลักษณะของ Process Calibrator ในการเป็นเครื่องมือวัดค่าอะไรได้บ้าง

PROCESS CALIBRATOR

เครื่องมือวัด Process Calibrator หรือ Multifunction Process Calibrator เป็นเครื่องมือวัดค่าและกำเนิดสัญญาณสำหรับการสอบเทียบอเนกประสงค์ เครื่องมือวัด นี้สามารถวัดและกำเนิดสัญญาณได้หลายพารามิเตอร์และให้ผลลัพธ์ที่อ่านค่าหรือตีความได้ทันที ช่วยลดระยะเวลาและปัญหาการสอบเทียบในกระบวนการผลิตจากการใช้เครื่องมือสอบเทียบหลายแบบหลายรุ่นทำให้เกิดความสับสนในการเลือกใช้ และยังสามารถช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการสอบเทียบที่ Site งานได้อีกด้วย

คุณลักษณะของ Process Calibrator ในการเป็นเครื่องมือวัดค่า

  • วัดค่าอุณหภูมิจาก Thermocouple (Type R, S, K, E, J, T, N, B)
  • วัดค่าอุณหภูมิจาก Resistance Temperature Detector (Pt100, Pt1000, Pt200, Pt500, Cu10, Cu50)
  • วัดค่าแรงดันไฟ DC
  • กระแสไฟ DC
  • ความต้านทานไฟฟ้า
  • ความต่อเนื่องแบบมีเสียง
  • ความถี่
  • สวิทช์

 

คุณลักษณะของ Process Calibrator ในการเป็นเครื่องกำเนิดสัญญาณ

  • กำเนิดสัญญาณสำหรับสอบเทียบค่าอุณหภูมิของเทอร์โมคัพเปิ้ล (Thermocouple )Type R, S, K, E, J, T, N, B)
  • กำเนิดสัญญาณสำหรับสอบเทียบค่าอุณหภูมิของ Resistance Temperature Detector (Pt100, Pt1000, Pt200, Pt500, Cu10, Cu50),
  • แหล่งกำเนิดแรงดันไฟ DC
  • แหล่งกำเนิดกระแสไฟ DC
  • แหล่งกำเนิดความต้านทานไฟฟ้า
  • แหล่งกำเนิดความต่อเนื่องแบบมีเสียง
  • แหล่งกำเนิดความถี่
  • แหล่งกำเนิดสวิทช์
  • แหล่งกำเนิด Pulse และ Loop

การสอบเทียบ เครื่องมือวัด และบำรุงรักษา Process Calibrator

  1. มีการกำหนดช่วงระยะเวลาสำหรับการบำรุงรักษาเครื่องมือ ทั้งการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และการบำรุงรักษาเชิงแก้ไข
  2. ควรจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวัด ได้แก่ บันทึกเครื่องมือ วิธีการวัด การสอบเทียบเครื่องมือวัด ที่สามารถยืนยันการวัดว่าถูกต้องและสามารถสอบกลับได้สู่มาตรฐานการวัดแห่งชาติ (SI Units) เอกสารเหล่านี้จะเป็นประจักษ์พยานของการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า ทั้งที่เกิดมาแล้วในอดีตจนถึงปัจจุบัน และต่อเนื่องไปในอนาคต
  3. การ สอบเทียบเครื่องมือวัด จะต้องทำก่อนนำมาติดตั้งเพื่อใช้งาน และกำหนดช่วงระยะเวลาความถี่ในการสอบเทียบ เช่น ทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะของการใช้งาน ความถี่ในการใช้งาน การบำรุงรักษา และคุณสมบัติเฉพาะของเครื่องมือ เป็นต้น
  4. แม้จะมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด แล้ว ผลการวัดก็ยังมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้เสมอ สิ่งที่ผู้ใช้งานจะต้องคำนึงถึงอยู่คือ ระบบการวัดจะต้องมีความถูกต้องมากกว่าความถูกต้องที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ที่นำมาวัด ตั้งแต่ 3 เท่าขึ้นไป รวมถึงการตรวจสอบเครื่องมือก่อนการใช้งานเสมอ (Daily Check)
  5. ควรเลือกใช้บริการจากห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรองความสามารถ (Accredit) ตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017

มีหน่วยวัดอะไรบ้าง Process Calibrator ได้รับการออกแบบมาให้พร้อมสอบเทียบได้ในแทบทุกงาน Process Calibrator จะจ่ายและวัดค่าพารามิเตอร์ในกระบวนการเกือบทุก Process บันทึกเอกสารเป็น Version ต่างๆ รวมถึงบันทึกผลลัพธ์ในตัวครื่องและดึงข้อมูลออกมาได้ รองรับการทำงานของเครื่องมือหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายสัญญาณ การจำลองสัญญาณและการวัดแรงดันไฟฟ้า อุณหภูมิ และสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบได้ทุกหน่วยการวัดของเครื่องมือเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบได้ครอบคลุมทุกหน่วยการวัดที่กล่าวมาข้างต้นและได้รับการรับรอง มาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI) และจาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งในรูปแบบ In Lab และ Onsite เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยขอบข่ายการวัดสามารถสอบเทียบได้
ด้วยวิธีการ Direct Measurement with Multi Product Calibrator

ผู้เขียน Keaw VIP

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

หน้าที่ของ เครื่องมือวัด Watt Meter

Watt Meter (วัตต์มิเตอร์)

สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ เครื่องมือวัด ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ในด้านงานด้านไฟฟ้า คือ Watt Meter (วัตต์มิเตอร์) ซึ่งหลายๆท่านอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดีกับ เครื่องมือวัด ชนิดนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของปริมาณค่าพลังงานไฟฟ้าที่ต้องจ่ายให้กับวงจรและในระบบไฟฟ้า โดยจะมีการแสดงผลในหน่วยวัตต์  (Watt) ซึ่งเป็นหน่วยวัดแบบมาตรฐานที่ใช้สำหรับการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบซึ่งจะมีแบ่งออกเป็นสองประเภทที่ใช้กันทั่วไปในภาคอุตสาหกรรมหรือระบบอาคาร ดังนี้

  1. Analog Watt Meter (อนาล็อกวัตต์มิเตอร์) เป็นตัวที่แสดงผลการอ่านค่าแสดงแหล่งจ่ายไฟผ่านเข็มและมาตรวัดระดับน้ำ
  2. Digital Watt Meter (ดิจิตอลวัตต์มิเตอร์)เป็นตัวที่จะมีการแสดงการใช้พลังงานบนจอแสดงผลคริสตัลเหลว (LCD)

โดยทั่วไปแล้ว Watt Meter จะถูกจัดเรียงลำดับสำหรับช่วงแรงดันไฟฟ้าที่ถูกตั้งไว้ แต่อาจรวมถึงคุณลักษณะต่างๆเอาไว้ เช่น ตัวก๊อกขดลวดซึ่งมีแรงดันไฟฟ้าหลายตัว

โดยปกติทั่วไปแล้วอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆนั้นจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่ขึ้นอยู่กับชุดของค่าแรงดันไฟฟ้าที่มีกำหนดการใช้งานในปัจจุบันที่จะมีการแสดงเป็นแอมป์ (A) ในส่วนของการใช้พลังงานโดยรวมนั้นที่มีค่าแสดงผลเป็นวัตต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่มีติดตั้งใช้งานพลังงานที่มากกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆแล้วนั้น ตัว Watt Meter (วัตต์ มิเตอร์) ก็จะสามารถช่วยให้ตรวจสอบอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อที่จะได้กำหนดว่า วงจรในระบบ ทำงานอย่างถูกต้องครบวงจรถูกต้องหรือไม่

ซึ่งข้อมูลนี้จะมีความสำคัญในการติดตั้งระบบหรือกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้โหลดตัวต้านทานขนาดใหญ่ ซึ่งวัตต์ในการติดตั้งระบบการทำงานดังกล่าวนั้นจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานและผู้ดูแลงานสามารถติดตามผลของการทำงานในระบบไฟฟ้าของแต่ละวงจรได้สมบูรณ์และมีความสมดุลของพลังงานไฟฟ้าโดยรวม

รูปแบบพื้นฐานของวัตต์  (Watt) ถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ

  1. วัตต์แบบดั้งเดิม หรืออนาล็อก เป็นเครื่องมือทางไฟฟ้า ประกอบด้วยสามขดลวดภายใน และแบบสองขดลวดคงที่ในปัจจุบันและยังมีแบบขดลวดที่มีศักยภาพที่สามารถเคลื่อนย้ายซึ่งมีเข็มตัวบ่งชี้ที่จะแนบมา เมื่อมีกระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งผ่านมาทั้งสองขดลวดโดยในปัจจุบันสนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้นจะถูกสร้างขึ้น ฟิลด์นี้ทำให้ขดลวดเคลื่อนที่และแสดงค่าบนสเกลด้านหลังเข็ม

  2. วัตต์มิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิตอล อุปกรณ์เหล่านี้นั้นจะมีความแตกต่างจากเครื่องวัดไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งในวิธีที่พวกเขาคำนวณการใช้พลังงานไฟฟ้านั้น เครื่องวัดดิจิตอลจะมีวิธีการคือ ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์เพื่อประเมินค่าแรงดัน และแอมแปร์จากวงจรไฟฟ้าที่มีความถี่หลายพันตัวอย่างต่อวินาที โดยตัวอย่างเหล่านี้ก็จะมีการใช้เพื่อคำนวณหาค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าเฉลี่ยหรือค่าการใช้พลังงานไฟฟ้า การอ่านค่าก็จะถูกแสดงผลออกมาในรูปแบบดิจิตอลบนจอแอลอีดี

วัตต์มิเตอร์ เป็นเครื่องมือประเภทที่ค่อนข้างอ่อนไหวและแปรผันค่อนข้างมากและอาจจะได้รับความเสียหายจากค่ากระแสไฟฟ้าที่มีมากเกินไป เช่นเดียวกับเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่แล้วเมื่อค่าวัตต์นั้น ก็จะถูกจัดอันดับเอาไว้สำหรับช่วงแรงดันไฟฟ้าที่มีความจำเพาะ แต่ มิเตอร์ระดับไฮเอนด์หลายประเภทก็จะมีอุปกรณ์พวกก๊อกคอยล์หรือสวิตช์กระแสแบบอนุกรม
หรือแบบขนาน ที่จะนำมาช่วยช่วยให้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถใช้งานสำหรับช่วงค่าแรงดันไฟฟ้าหลายๆช่วง

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือ Watt Meter (วัตต์มิเตอร์)

  1. ทำความสะอาดเครื่องมือหลังการใช้งาน โดยขจัดสิ่งสกปรก, เศษผงออกให้หมดก่อนจัดเก็บเครื่องมือ
  2. ห้ามดัดแปลงเครื่องมือในการใช้งานนอกเหนือจากคู่มือการใช้งานเพื่อป้องการเสียหายต่อผู้ใช้งานและระบบการทำงานของไฟฟ้า
  3. จัดเก็บเครื่องมือและป้องกัน เครื่องมือวัด ไม่ให้เกิดสนิม, การกระแทก, การกดทับ, การตกจากที่สูง หรือสิ่งใดๆที่จะทำให้เกิดความเสียหาย
  4. ควรมีการสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความแม่นยำในการอ่านค่าของเครื่องมือวัด สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ความสมบูรณ์ ค่าความถูกต้องและความแม่นยำของเครื่องมือวัด ที่มีความสำคัญที่สุด ถามว่าต้องทำอย่างไรนั้น ทางผู้ใช้งานจะมีวิธีดังนี้คือ เมื่อซื้ออุปกรณ์มาติดตั้งแล้วเสร็จนั้น ทางผู้ใช้งานเองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอบเทียบ (Calibration)  เพื่อทางผู้ใช้งานจะได้สามารถรู้ค่าความแม่นยำความถูกต้อง ว่าค่าที่แสดงที่จอแสดงผลนั้น มีความถูกต้องตรงตามสเปคหรือไม่ หรือหากผิดเพี้ยนไปจากสเปคที่ทางผู้ใช้งานใช้วัดชิ้นงานนั้น ทางผู้ใช้งานก็จะได้มีการแก้ไขก่อนที่จะนำไปใช้วัดกับตัวชิ้นงาน เพื่อลดความเสียหายและความผิดพลาดจากการติดตั้งอุปกรณ์

โดยทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (CLC) มีให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) เครื่องมือด้านไฟฟ้าหลากหลายประเภท รวมถึง เครื่องมือวัตต์มิเตอร์
ซึ่งทางบริษัทแคลิเบรชั่น ให้ บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) มีบริการทั้งรูปแบบ รับส่งเครื่องฟรี และ การบริการ Onsite Service
และได้การรับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จากสถาบัน สมอ. และ ANAB

 

ผู้เขียน THM_Melo

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

เครื่องตัดชิ้นงานตัวอย่างแบบใบมีดทรงกลม คืออะไร?

เครื่องตัดชิ้นงาน ตัวอย่างแบบใบมีดทรงกลม (Circular Sample Cutter)

Circular Sample Cutter เป็น เครื่องมือวัด ประเภทใช้ในการตัดชิ้นงาน ซึ่ง เครื่องตัดชิ้นงาน สำหรับตัดส่วนตัวอย่างของผ้า ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ ทั้งแบรนด์ชั้นนำที่มีฐานการผลิตในประเทศก็ใช้กันทุกโรงงาน โดยใช้เครื่องมือดังกล่าวในการตัดชิ้นส่วนตัวอย่างผ้า ในลักษณะวงกลม โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 113 มิลลิเมตร (mm)

เครื่องตัดชิ้นงาน ตัวอย่างแบบใบมีดทรงกลม (Circular Sample Cutter) แบบที่ผู้เขียนพูดถึงจะมีเพียงลักษณะเดียว ตามรูป ซึ่งจะแตกต่างแค่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง อันนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานว่าต้องการใช้ที่ขนาดเท่าไหร่ ส่วนตัวผู้เขียนเองที่พบเจอบ่อยๆก็จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 113 มิลลิเมตร (mm) และจะแตกต่างที่สีและวัสดุอุปกรณ์อันนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อว่าแต่ละยี่ห้อเป็นสีอะไร ใช้วัสดุอะไร ก็ทำให้ราคาต่างกัน

เราจำเป็นที่ต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด ดังกล่าว เพื่อยืนยันว่าตัวชิ้นงาน, ผ้าที่ตัดออกมาเป็นตัวอย่างนั้นมีขนาดเท่ากับที่ต้องการจริงๆ เราจำเป็นต้องวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง (DIAMETER) ดังกล่าว
ในการสอบเทียบ Circular Sample Cutter นั้นทาง CLC สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ดังกล่าวได้ และได้รับการรับรอง
ISO/IEC 17025:2017 จากต่างประเทศอย่าง ANAB (สหรัฐอเมริกา) ใน Parameter Dimension

ที่ผ่านมาทาง CLC ก็รับเครื่อง Circular Sample Cutter มา สอบเทียบเครื่องมือวัด จำนวนมาก และทาง Calibration Laboratory CLC เองก็มีจำหน่ายเครื่องมือดังกล่าวพร้อมสอบเทียบให้กับลูกค้า

วิธีการตรวจเช็คเครื่องมือก่อนการสอบเทียบ

  1. ตรวจเช็คเครื่องมือทางกายภาพก่อนว่าเครื่องมือพร้อมที่จะสอบเทียบหรือไม่
  2. ตรวจเช็คใบมีดว่าขาด หรือแตก หัก หรือไม่ ขึ้นสนิมหรือไม่
  3. เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเครื่องมือและใบมีดก่อนทำการสอบเทียบ
  4. เจ้าหน้าที่ทำการสอบเทียบวัดเส้นผ่านศูนย์กลาง (DIAMETER) ของใบมีด
  5. บันทึกค่าผลการวัด
  6. ทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำเข้าสโตร์ เตรียมจัดส่งคืนลูกค้า

ทั้งนี้ผู้ใช้งานเครื่องมือเองก็สามารถตรวจเช็คเครื่องมือเช่นเดียวกับที่ทาง CLC ทำ เพื่อเป็นการรักษาเครื่องมือให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น

วิธีการใช้งาน

  1. เอาผ้ามาวางบนแท่นที่เรียบและใบมีดไม่สามารถตัดเข้าได้
  2. เอาเครื่อง Circular Sample Cutter มาทาบบริเวณที่ต้องการจะตัด
  3. หมุนเกลียวที่ด้านบน และกดบนลงเนื้อผ้า
  4. ยกตัว Circular Sample Cutter ออก ก็จะได้ชิ้นผ้าที่ตัด

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือหลังการใช้งาน

  1. หลังการใช้งานควรเก็บใส่กล่อง หรือที่ที่จะไม่ทำให้เครื่องมือร่วง เพราะใบมีดอาจแตกหักได้
  2. หลังการใช้งาน ไม่ควรวางเครื่องมือใกล้น้ำเพราะอาจทำให้เกิดสนิมที่ใบมีดได้
  3. หลังการใช้งานควรทำความสะอาดใบมีดเสมอ เพราะถ้าเศษผ้าไปติดอยู่มาก จะทำให้การใช้งานครั้งต่อไป หรือการตัดผ้าครั้งต่อไปตัดไม่ดี ใบมีดไม่คม
  4. ตรวจสอบตัวขัน, ตัวหมุนที่ทำให้ใบมีดตัด ว่าเกลียวยังปกติ ไม่รูด

ผู้เขียน Jib VIP

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

รีวิววิธีการใช้งาน เครื่องชั่ง VIBRA CUX SERIES แบบคอตั้ง

รีวิววิธีการใช้งาน เครื่องชั่ง VIBRA CUX SERIES แบบคอตั้ง

จากบทความครั้งที่แล้วที่เราได้นำเสนอเรื่อง เครื่องชั่ง แบรนด์ VIBRA รุ่น CUX SERIES ที่เราได้นำเสนอไว้เป็นอีกหนึ่งทางตัวเลือกให้สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการค่าความแม่นยำสูงและมีประสิทธิภาพ วันนี้เราก็จะมาแนะนำเพิ่มเติมในส่วนของเครื่องชั่งละเอียด VIBRA CUX SERIES ให้เพื่อนๆ ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับเครื่องมือตัวนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนก็ได้หยิบยกเครื่องชั่ง CUX SERIES ขนาดพิกัด 30 กิโลกรัม ค่าความละเอียด 0.005 กิโลกรัม แบบคอตั้งมานำเสนอให้เพื่อนๆลองดูกันค่ะ ตามไปอ่านดูเลยนะค่ะว่ามีอะไรกันบ้าง

ก่อนที่จะมารีวิวการใช้งานกันเรามาทำความรู้จักส่วนประกอบต่างๆของเจ้าเครื่องชั่งละเอียด VIBRA CUX SERIES นี้กันก่อนนะคะ ว่ามีอะไรบ้าง ดังนี้

  1. จอแสดงผล
  2. ช่องตัวเลือก
  3. จานชั่งน้ำหนัก
  4. ตัวปรับขาของฐานเครื่องชั่ง มี 4 มุม
  5. ช่องเสียบสายชาร์จ
  6. ช่องเสียบสาย RS-232C
  7. สายเชื่อมต่อจอแสดงผล
  8. ช่องต่อรีเลย์ (ใช้ในการตัด-ต่อ วงจร) เป็นอุปกรณ์เสริม
  9. เสา
  10. ขาป้องกันการล้ม
  11. ระดับน้ำ

เริ่มการใช้งาน เครื่องชั่ง VIBRA CUX SERIES

1.เปิดเครื่อง
กดปุ่ม [เปิด/ปิด] จอแสดงผลทั้งหมดจะกะพริบ หน้าจอจะแสดงค่าเป็นศูนย์

2. ตรวจสอบการทำงานของ เครื่องมือวัด
กดจานชั่งน้ำหนักเบาๆ เพื่อตรวจสอบว่าน้ำหนักมีการเปลี่ยนแปลง ถ้ากดจานชั่งเบาๆแล้วตัวเลขเพิ่มขึ้นตามแรงกดแสดงว่าเครื่องชั่งทำงานปกติ กรณีที่กดจานชั่งแล้วตัวเลขไม่ขยับแสดงว่าเครื่องชั่งมีปัญหาไม่สามารถทำการชั่งของได้ ต้องส่งไปทำการซ่อมก่อนหรือติดต่อผู้ผลิต

3.ปิดเครื่อง
กดปุ่ม [เปิด/ปิด] ค้างไว้ (ประมาณ 2 วินาที) จอแสดงผลทั้งหมดจะดับลงทันที

Functions การทำงานของ เครื่องชั่ง VIBRA CUX SERIES

 

1.การชั่งทั่วไป

หลังจากที่เปิด เครื่องชั่ง และทดสอบน้ำหนักโดยการกดจานชั่งแล้ว สามารถนำชิ้นงานหรือของที่ต้องการชั่งมาวางบนฐานหรือจานรองเครื่องชั่งและทำการอ่านค่าได้เลย หากใช้งานเสร็จแล้วให้นำชิ้นงานออกจากจานชั่งก่อนทำการปิดเครื่องค่ะ

 

2.การนับชิ้นงาน

2.1  กด SCS 1 ครั้ง หน้าจอจะแสดง Sample Test เริ่มต้นที่ 5 ชิ้น

2.2 ใส่จำนวนชิ้นงานหรือของที่ต้องการชั่งให้เท่ากับจำนวนที่ตั้งไว้หรือที่กำหนดไว้ (Sample Test)

2.3 กด SCS  2 ครั้ง หน้าจอจะขึ้น Finish และจะโชว์ข้อมูลน้ำหนักรวม [Weight], น้ำหนักต่อชิ้น [Unit W.] และ จำนวนชิ้น [Quantity]

2.4 หลังจากใช้งานเสร็จแล้ว ให้เครียร์หน้าจอการใช้งานช่อง น้ำหนักต่อชิ้น [Unit W.] ให้เป็นศูนย์ [0] โดยการนำชิ้นงานออกจากจานชั่งให้หมดก่อน จากนั้นกดปุ่ม  Unit W. SET 1 ครั้ง, กดเลขศูนย์ [0], กดปุ่มจุด [.], กดเลขศูนย์ [0] และกดปุ่ม  Unit W. SET อีกรอบตามลำดับ

2.5 หน้าจอจะแสดงผลเป็นเหมือนเดิม และสามารถเริ่มทำการชั่งชิ้นงานอันใหม่ต่อไปได้

2.6 เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ควรกดปุ่มปิดการใช้งานโดยกดค้างไว้ประมาณ 2 วินาที จนหน้าจอดับลง ไม่แนะนำให้ปิดเครื่องชั่ง
ขณะมีชิ้นงานวางอยู่บนจานชั่ง ควรนำชิ้นงานออกจากจานชั่งก่อนและจึงทำการปิดเครื่องชั่งได้

เป็นยังไงบ้างคะกับการรีวิวและเทคนิคขั้นตอนการใช้งานแบบง่ายๆ ก็สามารถใช้งานเครื่องชั่งเป็นแบบไม่ยุ่งยากเลย และหากท่านใดสนใจกำลังมองหาเครื่องชั่งสักเครื่องในการทำงานและมีวิธีการใช้งานแบบง่ายๆ ให้เครื่องชั่ง Vibra แบบดิจิตอล(Digital) รุ่น CUX SERIES เป็นอีกทางเลือกของท่านได้นะคะ ทาง CLC เรามีจำหน่ายพร้อมบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ตามมาตราฐาน OIML-R76-1 อีกทั้งให้ท่านเกิดความเชื่อมันในมาตราฐานระดับสากลของเราอีกด้วยคะ โอกาสหน้าจะมาแนะนำเทคนิคดีๆ อื่นๆให้อีกแน่นอน
คอยติดตามกันด้วยนะคะ  ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน BEW JJ.

 

 

เคล็ดลับ!? การปรับระดับน้ำของเครื่องชั่ง เครื่องชั่งละเอียด

ซื้อเครื่องชั่ง ราคาพิเศษ คลิก     บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

การวัดการสั่นสะเทือนของเครื่องมือ สามารถช่วยลดต้นทุนได้อย่างไร (Vibration meter)

การสั่นสะเทือนของเครื่องจักรหรือมอเตอร์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถบ่งบอกถึงสภาพของเครื่องจักรที่ใช้งานกันอยู่ประจำได้ ถ้าการวัดค่าความสั่นสะเทือนออกมาแล้วมีค่าที่สูง อาจมีสาเหตุมาจากเครื่องจักรเกิดความผิดปกติทำงานไม่สมดุล หรือมีชิ้นส่วนใดส่วนหนึ่งเคลื่อนที่หรือหลุดไปจากตำแหน่งเดิม หากปล่อยไว้นานให้เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เครื่องจักรเกิดความเสียหายได้และพังในที่สุด ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเกิดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าการตรวจสอบค่าความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรนั้น มีประโยชน์ต่อการวางแผนต้นทุนในการซ่อมบำรุงรักษาตามสภาพการเสื่อมของเครื่องจักร เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้ยาวนานขึ้น ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการทำงานของเครื่องจักรที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น และยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงหรือซื้อเครื่องมือใหม่ได้ แล้วเครื่องมืออะไรที่จะช่วยตรวจสอบการสั่นสะเทือนได้ล่ะ??? วันนี้เรามาแนะนำผู้ช่วยนั้นคือ…  

Vibration Meter เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน

เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนหรือ Vibration meter นั้นเป็นเครื่องมือตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องจักร ชิ้นงานหรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ติดตั้งทำงานอยู่ในโรงงานทั่วๆไป การสั่นสะเทือน คือ การเคลื่อนที่ของวัตถุในทิศทางซ้ำๆ เช่น จากข้างหน้าไปข้างหลัง จากซ้ายไปขวาหรือจากบนลงล่าง ยกตัวอย่างเช่น ตุ้มน้ำหนักและสปริงเมื่อดึงตุ้ม น้ำหนักลงและปล่อยทิศทางการเคลื่อนที่เป็นแบบขึ้นและลงซ้ำไปซ้ำมา การเคลื่อนที่ดังกล่าวจะทำให้เกิด Waveform

Vibration Meter คือ เครื่องมือที่ใช้วัดระยะทางของการสั่นสะเทือน (Displacement), ความเร็ว (Velocity), ความเร่ง (Acceleration) ของวัตถุที่สั่นสะเทือน โดยทั่วไปการทดสอบการสั่นสะเทือนจะตรวจสอบชิ้นงานภายใต้สภาวะการสั่นสะเทือนที่ถูกกำหนดไว้ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่า ชิ้นงานสามารถทนต่อการขนส่งและการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้ หรือเครื่องจักรที่ใช้งานโดยการวัดมีวิธีการหลักๆอยู่ดังนี้

การวัดระยะทางของการสั่นสะเทือน (Displacement) คือ การเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ เส้นตรงที่ลากจากจุดเริ่มต้นไปหาจุดสุดท้าย ใช้สัญลักษณ์ตัว  S  เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วยเป็น ไมโครเมตร ( µm )

ความเร่ง (Acceleration) คืออัตราความเร็วของวัตถุที่แตกต่างกันจากศูนย์ถึงจุดสูงสุดในแต่ละรอบของการสั่นสะเทือน มีหน่วยเป็นเมตร/วินาที² ( m/s2)

ความเร็ว (Velocity) คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งในหนึ่งหน่วยเวลา ความเร็วเป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรต่อวินาที ( mm/s )

ความถี่ (Frequency) คือความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนรอบของการเคลื่อนที่หรือรอบของการหมุนต่อหน่วยเวลารอบต่อวินาที มีหน่วยเป็น Hz ตัวอย่างเช่นถ้าหากเพลาหมุนด้วยความเร็ว 1,200 รอบต่อนาที (rpm) ความถี่ในการหมุนก็จะเท่ากับ 1,200/60 = 20 รอบต่อวินาทีหรือ 20 Hz (หน่วยเป็น Hz, kHz)

ทำไมเราถึงต้องใช้เครื่องวัดความสั่นสะเทือน

โดยทั่วไปแล้วเครื่องจักรทุกชนิดที่เป็นเครื่องใหม่ก็จะมีค่าความสั่นอยู่แล้วในระดับหนึ่งซึ่งจะไม่สูงมากนัก แต่หลังจากใช้งานไปสักพักอย่างต่อเนื่องแล้ว ค่าความสั่นของเครื่องจักรก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้ายิ่งไม่มีการบำรุงรักษาเลยหรือไม่มีการตรวจสอบเลย ก็จะทำให้เกิดความเสียหายของเครื่องจักรโดยไม่รู้ตัวได้ ซึ่งมารู้ภายหลังก็จะสายเกินแก้ได้ ผลลัพธ์จากการปล่อยให้เครื่องจักรเสื่อมสภาพ โดยไม่มีการตรวจเช็คสภาพจนต้องหยุดเครื่องจักรซึ่งส่งผลต่อการผลิต ด้วยค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงกว่าต้องเสียเวลาในการซ่อมแซม หรือถึงขั้นต้องซื้อเครื่องจักรใหม่ สูญเสียรายได้จากการหยุดเครื่องจักรปัญหาทั้งหมดไปหรือลดน้อยลง หากใช้เครื่องวัดความสั่นสะเทือน เข้ามาช่วยกับงานซ่อมบำรุงตรวจสอบ และ เปรียบเทียบเพื่อให้ทราบว่าเมื่อไหร่ควรจะซ่อมแซม วิธีดังกล่าวนี้เรียกว่าวิธีการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) จะใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการตรวจสอบสภาพของเครื่องจักรโดยมีเครื่องวัดความสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งในนั้น หากตรวจพบก็จะทำการวางแผนเพื่อเตรียมอะไหล่ และ เวลาในการซ่อมแซมเครื่องจักร เมื่อมีการซ่อมบำรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประหยัดเงิน ประหยัดเวลาและช่วยยืดระยะการใช้งานของเครื่องจักรได้อีกด้วย

การวัดความสั่นสะเทือน โดยปกติเราจะวัดความสั่นสะเทือน 3 แกนดังรูป

รูปแนวการวัดความสั่นสะเทือน 1.1

A คือ วัดในแนวแกนเพลา

H คือ วัดในแนวรัศมีแนวนอน

V คือ วัดในแนวรัศมีแกนตั้ง

ตำแหน่งการวัดแรงสั่นสะเทือนที่เหมาะสม

  1. จุดที่ใกล้ลูกปืนมากที่สุด
  2. จุดที่ตรงเข้าสู่ศูนย์กลางลูกปืน
  3. จุดที่รับภาระ (Load) มากที่สุด
  4. จุดที่เป็นเนื้อเดียวกันกับ Bearing Housing ถ้ามีฝาครอบ Bearing ควรเจาะเข้าไปวัดให้ใกล้ Bearing ที่สุด

การวัดแรงสั่นสะเทือนและวิเคราะห์ตามแนวแกนจะบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดังนี้

แนวดิ่ง หรือแนว V (Vertical)

  • การหลุดหลวม
  • แบริ่งสึกหรอชำรุด
  • แท่นฐานไม่แข็งแรง
  • ยึดสกรูไม่แน่น

แนวราบ หรือแนว H (Horizontal)

  • Unbalance หรือไม่สมดุล
  • การแกว่งของเพลา

แนวแกนเพลา หรือแนว A (Axial)

  • เพลาไม่ตรงแนวศูนย์
  • เพลาคดงอ

มาตรฐานการวัดความสั่นสะเทือน

ตามมาตรฐาน ISO 10816 ได้ระบุระดับความรุนแรงของการสั่นสะเทือนที่จำเป็นต้องทำการซ่อมบำรุงไว้ เมื่อเราวัดได้ค่าความสั่นและทราบถึงประเภทของเครื่องจักรของเราแล้ว จะจำแนกเครื่องจักรตาม กำลัง (Power, kW) ของเครื่องจักร โดยแบ่งเป็น 4 class ดังนี้

  • Class I   : สำหรับเครื่องจักรที่มี กำลัง ไม่เกิน 15 kW
  • Class II  : สำหรับเครื่องจักรขนาดกลางที่มี กำลัง ตั้งแต่ 15 kW ถึง 75 kW
  • Class III : สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีฐานแบบ rigid มี กำลัง ไม่เกิน 300 kW
  • Class IIII: สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ฐานเป็นแบบ soft อาทิ gas turbine, turbo generator ที่มีกำลัง ไม่เกิน 10MW

       มาตรฐานโดยทั่วไปที่นิยมใช้ในการวัดความสั่นสะเทือนกันอย่างแพร่หลาย และใช้เป็นตารางสำหรับการอ้างอิงเพื่อเปรียบเทียบการออกแบบและผลิตเครื่องจักร โดยจะใช้การวัดค่าการสั่นสะเทือนแบบโดยรวม ระหว่าง 10-1000 Hz ตามมาตรฐาน ISO 2372-1974 E

โดยมี Criteria ดังนี้

A เครื่องจักรใหม่เพิ่งใช้งาน
B เครื่องจักรเริ่มมีการสั่นสะเทือน จะส่งผลเสียระยะยาว
C เครื่องจักรมีการสั่นสะเทือนรุนแรง ถ้าปล่อยไว้จะมีผลเสียกับเครื่องจักรในระยะสั้น
D เครื่องมีการสั่นสะเทือนรุนแรงมากอาจทำให้เครื่องจักรเสียหายฉุกเฉิน

ส่วนประกอบของเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน

หลักการทำงานมี 2 แบบ คือ

  1. แบบมีตัวรับแรงสั่นสะเทือนที่เราสามารถอ่านค่าได้จากตัวอ่าน (Indicator) โดยวัดประจุไฟฟ้าแล้วแปลงเป็นค่าแรงดันไฟฟ้า จากนั้นแสดงผลมายังหน้าจอ
  2. แบบมีตัวรับแรงสั่นสะเทือน โดยตัวอ่านแปลงค่าเป็น Volt แล้วส่งผลค่าที่วัดได้แสดงผลมายังหน้าจอ

การใช้งานเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน

  1. เสียบปลายขั้วต่อของสายโพรบเข้ากับขั้วต่อตัวเครื่องมือ
  2. กดปุ่ม POWER เพื่อเปิดมิเตอร์ หากมิเตอร์ไม่เปิดขึ้น ให้ตรวจสอบถ่านแบตเตอรี่ 9V ว่าแบตหมดหรือไม่
  3. หน่วยวัดที่เลือกในปัจจุบันจะแสดงบนจอ LCD ของมิเตอร์ การเปลี่ยนหน่วยการวัดให้กดปุ่ม UNIT ค้างไว้จนได้หน่วยวัดที่ต้องการแล้วปล่อยปุ่ม UNIT มิเตอร์จะเริ่มเลื่อนผ่านหน่วยวัดที่มีอยู่
  4. วางโพรบลงบนเครื่องจักรตรงบริเวณที่ต้องการวัดแล้วเก็บค่าที่ได้จากการวัด
  5. ในการปิดมิเตอร์ ให้กดปุ่ม POWER ค้างไว้จนกว่ามิเตอร์จะส่งเสียงบี๊บ

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้งาน

  1. ก่อนการใช้งานเครื่องมือ ควรเช็ดทำความสะอาดหัวเซนเซอร์ให้เรียบร้อย
  2. ควรเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวงานที่ต้องการวัด เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้
  3. ขณะใช้งาน หัวเซนเซอร์ควรแนบชิดสนิทกับเครื่องจักรที่ต้องการวัด
  4. ควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมไม่ให้มีแรงสั่นสะเทือนจากภายนอก ในระหว่างการใช้งานหรือทดสอบ
  5. ทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังใช้งาน โดยใช้ผ้าหรือทิชชูสะอาดชุบแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด
  6. ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานในบริเวณที่มีน้ำหรือความชื้น เพราะอาจทำให้หัวเซ็นเซอร์เสียหายจากการเกิดสนิมได้
  7. การใช้สายเครื่องมือวัด ควรเลือกสายให้ตรงกับรุ่นเครื่องมือที่ใช้งาน เนื่องจากอาจส่งผลให้ค่าที่วัดได้ไม่ตรงกับค่าจริง
  8. การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ ควรจับบริเวณหัวเซ็นเซอร์หลีกเลี่ยงการจับที่สายของเครื่องมือ เพราะสายอาจจะหักหรือขาดได้
  9. เนื่องจากหัวเซนเซอร์มีราคาสูงมากๆ ควรระมัดระวังอย่าทำให้เครื่องมือตกหล่น อาจจะแตกหักเสียหายได้
  10. หมั่น สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันการให้ค่าที่ไม่ถูกต้อง

การสอบเทียบเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือน

ในการ สอบเทียบเครื่องมือ วัดแรงสั่นสะเทือนจะทำการสอบเทียบโดยวิธี Back to Back ซึ่งทาง CLC มีการตรวจสอบครอบคลุมทุกฟังก์ชั่น ตามมาตราฐาน ISO 5347-3 โดยเราให้บริการสอบเทียบได้ทั้ง Accuracy test, Functional test, Linearity test และ Frequency response

SCOPE ที่ได้รับการรับรอง (Accredited17025)

ทางบริษัท แคริเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือน และได้รับการรับรอง
Accredited ISO/IEC 17025:2017 ของ Scope ภายในประเทศจาก สมอ. และต่างประเทศ ANAB จากอเมริกา Range ที่ได้รับการรับรองสามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่  SCOPE ที่ได้รับการรับรอง (Accredited17025)

 

ผู้เขียน Timnorton

รู้จักกับ BLOOD PRESSURE และข้อควรระวังในการใช้งาน

BLOOD PRESSURE MONITOR (เครื่องวัดความดันโลหิต)

BLOOD PRESSURE MONITOR (เครื่องวัดความดันโลหิต) เป็น เครื่องมือวัด ชนิดหนึ่งที่ใช้วัดค่าความดันโลหิตในร่างกายมนุษย์ เราพบมากในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะไปตรวจร่างกายประจำปีเราก็ต้องวัดความดันโลหิต หรือแม้แต่เราไปขอรับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกก็จะมีเจ้าหน้าที่มาวัดความดันโลหิตเราก่อนเข้ารับการตรวจ โดยใช้เครื่องมือดังกล่าวในการวัด เพื่อดูว่าค่าความดันโลหิตเราอยู่ในค่าเกณฑ์ปกติหรือไม่ หากเรามีความดันโลหิตที่ต่ำ หรือสูงมากกว่าเกินไป เจ้าหน้าที่อาจไม่ให้เราเข้ารับบริการต่อ เพราะอาจมีผลต่อการรักษา เพราะหากรักษาหรือให้บริการฉีดยาใดๆไป อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าเครื่องวัดความดันโลหิตมีความจำเป็นต่อการแพทย์ และสุขภาพของเรามาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด ความดันโลหิตนี้ เพื่อยืนยันว่าค่าที่แสดงผลนั้นให้ค่าที่เที่ยงตรง บุคลากรทางการแพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงของร่างกายในการเข้ารับบริการของเราได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ตามโรงงานอุตสาหกรรมในส่วนของห้องพยาบาลเองก็จำเป็นที่จะต้องมี เครื่องมือวัด ดังกล่าวเพื่อใช้วัดค่าความดันโลหิตของพนักงานในโรงงาน หรือแม้กระทั่งตรวจวัดบุคคลที่จะเข้ามาในพื้นที่โรงงาน ที่เข้าทำงานในพื้นที่ที่มีความอับ พื้นที่เสี่ยง พื้นที่สูง เป็นต้น

ประเภทของ BLOOD PRESSURE MONITOR (เครื่องวัดความดันโลหิต)

ที่พบเห็นทั่วไป มี 2 ลักษณะ

    1. แบบสายรัดพกพา แบบนี้หาซื้อได้ง่าย และใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพราะราคาไม่สูง หาซื้อได้ง่าย ซึ่งตอนนี้หาซื้อได้ตาม Lazada, Shopee ทั่วไป ราคาอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท
    2. แบบเอาแขนสอดเข้าไปด้านใน แบบนี้มักพบใช้ตามโรงพยาบาล แบบนี้แม่นยำกว่าแบบแรก และสามารถรายงานผลออกเป็นสลิปออกมาได้เลยว่าค่าที่วัดได้เท่าไหร่ นอกจากอ่านค่าหน้าจอ ไม่ต้องมารัดสายเอง ซึ่งบางทีการรัดสายเองอาจจะหลวมไปหรือแน่นไปก็ได้ แบบนี้ราคาสูงกว่า และเคลื่อนย้ายลำบากกว่าแบบแรก ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่กับที่

หน่วยของเครื่องวัดความดันโลหิตที่เราพบ คือ mmHg (มิลลิเมตรปรอท)

การใช้งาน BLOOD PRESSURE MONITOR 

  1. เอาแขนสอดเข้าไปในเครื่อง หรือ เอาสายรัดมาพันที่ต้นแขน
  2. กดปุ่มเริ่ม
  3. เครื่องจะทำการรัดที่ต้นแขนเราและคลาย และรัดใหม่อีกรอบ
  4. แสดงค่าความดันโลหิตที่หน้าจอ

ทาง CLC (Calibration Laboratory) สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ดังกล่าวได้ โดยทาง CLC ยังสามารถสอบเทียบเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆได้อีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ตู้อบเด็กทารก, เครื่องช่วยหายใจ, เครื่องดูดของเหลว เป็นต้น โดยทาง CLC ได้มีบริการไปสอบเทียบถึงที่ ณ โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชน

ข้อควรระวังในการใช้งาน เครื่องมือวัด

  1. ควรปิดเครื่องทุกครั้งหลังการใช้งาน
  2. เครื่องวัดความดันโลหิตแบบที่เป็นสายรัดควรหมุนเก็บให้เหมาะสม ไม่ยัดใส่กล่องจนทำให้สายรัดยับหรือทับซ้อนมาก
  3. ควรวางไม่ให้โดนแสงแดดมากเกินไป
  4. หมั่นทำความสะอาดทุกครั้งหลังการใช้งาน

ผู้เขียน JubJub VIP

 

 

 

บริการ สอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

มาอ่านผลสอบเทียบ OVEN กัน วิธีอ่านที่ถูกเค้าอ่านกันยังไง

การตีความใบรายงานผลการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Temperature Enclosures (Oven)

การนำข้อมูลผลการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Temperature Enclosures (Oven) ไปใช้งานจะมีวิธีการอย่างไร รายละเอียดในตารางผลการสอบเทียบมีความหมายอย่างไร และเมื่อได้รับรายงานผลการ สอบเทียบเครื่องมือ จะมี วิธีอ่านผลการสอบเทียบ ประเมินความสามารถในการใช้งานของเครื่องมือได้อย่างไร สามารถศึกษาได้จากบทความของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ได้ดังต่อไปนี้

Temperature Enclosures (Oven) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตู้ควบคุมอุณหภูมิ ทางบริษัท CLC (Calibration Laboratory) จะใช้วิธีการสอบเทียบโดยการวางสาย Sensor Thermocouple หรือ สาย Sensor RTD 4 Wire วางตามจุดภายในตู้ทั้งหมด 9 ตำแหน่ง ตามรูปที่ 3

รูปที่ 1 ตัวอย่างตู้ควบคุมอุณหภูมิ

รูปที่ 2 ตัวอย่างสาย Sensor และตัวอ่าน

รูปที่ 3 ภาพจำลองตำแหน่งการวางสาย Sensor ภายในตู้ควบคุมอุณหภูมิ

ตัวอย่าง Certificate Temperature Enclosures (Oven)

ในใบรายงานผลการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ของทางบริษัท CLC จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน มี วิธีอ่านผลการสอบเทียบ ดังนี้

 

  1. DUC Setting (หน้าจอแสดงผลในการกำหนดอุณหภูมิ) เป็นการกำหนดค่าจากอุปกรณ์แสดงผลของเครื่องมือ
  2. DUC Indicating (หน้าจอแสดงผลการวัดอุณหภูมิภายในตู้ของเครื่องมือ) ค่าเฉลี่ยจากการอ่านค่าอุปกรณ์แสดงผล Temperature Enclosures (Oven)
  3. Measured Uniformity (ความสม่ำเสมอของอุณหภูมิ) คือ ผลต่างที่มีค่ามากที่สุดของอุณหภูมิที่ตำแหน่งใดๆ เทียบกับอุณหภูมิที่ตำแหน่งอ้างอิง (Reference Point)  ที่วัดได้ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยนำผลต่างที่มีค่ามากที่สุดของอุณหภูมิ ในแต่ละตำแหน่ง (Probe)  (Probe 1-8) เทียบกับ Probe 9 ในแต่ละอุณหภูมิ นำผลที่แตกต่างกันมากที่สุดมาแสดงผล ( 1.16 °C ) ตัวอย่างการคำนวณค่า Measured Uniformity : ค่าที่มากที่สุดแต่ละ Probe  (1-8) to Probe 9 , ค่าที่น้อยที่สุดแต่ละ Probe  (1-8) to Probe 9 ( ในกรอบสีเขียวลบด้วยกรอบสีฟ้า คำนวณแยกแต่ละครั้งของการวัด แล้วเลือกค่าที่มากที่สุด) จากนั้นจะใช้ค่าที่มากที่สุดในกรอบสีส้มแสดงในใบรายงานผล

  1. Measured Stability (ความเสถียรของอุณหภูมิ) คือผลต่างที่มากที่สุดของอุณหภูมิที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ภายหลังจากเครื่องมือเข้าสู่สภาวะคงที่ การบันทึกอุณหภูมิที่วัดได้เป็นแบบต่อเนื่อง ผลต่างที่มากที่สุดของอุณหภูมิ ได้มาโดยนำค่าที่มากที่สุดลบกับค่าน้อยที่สุดของแต่ละตำแหน่ง (Probe) (Probe 1-9) มาแสดงผล ( 0.03 °C ) ตัวอย่างการคำนวณค่า Measured Stability : ค่าที่มากที่สุด ลบ ค่าที่น้อยที่สุด ( ในกรอบสีแดง คำนวณแยกแต่ละ Probe (1-9) ) นำค่า Stability ที่มากที่สุด( กรอบสีชมพู ) หารด้วย 2 จะเป็นค่าที่แสดงในใบรายงานผล

5. Measured Overall Variation (การแปรผันรวม) คือ ผลต่างระหว่างอุณหภูมิที่มากที่สุดเทียบกับอุณหภูมิที่น้อยที่สุดของทุกเซ็นเซอร์ ตำแหน่งใดๆ ตลอดช่วงเวลาของการสอบเทียบในแต่ละอุณหภูมิ (1.37 °C) ตัวอย่างการคำนวณค่า Measured Overall Variation:  ค่าที่มากที่สุดลบค่าที่น้อยที่สุด (ในกรอบสีเหลือง) จะเป็นค่าที่แสดงในใบรายงานผล

หมายเหตุ : Measured Uniformity, Measured Stability และ Measured Overall Variation มีค่าเข้าใกล้ศูนย์ จะบ่งบอกว่าตู้ควบคุมอุณหภูมิมีประสิทธิภาพดี ส่งผลให้ค่าความไม่แน่นอนมีค่าปริมาณต่ำ

 

  1. Measured Temperature (อุณหภูมิที่ถูกวัด) คือ ค่าเฉลี่ยจากการอ่านของเซนเซอร์มาตรฐานที่ตำแหน่งใดๆ แต่ละตำแหน่ง (Probe 1-9)
  2. Uncertainty (ค่าความไม่แน่นอน) คือ ค่าไม่แน่นอนของผลการสอบเทียบ เกิดจากการวัด เครื่องมือวัด ผู้ปฏิบัติการ และสภาวะแวดล้อม
  3. Coverage factor k (ความไม่แน่นอนขยาย) คือ ตัวประกอบครอบคลุม Factor ที่ใช้ในการคำนวณค่าความไม่แน่นอน

หมายเหตุ DUC ( Device Under Calibration ) หมายถึง เครื่องมือที่อยู่ภายใต้การสอบเทียบ Temperature Enclosures (Oven)

 

การนำค่าจากใบรายงานผลการสอบเทียบไปใช้งาน

Ex. สอบเทียบที่ 50 °C เกณฑ์การยอมรับ ± 2 °C

  1. การหาค่า Correction ของเครื่องมือ

  1. นำค่า Correction รวมกับ Uncertainty

จากการหาค่า Correction ของ เครื่องมือวัด จะพบว่าผลการสอบเทียบที่มีความแตกต่างมากที่สุดคือค่า MAX +1.13 °C โดยให้นำมารวมกับค่า Uncertainty (ค่าความไม่แน่นอนของการสอบเทียบ) 0.50 °C  จะมีค่าเท่ากับ 1.63 °C นำไปเทียบกับเกณฑ์การยอมรับ ± 2 °C
จะพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด จึงตัดสินได้ว่าผ่านการประเมิน

หมายเหตุ : ในกรณีที่เครื่องมือของลูกค้าเกินเกณฑ์การยอมรับที่ตั้งไว้ การใช้งานเครื่องมือต้องมีการบวกค่าแก้ หรือค่า Correction เพื่อชดเชยความผิดพลาดของเครื่องมือ

ข้อเสนอแนะ

  1. ควรตรวจสอบ Scope ที่ทางบริษัท CLC ได้รับการรับรองก่อนพิจารณาส่งเครื่องมือสอบเทียบ

ขอบข่าย สมอ. ได้รับการรับรองอยู่ที่  -30 °C to 250 °C  ( TC ),  -30 °C to 150 °C  ( RTD )

ขอบข่าย ANAB ได้รับการรับรองอยู่ที่  -70 °C to 250 °C  ( TC ),  -70 °C to 250 °C  ( RTD )

  1. ค่า CMC ใน scope คือค่าความไม่แน่นอน (Uncertainty) ที่ดีที่สุดที่ทางห้องปฏิบัติการได้รับการรับรอง ไม่ได้หมายถึงผลการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ที่จะแสดงให้ทุกๆครั้ง ในผลการสอบเทียบ ซึ่งผลการสอบเทียบที่ได้อาจมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอาจทำให้ค่า Uncertainty มีค่ามากกว่า CMC ที่แสดงใน Scope

หมายเหตุ :

      MPE (Maximum permissible error) คือ ค่าความผิดพลาดสูงสุดที่ยอมรับได้ของเครื่งมือ

      CMC (Calibration and Measurement Capability) คือ ขีดความสามารถของการสอบเทียบและการวัด

เอกสารอ้างอิง

  1. Guidelines for Calibration and Checks of Temperature Controlled Enclosures G-20-1/02-08 (E) (TLAS)
  2. Thai Laboratory Accreditation Scheme G-20-1/02-08 (E)
  3. Guidelines on the Calibration of Temperature and / or Humidity Controlled Enclosures EURAMET Calibration Guide No. 20 Version 5.0 (09/2017)

 

ผู้เขียน D. Harmony

 

 

 

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

 

 

รีวิวเครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์แบบติดผนังTESTO 608-H2

เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น สัมพัทธ์แบบติดผนัง รุ่น TESTO 608-H2  

วันนี้จะมาแนะนำ เครื่องวัดอุณภูมิและความชื้น อีกรุ่นหนึ่งกันนะคะ ซึ่งก่อนหน้านั้นเราเคยแนะนำรุ่นที่เป็นแบบเดียวกันคือ รุ่น TESTO 608-H1หลายๆ คนคงเคยใช้งานมากันบ้างแล้ว แต่รุ่นที่จะนำเสนอเพิ่มเติมคือ รุ่น TESTO 608-H2 ซึ่งลักษณะของ เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น ตัวนี้ สามารถวัด Dew Point ได้ด้วย มีฟังก์ชั่น Min / Max และฟังก์ชั่นที่เพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างก็คือฟังก์ชั่น Alarm ที่เมื่อกำหนดค่าที่ต้องการไว้ก็จะสามารถแจ้งเตือน Alarm เป็นไฟ LED แสดงเตือนขึ้นมาให้ได้เห็นด้วย และพร้อมกันนี้ยังมาด้วยหน้าจอขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้ง่ายชัดเจน แม้กระทั่งมองจากระยะไกลก็มองเห็นได้ดี ทั้งนี้ยังสามารถติดตั้งได้สะดวกแค่วางตั้งบนพื้นธรรมดาก็ได้หรือจะนำไปแขวนติดผนังก็ทำได้เช่นกัน

คุณลักษณะของ เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น TESTO รุ่น 608-H2

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  • มีช่วงการวัดชื้นสัมพัทธ์ 2 ถึง 98 %RH
  • มีช่วงการวัดอุณหภูมิ -10 ถึง 70 °C
  • มีช่วงการวัด Dew Point -40 ถึง 70 °Ctd
  • สามารถกำหนดค่าการเตือน (Alarm) และมีไฟ LED แสดง
  • ใช้วัดและแสดงผลของอุณหภูมิและความชื้นในสภาวะแวดล้อมที่ตั้งอยู่
  • ตัวเลขแสดงค่าการวัดต่ำสุด และสูงสุด (Min/Max) และวัดค่า Dew Point ได้
  • ระยะเวลาในการวัดหรือเปลี่ยนแปลงค่าสามารถทำได้ภายใน 18 วินาที
  • หน้าจอเป็น LCD แสดงผลใหญ่แบบ 2 บรรทัดแบ่งได้ทั้งเป็นความชื้นและอุณหภูมิแสดงผลได้พร้อมกัน
  • ตัวเครื่องมีคุณภาพคงทน เซนเซอร์วัดความชื้นมีความเสถียรยาวนานใช้งานได้นาน
  • ตัวเครื่องทำมาจากวัสดุ ABS
  • ตัวเครื่องมีความคงทนใช้งานได้ยาวนานใชพลังงานจากแบตเตอรี่ 9 V
  • ตัวเครื่องมีขนาด 120x89x40 mm
  • ตัวเครื่องมีน้ำหนัก 168 g

คุณสมบัติของ เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น TESTO รุ่น 608-H2

  1. ฟังก์ชั่นเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ  testo 608-H2ช่วงวัดอุณหภูมิ-10 ถึง 70 ° C
  • ความแม่นยำ± 0.5 ° C (ที่ +25° C)
  • ความละเอียด 1 ° C
  1. ฟังก์ชั่นเซ็นเซอร์วัดความชื้น  testo 608-H2
  • ช่วงวัดความชื้น+2 ถึง 98 %RH
  • ความแม่นยำ± 2 %RH
  • ความละเอียด1%RH

การดูแลรักษาก็ไม่มีอะไรมากหมั่นตรวจเช็คการทำงานว่ายังอ่านค่าผิดปกติอยู่หรือไม่ มีตัวเลขขาดอ่านไม่เต็มหรือไม่ ถ้าหากตัวเลขอ่านขาดไปก็จะทำให้ค่าที่อ่านได้ผิดเพี้ยนได้ และให้ตรวจเช็คแบตเตอรี่ที่ใช้งานอยู่ยังเต็มอยู่ตลอด ถ้าหากแบตเตอรี่หมดก็ให้ทำการเปลี่ยนแบตใหม่ใส่เข้าไป

** ข้อห้าม ห้ามใช้ Probe ในบรรยากาศที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ (Condensing atmospheres) หรือสถานที่ที่มีความชื้นสูง
ในช่วง : > 80% RH ที่ ≤ 30 °C เป็นเวลา > 12 h หรือ > 60% RH ที่ > 30 °C เป็นเวลา > 12 h

ทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด มีจัด จำหน่ายเครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น TESTO รุ่น 608-H2 ที่มาพร้อมกับใบรับรอง Certificate ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 ท่านใดที่สนใจต้องการใช้งานหรือสอบถามข้อมูลสามารถติดต่อถามมาที่ฝ่ายขายของเราได้เลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้เขียนBEW JJ.

 

 

 

 

 

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

 

 

ป้องกันการเกิดคราบตะกรันต่างๆได้ด้วย Conductivity Meter

Conductivity Meter

สวัสดีครับวันนี้เราจะมาทำความรู้จักเกี่ยวกับ เครื่องมือวัด อีกหนึ่ง ประเภทที่นำไปใช้วัดคุณภาพของของเหลวหรือน้ำ ที่หลายๆท่านคุ้นเคยและอาจจะคุ้นหูหรือผ่านตามาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เสมอ เครื่องมือวัดชนิดนี้คือตัว Conductivity Meter คือ เครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับวัดคุณภาพของน้ำในลักษณะการนำไฟฟ้าของน้ำ หรือ เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Electronic Conductivity หรือ ค่า EC ในน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วในน้ำนั้นมักจะมีเกลือหรือโลหะและสารเคมีต่างๆทีมักจะพบว่าปนเปนเปื้อนอยู่ภายในน้ำ โดยสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำนั้นจะมีลักษณะและสามารถแตกตัวออกเป็นไอออนที่จะมีลักษณะเป็นประจุบวกหรือประจุลบและไอออนอิสระจะแตกตัว จึงทำให้น้ำนั้นจึงมีลักษณะในการนำไฟฟ้าได้นั้นเอง ซึ่งความนำไฟฟ้านี้จะเป็นตัวกำหนดความบริสุทธิ์ของน้ำ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีค่า EC ที่สูงจะบ่งบอกได้ถึงความปนเปื้อนของน้ำหรือของเหลว ถ้า EC เป็น 0 จะบ่งบอกได้ว่าน้ำนั้นมีความบริสุทธิ์มาก
ในส่วนของการใช้งาน Conductivity Meter นั้นก็จะมีใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ในหลายภาคส่วน และพบได้โดยทั่วไปในจุดบำบัดน้ำเสีย หรือตามจุดต่างๆที่เฝ้าสังเกตุการณ์และตรวจสอบสภาพแวดล้อม รวมถึงตามโรงงานอุตสาหกรรมต่างที่อยู่ในจุดที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพน้ำหรือก่อนปล่อยระบายออกสู่ชุมชนเพื่อกันการปนเปื้อนในน้ำหรือของเหลว

โดยหลักการทำงานของเครื่อง Conductivity Meter มีหลักการง่ายๆดังนี้

โดยจะมีโพรบ (Probe) ที่ไว้ใช้งานโดยจุ่มไปที่ของเหลวหรือน้ำที่ต้องการตรวจสอบคุณภาพของของเหลวหรือน้ำ โดยตัวเครื่อง Conductivity Meter จะใช้แรงดันไฟฟ้าส่งผ่านระหว่างขั้วไฟฟ้าภายในโพรบ (Probe) โดยใช้ความต้านทานไฟฟ้าจากของเหลวหรือสารละลายก็จะทำให้แรงดันตก โดยอ่านค่าได้จากตัวเครื่อง และตัวเครื่องก็จะมีการแปลงค่าที่อ่านได้หลากหลายวัด เช่น

  • มิลลิโอห์ม (mΩ )
  • ไมโครโอห์ม (µΩ )
  • มิลลิซีเมนต์ต่อเซนติเมตร (ms/cm)
  • ไมโครซีเมนต์ต่อเซนติเมตร (µs/cm)

โดยค่าที่กล่าวมานี้ทั้งหมดจะแสดงถึงสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ภายในของเหลวทั้งหมด

สาเหตุที่เราต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของน้ำและของเหลว

สาเหตุที่เราต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของน้ำและของเหลวนั้นมีความสำคัญมาก เพราะน้ำหรือของเหลวที่ถูกปล่อยออกไปสู่แหล่งน้ำนั้นชุมชนนั้น เพราะถ้าหากในน้ำมีค่าความนำไฟฟ้าที่มากเกินไปนั้น จะมีผลต่อสภาพแวดล้อมและการขยายพันธ์ของสัตว์น้ำจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หรือถ้ากรณีในภาคอุตสาหกรรมถ้าหากน้ำมีความนำไฟฟ้าสูงมากเกินไปก็จะทำให้เกิดคราบตะกรันต่างๆที่ไปเกาะตามท่อหรือชิ้นอุปกรณ์ต่างๆในภาคอุตสาหกรรมได้ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนมีความคัญอย่างยิ่งสำหรับที่ต้องใช้ เครื่องมือ Conductivity Meter ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบันและหลายภาคส่วน

การออกแบบเครื่องมือ Conductivity Meter ทางผู้ผลิตก็ได้มีการออกแบบมาให้ทางผู้ใช้งานหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานในความแตกต่างของงานแต่ละประเภท ผู้ใช้งานควรเลือกใช้เครื่องมือ Conductivity Meter ให้เหมาะกับงาน โดยต้องคำนึงความแม่นยำในการตรวจสอบและอ่านค่าให้มีความแม่นยำสูงสุด ซึ่งทางผู้ใช้งานควร สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน ถึง 1 ปี ควรมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด โดยสามารถใช้น้ำยามาตรฐาน
EC (Conductivity Standard Solution) ซึ่งเป็นสารละลายที่ใช้สำหรับสอบเทียบเครื่องวัดค่าความนำไฟฟ้า EC Meter

ภาพตัวอย่าง Conductivity Standard Solution ของบริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด

กรณีที่ทางผู้ใช้งานต้องการที่จะสอบเทียบ Conductivity Meter ด้วยตนเองนั้น ทางผู้ใช้งานควรได้รับการอบรมวิธีการสอบเทียบอย่างถูกต้องก่อนที่จะดำเนินการสอบเทียบด้วยตนเองได้ เพราะถ้าหากทางผู้ใช้งานขาดความเข้าใจในเรื่องของวิธีการต่างๆและรายละเอียดต่างๆในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด นั้นก็อาจจะมีความผิดพลาดในการสอบเทียบได้ หรือทางผู้ใช้งานสามารถติดต่อห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 ที่รับบริการสอบเทียบเครื่องมือ Conductivity Meter ได้และได้การรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ทั้งแบบสอบเทียบ ณ ห้องปฏิบัติการ (In Lab) หรือเพื่อความสะดวกของทางผู้ใช้งานเอง ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด มีให้บริการรับสอบเทียบเครื่องมือ Conductivity Meter ได้ตั้งแต่ Range 84, 100, 500, 1410, 1413, 1414, 5000, 12880 µs/cm และ 12.89, 12.86, 80.06, 111.6, 147 ms/cm โดยได้การรับรอง ISO/IEC 17025:2017 และยังมีทั้งบริการรับส่งเครื่องมือฟรี รวมถึงยังมีบริการสอบเทียบถึงหน้าโรงงาน (Onsite) ให้กับผู้ใช้งานด้วย

 

ผู้เขียน THM Melo

 

วิธีการใช้งาน Radius Gauge (เกจวัดรัศมี) และการสอบเทียบเครื่องมือวัด

Radius Gauge (เกจวัดรัศมี)

หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เกจวัดรัศมี เป็น เครื่องมือวัด ที่ใช้วัดความโค้งของชิ้นงาน มี 2 แบบ คือ วัดโค้งด้านนอกกับวัดโค้งด้านใน ซึ่งสามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.01 มิลลิเมตร (mm) 

ทำไมต้องสอบเทียบ Radius Gauge

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน เพราะเป็นกระบวนการที่ช่วยตรวจสอบว่าเครื่องมือวัดยังมีความเที่ยงตรงและแม่นยำอยู่หรือไม่ ตามมาตรฐานในระดับสากล

เมื่อเครื่องมือเกจวัดรัศมีถูกใช้งานไประยะหนึ่ง เครื่องมือวัดอาจมีการเสื่อมสภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการใช้งานและการเก็บรักษา สิ่งที่ตามมาคือ ค่าการวัดของเครื่องมือที่เคยมีความถูกต้อง เที่ยงตรง อาจบอกค่าที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ส่งผลให้เครื่องมือไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือหากนำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้ในกระบวนการผลิตก็ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการออกแบบและกระบวนการผลิต

หน่วยการวัดของเครื่องมือ Radius Gauge แบ่งเป็น

  1. หน่วย Metric
  2. หน่วย Inch

การใช้งานเครื่องมือวัด

การใช้งานเครื่องมือวัดที่ถูกวิธี

ในการใช้งานเกจวัดรัศมีเริ่มต้นจากการเลือกขนาดรัศมีของ Radius Gauge ที่ต้องการ จากนั้นทาบ เครื่องมือวัด ลงบนที่รัศมีที่ต้องวัดบนชิ้นงาน โดยรัศมีของ Radius Gauge และรัศมีของชิ้นงานจะเข้ากันพอดี สามารถสังเกตดูที่จุดที่ทาบกัน จะไม่ปรากฎเป็นช่องว่าหรือไม่มีแสงรอดผ่าน

การใช้งานเครื่องมือที่ผิดวิธี

ไม่ควรใช้แรงในการดันหรือถู เครื่องมือวัด บริเวณชิ้นงานมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้ เครื่องมือวัด และชิ้นงานเสียหายได้

ข้อควรระวังในการใช้งาน Radius Gauge

  1. ก่อนการใช้งาน ควรศึกษาวิธีการใช้งาน Radius Gauge ให้ถูกต้อง
  2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีความผิดปกติใด ๆ เช่น บริเวณรัศมีลักษณะเบี้ยว งอ รอยบิ่น สนิม เป็นต้น
  3. ในการใช้งานแต่ละครั้ง ควรทำความสะอาดด้วยผ้าสะอาดก่อนการใช้งานเสมอ เพราะอาจจะมีคราบน้ำมันหรือเศษผงติดอยู่
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัส เครื่องมือวัด ด้วยมือเปล่า เพราะอาจจะทำให้ Radius Gauge เกิดสนิมขึ้นได้ เนื่องจากวัสดุของเครื่องมือส่วนใหญ่ทำจากเหล็ก

วิธีการที่ CLC สอบเทียบเครื่องมือวัด Radius Gauge

การให้บริการสอบเทียบขนาด Radius Gauge ของ  CLC จะใช้วิธีการเปรียบเทียบค่ากันระหว่างเส้น Profile  Radius Gauge ที่สร้างจากเครื่อง Standard Vision Auto Measuring Instrument กับเส้น Profile Radius ของ Radius Gauge ที่แสดงบนหน้าจอในโปรแกรมของ Standard Vision Auto Measuring Instrument และทำการอ่านค่ารัศมีที่แสดงบนหน้าจอ

ขั้นตอนการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เกจวัดรัศมี

  1. ทำความสะอาด Radius Gauge ที่ต้องการสอบเทียบด้วยแอลกอฮอล์เพื่อขจัดคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกและทิ้งไว้ในอุณหภูมิ 20+1 °C ประมาณ 1ชั่วโมงก่อนทำการสอบเทียบ
  2. ทำการสอบเทียบโดยการนำ Radius Gauge วางลงบนเครื่อง Standard Vision Auto Measuring Instrument และทำการวัดโดยการลากเส้น Radius Gauge ของ Program จากเครื่องมือ Standard ไปทาบบนเส้นรัศมีของ Radius Gauge และอ่านค่ารัศมีที่อ่านได้จากเครื่อง Standard Vision Auto Measuring Instrument 

เครื่องมือ STD ของเรา

Standard Vision Auto Measuring Instrument ของ CLC มีค่าความละเอียดสูงที่สุดเท่ากับ 0.0001 mm มีอัตราการขยายของกล้องเลนส์สูงถึง 544X และมีค่าความคลาดเคลื่อนต่ำส่งผลให้มีความแม่นยำค่อนข้างสูงมีค่า Uncertainty เล็ก สามารถทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมั่นและสามารถใช้ค่าสอบเทียบได้อย่างมั่นใจว่างานมีคุณภาพ และวิธีการสอบเทียบเครื่องมือวัด Radius Gauge จาก Calibration Laboratory ยังได้รับการรับรองมาตรฐานการสอบเทียบ ISO17025:2017 จากสมอ. และ ANAB อีกด้วย

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือ เกจวัดรัศมี ก่อนการใช้งานและหลังการใช้งาน

ก่อนการใช้งาน

  1. ทำความสะอาด เครื่องมือวัด ขนาดที่ต้องการใช้งานเพื่อขจัดคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกออกก่อนนำมาใช้งาน
  2. ตรวจสอบลักษณะทางกายภาพว่ารัศมีเบี้ยว บิด งอ เป็นสนิม หรือมีอะไรผิดปกติหรือไม่

หลังการใช้งาน

  1. ทำความสะอาดแผ่น Radius Gauge หลังการใช้งานให้เรียบร้อย
  2. ชโลมน้ำมันเคลือบเพื่อป้องกันสนิม
  3. เตรียมภาชนะหรือกล่องจัดเก็บเครื่องมือให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการชำรุดเสียหายของตัวเครื่องมือ

ข้อแนะนำเมื่อต้องการส่งเครื่องมือมาสอบเทียบเครื่องมือวัด

เครื่องมือควรเคลือบสารป้องกันสนิมและมีกล่องใส่อย่างเรียบร้อย ถ้าไม่มีกล่องเครื่องมือควรห่อ Bubble มาเพื่อลดแรงกะแทกหรือสิ่งที่จะส่งผลต่อการที่จะทำให้เครื่องมือชำรุด กะแทกตกหล่น ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเครื่องมือและอาจส่งผลให้ค่าสอบเทียบอาจมีความคลาดเคลื่อนได้

ผู้เขียน L2 ULM

 

สอบเทียบเครื่องมือวัด Dimension

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา