คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

รีวิวครบ! ประแจปอนด์ (Digital torque wrench) ละเอียดทุกจุด

Digital Torque Wrench TDT-Series ยี่ห้อ TONE

      หากพูดถึงเครื่องมือวัดประเภทประแจปอนด์ หรือประแจทอร์ค (Torque Wrench) อาจรู้จักกันในเฉพาะบางกลุ่มที่มีการใช้งานเครื่องมือวัดประเภทนี้ หรือเป็นคนที่ทำงานอยู่ในวงการที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นการใช้งานที่ค่อนข้างเฉพาะทาง มีหลายท่านมีคำถามว่า ประแจปอนด์ยี่ห้อไหนดี ในตลาดเองก็มีอยู่หลากหลายยี่ห้อทั้ง ประแจปอนด์ tohnichi ประแจปอนด์ TONE และอีกหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น ทาง Calibration Laboratory (CLC)จะมาพูดถึง เครื่องมือวัด ประแจปอนด์ (Torque Wrench) จากแบรนด์ TONE รุ่น TDT-Series จากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นประแจทอร์คคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น และจำเป็นต้องมีการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้กันนะคะ

Digital Torque Wrench TDT-Series เป็น Digital Torque Wrench  ที่ใช้สำหรับการขันแน่นหรือยึดน็อตกับชิ้นงานเข้าด้วยกัน โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดแรงบิดเป้าหมายได้เองตามต้องการ  Digital Torque Wrench TDT-Series นี้  มีคุณสมบัติที่สามารถใช้งานได้ 2 ทิศทาง คือได้ทั้งการขันเข้าและขันออก (CW, CCW)  มีค่าความแม่นยำ (Accuracy)  ± 3% of Reading, โดย Digital Torque Wrench TDT-Series นี้ส่วนใหญ่แล้วจะใช้งานโดยการขันชิ้นงานเข้าออก หรือใช้สำหรับทวนสอบค่าของชิ้นงานต่างๆ เช่น ใช้ในงานอุตสาหกรรมประเภท  Automotive(ยานยนต์), Construction(ก่อสร้าง), ท่อก๊าซอุตสาหกรรม, ทางรถไฟ, แผงโซล่าเซลล์, Condensing Unit (คอมแอร์) และงานอื่นๆ ที่มีการขันให้แรงบิด เป็นต้น  

รูปหน้างาน Construction (ก่อสร้าง)

สำหรับขั้นตอนการใช้งาน Digital Torque Wrench TDT-Series นี้ ใช้ง่ายไม่ยุ่งยากเลยค่ะ  เนื่องจากมีหน้าจอแสดงผลเป็นแบบ Digital ที่มีตัวเลขบอกชัดเจน ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าแรงบิดเป้าหมายและค่า % Tolerance ที่หน้าจอได้ด้วยตัวเองเลยค่ะ  เมื่อผู้ใช้งานทำการให้แรงบิดไปแล้วจะมีเสียงเตือนและมีไฟแสดงผลที่หน้าจอ 2 สีเกิดขึ้น ได้แก่ ไฟสีเขียวและสีแดง ซึ่งจะแสดงที่หน้าจอแสดงผล  เพื่อบ่งบอกถึง ค่า % Tolerance ว่าค่าที่ได้อยู่ในเกณฑ์การยอมรับของผู้ใช้งาน (MPE) ตั้งไว้หรือไม่ ยกตัวอย่าง การแสดงสีไฟที่หน้าจอค่ะ 

จะแบ่งออกเป็น 3 แบบดังนี้ 

แบบที่ 1 ถ้าขันให้ แรงไม่ถึงค่า Target Torque ที่ตั้งไว้ ไฟสีเขียวจะขึ้นตาม%ของแรงที่ได้ เช่น 

  • 1.1 ที่แรง 80%ไฟเขียวขึ้น 1 ดวง
  • 1.2 ที่แรง 85%ไฟเขียวขึ้น 2 ดวง
  • 1.3 ที่แรง 90%ไฟเขียวขึ้น 3ดวง 
  • 1.4 ที่แรง 95%ไฟเขียวขึ้น 4 ดวง
  • 1.5 ที่แรง 97.5%ไฟเขียวขึ้น 5ดวง (ตามรูปประกอบ1.1)

แบบที่ 2 ถ้าขันประแจปอนด์ให้ แรงพอดีถึงค่า Target Torque ที่ตั้งไว้ ไฟสีแดงและสีเขียวจะขึ้นทั้งหมด

แบบที่ 3 ถ้าขันให้ แรงเกินค่า Target Torque ที่ตั้งไว้ ไฟสีแดงจะขึ้น1ดวง

รูป1.1 สีไฟที่หน้าจอแสดงผล

     Digital Torque Wrench TDT-Series TONE จากประเทศญี่ปุ่นนี้ ยังสามารถบันทึกข้อมูลได้ 250 ค่าที่ตัวเครื่องค่ะ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถกดเพื่อดูค่าที่บันทึกไว้ และสามารถลบค่าที่บันทึกได้  หากต้องการข้อมูลเพื่อส่งหัวหน้างานก็สามารถกดถ่ายโอนข้อมูลจากตัวเครื่องลงคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ ซึ่งไฟล์ที่ได้จะอยู่ในรูปแบบเอกสาร เท่านี้ทางผู้ใช้งานก็มี Report ส่งหัวหน้างานได้ทันเวลาค่ะ และไม่ต้องเสียเวลาในการจดบันทึกใส่กระดาษอีกต่อไป 

รูปแสดงอุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่อง

ข้อควรระวังการใช้งาน เครื่องมือวัด

Digital Torque Wrench TDT-Series นี้คือ เนื่องจากใช้ถ่าน Alkaline เป็นแหล่งให้พลังงาน หากมีการใช้งานไปซักเวลาหนึ่งให้ลองสังเกตสัญลักษณ์ถ่านที่หน้าจอว่าแบตเตอรี่ของประแจนั้นเหลือจำนวนกี่ขีดนะคะ เพราะ Battery อาจจะหมดได้ขณะใช้งาน ในส่วนการให้แรงบิด Digital Torque Wrench TDT-Series นี้ สามารถให้แรงบิดได้อย่างต่อเนื่อง หากผู้ใช้งานให้แรงบิดไปแล้วเมื่อถึงแรงบิดเป้าหมาย มีเสียงและสีไฟแสดงที่หน้าจอครบแล้ว ควรหยุดให้แรงทันทีเพื่อป้องกันชิ้นงานเสียหายเพราะการให้แรง Digital Torque Wrench TDT-Series ที่มากเกินไปอาจทำให้ขันทำลาย เกิดความเสียหายได้ค่ะ 

การดูแลและการบำรุงรักษา

ประแจวัดแรงบิด Digital Torque Wrench TDT-Series คือ ควรเก็บในที่ไม่ชื้นหรือร้อนจนเกินไป ควรเก็บในอุณหภูมิห้อง  มีกล่องหรือตู้เก็บเครื่องมือใส่อย่างดี ระมัดระวังการทำตกหล่น และควรมีการทำคู่มือการใช้งานหรือมีการอบรมการใช้งานอย่างละเอียดก่อนใช้งานค่ะ เพื่อให้ผู้ใช้งานศึกษาทำความรู้ความเข้าใจก่อนใช้งาน เป็นการป้องกันเครื่องมือเสียหาย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสินค้าจะได้  

Certificate มาจากผู้ผลิต ทางผู้ใช้งานควรมีการสอบเทียบเครื่องมือทุกๆ 6 เดือน หรืออย่างน้อย 1 ปีค่ะ หรือส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด กับห้องปฎิบัติการสอบเทียบที่ได้รับรอง ISO/IEC 17025:2017  เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับการใช้งานประแจปอนด์ยี่ห้อคุณภาพ Digital Torque Wrench TDT-Series จาก TONE จากญี่ปุ่นที่กล่าวมาในเบื้องต้นนี้ หากมีสินค้าใหม่ๆที่น่าสนใจจะมาแนะนำกันในครั้งต่อไปนะคะ  ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน  Suphanun BDS

 

 

รีวิว VDO วิธีการใช้ Torque Wrench [ แบรนด์ TONE ] l ใช้สำหรับชิ้นงานทั่วไปและ หัวประแจปากเลื่อน

สอบเทียบเครื่องมือด้าน Torque&Force    สินค้าด้าน Torque&Force

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา 

 

VACUUM OVEN หลักการทำงานและวิธีดูแลรักษา

VACUUM OVEN

ตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ ( Vacuum Oven ) เป็นตู้อบความร้อนที่ทำงานภายใต้ระบบสุญญากาศ ที่ใช้ในการอบตัวอย่างที่มีจุดเดือดต่ำ ควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบ Electronically controlled APT.line. โครงสร้างภายนอกของตู้ทำด้วยโลหะเคลือบสี ภายในทำด้วยสแตนเลส ซึ่งมีความจำเป็นต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ด้านงาน สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น อย่างสม่ำเสมอ

หลักการการทำงาน ของตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ คือการทำให้แห้ง (Dehydration) ที่ภายใต้ภาวะที่ความดันอากาศต่ำกว่าความดันบรรยากาศ (Atmospheric Pressure) หรือที่สุญญากาศตาม Phase Diagram  จะใช้ปั๊มสุญญากาศ (Vacuum Pump) เพื่อสูบอากาศออก ซึ่งการทำแห้งด้วยเครื่องอบสุญญากาศจะช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าการทำแห้งที่ความดันบรรยากาศ ผลต่างความดันระหว่างความดันไอของตัวทำละลายกับสุญญากาศที่ผิวหน้าตัวทำละลาย จะทำให้ตัวทำละลายในวัตถุดิบระเหยเป็นไอออกมา และเนื่องจากอุณหภูมิระเหยจะขึ้นอยู่กับระดับความเป็นสุญญากาศ ดังนั้น จึงเหมาะกับวัตถุดิบที่เสื่อมสภาพง่ายต่อความร้อน จึงใช้การอบแบบนี้ในอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์และอาหาร

โดยทั่วไปอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์จะมีการผลิตเป็นจำนวนไม่มาก จึงมักเดินเครื่องอบแบบ batch และใช้การอบบนถาด ส่วนในอุตสาหกรรมอาหาร ในแง่ของความคุ้มทุนจะต้องผลิตเป็นจำนวนมาก ส่วนมากจึงใช้เครื่องอบต่อเนื่องแบบลำเลียงด้วยสายพาน

เครื่องมือวัด ประเภท เครื่องอบสุญญากาศยังใช้เพื่อการหาความชื้นของผลิตภัณฑ์ที่ไวต่ออุณหภูมิสูง เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง หรืออาหารที่มีน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) เป็นส่วนประกอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการอบที่อุณหภูมิสูง ที่ทำให้ผลการวิเคราะห์ผิดพลาด

กลไกการอบสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะที่มีลักษณะแตกต่างกัน คือ (I) ช่วงอุ่นวัตถุดิบ (II) ช่วงอบด้วยอัตราเร็วคงที่ (III) ช่วงอบด้วยอัตราเร็วลดลงซึ่งแต่ละช่วงจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้

(I) ช่วงอุ่นวัตถุดิบ

ช่วง I เป็นช่วงที่อุณหภูมิของตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากอุณหภูมิตั้งต้น (อุณหภูมิห้อง) จนถึงอุณหภูมิสมดุลที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการอบ เรียกว่า ช่วงอุ่นวัตถุดิบ ในกรณีที่วัตถุดิบได้รับความร้อนด้วยการพาความร้อนโดยลมร้อน อุณหภูมิสมดุลนี้จะมีค่าเท่ากับอุณหภูมิกระเปาะแห้งของลมร้อนนั้น

(II) ช่วงอบด้วยอัตราเร็วคงที่

ในช่วง II วัตถุดิบจะมีอุณหภูมิคงที่ ปริมาณความร้อนทั้งหมดที่ได้รับจะถูกใช้ไปในการระเหยความชื้นเท่านั้น ชั้นของการระเหยจะเกิดที่ผิวหน้าของวัตถุดิบโดยอัตราเร็วในการอบจะมีค่าคงที่ ช่วงนี้เรียกว่า ช่วงอบด้วยอัตราเร็วคงที่ ซึ่งจะดำเนินไปตราบเท่าที่มีความชื้นอิสระให้ระเหยอยู่ที่ผิวหน้าของวัตถุดิบ โดยอัตราความชื้นของวัตถุดิบจะลดลงด้วยอัตราเร็วคงที่

(III) ช่วงอบด้วยอัตราเร็วลดลง

เมื่ออบไปเรื่อยๆ จนปริมาณความชื้นที่ผิวหน้าวัตถุดิบแห้งลง และความชื้นภายในเนื้อวัตถุดิบเริ่มลดลง ความชื้นอิสระภายในตัววัตถุดิบจะซึมขึ้นมาทดแทน ให้ทันกับอัตราเร็วในการระเหยที่ผิวหน้า จึงเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ III ได้แก่ ช่วงอบด้วยอัตราเร็วลดลง ชั้นของการระเหยจะค่อยๆ เลื่อนลงลึกเข้าไปในเนื้อวัตถุดิบ อุณหภูมิของวัตถุดิบจะเริ่มเข้าใกล้อุณหภูมิของลมร้อนจากบริเวณพื้นผิว ในการอบความร้อนจะต้องเข้าไปถึงภายในเนื้อวัตถุดิบ นอกจากนี้ความร้อนส่วนหนึ่งยังต้องใช้ไปในการให้ความร้อนตัววัตถุดิบเองอีกด้วย อัตราเร็วในการอบจึงค่อยๆ ลดลงตามเวลาที่ผ่านไป

การแบ่งประเภทของตู้อบ

จะแบ่งประเภทตู้อบเอาไว้ตามวิธีการรับความร้อนและสภาพของวัตถุดิบภายในตู้อบ ในจำนวนตู้อบประเภทต่างๆ จะมีสมบัติที่สำคัญดังต่อไปนี้

ข้อดีของการทำแห้งด้วยระบบในสุญญากาศ

  1. วัตถุดิบมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโภชนาการ กลิ่นรสและรูปร่างต่างๆ น้อย (คงสภาพเดิมได้ดี)
  2. วัตถุดิบมีออกซิเจนตกค้างน้อยเพราะใช้สุญญากาศทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่มีปัญหาเรื่องการเหม็นหืนหรือเป็นสนิม
  3. ผลิตภัณฑ์สามารถเก็บได้นานในภาชนะบรรจุที่เป็นสุญญากาศ
  4. ผลิตภัณฑ์มีน้ำหนักเบา สีสดใส

เทคนิคการดูแลรักษา เครื่องมือวัด ประเภท ตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ

เพื่อยืดอายุการใช้งานของ ตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ สามารถดูแลรักษาได้ดังนี้

  • ก่อนทำความสะอาดจะต้องปิดสวิทต์ก่อนทุกครั้ง แล้วรอให้อุณหภูมิภายในเย็นลง
  • อาจเปิดสวิชต์ไฟในช่องตู้อบเพื่อให้แสงสว่างและที่สำคัญ ไม่ควรทำความสะอาดด้วยการฉีดน้ำเข้าไปโดยตรง เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจร
  •  ทำความสะอาดช่องภายในตู้อบ โดยเช็ดด้วยผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดเฉพาะส่วนที่เป็นสแตนเลสเท่านั้น หลังจากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้งแล้วเช็ดให้เเห้ง ไม่ควรใช้แปรงขัดหรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์เป็นกรด เนื่องจากอาจทำให้ภายในตู้อบเสียหายได้
  •  การทำความสะอาดสแตนเลส ควรเช็ดทำความสะอาดตามแนวนอน ถูไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ควรเช็ดในลักษณะเป็นวงๆ หรือเช็ดขึ้นๆลง
  • ควรนำตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศเข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่า ตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศของเราจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

 

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO., LTD หรือ CLC) มีห้องปฏิบัติการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ประเภท ตู้อบความร้อนแบบสุญญากาศ ได้ตั้งแต่ Range 50 – 250 ºC โดยใช้วิธีการบันทึกอุณหภูมิด้วย Precision Wireless Data Logger ในการสอบเทียบนั้นบริษัทจะวาง Wireless Data Logger ทั้งหมด 5 ตัว ที่ตำแหน่งต่างๆ 5 ตำแหน่ง (มุม 4 กึ่งกลาง 1) ซึ่งห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) ได้รับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI) และจาก ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา  ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดทั้งภายในและภายนอกสถานที่ภายใต้การควบคุมดูแลของทีมสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านในแต่ละสาขาการสอบเทียบมีคุณภาพ

 

ผู้เขียน Keaw VIP

 

 

 

Oven คืออะไร?? แล้วทำไมเราจึงต้องสอบเทียบ

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

 

การใช้งานตู้แช่แข็งที่ถูกวิธี

Freezer (ตู้แช่แข็ง)

Freezer หรือ ตู้แช่แข็ง คือ ตู้ที่ให้ความเย็นหรืออุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส เพื่อเก็บรักษาวัตถุ อาหาร หรือสิ่งที่ต้องการจะแช่นั้น ให้แข็งในจุดที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง โดยอุณหภูมิที่ให้นั้นแตกต่างกันออกไปตามลักษณะสิ่งของที่ต้องการจะแช่แข็ง ซึ่งควรต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำเพื่อให้ตู้แช่แข็งคงอุณหภูมิที่ตั้งค่าไว้ไม่ผิดพลาด

หากถามว่าทำไมต้องแช่แข็งสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารสด พลาสม่าของเลือด วัคซีน ทั้งนี้ก็เพื่อคงรักษาความสดนั้นไว้ในลักษณะของการแช่แข็ง และนำมาละลายการแช่แข็งก่อนการใช้งาน ด้วยวิธีตามสิ่งของที่แช่ไป นึกภาพตามง่ายๆคือเวลาที่เราอาหารแช่แข็งไปเก็บไว้ในช่องฟรีซ ก็เพื่อให้มันเก็บรักษาไว้อยู่ได้หลายวัน พอเราจะเอามากิน เราก็เอาไปใส่ไมโครเวฟ เพื่อทำการละลายความแข็ง และนำมากินได้ ซึ่งการแช่ช่องฟรีซหรือการแช่แข็งนี้จะทำให้อายุของอาหารเหล่านั้นมีมากกว่าชั้นตู้เย็นปกติ

ตู้แช่แข็งที่พบเห็นทั่วไป อาจแบ่งได้ 2 ลักษณะตามฝาเปิดคือ

  1. ตู้แช่แข็งแบบฝาเปิดด้านบน
  2. ตู้แช่แข็งแบบฝาเปิดด้านหน้า

แต่ตู้แช่แข็งทั้ง 2 แบบสามารถให้อุณหภูมิที่เย็นจนทำให้ผลิตภัณฑ์กลายน้ำแข็งเหมือนกัน ส่วนการใช้งานก็เลือกตั้งค่าอุณหภูมิตามการใช้งานกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ

การใช้งานที่ถูกวิธี

  1. เลือกตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะแช่แข็ง
  2. ไม่ควรเปิด ตู้แช่แข็ง บ่อย นอกจากจะหยิบผลิตภัณฑ์เหล่านั้นออกมาใช้งาน ให้เปิดแบบเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เพราะถ้าเปิดบ่อย อุณหภูมิภายนอกจะเข้าไปแทนที่ และจะทำให้อุณหภูมิไม่ได้ตามที่หน้าจอกำหนด อาจเกิดความเสียหายกับผลิตภัณฑ์นั้นๆได้
  3. เมื่อถึงเวลา Maintenance หรือรอบการทำความสะอาด ต้องเอาผลิตภัณฑ์ออกมาให้หมด และห้ามใช้ของมีคมทำความสะอาด และเช็ดให้แห้งทุกครั้ง ซึ่งตู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมเราจะไม่ค่อยได้ทำความสะอาดบ่อยนัก เพราะติดใช้งานตลอดเวลา
  4. ควรใส่ Load หรือ ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความจุของตู้ เพื่อตู้จะได้ทำอุณหภูมิได้ทั่วถึงและตรงตามที่หน้าจอแสดง เพราะ Load ที่ใส่ มีผลต่ออุณหภูมิ
  5. หมั่นดูแลสายไฟ แผงวงจร ปลั๊กไฟ อย่างสม่ำเสมอ และควรเข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้ตู้ที่เราแช่ผลิตภัณฑ์ของเรานั้น มีอุณหภูมิที่ถูกต้องตรงตามที่แสดง หากอุณหภูมิผิดเพี้ยนไปอาจทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรานั้นอาจเสียหายได้

ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) ห้องปฏิบัติการของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี
(Calibration Laboratory CO., LTD หรือ CLC) สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดประเภท Freezer หรือ ตู้แช่แข็งได้ และได้รับการรับรอง
ISO/IEC 17025:2017 ทั้งของในประเทศอย่าง TISI และของต่างประเทศอย่าง ANAB (สหรัฐอเมริกา)

โดยอุณหภูมิที่ทาง ห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) สอบเทียบและได้รับการรับรองนั้นอยู่ที่ (-70) จนถึง 0 องศาเซลเซียส STD ที่เราใช้นั้น เราใช้ Sensor เป็น RTD ซึ่งมีความแม่นยำสูงมาก และให้ค่า Uncertainty ที่ค่อนข้างต่ำ โดยการ Wire สาย Sensor 9 ตำแหน่งดังภาพด้านล่าง (กรณีที่ขนาดตู้มีความจุไม่เกิน 1 ลูกบาศก์เมตร)

นอกจาก ตู้แช่แข็ง แล้วนั้น ทางห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) ก็สามารถให้บริการสอบเทียบ ห้องแช่แข็ง ได้ เราจะ Wire สาย Sensor ให้ครอบคลุมที่จุดการใช้งานและทั่วทั้งห้อง เพื่อให้ได้ค่าที่เที่ยงตรงทุกจุด ซึ่งส่วนใหญ่ตู้แช่แข็งที่ทาง ห้องปฏิบัติการแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) ไปสอบเทียบนั้นจะครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม อาทิเช่น ห้องเก็บพลาสม่าของเลือดในโรงพยาบาล ห้องแช่เย็นของอุตสาหกรรมอาหารที่เก็บของสด และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

 

ผู้เขียน จุ๊บจิ๊บ วีไอพี

 

 

 

 

 

Oven คืออะไร?? แล้วทำไมเราจึงต้องสอบเทียบ

บริการสอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

การใช้งานและการสอบเทียบ THERMO-HYGROMETER ต้องทำอย่างไร

การใช้งานและการสอบเทียบ THERMO-HYGROMETER ต้องทำอย่างไร

ประเภทของ THERMO-HYGROMETER

THERMO-HYGROMETER เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.Analog Thermo-Hygrometer

Analog Thermo-Hygrometer

2. Digital Thermo-Hygrometer

 

Digital Thermo-Hygrometer การสอบเทียบเครื่องมือ Calibration Lab_02
Digital Thermo-Hygrometer การสอบเทียบเครื่องมือ Calibration Lab_01

 

 

 

 

 

 

 

 

 

THERMO-HYGROMETER มีหน่วยการวัดอะไรบ้าง ???

ในเครื่องมือ THERMO-HYGROMETER จะมีหน่วยการวัดดังนี้

  • ค่าอุณหภูมิ แสดงผลเป็น องศาเซลเซียส (°C)

Calibration Laboratory สามารถสอบเทียบได้ที่ 15-45 องศาเซลเซียส (°C)

  • ค่าความชื้นสัมพัทธ์ แสดงผลเป็น %RH

Calibration Laboratory สามารถสอบเทียบได้ที่ 30-90 %RH

 

Digital Thermo-Hygrometer

 

การสอบเทียบเครื่องมือวัดประเภท THERMO-HYGROMETER

วิธีสอบเทียบครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น (THERMO-HYGROMETER) เป็นการเปรียบเทียบค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ ภายใต้สภาวะอุณหภูมิและความชื้นคงที่ภายในตู้มาตรฐานซึ่งวิธีการที่ใช้สอบเทียบ จะสามารถสอบเทียบด้วยวิธี Comparison with temperature & humidity chamber and thermo-hygrometer ทำได้จากการนำเครื่องมือวางไว้ในตู้กำเนิดอุณหภูมิและความชื้น(CHAMBER) โดยจะ Set up ค่า STD ตามจุดสอบเทียบที่ลูกค้าต้องการวัด รอจนอุณหภูมิและความชื้นคงที่  แล้วบันทึกค่าที่อ่านได้จาก

  • ตัวเครื่องมือที่ถูกสอบเทียบ (UUC)
  • ตัวเครื่องมือที่มีความละเอียดมากกว่า (STD)

จากนั้นนำมาอ่านเปรียบเทียบผลการวัด

เครื่องมือ STANDARD ที่ใช้สอบเทียบเครื่องมือวัด DIGITAL THERMO-HYGROMETER

เครื่องมือ STD ที่ใช้ในการสอบเทียบมี 2 ประเภท ได้แก่

1. CHILLED MIRROR HYGROMETER

2. TEMPERATURE & HUMIDITY CHAMBER

เครื่องมือ Standard ที่ใช้สร้างอุณหภูมิและความชื้น สอบเทียบเครื่องมือวัด
เครื่องมือ Standard ที่ใช้อ่านค่าความชื้น สอบเทียบเครื่องมือวัด

ขีดความสามารถในการสอบเทียบที่ Calibration Laboratory ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 : 2017

*ISO/IEC 17025:2017 ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) สามารถสอบเทียบ

Temperature      ได้ Range  15 ถึง 45 °C

ค่า Uncertainty  0.40 °C

Humidity  @20 ,25 45 °C   ได้ Range  30  ถึง  50 %RH

ค่า Uncertainty  1.2 %RH        ได้ Range  >50    ถึง 90 %RH

ค่า Uncertainty  1.4  %RH

***ISO/IEC 17025:2017 ที่ได้รับการรับรองจาก ANSI National Accreditation Board สามารถสอบเทียบ

Temperature ได้ Range  15  ถึง 45 °C

ค่า Uncertainty 0.26 °C

Humidity  @20 ,25 45 °C   ได้ Range  30 ถึง 50 %RH

ค่า Uncertainty  0.6%RHได้ Range  >50  ถึง 90 %RH

ค่า Uncertainty  0.6  %RH

การใช้งานเครื่องมือวัด DIGITAL THERMO-HYGROMETER ที่ถูกต้อง

1.แขวนเครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นติดที่ผนังหรือวางบนโต๊ะที่อยู่บริเวณกลางห้อง เพื่อให้เครื่องมือสามารถตรวจอุณหภูมิและความชื้นที่ถูกต้อง หากติดไว้บริเวณประตูอุณหภูมิจะมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เนื่องจากประตูมีการเปิด-ปิดตลอดเวลา ทำให้ค่าที่เครื่องมืออ่านได้มีความผิดพลาดจากค่าที่ไม่คงที่
2. ควรวางไว้ในบริเวณที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรือในระดับสายตา

 

วิธีการดูแลรักษา เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น (THERMO-HYGROMETER) ก่อนและหลังใช้งาน

  • ควรหมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  • ควรถอดแบตเตอรี่ทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
  • ไม่ควรวางไว้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิร้อนจัดหรือทิ้งไว้กลางแดดเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้หน้าจอเสียหาย
  • ไม่ควรวางไว้ใกล้กับวัตถุไวไฟ
  • ไม่ควรวางในบริเวณที่มีน้ำ
  • ระวังอย่าให้เครื่องมือตกกระแทก เนื่องจากจะส่งผลให้ Sensor ที่ใช้วัดค่าเกิดความชำรุดเสียหาย
  • กรณีที่ลูกค้าใช้ Sensor Out (External)ในการวัดค่า ควรทำความสะอาดหัว Sensor เป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นจับหัว Sensor ซึ่งจะส่งผลให้เครื่องมืออ่านค่าผิดพลาด
  • สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำเพื่อป้องกันการผิดพลาดของค่าที่วัดผลได้

ข้อแนะนำในการส่งเครื่องมือมา สอบเทียบเครื่องมือวัด เทอร์โม ไฮโกรมิเตอร์ (THERMO-HYGROMETER) กับ Calibration Laboratory

  • ควรนำเครื่องมือวัดใส่กล่องหรือห่อหุ้มเครื่องมือด้วยวัสดุกันกระแทก หากท่านต้องการส่งเครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นสอบเทียบจำนวนมากๆ
  • ไม่ควรวางเครื่องมือซ้อนทับกัน และควรมีแผ่นกันกระแทกวางกั้นระหว่างตัวเครื่อง
  • จัดเตรียมหัว Sensor ที่ต่อออกมาจากเครื่อง สำหรับที่ใช้วัดค่า  External
  • ควรถอดแบตเตอรี่ออกก่อนส่งสอบเทียบเครื่องมือวัด
  • ควรตรวจสอบตัวเลข Digital ที่แสดงบนหน้าจอว่าแสดงผลครบหรือไม่ เนื่องจากหากมีการแสดงผลตัวเลข Digital ไม่ครบอาจทำการส่งสอบเทียบไม่ได้ เพราะไม่สามารถอ่านค่าตัวเลขที่ชัดเจนได้
  • ตรวจสอบหน้าจอแสดงผลว่าไม่มีการแตก หัก หรือมีรอยร้าว
  • ไม่ควรวางตัวเครื่องในบริเวณที่มีน้ำ

ซึ่งทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี มีเครื่องมือ DIGITAL THERMO-HYGROMETER จำหน่ายพร้อม สอบเทียบจากห้องปฏิบัติการ สอบเทียบอุณหภูมิ และความชื้น โดย Confirm ค่าตาม Spec เครื่องมือ ก่อนส่งมอบให้กับลูกค้า

 

 

 

ลูกคิด และ JIB VIP

 

 

ความรู้เพิ่มเติม และที่มาของอุณหภูมิที่ ตัววัดอุณหภูมิและความชื้น Thermo-Hygrometer

Oven คืออะไร?? แล้วทำไมเราจึงต้องสอบเทียบ

บริการสอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา 

Power Meter คืออะไร สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้งาน Power Meter

Power Meter (พาวเวอร์มิเตอร์) หรือที่เรียกว่า “เครื่องวัดกำลังไฟฟ้า” คือ เครื่องมือที่ใช้วัดและแสดงค่าพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า สามารถใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้า(V) กระแสไฟฟ้า (I) กําลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ (Reactive Power) กำลังไฟฟ้าจริง และ Harmonic และสามารถแสดงค่าเป็นพารามิเตอร์และปริมาณพลังงานไฟฟ้า เครื่องมือนี้มีความสำคัญมากในโรงงานอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่จะนำตัว Power Meter ไปใช้วัดค่าไฟฟ้าในขบวนการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดและยังสามารถช่วยจัดการด้านพลังงานไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อได้ข้อมูลสำหรับใช้ควบคุมหรือนำไปปรังปรุงการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด ช่วยประหยัดไฟ ลดต้นทุน และดูแลระบบให้ปลอดภัย ที่สำคัญคือเครื่องมือนี้จำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอเพื่อความเที่ยงตรงของการวัด  เพราะช่วยให้รู้ว่ามีการใช้พลังงานเท่าไร อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ดีขึ้นอย่างเห็นผลได้จริง  

Power Meter เปรียบเสมือน การรวมเครื่องมือวัด Multimeter กับ Clamp Meter เข้าด้วยกันจึงสามารถวัดได้ทั้ง แรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (I), ความต้านทาน (Ω) และฟังชั่นอื่นๆ ของเครื่องมือทั้ง 2 ประเภทนี้อีกด้วย

Power meter จะใช้วิเคราะห์กำลังไฟฟ้าหลักๆ 3 ประเภทดังนี้

  1. Active Power (P) คือกำลังไฟฟ้าที่ใช้จริง ซึ่งเกิดการโหลดจากการต้านทาน จะมีหน่วยวัดเป็นวัตต์(W) หรือกิโลวัตต์(kW) ซึ่งจะมีวิธีคำนวณได้จากสมการ P= V x 1 x Cos(zeta)
  2. Reactive Power (Q) คือ กำลังไฟฟ้าที่ศูนย์เสียไปหลังจากการเกิดการโหลดตัวเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุซึ่งมีหน่วยเป็นวาร์(VAR) หรือ กิโลวาร์(kVAR) ซึ่งจะคำนวณได้จากสมการ  Q=V x Ax Sin (zeta)
  3. Apparent Power (A) คือกำลังไฟฟ้าที่ปรากฏ(Input) หรือผลรวมทางเวกเตอร์ของไฟฟ้าจริง และกำลังไฟฟ้าที่ศูนย์เสีย จะมีหน่วยเป็นโวลต์ แอมแปร์ (VA) หรือกิโลโวลต์ แอมแปร์ (kVA) ซึ่งจะคำนวณได้ตามสมการ Q= Vx A x Sin(zeta)

สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้งานพาวเวอร์มิเตอร์

  1. เราควรทราบข้อมูลด้านเทคนิค และศึกษารายละเอียด เพื่อที่จะได้เห็นข้อจำกัดของใช้งาน เช่น Input , Output ช่วงที่ต้องการวัดค่าพารามิเตอร์ต่างๆ รวมถึงอุณหภูมิ และความชื้น เป็นต้น
  2. วิธีการติดตั้งอุปกรณ์ ควรศึกษาคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดก่อนติดตั้ง ว่ามีอุปกรณ์เสริม หรือมีการต่อสายอย่างไร เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหาหลังจากการติดตั้ง
  3. ความหมายของสัญลักษณ์ต่างๆบนหน้าจอ และวิธีการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ เพื่อการใช้งานได้ตรงตามความต้องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  4. เพื่อความถูกต้องและแม่นยำในการใช้วัดค่าต่างๆ ควรตรวจสอบเครื่องมือวัดก่อนการใช้งาน และควรนำเครื่องมือวัด เข้ารับการแคลิเบรท (Calibrate) หรือ การสอบเทียบเครื่องมือวัดซ้ำอีกครั้ง กับห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน อย่างน้อยไม่ควรเกิน 1,000 ชม

การสอบเทียบและการรับรองความสามารถของห้องปฏิบัติการ

เพื่อให้ค่าที่วัดได้จากเครื่องวัดกำลังไฟฟ้าน่าเชื่อถือและตรวจสอบย้อนกลับได้ ควรส่งสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025 โดยตรวจดูว่าใน Scope of Accreditation ของห้องปฏิบัติการครอบคลุมพารามิเตอร์และช่วงวัดที่เราต้องใช้จริง (แรงดัน/กระแส/กำลัง/เพาเวอร์แฟกเตอร์/ฮาร์มอนิก) และแสดง CMC (Calibration & Measurement Capability) ชัดเจน การสอบเทียบสามารถทำแบบจำลองกำลังโดยใช้ Multifunction Calibrator ที่จ่ายแรงดันและกระแพร่พร้อมควบคุมมุมเฟส เพื่อทวนสอบค่าที่พาวเวอร์มิเตอร์ในแนวทางนี้เป็นแนวปฏิบัติที่ผู้ผลิตอุปกรณ์สอบเทียบแนะนำอย่างเป็นทางการ

หากทางลูกค้าต้องการสอบเทียบเครื่องมืดวัด Power Meter (พาวเวอร์มิเตอร์) แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) มีบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ชนิดนี้ โดยใช้วิธีการสอบเทียบ Direct Measurement with Multifunction Calibrator และยังได้การรับรอง ISO/IEC 17025 จากสถาบัน สมอ. (TISI) อยู่ใน Scopeหน้าที่ 70,71และจากสถาบัน ANAB อยู่ใน Scope หน้าที่ 10,11 (ดูใบรับรอง)

การดูแลรักษาและการใช้งานอย่างถูกวิธี

การใช้เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าอย่างถูกต้องจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้มาก การติดตั้งควรติดในจุดที่ไม่มีความชื้นหรือความร้อนสูงเกินไป หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการสั่นสะเทือนมาก ก่อนต่อสายควรตรวจสอบว่าปิดเบรกเกอร์แล้วทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

หลังจากใช้งาน เครื่องมือวัด เสร็จควรถอดสายและทำความสะอาดเครื่องด้วยผ้าแห้ง ไม่ควรใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และควรส่งเครื่องเข้ารับการสอบเทียบตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ปีละ 1 ครั้ง หรือเร็วกว่านั้นหากใช้งานบ่อยหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพไฟฟ้าไม่คงที่

สรุป

Power Meter เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดและวิเคราะห์พลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ช่วยให้เข้าใจรูปแบบการใช้ไฟฟ้า ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักร และควบคุมการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากใช้อย่างถูกวิธี ดูแลรักษาสม่ำเสมอ และส่งสอบเทียบตามระยะ จะทำให้เครื่องมีความแม่นยำต่อเนื่องและช่วยให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัดที่สุด

Ref.

Fluke

IEEE Std.

 

ผู้เขียน THM Melo

 

 

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

MASS FLOW METER คืออะไร

MASS FLOW METER หรือ เครื่องมือวัดอัตราการไหลของมวลสาร เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือวัดที่บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดอีกเช่นกัน เรามาทำความรู้จัก  MASS FLOW METER หรือ เครื่องมือวัดการไหล กันดีกว่าค่ะ

 

MASS FLOW METER เป็นเครื่องมือในกลุ่ม FLOW METER จะมีชื่อเรียก และ มีคุณสมบัติใช้งานต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานต้องการนำ FLOW METER ไปวัดค่าปริมาตร ปริมาณ หรืออัตราการไหลของ ของเหลว อากาศ หรือแก๊ส FLOW METER จึงถูกแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ มากมาย

 

เครื่องมือวัดอัตราการไหลของมวล หรือที่เรียกว่า เครื่องวัดการไหลเฉื่อย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดอัตราการไหลของของเหลวที่ไหลผ่านท่อ อัตราการไหลของมวลคือมวลของของเหลวเคลื่อนที่ผ่านจุดคงที่ต่อหนึ่งหน่วยเวลา การวัดอัตราการไหลของมวล (MASS FLOW) ของ เครื่องมือวัดอัตราการไหลของมวล ไม่ได้วัดปริมาตรต่อหน่วยเวลา (เช่น ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ที่ไหลผ่านอุปกรณ์ แต่วัดเป็นมวลต่อหน่วยเวลา จึงมีหน่วยในการวัดคือ กิโลกรัมต่อวินาที (kg/s) ซึ่งแตกต่างจากการวัดอัตราการไหลของปริมาตร (VOLUMETRIC FLOW) เพราะการวัดอัตราการไหลของมวล (MASS FLOW) ตัวแปร เช่น ความหนืด ความหนาแน่น ความดัน และอุณหภูมิ ที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการวัดแบบนี้ ทำให้ค่าที่ได้มีความถูกต้องและแม่นยำมากกว่า ในขณะที่การวัดอัตราการไหลของปริมาตร (VOLUMETRIC FLOW) มีตัวแปรเหล่านั้นกลับส่งผลกระทบมากกว่า จึงเกิดความผิดพลาดของค่าได้ง่ายกว่า ซึ่งในกระบวนการผลิตมักจะอ้างอิงผลของการวัดอัตราการไหลของมวล (MASS FLOW) มากกว่าอ้างอิงผลของการวัดอัตราการไหลของปริมาตร (VOLUMETRIC FLOW) ทำให้ เครื่องมือวัดอัตราการไหลของมวล เป็นที่นิยมนำไปใช้เป็นเครื่องมือวัดในกลุ่มอุตสาหกรรม

 

ซึ่งบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดประเภท FLOW METER ด้วยทีมงานวิศวกรงานสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี สอบเทียบเครื่องมือวัดได้ตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 ที่ได้รับการรับรองทั้งจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (TISI) และ ANSI National Accreditation Board (ANAB) จากประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ได้ทั้งในห้องปฏิบัติการ (In-house flow meter calibration service) และแบบนอกสถานที่ (On-site flow meter calibration service) ที่พร้อมให้บริการด้วย Calibration System by Mobile Calibration Service วิธีการสอบเทียบเครื่องมือวัดวิธีนี้จะมีความเที่ยงตรงและแม่นยำสูงที่สุด

 

รูป Standard Mass Flowmeter , Nagman  Model NAGMASS xx ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรีจำกัด

 

รถ Mobileของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรีจำกัด

โดยรถรถ Mobileให้บริการ Calibration System by Mobile Calibration Service สามารถเดินทางไปสอบเทียบเครื่องมือวัดได้ถึงบริษัทของท่าน หากลูกค้าท่านใดสนใจใช้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด ด้วย Calibration System by Mobile Calibration Service ของบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (หรือ CLC)

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเพื่อประเมินหน้างานได้ผ่านช่องทางการติดต่อทุกช่องทาง

 

ผู้เขียน LLก้m Yui

 

 


การสอบเทียบ Flow นอกสถานที่? การทำงานพร้อมการสอบเทียบ

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบ Flow

 

 

 

Hand Lift คืออะไร ทำไมเราถึงต้องสอบเทียบ

Hand Lift

คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับยกสิ่งของที่วางซ้อนกันที่มีปริมาณละน้ำหนักมากบนแผ่นพาเลทซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า รถลากพาเลท (Hand Lift) – Hand Pallet Truck อุปกรณ์เหล่านี้พบเจอส่วนใหญ่ในห้างสรรพสินค้า โกดังสินค้า สโตร์ โรงงาน และที่อื่นๆ ที่ต้องเคลื่อนย้ายของที่มีน้ำหนักมากโดยทั่วไป รถลากพาเลท สามารถรับน้ำหนักได้ประมาณ 2-3 ตันเลยทีเดียว

ที่มา: https://www.google.com/search?q=%E0%B9%89%E0%B9%89hand+lift

 

ทำไมต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด

การใช้งานของ รถลากพาเลท เครื่องมือที่มีการใช้งานอยู่นั้นโดยลักษณะทั่วไปจะส่งผลต่อค่าที่อ่านได้แม่นยำหรือไม่แม่นยำทางผู้ใช้งานจะทราบได้ก็ต่อเมื่ออ่านค่าผิดพลาดไม่ตรง ซึ่งส่งผลโดยตรงเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งานและคนรับผิดชอบเกี่ยวกับงานนั้นๆ เพราะอย่างนั้นแล้วการสอบเทียบเครื่องมือวัดกับห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความมั่นใจและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ที่มา: https://tshandlift.com/article/choosing-right-hand-lift

แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) มีบริการสอบเทียบนอกสถานที่ (Onsite) ประเภท รถลากพาเลท สามารถสอบเทียบได้ 0-4500 กิโลกรัม หรือ 4.5 ตัน โดยใช้ Standard ในการสอบเทียบเป็น Standard Weight Class M1 ขนาด 20 Kg ในการสอบเทียบเครื่องมือวัด โดยการสอบเทียบนั้นทางลูกค้าจะต้องเตรียมแผ่นพาเลทเพื่อใช้สำกรับวาง Standard Weight ให้ครบตามปริมาณของน้ำหนักที่ลูกค้าต้องการสอบเทียบ ซึ่ง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC) มีทีมงานเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือสอบเทียบ (STD) ที่สามารถสอบย้อนกลับได้ถึง SI Unit

                                                          ที่มา 

 

การใช้งานของ เครื่องมือรถลากพาเลท 

โดยการใช้งานรถลากพาเลทที่เป็นแบบระบบ Manual

  1. ทำการปลดก้านคันโยกขยับคันโยกแม่แรงพาเลทได้คล่องตัว
  2. โยกแม่แรงที่จะใช้ในการบังคับง่าม โดยปกติง่ามจะอยู่ต่ำสุดในระดับห่างจากพื้นเพียง 1-2 นิ้ว
  3. ทำการสอดง่ามเข้าใต้พาเลท และปรับระดับให้พอดีกับช่องด้านล่างพาเลท โดยที่ความยาวของง่ามควรเหมาะกับขนาดของพาเลท
  4. เมื่อต้องการยกขึ้น ให้ดันคันโยกลง แล้วออกแรงปั๊มคันโยก
  5. หากต้องการเคลื่อนที่ ให้ปรับคันโยกมาตำแหน่งตรงกลาง ง่ามจะไม่ยกขึ้นหรือลงและเมื่อจะเอาง่ามลง ให้ดันคันโยกขึ้นง่ามจะลดลง

 

การดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือรถลากพาเลท

ก่อนใช้งานของเครื่องมือควรเช็คขีดความสามารถของ เครื่องมือรถลากพาเลท ได้มากสุดเท่าไหร่ เหมาะสมกับน้ำหนักที่จะนำไปยก และไม่ควรยกขึ้นจนสุด เพื่อป้องกันกระบอกยกรับน้ำหนักมากจนเกินไปจนอาจเสียหายได้ เมื่อใช้งานเสร็จ ไม่ควรยกของค้างไว้ และปรับให้อยู่ในระดับปกติก่อนปิดเครื่อง

ข้อแนะนำในการส่งสอบเทียบ รถลากพาเลท กับทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (CLC)

เพื่อความรวดเร็วในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ลูกค้าจะต้องเตรียมพาเลทเพื่อใช้สำกรับวาง Standard Weight ไว้ให้พร้อมก่อนเริ่มทำการสอบเทียบเครื่องมือ

 

ผู้เขียนSiriporn (Apple)

 

 

 

ขอใบเสนอราคา     ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

VDO l สอบเทียบ”เครื่องชั่ง”เอง ทำได้หรือไม่? มีวิธีอย่างไร

VDO l “เครื่องชั่ง” อยากปรับค่าเอง ทำอย่างไร

 

 

 

.

Centrifuge เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน หลักการทำงานเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอนชนิดตั้งโต๊ะ

เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน (Centrifuge) คืออะไร

เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน Centrifuge เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางที่เกิดจาก การหมุนรอบจุดหมุน (center of rotation) ในความเร็วรอบที่สูงมาก เป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับเร่งอัตราการตกตะกอนของสารหรืออนุภาค (particle) ที่ไม่ละลายออกจากของเหลว หรือใช้แยกของเหลวหลาย ๆ ชนิดที่มีความถ่วงจําเพาะ (specific gravity) ต่างกันออกจากกันหรือแยกเป็นชั้น ทำให้สารละลายเข้มข้นขึ้น ฯลฯ โดยอาศัยหลักความแตกต่างของความหนาแน่น ขนาดของสารหรืออนุภาคนั้นๆ เครื่องหมุนเหวี่ยงมักใช้ในกระบวนการเตรียมตัวอย่างและใช้ปั่นแยกสารสำหรับวิเคราะห์ เป็นเครื่องมือที่ต้องการการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอ

หลักการทำงานของเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน

เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเร่งการตกตะกอนของอนุภาคที่ไม่ละลายออกจากของเหลว หรือใช้แยกของเหลวหลายๆ ชนิดที่มีความถ่วงจำเพาะต่างกันออกจากกัน โดยอาศัยแรงหนีศูนย์กลาง (centrifuge force) ที่เกิดจากการหมุนรอบจุดหมุน (center of rotation) เครื่องหมุนเหวี่ยงจะมีแกนหมุนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเข้ามาที่มอเตอร์จะเหนี่ยวนำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้แกนมอเตอร์หมุน ความเร็วรอบในการหมุน (rpm = round per miniutes) ควบคุมด้วยวงจรไฟฟ้า ส่วนเวลาที่ใช้ในการหมุนควบคุมด้วยสวิทซ์ปิด/เปิด หรือนาฬิกา สำหรับการใช้เครื่องหมุนเหวี่ยงนั้นก่อนใช้ควรทำการศึกษาจากคู่มือ และผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อลดความผิดพลาดเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

และเช่นเดียวกันกับเครื่องมือวัดอื่นๆ เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอนควรได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) กับห้องปฏิบัตการที่ได้มาตรฐานอย่าง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory CO.,LTD หรือ CLC) เพื่อตรวจวัดมาตรฐานของรอบหมุนว่าเป็นไปตามที่ระบบเครื่องแสดงผลหรือไม่ สอบเทียบความถูกต้องของส่วนควบคุมเวลา (Timer) และสอบเทียบความถูกต้องของเซ็นเซอร์ตรวจสอบอุณหภูมิ เพื่อให้เครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมที่มักพบการใช้งานเครื่อหมุนเหวี่ยงตกตะกอนบ่อยๆ

1. อุตสาหกรรมการแพทย์

a. กระบวนการวิเคราะห์ทางเคมี แยกชั้นเลือด

b. กระบวนการวิเคราะห์ทางเคมี แยกชั้นไขมัน/เลือด

c. ตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น

2. อุตสาหกรรมยา

a. กระบวนการกลั่นยา

3. อุตสาหกรรมอาหาร

a. แยกน้ำตาลแล็กโทส (lactose) ออกจากโปรตีนเวย์ (whey protein)

b. การแยกผลึกน้ำตาลซูโครส (sucrose) ในกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย

c. แยกน้ำมันและไขมัน (separation, degumming, clarification ของ fat and oil)

4. อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

a. การปรับมาตรฐานน้ำนม (standardization of milk)

b. การทำให้น้ำผลไม้ใส (clarification of fruit juice)

c. การทำให้ไวน์ใส (clarification of wine)

d. การแยกยีสต์ออกจากเบียร์ (removing yeast from beer)

e. การแยกกากออกในกระบวนการสกัดกาแฟและชา

5. หน่วยงานสิ่งแวดล้อมภายในอุตสาหกรรม

a. แยกน้ำมันในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย (waste water treatment)

การดูแลบำรุงรักษาเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน (Centrifuge)

1. การทำความสะอาดเครื่องหมุนเหวี่ยงตกตะกอน รวมถึงเครื่องมือวัดทุกชนิด ต้องทำการดึงสายไฟเครื่องที่เสียบกับปลั๊กออกก่อนที่จะมีการทำความสะอาด และควรสวมถุงมือและชุดป้องกันร่างกายเสมอ

2. ห้ามทำการขัดหรือใช้สารละลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในการทำความสะอาด ไม่ควรพ่นหรือใช้ของเหลวในการทำความสะอาดภายในเครื่องเพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ภายในได้

3. ใช้ผ้าชุบสารละลายฆ่าเชื้อที่ไม่มีฤทธิ์กัดกร่อน บีบผ้าให้แห้งหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดฝาเครื่องและส่วนต่างๆ ของเครื่องจากนั้น ใช้กระดาษหรือผ้าแห้งเช็ดเครื่องให้แห้งอีกที

4. ควรถอด Adapter (ปลอกรองทำจากโลหะ) ออกมาทำความสะอาดด้วยอย่างน้อยเดือนละครั้งหรือทำตาม ระเบียบข้อปฏิบัติของทางห้องปฏิบัติการ โดยทำการจับที่ด้านบนของ Adapter แล้วดึงขึ้นมาตามความเอียงของมุมของหัวปั่น หลังจากทำความสะอาดแล้วต้องตรวจดูให้แน่ใจว่า Adapter นั้นแห้งสนิทก่อนนำ ใส่กลับ เข้าไปในหัวปั่น เพราะน้ำหรือของเหลวจะเข้าไปทำ ให้ตัวเครื่องเสียหายได้

การตรวจสอบเพื่อดูแลรักษา (Centrifuge)

1. หมั่นทำการตรวจเช็คดูสภาพฝาเครื่อง ส่วนประกอบต่างๆ หัวปั่นและ Adapter ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ

2. หมั่นตรวจเช็คความแม่นยำของเครื่องมือด้วยการสอบเทียบตามลักษณะความถี่ในการใช้งาน 3 เดือน/ครั้ง, 6 เดือน/ครั้ง หรือ 1 ปี/ครั้ง ในส่วนของความเร็วรอบการหมุน (rpm = round per miniutes) ซึ่งมีผลโดยตรงกับอัตราการตกตะกอนของอนุภาค อาจส่งผลต่อการวิเคราะห์ผลปฏิบัติการ หรือส่งผลกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์

โดยทาง Calibration Laboratory CO.,LTD (แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี หรือ CLC) ได้เห็นความสำคัญในจุดนี้ จึงเปิดให้บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ทั้งนอกสถานที่และในห้องปฎิบัติการสอบเทียบเครื่องมือวัด Centrifuge ในด้านอัตราความเร็วรอบการหมุน (rpm = round per miniutes) ตั้งแต่ range 100 rpm ไปจนถึง 15,000 rpm เพื่อรองรับการใช้งานทุกอุตสาหกรรม ภายใต้การควบคุมสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ณ จุดสอบเทียบ 15 องศาเซลเซียส ถึง 35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพันธ์ 40% RH ถึง 70% RH อีกทั้งได้รับการรับรอง ACCREDITATION ISO/IEC 17025:2017 range 1000 rmp ถึง 13000 rpm อีกด้วย

 

 

 

ผู้เขียน Paemy Little

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

เปลี่ยนกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นตัวเลขด้วยเครื่องมือวัด แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Clamp Meter แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) เป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าชนิดหนึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดค่ากระแสไฟฟ้า ( I ) (Current Measurement) ที่ไหลในวงจรโดยที่ไม่ต้องดับไฟและไม่ต้องตัดต่อสายไฟ เพื่อวัดค่ากระแส โดย Clamp Meter นี้จะมีส่วนที่คล้ายขากรรไกร เพื่อคล้องกับสายไฟและสามารถอ่านค่าได้ทันที ข้อดีของการใช้งาน Clamp Meter คือสามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตาม Clamp Meter ที่ผ่านการใช้งานมานาน อาจพบปัญหาการบอกค่าที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้งาน ดังนั้นผู้ใช้งานควรนำ Clamp Meter เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือที่เรียกว่า Calibrate (แคลิเบรท) ที่ได้มาตรฐาน ทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี (ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ) เพื่อให้ Clamp Meter อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และสามารถบอกค่าต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

หลักการทำงานของ แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

            Clamp Meter เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้หลักการของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อมีกระแสไหลผ่านตัวนำไฟฟ้า จะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้น โดยที่ภายในขากรรไกรของตัว Clamp Meter จะมีแกนเหล็กวงกลมและขดลวดเพื่อรับสนามแม่เหล็กและเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสและส่งไปที่วงจรเพื่อประมวลผลและแสดงค่าที่หน้าจอต่อไป

แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) มีความสามารถวัดได้ทั้ง ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และกระแสสลับ (AC) โดยในบางครั้งสัญญาณที่วัดอาจมีความถี่ปะปนอยู่ ในการวัดกระแสสลับต้องมีการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นกระแสตรงโดยใช้ สมการ RMS (Root mean square) ซึ่งใน Clamp meter จะมีวงจรเรียงกระแสอยู่ซึ่งจะใช้ได้ 2 วิธี คือ True RMS Method และ Mean Method ซึ่ง Clamp Meter ที่เป็นลักษณะ TRUE RMS จะให้ค่าที่แม่นยำกว่า Mean Method เพราะ TRUE RMS สามารถอ่านค่าได้ทุกย่านแรงดัน แล้วนำค่าเข้าสมการRMS เพื่ออ่านค่าแตกต่างจาก Clamp Meter ที่เป็นประเภท Mean จะวัดได้เพียงแรงดันแบบ Pure Sine เท่านั้น

 

ประเภทการใช้งานของ แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

Clamp Meter ถูกออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะและเงื่อนไขการทำงานที่แตกต่างกัน หากใช้งานเกินขีดจำกัด หรือ แตกต่างจากคุณสมบัติเฉพาะของ Clamp Meter อาจทำให้เกิดอันตรายได้ ซึ่ง แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) สามารถแบ่งลักษณะของการวัดได้ 4 กลุ่มหลัก เรียกว่า CAT (Measurement Category) ดังนี้

  • CAT I: การวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจรที่ผ่านการป้องกันแล้ว เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าพลังงานต่ำ เป็นต้น
  • CAT II: การวัดไฟกับอุปกรณ์ที่ต่อผ่านจุดแยกไฟในอาคาร เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน,เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบใช้สายถอดได้ เป็นต้น
  • CAT III: การวัดไฟฟ้าในอุปกรณ์ที่ติดตั้งโดยการต่อสายไฟโดยตรงกับระบบ เช่น เบรกเกอร์,แผงควบคุมไฟฟ้า เป็นต้น
  • CAT IV: การวัดไฟฟ้าที่จุดแยกไฟเข้าระบบหรืออาคาร เป็นจุดที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันหลัก เช่น ด้านหลังของหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น

และด้วยเงื่อนไขการทำงานและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันทำให้ผู้ใช้งานควรนำ Clamp Meter เข้ารับการสอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) กับห้องปฏิบัติการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐาน ทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี ตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

 

ประเภทของ แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) มีอะไรบ้าง

ประเภทของ Clamp meter มีให้เลือกหลากหลาย โดยหลักแล้วให้ยึดกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยจะมี 6 ประเภทด้วยกัน

  • แคลมป์มิเตอร์แบบเข็ม (Analog AC Clamp Meter)
  • แคลมป์มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital AC Clamp Meter)
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบดิจิตอล (Digital AC/DC Clamp Meter)
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบ RMS (Digital AC/DC Clamp Meter RMS)
  • แคลมป์มิเตอร์วัดค่ากระแสไฟรั่วไหล (Leakage Current Clamp meter)
  • แคลมป์มิเตอร์วัดกำลังไฟฟ้า (AC Power Clamp Meter)

 

 

            ทาง แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี (Calibration Laboratory – CLC) สามารถสอบเทียบเครื่องมือวัดอะไรให้กับลูกค้าได้บ้าง

  1. ฟังก์ชั่น AC Voltage Rang 0-1000 V
  2. ฟังก์ชั่น DC Voltage Rang 0-1000 V
  3. ฟังก์ชั่น AC Current 10A-550A
  4. ฟังก์ชั่น DC Current 10A-550A
  5. ฟังก์ชั่น Resistance 1 Ω -330 MΩ **ได้รับการรับรองจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และได้รับการรับรองจากANSI National Accreditation Board (ANAB) **

***กรณีต้องการให้ Onsite สามารถให้การรับรองจาก ANSI National Accreditation Board(ANAB) ได้***

ต้องการส่ง แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) มาสอบเทียบเครื่องมือวัดกับทางแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ต้องทำอย่างไร

  1. ตรวจเช็คปริมาณของแบตเตอรี่ หรือส่งสายชาร์จมาพร้อมกับเครื่องมือ
  2. ตรวจเช็คปุ่มกดของเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่
  3. ควรห่อเครื่องมือด้วยอุปกรณ์กันกระแทก หรือนำเครื่องมือเก็บในกระเป๋าของเครื่องมือ เพื่อไม่ให้เครื่องมือได้รับความเสียหาย

 

 

 

ผู้เขียน Leader ลูกคิด

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

เครื่องบันทึกอุณหภูมิ (HYBRID RECORDER) เครื่องมือบันทึกข้อมูลและแสดงผลที่ขาดไม่ได้สำหรับเครื่องมือวัดในอุตสาหกรรม

เครื่องมือที่บันทึกข้อมูลอุณหภูมิและค่าทางไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Hybrid Recorder เป็นเครื่องมือที่ทำการบันทึกค่าที่วัดได้จากเครื่องมือวัดลงในเครื่องตามช่วงเวลาที่เรากำหนด ทำให้เราสามารถอ่านข้อมูลหรือค่าทางไฟฟ้าและอุณหภูมิและนำมาประมวลผลได้อย่างสะดวกและง่ายดายขึ้น ซึ่งเครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder) ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายวงการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร, อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ ทำให้เครื่องมือชนิดนี้ชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะการใช้งาน เช่น Temperature Recorder, Memory Recorder, Chart Recorder เป็นต้น และเพื่อความแม่นยำในการบันทึกจึงควร สอบเทียบเครื่องมือวัด (คาลิเบรท)อยู่เสมอ

เครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder)

มี 2 แบบ ได้แก่
• เครื่องมือวัดแบบบันทึกข้อมูลโดยใช้กระดาษ (Hybrid Recorder) โดยเครื่องจะทำการบันทึกข้อมูลลงในกระดาษในรูปแบบของกราฟกระดาษที่ใช้มีหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นสี่เหลี่ยม หรือ วงกลม แม้กระทั่ง ทรงกระบอก เป็นวิธีการรูปแบบเก่า ซึ่งจะมีข้อเสียคือจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่สม่ำเสมอว่ายังมีกระดาษเพียงพอต่อการบันทึกหรือไม่

• เครื่องมือวัดแบบบันทึกข้อมูลโดยไม่ใช้กระดาษ (Paperless Recorder) พัฒนาการเก็บข้อมูลจากเดิมที่ต้องบันทึกผ่านกระดาษเป็นการเก็บค่าไว้ในหน่วยความจำ เช่น การ์ดหน่วยความจำ (Memory Card) Compact Flash(CF) / Multi Media Card (MMC) ,SD card , Mini Card , หรือ ฮาร์ดดิสค์ ซึ่ง Recorder ประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าแบบบันทึกข้อมูลโดยใช้กระดาษ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วเครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder)มี Function การวัดอะไรบ้าง ?

จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเครื่องมือวัดประเภทนี้มีชื่อเรียกได้หลากหลายตามลักษณะการใช้งาน นั่นหมายความว่า Recorder มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลายแบบ โดยจะขอยกตัวอย่างคร่าวๆ ที่พบเจอว่ามีการใช้งานบ่อยๆ ดังนี้

  • อุณหภูมิ (Temperature) RTD : PT50 , PT100 , PT1000 , JPT100 เป็นต้น
  • อุณหภูมิ (Temperature) Thermocouple (TC) Type K, J, E, T, R, S, N เป็นต้น
  • ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) .
  • แรงดัน(Pressure and Vacuum)
  • อัตราการไหล (Flow Rate)
  • ความเร็วรอบ (RPM)
  • ความถี่ (Frequency)
  • ช่วงเวลา (Time Interval)
  • กระแสไฟฟ้า (Current)
  • ความต่างศักย์ไฟฟ้า (Voltage)
  • กำลังไฟฟ้า (Power)

ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัดเครื่องบันทึกอุณหภูมิ (Hybrid Recorder)

แม้ว่า Hybrid Recorder จะไม่ใช่เครื่องมือวัดค่า แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้แสดงค่าและบันทึกข้อมูล แต่ตัวเลขต่างๆ ที่ถูกบันทึกและแสดงผลต่างก็มีความสำคัญต่อกระบวนการผลิต หรือการตรวจสอบสภาวะต่างๆ ของกระบวนการผลิต หากการรับและส่งสัญญาณทางไฟฟ้าเพื่อแปลผลออกมาเป็นตัวเลขผ่านหน้ามีค่า Error เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด อาจส่งผลให้การแสดงผลและการบันทึกข้อมูลผิดเพี้ยนจนเกิดความเสียหายต่อกระบวนการผลิตได้ การ สอบเทียบเครื่องมือวัด หรือ Calibrate (แคลิเบรท) จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องและแม่นยำของเครื่องมือวัด เพื่อให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่า ผลที่เครื่อง Hybrid Recorder แสดงออกมานั้นถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน และนอกจากนี้ การส่งสัญญาณทางไฟฟ้าของแต่ละ Channel ก็มีความสำคัญ เพราะค่าสัญญาณทางไฟฟ้าของแต่ละ Channel ที่แสดงผลออกมาย่อมไม่เท่ากัน ดังนั้นหากลูกค้าใช้งานเครื่องมือหลาย Channel ก็ควรสอบเทียบเครื่องมือวัดให้ครบทุก Channel ที่ใช้งานเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้ามีเครื่องมือ Hybrid Recorder ตัวหนึ่งมี Channel ที่สามารถใช้งานได้ 100 Channel แต่ลูกค้า ใช้งานChannel ที่ 1-60 ดังนั้นลูกค้าควรสอบเทียบChannelที่ 1-60 เป็นอย่างน้อย หรือสอบเทียบChannel อื่นเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานได้เช่นกัน

บริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด (Calibration Laboratory – CLC) สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ประเภทเครื่องบันทึกอุณหภูมิ(Hybrid Recorder)ได้ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นที่กล่าวมาข้างต้น และได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025 :2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI)และจาก ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งในรูปแบบรับกลับมาสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ห้องปฏิบัติการ (In House Method) หรือเข้าไปสอบเทียบเครื่องมือวัดที่บริษัทของลูกค้า (Onsite)โดยใช้ Multi-Product Calibrator เป็น Standardในการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีความละเอียดสูง และทำการสอบเทียบเครื่องมือวัดให้กับเครื่องมือของลูกค้า(DUC) ด้วยวิธีการ Direct Measurement เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม ISO/IEC 17025 :2017ANSI National Accreditation Board (ANAB)

 

 

 

ผู้เขียน Keaw VIP

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา