คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

2 เรื่องมักทำพลาด ในการใช้งาน Multimeter

มัลติมิเตอร์(MULTIMETER)

เป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า (Electrical) ที่ต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำ สามารถแยกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ มัลติมิเตอร์แบบเข็ม (Analog Multimeter) และ มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข (Digital Multimeter) โดยที่ ดิจิตอล มัลติมิเตอร์(DIGITAL MULTIMETER) นั้นสามารถวัดค่าแรงดัน (V), วัดกระแส (I), วัดความต้านทาน (Ω) และ สามารถใช้กับไฟฟ้ากระแสตรง (DC) หรือไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ได้
การใช้งานอนาล็อก มัลติมิเตอร์ (Analog Multimeter) และ ดิจิตอล มัลติมิเตอร์(Digital Multimeter)

ซึ่งการใช้งาน MULTIMETER แบบเข็ม (Analog) และ MULTIMETER แบบตัวเลข (Digital)มีความแตกต่างกัน คือ

ปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการวัดไหลเข้าสู่วงจร หากเป็น MULTIMETER เป็นแบบเข็ม (Analog) จะเปลี่ยนปริมาณไฟฟ้าที่วัดเป็นปริมาณทางกลทำให้เข็มที่ยึดติดไว้เคลื่อนที่ไปยังค่าที่วัดได้ ส่วน MULTIMETER แบบตัวเลข (Digital) นั้นจะเปลี่ยนปริมาณทางไฟฟ้าที่ได้รับส่งผ่านไปยังวงจรสัญญาณดิจิตอล และส่งต่อไปยังหน้าจอแสดงผลเป็นตัวเลขให้อ่านค่าคุณสมบัติของ MULTIMETER แบบตัวเลข(Digital) ซึ่งมีความแตกต่างกันกับแบบเข็ม(Analog)

การสอบเทียบ เครื่องมือวัด มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

เครื่องมือวัดทุกรายการที่นำไปใช้ในการทดสอบ ตรวจเช็คค่าต่างๆของอุตสาหกรรมตามบริษัทหรือในงานโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ควรต้องนำเครื่องมือส่งสอบเทียบกับห้องแล็ปที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC17025 แบบถูกต้องและชัดเจนเพื่อนำผลการสอบเทียบมาเป็นตัวชี้วัดในแต่ละอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะเมื่อมีการนำเครื่องมือวัดเหล่านี้ไปใช้งานเราจะทราบได้อย่างไรว่าค่าที่เราได้มาคือค่าที่ถูกต้องและแม่นยำ เนื่องจากเครื่องมือวัดสามารถเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ทุกรายการ ถ้าไม่นำเครื่องมือวัดที่เราใช้ส่งเข้ารับบริการดังนั้นการส่งสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ชิ้นงานที่เราใช้

ดิจิตอล มัลติมิเตอร์ (DIGITAL MULTIMETER) ในการสอบเทียบและตรวจสอบนั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 6 FUNCTION ได้แก่

  1. FUNCTION ACV
  2. FUNCTION ACI
  3.  FUNCTION DCV
  4. FUNCTION DCI
  5. FUNCTION RESISTANCE
  6. FUNCTION FREQUENCY

การใช้งานที่ผิดวิธีที่ทาง Calibration Laboratory (แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี) มักพบอยู่เสมอ คือเรื่อง ช่วงของการวัดและการใช้งาน โดยที่ CLC แนะนำให้ เลือกใช้มัลติมิเตอร์(MULTIMETER) ที่มีช่วงของค่าปริมาณอยู่ในช่วงที่ต้องการวัดและใช้งานจริงๆ เพราะหากนำ มัลติมิเตอร์ไปวัดในช่วงปริมาณที่มีกระแสไฟฟ้าสูงเกินไปอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องมือวัดได้

การเสียบ PROBE MULTIMETER นั้นควรหมุน FUNCTION SWITCH ให้ตรงกับค่าที่เราต้องการวัด และควรเสียบ PROBE ให้ถูกช่องของการใช้งาน ซึ่ง PROBE ที่ได้มาตรฐานจะมีความยาวอยู่ที่ 19 มิลลิเมตร มาตรฐานความปลอดภัยของ PROBE จะมีโลหะที่สัมผัสอยู่ที่ 4 มิลลิเมตร(สามารถช่วยป้องกันการเกิดการลัดวงจรได้)

ตารางต่อไปนี้แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง ดิจิตอล มัลติมิเตอร์ (DIGITAL MULTIMETER) และ อนาล็อกมัลติมิเตอร์ (ANALOG MULTIMETER)

 

 

ประเภทของเครื่องมือ

Digital Multimeter (มัลติมิเตอร์แบบตัวเลข)

Analog  Multimeter (มัลติมิเตอร์แบบเข็ม)

ความแม่นยำ

มีการประมวลผลและอ่านค่าได้แม่นยำ แบบ ไมโครโปรเซสเซอร์ จึงทำให้การอ่านค่าที่ได้ในแต่ละครั้งแม่นยำและนิ่งมากกว่าแบบเข็ม

หลังจากการใช้งานไปได้สักระยะหนึ่งระบบ ANALOG ภายในตัวเครื่องจะส่งผลให้ความแม่นยำในการอ่านค่าลดน้อยลง

การอ่านค่า

สะดวกและง่ายต่อการใช้งานและอ่านค่า

อาจเกิดการอ่านค่าผิดพลาดได้ง่ายเนื่องจากการนิ่งของเข็มในแต่ละครั้งอาจไม่คงที่ค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้

การเก็บข้อมูล

สามารถเก็บข้อมูลผ่านสาย USB และสามารถอ่านค่าจากหน้าจอซอฟแวร์ได้

ไม่มีระบบการเชื่อมต่อแบบอัตโนมัติและเก็บ        ข้อมูลได้นอกจากอ่านแล้วจดด้วยมือ

 

 

ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ใช้เครื่องมือ STANDARD ในการสอบเทียบดิจิตอลมัลติมิเตอร์ (DIGITAL MULTIMETER) โดยใช้เครื่องมือ MULTI PRODUCT CALIBRATOR Brand TRANSMILLE ในการสอบเทียบ ซึ่งขอบข่ายในการออก ACCREDITED ที่ทาง Calibration Laboratory (CLC) สามารถออก ACCREDITED ได้นั้นคือทั้ง ACCREDITED TISI (สมอ.) และ ACCREDITED ANAB โดยในการสอบเทียบเครื่องมือวัดนั้นมีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในการสอบเทียบอยู่ที่ Temperature : (23 +-2) C Humidity : (55+-15) % RH

การเปลี่ยนแบตของเครื่องมือวัดมัลติมิเตอร์ (MULTIMETER)

  • แบตเตอรี่ที่ใช้ในตัวมัลติมิเตอร์ (MULTIMETER) โดยทั่วไปจะเป็นถ่านขนาด AA หรือ AAA ซึ่งเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่แต่ละครั้งมีข้อควรปฏิบัติคือ
  • ต้องตั้ง FUNCTION ของตัวเครื่องมือวัดที่ FUNCTION SWITH ไปที่ตำแหน่ง OFF ก่อนเสมอ
  • ทำการขันน็อตที่ฝาหลังออกแล้วจึงเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เข้าไป
  • ควรวางขั้วของแบตเตอรี่ให้ถูกขั้ว -ไม่ควรนำแบตเตอรี่ใหม่และแบตเตอรี่เก่ามาใช้ร่วมกัน

การดูแลรักษาเครื่องมือวัดมัลติมิเตอร์ (MULTIMETER) หลังจากการใช้งานเสร็จ

  • ควรทำการตรวจเช็คสภาพของเครื่องมือว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์และทำความสะอาดทั้งก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้ง
  • ถ้าไม่มีการใช้เครื่องมือวัดเป็นระยะเวลานานๆ ควรทำการถอดแบตเตอรี่ของมัลติมิเตอร์ออกเพื่อเป็นการป้องกันสารเคมีจากแบตเตอรี่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือเกิดความเสียหายได้
  • ควรใช้งานหรือเก็บเครื่องมือวัดให้ห่างจากบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก เพราะผลของสนามแม่เหล็กจะทำให้การวัดค่าจากมัลติมิเตอร์นั้นมีความคลาดเคลื่อนได้
  • ไม่ควรวางเครื่องมือวัดในบริเวณที่มีการสั่นสะเทือน เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนอาจทำให้อุปกรณ์ภายในของเครื่องมือวัดเกิดความเสียหายได้
  • ควรมั่นตรวจสอบเครื่องมือวัดอยู่เสมอว่าค่าที่วัดเริ่มมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ และควรนำไปทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibrate) ตามเวลาที่กำหนดไว้หรือตามความเหมาะสมเพื่อให้มั่นใจถึงค่าที่วัดของมัลติมิเตอร์ว่ามีความแม่นยำอยู่เสมอ

ผู้เขียน Gaem Yui

 

 

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical


ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

เครื่องเคลือบสี ใช้ทำอะไรและหลักการทำงานเป็นอย่างไร

Baker Film Applicator  เครื่องเคลือบสี บนพื้นผิวระนาบ

ลักษณะทั่วไปของ Baker Film Applicator

เครื่องเคลือบสี จะมีลักษณะแกนกลางเป็นทรงกระบอก ในส่วนหัวท้ายเครื่องมือจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ทั้ง 4 ด้าน โดยในแต่ละด้านจะมีค่าความหนาระบุไว้ เช่น 60,120,180,240 ไมคอนระยะความยาวของแกนทรงกระบอกที่ใช้งานนั้นมีตั้งแต่ 60 มิลลิเมตร ขึ้นไป

Baker Film Applicator มีไว้ใช้ทำอะไรและมีหลักการทำงานอย่างไร

เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเคลือบสีหรือผลิตภัณฑ์เคลือบต่างๆ บนพื้นผิวระนาบ โดยสามารถเลือกความหนาตามที่ต้องการได้ โดยมีหลักการใช้งานดังนี้

นำสีหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเคลือบเทลงบนผิวระนาบที่ต้องการ โดยทาหรือหยดของเหลวบริเวณด้านหน้าช่องเว้าของ Baker Film Applicator เลือกระดับความหนาของสีตามด้านของ Baker Film Applicator  แล้วสไลด์ Baker Film Applicator ไปด้านหน้าที่มีของเหลวอยู่ตามระยะที่ต้องการ สามารถทำการสไลด์ด้วยมือหรือใช้อุปกรณ์ช่วยในการสไลด์

Baker Film Applicator ทำไมต้องสอบเทียบและมีผลต่อการใช้งานอย่างไร

เพื่อ Check ค่าของเครื่องเคลือบสีในแต่ละด้านว่าระยะความหนาผิดไปจากค่า Nominal ที่ระบุหรือไม่และมีค่าจริงเท่าไร
ถ้า Baker Film Applicator ผิดปกติหรือค่าจริงไม่ตรงกับ Nominal ที่ระบุบนเครื่องมือก็จะส่งผลให้ความหนาสีที่เคลือบนั้นไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

ข้อระวังในการใช้ เครื่องเคลือบสี

  • ก่อนและหลังใช้งาน Baker Film Applicator ต้องทำความสะอาดคราบสีหรือสารที่ติดกับเครื่องมือทุกครั้ง
  • ระมัดระวังแกนทรงกระบอกที่ใช้ในการเคลือบสีไม่ให้โดนกระแทกหรือเกิดรอยขีดข่วน

ทาง CLC สามารถสอบเทียบ Baker Film Applicator อย่างไร

Baker Film Applicator จะสอบเทียบความหนาทั้ง 4 ด้าน ตาม Nominal ที่ระบุในแต่ละด้านของเครื่องมือ โดยทาง CLC จะใช้เครื่อง CMM ในการสอบเทียบ โดนการสร้าง Feature Plane ของระนาบ Base หัวท้ายของ Baker Film Applicator และสร้าง Feature line บนขอบผิวของทรงกระบอกแกนกลาง เพื่อทำการหาค่าความหนา (Distance) ของแต่ละด้าน

จุดเด่นของเครื่องมือ Standard CMM

สามารถหาค่าความเรียบ (Flatness) ของ Base และ ค่าความตรง (Straightness) ของ Line ขอบทรงกระบอกและวิธีสอบเทียบด้วยเครื่อง CMM ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 (ANAB)

วิธีการดูแลรักษา Baker Film Applicator

เมื่อใช้งานเสร็จควรทำความสะอาดและควรมีกล่องจัดเก็บเครื่องมือเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระแทก
หรือทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนผิว

ข้อแนะนำเมื่อต้องการส่งเครื่องมือมาสอบเทียบกับ CLC

เครื่องมือควรมีกล่องใส่อย่างเป็นระเบียบหรือถ้าไม่มีกล่อง ควรนำเครื่องมือห่อด้วย Bubble กันกระแทก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เครื่องมือเกิดความเสียหายระหว่างการจัดส่งเครื่องมือ

Wisanu – CLC

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

ทำไม? “เครื่องชั่ง” ต้องมีตู้กำบังลม?

ทำไม? “เครื่องชั่ง” ต้องมีตู้กำบังลม?

เครื่องชั่ง ถือว่าเป็น เครื่องมือวัด พื้นฐานในการทำธุรกิจที่ทุกห้องปฏิบัติการในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อใช้งานในการชั่งน้ำหนักสินค้า วัตถุดิบ ชิ้นงาน ส่วนผสมต่างๆ ฯลฯ ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในการใช้งาน เครื่องมือวัด ประเภทเครื่องชั่งได้อย่างถูกต้องตรงตามคู่มือเครื่องชั่งที่ระบุไว้ รวมทั้งต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องชั่ง ความแม่นยำ และความถูกต้องของน้ำหนักจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับผู้ปฏิบัติงาน  ซึ่งวันนี้เราก็ได้นำเรื่องเครื่องชั่งแบบมีตู้กำบังลมมานำเสนอให้เพื่อนๆ ลองดูกันว่ามีความสำคัญหรือทำไมต้องมีตู้กำบังลมในเครื่องชั่ง ตามไปอ่านกันเลยค่ะ

ตู้ครอบ หรือ ตู้กำบังลม 

โดยส่วนมากจะมีลักษณะใสๆมองเห็นด้านในได้ วัสดุที่ใช้จะเป็นแก้ว อะคริลิกหรือเป็นพลาสติกก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตที่ผลิตมาพร้อมกับเครื่องชั่งเลย ตู้กำบังลมนี้จะมีส่วนช่วยปกป้องเครื่องชั่งและตัวอย่างชิ้นงานต่างๆ ที่เกิดผลกระทบจากสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น ลม อาจทำให้ผลของการชั่งไม่นิ่งได้ ซึ่งถ้ามีตู้กำบังลมยิ่งจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ในการชั่งน้ำหนักมากขึ้น และเป็นการปรับระยะเวลาการอ่านค่าของตัวเครื่องชั่งให้มีน้ำหนักที่นิ่งที่สุดและให้เหมาะสมที่สุด การปกป้องจากสภาพแวดล้อมนี้กลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากเมื่อใช้เครื่องชั่งที่มีค่าอ่านละเอียดสูงที่มากกว่าทศนิยม 3 ตำแหน่ง การปกป้องตัวอย่างชิ้นงานจากการชั่งน้ำหนักอันเกิดจากปัจจัยที่จะส่งผลกระทบรอบข้างโดยการลดสภาพแวดล้อมที่ไม่นิ่งให้น้อยลงที่สุดและช่วยให้เครื่องชั่งมีประสิทธิภาพในการชั่งน้ำหนักที่นิ่งเร็วขึ้น

ดังนั้นหากเราต้องการที่จะให้ได้น้ำหนักที่แม่นยำมากที่สุด ตู้กำบังลม จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องชั่งที่จะทำให้การแสดงผลเป็นตัวเลขที่มีความชัดเจน และแม่นยำ ไปจนถึงระดับจุดทศนิยม ซึ่งเป็นความสะดวกที่ทำให้ขั้นตอนการชั่งน้ำหนัก สามารถทำได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้ตาชั่งแบบธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดการประเมินการทำงานของเครื่องชั่งในการอ่านค่าที่ถูกต้อง ในขั้นตอนการชั่งได้อีกด้วยค่ะ

 

การทำความสะอาด


ทุกครั้งที่เพื่อนๆ ใช้งานเครื่องชั่งเสร็จ จะต้องทำความสะอาดตู้กำบังลมเครื่องชั่งทุกครั้งด้วยนะคะ โดยนำตู้กำบังลมออกจากตัวเครื่องชั่งก่อน จากนั้นใช้ผ้าหมาดๆเช็ด หรือ ชุปน้ำยาทำความสะอาดอ่อนๆเช็ดได้ จากนั้นใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดซ้ำอีกทีและเมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วจึงประกอบตู้กำบังลมกลับดังเดิมค่ะ โดยต้องให้มั่นใจด้วยนะคะ ว่าเราประกอบตู้กำบังลมกลับอย่างถูกต้อง

สำหรับเรื่องตู้ครอบ หรือตู้กำบังลม ที่เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญแต่ก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของเครื่องชั่งที่มีทศนิยมมากกว่า 3 ตำแหน่ง แต่ถ้าจะถามว่าในเครื่องชั่งทศนิยม 1 ตำแหน่ง หรือ 2 ตำแหน่งมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ตู้ครอบกำบังลมด้วยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ผลิตของเครื่องชั่งตัวนั้นว่าจะผลิตมาด้วยหรือไม่ แต่การชั่งที่ไม่มีตู้กำบังลมของเครื่องชั่งจำพวกนี้จะไม่ค่อยส่งผลต่อการชั่งมากเท่าไหร่ ในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับลมทำให้ผู้ผลิตบางรายจึงไม่นิยมผลิตตู้กำบังลมมาให้ด้วยในส่วนของเครื่องชั่งที่มีทศนิยมน้อยกว่า 3 ตำแหน่ง

เพื่อนๆได้อ่านแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ เราหวังว่าจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ บ้างนะคะ สำหรับเพื่อนๆที่กำลังมองหาเครื่องชั่งที่มีตู้กำบังลมที่ทนทาน ดูแลรักษาง่ายและมีประสิทธิภาพความแม่นยำในการชั่งชิ้นงานสักเครื่อง เราขอแนะนำเครื่องชั่งแบรนด์ Vibra นี้เลยค่ะ ซึ่งตัวเครื่องชั่งมีตู้กำบังลมมาให้พร้อมด้วยสามารถป้องกันผลกระทบต่างๆที่เกิดเหตุจากหลายปัจจัยได้ เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเลือกซื้อเครื่องชั่งไม่มากก็น้อยนะคะ ทางเราก็มีสินค้าจำหน่ายพร้อมสอบเทียบตามมาตราฐาน OIML-R76-1 ให้เพื่อนๆ เกิดความเชื่อมันในมาตราฐานระดับสากลของเราอีกด้วยค่ะ และอย่าลืมว่าเครื่องชั่งนั้นอาจให้ค่าที่คลาดเคลื่อนหากมีการใช้งานไปนานๆ ดังนั้นจึงควร สอบเทียบเครื่องมือวัด เครื่องชั่งนี้อย่างสม่ำเสมอนะคะ ในครั้งต่อไปเราจะแนะนำการใช้งานเครื่องมือหรือบทความที่เกี่ยวกับความรู้ของเครื่องมือตัวไหนนั้นอย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ แล้วเจอกันในบทความหน้าค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน BEW JJ.

 

 

 

เคล็ดลับ!? การปรับระดับน้ำของเครื่องชั่ง เครื่องชั่งละเอียด

ซื้อเครื่องชั่ง ราคาพิเศษ คลิก     บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ทำความรู้จักไม้บรรทัดเหล็ก ให้มากขึ้นด้วยบทความนี้

ทำความรู้จัก ไม้บรรทัดเหล็ก ให้มากขึ้น

STEEL RULER 

ไม้บรรทัดเหล็ก คือ เครื่องมือวัดระยะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไม้บรรทัดที่ผลิตจากวัสดุเหล็ก เป็นไม้บรรทัดเส้นตรงบอกสเกลของความยาว โดยหน่วยที่แสดงนั้นมีทั้งที่เป็นหน่วยเมตริก เช่น มิลลิเมตร (mm) เซนติเมตร (cm) และหน่วยวัดมาตรฐานอิมพีเรียลอย่างหน่วยนิ้ว (inch) ทั้งนี้ ที่ต้องใช้เหล็กเป็นวัสดุในการทำเพราะคงทนต่อการใช้งาน สเกลไม่เปลี่ยนแปลงง่าย เพราะไม่ยืด ลอกช้า ร่องขีดสเกลชัดเจน สามารถทนได้ทุกการใช้งาน เราจะใช้ไม้บรรทัดในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอในการวัดความยาวผ้า อุตสาหกรรมยานยนต์ในการวัดชิ้นงานต่างๆ ส่วนประกอบของรถยนต์หรือชิ้นงานต่างๆ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในการวัดชิ้นงาน วัดขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการผลิต ไม้บรรทัดมีความจำเป็นอย่างมากต่อภาคอุตสาหกรรม เป็นเครื่องมือวัดชนิดนึงที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย และเป็นเครื่องมือวัดที่ใช้งานง่ายสุด เราต่างใช้งานไม้บรรทัดมาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มจากการตีเส้นบรรทัดไปจนถึงวาดรูปต่างๆ ดังนั้นเราทุกคนล้วนได้ผ่านการใช้งานเครื่องมือไม้บรรทัดเหล็กนี้มาแล้วทั้งสิ้น

ทำไมถึงต้องสอบเทียบ STEEL RULER (ไม้บรรทัดเหล็ก) ???

        แน่นอนว่าเราจำเป็นที่จะต้องใช้ไม้บรรทัดในการวัดมิติของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ความยาว ของสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องสอบเทียบเครื่องมือไม้บรรทัด เพื่อจะเป็นการยืนยันได้ว่าไม้บรรทัดที่เราใช้งานนั้น สเกลที่แสดงอยู่ยังมีค่าที่ตรงอยู่ ไม่ผิดเพี้ยนไป เพราะหากเราวัดผิดไปเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ชิ้นงานหรือสิ่งที่เรานำไปวัดนั้นผิดไป เราอาจจะเสียงานชิ้นนั้นเลยก็ได้ เพราะค่าผิดจากไม้บรรทัดที่เราใช้ จะเห็นว่าราคาไม้บรรทัดเหล็กในท้องตลาดมีราคาถูกมาก ในหลายครั้งค่าสอบเทียบยังมีราคาสูงกว่าซื้อใหม่ แต่ทำไมถึงยังมีลูกค้าหรือผู้ใช้งานส่งเครื่องมือไม้บรรทัดเหล็กมาสอบเทียบ ก็เพราะต้องการให้ห้องปฏิบัติการสอบเทียบยืนยันค่าว่าไม้บรรทัดของเขามีสเกลที่แสดงค่าที่เที่ยงตรงหรือไม่ และต้องการมีใบ CERTIFICATE รับรองเครื่องมือดังกล่าว ว่าได้มาตรฐานและสามารถใช้วัดชิ้นงานในอุตสาหกรรมของผู้ใช้งานได้

การใช้งานเครื่องมือเบื้องต้น

  1. วางชิ้นงานหรือสิ่งของที่ต้องการจะวัดบนพื้นที่เรียบ
  2. ใช้ไม้บรรทัดเหล็กมาวัด โดยเอาสเกลที่ 0 (ศูนย์) เป็นจุดเริ่มต้น และวัดความยาวของสิ่งต่างๆเรานั้น อ่านค่าจากจุดที่สิ้นสุดที่ต้องการจะวัด ห้ามไม่ให้ไม้บรรทัดโค้งงอ เพราะค่าที่วัดได้จะอ่านค่าผิดเพี้ยนไป ต้องทำให้ไม้บรรทัดเหล็กตรงขณะวัด
  3. อ่านค่าจากปลายสเกลของสิ่งที่วัดโดยดูได้จากทั้งสเกลบนและสเกลล่างของชิ้นงานหรือสิ่งของนั้นๆ

ข้อควรระวังในการใช้งาน

  1. ต้องระวังไม้บรรทัดเหล็กโค้งงอระหว่างการวัด เพราะจะทำให้เครื่องมืออ่านค่าผิด
  2. เวลาอ่านค่า สเกลของไม้บรรทัดต้องอยู่ระดับสายตา

CLC ให้ บริการสอบเทียบ เครื่องมือวัด หรือทำอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง

CLC สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ไม้บรรทัดเหล็กให้ลูกค้าได้ โดยทาง CLC ได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ในเครื่องมือนี้ด้วย โดยได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 ทั้งของในประเทศไทยอย่าง สมอ. และการรับรองจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง ANAB โดยได้รับการรับรองที่ RANGE 0 – 2000 mm
หรือ สามารถดูรายละเอียด Scope ได้ที่นี่ คลิก

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือ ก่อนใช้งานและหลังใช้งาน

  1. วางให้ห่างน้ำหรือที่เปียก เพราะอาจทำให้เกิดสนิม
  2. หมั่นทำความสะอาดเครื่องมือก่อนและหลังใช้งาน เพื่อความสะอาดและป้องกันฝุ่นเข้าไปสะสมที่ร่องสเกลของเครื่องมือ
  3. ควรเก็บในกล่องหรือวางไว้ในที่หยิบใช้สะดวก
  4. ควรมีซองใส่หรือกล่อง วางในที่เรียบ เพื่อป้องกันไม้บรรทัดเหล็กโค้งงอ

ผู้เขียน จุ๊บจิ๊บ วีไอพี

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

การทำงานในการวัดความต้านทานฉนวน และการบำรุงรักษา

การทำงานในการ วัดความต้านทานฉนวน และการบำรุงรักษา

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ วันนี้ทางผู้เขียนก็มีเครื่องมือที่น่าสนใจมาแนะนำกันอีกหนึ่งตัวค่ะ อยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเป็นเครื่องมืออะไร และจะใช้เจ้าเครื่องมือนี้ทำอะไรได้บ้าง งั้นเราไปดูกันเลยค่ะ  

รูปที่ 1

ตัวอย่างเครื่อง INSULATION TESTERS ทั้งแบบ ANALOG และ DIGITAL

 

เครื่องทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้า (Insulation Tester)

คือ เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบดูว่าอุปกรณ์หรือเครื่องมือเครื่องใช้ทางไฟฟ้าของทุกท่านมีความผิดปกติเกี่ยวกับฉนวนไฟฟ้าหรือไม่ค่ะ  ซึ่งในปัจจุบันก็มีทั้งแบบ ANALOG และ DIGITAL ทุกท่านก็สามารถเลือกใช้ได้ตามสะดวกเลยค่ะ (เลือกได้ตามราคาที่เหมาะสมนะ)

หรือจะเรียกว่าเป็น เครื่องมือ ที่ใช้วัดความต้านทานชนิดพิเศษ โดยการวัดนั้นเครื่องมือวัดก็จะแสดงค่าเป็นหน่วยของความต้านทานที่มีค่าสูงมาก ซึ่งเรียกกันว่า เมกะโอห์ม (M) นั่นเองค่ะ โดยไอ้เจ้าค่าความต้านทานดังกล่าวที่พูดถึงเนี่ย ก็จะเป็นค่าที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติการเป็นฉนวนไฟฟ้าหรือเป็นเครื่องชี้บ่งว่าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ท่านหรือเพื่อนร่วมงานใช้อยู่มีกระแสไฟฟ้ากำลังรั่วลงดินอยู่หรือเปล่า (ถ้ารั่วนี่อันตรายมากนะคะทุกคน) ซึ่งถ้าอุปกรณ์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ทางไฟฟ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับฉนวนไฟฟ้าก็อาจจะทำให้ผู้ใช้งานถูกไฟฟ้าดูดจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือถ้ายิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้เกิดเพลิงไหม้เนื่องจากไฟฟ้าลัดวงจรได้เลยนะคะ เห็นไหมว่าเครื่องมือตัวนี้มีความสำคัญไม่น้อยเลย

รูปที่ 2

หลักการทำงานในการ วัดความต้านทานฉนวน

          เครื่องทดสอบความเป็นฉนวน Insulation Tester  ทุกท่านเคยเห็นการทดสอบการหารอยรั่วของท่อน้ำประปาไหมคะ เมื่อใส่แรงดันน้ำสูงๆเข้าไปในท่อ เมื่อตรงไหนรั่วตรงนั้นก็จะมีน้ำไหลออกมา ลักษณะเดียวกันเลยค่ะ การทดสอบหลักๆของเครื่องทดสอบความเป็นฉนวนก็จะคล้ายกับการตรวจสอบหารอยรั่วของท่อประปา โดยถ้าเราอยากรู้ว่าอุปกรณ์นั่นๆมีไฟรั่วหรือไม่เราก็จะป้อนแรงดันสูงๆเข้าไป โดยใช้เครื่องทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้าเป็นตัวจ่ายแรงดันดังกล่าว เพื่อหาจุดรั่วไหลของกระแสไฟ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟ  220 โวลต์   ทดสอบโดยใช้แรงดันไฟ  500  โวลต์  ซึ่งมีย่านการวัดได้ถึง 200 เมกะโอห์ม(MΩ)   อุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟ  380 โวลต์  ทดสอบโดยใช้แรงดันไฟ  1000  โวลต์ ซึ่งมีย่านการวัดได้ถึง 1000 เมกะโอห์ม(MΩ)

โดยการทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้าสามารถอธิบายได้ดังรูป

รูปที่ 3 ที่มา : https://mall.factomart.com

มื่อป้อนแรงดันกระแสตรงที่มีค่าสูงๆ ให้กับตัวต้านทานฉนวนที่ต้องการวัด (Rx) ทำการวัดค่ากระแส (I) และค่าแรงดันที่ตกคร่อม (V) ตัวต้านทานฉนวน (Rx) หลังจากนั้นนำค่าแรงดันตกคร่อมที่ได้ (V) หารด้วยกระแส (I) ก็จะได้ค่าความต้านทานฉนวน (Rx)

เราสามารถใช้ เครื่องมือวัด นี้ทำอะไรได้บ้าง

  1. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนของอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือตัวรถยนต์เอง ตามศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์
  2. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนของสายเคเบิ้ล
  3. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนของเครื่องมือเครื่องใช้ใหม่ในไลน์ผลิต หรือสายไฟเลี้ยง
  4. เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ หม้อแปลงไฟฟ้าในเครื่องจักร ฯลฯ
  5. ใช้วัดค่าความเป็นฉนวนในอุปกรณ์ไฟฟ้าของเครื่องจักรเก่าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น หม้อแปลง ฉนวนของมอเตอร์ไฟฟ้า สายไฟภายในโรงงาน ฯลฯ

การวัดความต้านทานฉนวนใช้วัดเพื่ออะไร

อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าเครื่องมือเครื่องใช้ทางไฟฟ้า หรือเครื่องจักรต่างๆเองก็ดี ทุกอย่างล้วนมีสายไฟ  มอเตอร์  หรือแม้กระทั่งหม้อแปลง สิ่งเหล่านี้ล้านมีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา 

สาเหตุของการเกิดฉนวนเสื่อม

  • ความเสียหายทางกล (การกระแทก การเจาะ การสั่น)
  • ความร้อนหรือความเย็นสูงเกินไป
  • ฝุ่น, สิ่งสกปรก
  • น้ำมัน
  • ไอกัดกร่อน
  • ความชื้นหรือเปียก

การเสื่อมสภาพต่างๆเหล่านี้ หรือเรียกว่ามีอายุการใช้งานที่จำกัดอยู่แล้ว ซึ่งหากอุปกรณ์ที่กล่าวมาเกิดการชำรุดเสียหายก็จะทำให้เกิดไฟรั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร เราจึงใช้ เครื่องมือวัด ความต้านทานฉนวน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงาน ที่ทำงานนั้นๆ รวมทั้งป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียตามมาภายหลัง

การวัดค่าความเป็นฉนวนไฟฟ้าควรทำบ่อยๆ และสม่ำเสมอและควรมีการจดบันทึกค่าความต้านทานของฉนวนไว้ด้วยทุกครั้งเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยง หรือใช้เป็นข้อมูลเพื่อให้สามารถเช็คได้ว่าควรมีการเปลี่ยนมอเตอร์ หรือสายไฟนั้นหรือยัง ซึ่งค่าความต้านทานของฉนวนไม่ควรต่ำกว่า 100 MΩ หลังจากที่มีการ Apply Volt ที่ 1.0 kV  เป็นเวลา 60 วินาที ถ้าไม่ผ่านควรเตรียมเปลี่ยนสายไฟพันหรือเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่ทันที  ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานทุกคนนะคะ

 

การบำรุงรักษาเครื่องมือวัด     

ถ้าเราอยากให้เครื่องมือวัดนี้อยู่กับเราไปนานๆ หรือมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น สิ่งที่ควรตรวจสอบก็มีดังนี้นะคะ

  1. หมั่นเช็ดทำความสะอาดเครื่องมือเป็นประจำ
  2. เก็บเครื่องให้อยู่ในที่ที่สะอาดไม่มีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น น้ำหรือ น้ำมัน และไม่อยู่ในที่ที่มีอากาศชื้น
  3. ควรตรวจดูรางถ่านเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมสภาพของถ่านเพราะจะทำให้เครื่องมือเสียหายได้
  4. ไม่จัดเก็บเครื่องมือให้อยู่ในสภาพอากาศที่เย็นหรือร้อนเกินไป
  5. ไม่จัดเก็บเครื่องมือให้อยู่ใกล้เครื่องจักรที่มีการทำงาน หรือมีแรงสั่นสะเทือน จากการเจาะ การกระแทก
  6. สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าค่าที่วัดได้จะถูกต้อง เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการวัดที่ผิดเพี้ยน

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มและยืดอายุการใช้งานเครื่องมือได้ยาวนานยิ่งขึ้นแล้วค่ะ

เห็นไหมล่ะคะว่า เครื่องมือวัด นี้มีความจำเป็นไม่น้อยเลย หากเราหมั่นทำการตรวจเช็คสภาพของอุปกรณ์ที่เราใช้แล้วก็สามารถช่วยป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดกับตัวเราเองและเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วย

 

ทั้งนี้ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราก็ยังมีเครื่องมือประเภทนี้จำหน่ายกันด้วยนะคะรวมทั้งยังสามารถ สอบเทียบเครื่องทดสอบความเป็นฉนวนไฟฟ้า (Insulation tester) ได้ โดยได้รับการรับการรับรอง ISO/IEC 17025 (ANAB) หากท่านใดสนใจในบริการของเราสามารถติดต่อเราได้ทุกช่องทางการติดต่อเลยนะคะ

Katai

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

ตรวจเช็คความผิดปกติของตู้ INCUBATOR ด้วยตัวเอง

ตรวจเช็คความผิดปกติของตู้ INCUBATOR ด้วยตัวเอง

INCUBATOR คือ ตู้บ่มเพราะเชื้อ ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปใช้งานเก็บอุณหภูมิทางด้านไหนให้ถูกต้องตามความเหมาะสมเพราะตัวตู้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ทั้งร้อนและเย็น มีหลากหลายรุ่น หลายยี่ห้อให้เลือกใช้งาน ขนาดของตู้ก็มีอยู่หลายขนาด Incubator สามารถปรับอุณหภูมิภายในตู้ด้วยตัวฮีทเตอร์ที่อยู่ภายใน ตำแหน่งที่จะสามารถเช็ควัดอุณหภูมิภายในตู้จะมีอยู่ 5 จุดหลักๆ มุมของตู้ 4 จุด และตรงกลางตู้อีก 1 จุด และภายในตู้ Incubator ส่วนใหญ่มีการตั้งเวลาบางส่วนยังสามารถตั้งโปรแกรมให้วงจรผ่านอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระดับความชื้น Incubator ตู้บ่มมีขนาดตั้งแต่ 53 litter จนถึง 256 litter ตัวเครื่อง Incubator มีทั้งแบบมีพัดลมและไม่มีพัดลม ภายในตู้ก็จะมีตะแกรงวางไว้ให้เป็นชั้นๆเพื่อวางตัวอุปกรณ์หรือวางชิ้นงานที่ต้องการเพาะเชื้อ ซึ่งบางตู้ก็อาจจะมี 4 ชั้น ขึ้นอยู่กับขนาดตู้ Incubator จะมีทั้งแบบ 1 ประตูและ 2 ประตู สามารถปรับเลือกใช้งานอุณหภูมิได้ 2 หน่วย ทั้ง °C และ °F การใช้งานของตัวตู้ Incubator จะมีบางประเภทที่สามารถเก็บข้อมูลและความละเอียดได้มาก ตู้เพาะเชื้อ Incubator แบบเขย่าจะสามารถดูความเร็วรอบในส่วนของหน่วย RPM ได้อีกด้วย ว่าขณะที่เครื่องทำการเขย่าอยู่นั้นความเร็วรอบอยู่ที่เท่าไหร่

ในขณะที่ใช้งานอยู่ ตู้ INCUBATOR ผิดปกติสามารถตรวจเช็คได้เบื้องต้นด้วยตัวเอง

  • กรณีตัวตู้ Incubator เปิดไม่ติด

ให้ลองตรวจเช็คดูที่ปลั๊กไฟของตัวเครื่องว่าเสียบแน่นหรือไม่  หรือตัวสายไฟอาจชำรุด ฟิวส์อาจขาด สวิตซ์เปิดปิดของตัวเครื่องเสียหรือไม่ได้กดเปิดก่อนใช้งาน

  • กรณี หน้าจอ Incubator ไม่อ่านค่าแสดงผล

ตัวหน้าจออาจเสียหรือสายของตัวจอมอนิเตอร์ อาจชำรุดไฟไม่เข้าหน้าจอเลยไม่อ่านค่าแสดงผล

  • กรณี ตัว Incubator ควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ (ไม่เย็น)

ตัว Compressor ของตู้อาจเสียตัวตู้จะควบคุมทำอุณหภูมิไม่ได้

การดูแลรักษาและทำความสะอาดตู้ ตู้บ่มเพราะเชื้อ

  • การดูแลรักษา เครื่องมือวัด ควรปิดสวิตซ์ถอดปลั๊กออกและควรปล่อยทิ้งไว้ 15-20 นาที ให้ตู้คลายความร้อนออกให้หมดก่อนแล้วค่อยนำเอาอุปกรณ์ที่อยู่ภายในตู้มาทำความสะอาด ถ้าอุปกรณ์ชิ้นไหนที่เอามาล้างควรปล่อยให้แห้งก่อนนำเข้าเอาไปไว้ในตู้ตามเดิม อย่าเอาอุปกรณ์ที่เปียกเข้าไปใส่ในตู้โดยเด็ดขาด
  • ห้ามทำความสะอาดภายในตู้ด้วยผ้าแห้ง เพราะอาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์ภายในตู้ได้
  • ห้ามใช้น้ำยาประเภท แอลกอฮอล์ , อีเทอร์ , คีโตนอะซิโตน มาเช็ดทำความสะอาดตู้โดยเด็ดขาด
  • ไม่ควรนำอุปกรณ์ที่ไม่ใช้งานมาวางไว้บนหลังตู้
  • ไม่นำชิ้นงานที่ต้องเอาเข้าไปไว้ในตู้อัดกันแน่นจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตู้และความเสียหายต่ออุปกรณ์ที่นำเอาไปไว้ในตู้ได้
  • ไม่ควรวางตู้ Incubator ชิดผนังจนเกินไปควรเว้นระยะห่างจากผนังประมาณ 10 เซนติเมตร

มาทำความรู้จัก Incubator กันเถอะว่ามีประเภทไหนบ้าง

Incubator ตู้เพาะเชื้อ 

 Incubator ตู้เพาะเชื้อแบบเขย่า

 Incubator เชื้อควบคุมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

 

        Incubator ตู้เพาะเชื้อแบบ CO2 ตู้เพาะ     Incubator ตู้เพาะเชื้ออุณหภูมิต่ำ

 

Incubator ตู้อบเด็ก

 

 

 

  ผู้เขียน Gaem Yui

 

 

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

ใช้อย่างไรให้คล่องมือ เครื่องบันทึกอุณหภูมิและความชื้น TESTO Model Testo 175 H1

ใช้อย่างไรให้คล่องมือ เครื่องบันทึกอุณหภูมิและความชื้น TESTO Model Testo 175 H1

สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาพูดถึง วิธีการใช้งาน Data logger Temperature and Humidity

(เครื่องบันทึกอุณหภูมิและความชื้น) Brand TESTO Model  Testo 175 H1 กันนะคะ

ว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง หลังจากที่เราได้พูดถึงคุณสมบัติไปก่อนหน้านี้เรื่อง ดีอย่างไร? Data logger จากเยอรมัน รุ่น Testo 175 H1 เราจะมาต่อในเรื่องของการใช้งานกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามไปอ่านกันเลยค่ะ

ขั้นตอนมีดังนี้เลยค่ะ

การปลดล็อค เครื่องมือวัด data logger

1.1 เปิดตัวล็อคหมายเลข 1

1.2 เอาตัวล็อคออก หมายเลข 2

เอาตัวล็อคออกจากหมายเลข 3 ออกจากช่อง

1.4 เลื่อนตัว data logger ออกจาก Wall bracket 4

รูปภาพ แสดงการปลดล็อค Data logger

2.การใส่แบตเตอรี่

2.1  พลิกด้านหลังเครื่อง

2.2  ใช้ไขควงปลดน็อต

2.3 ใส่แบตเตอรี่ (AAA) ให้ถูกขั้ว

2.4 ปิดฝาช่องใส่แบตเตอรี่ด้วยไขควง

รูปภาพ Testo 175 H1 พร้อมสาย USB

3.การเชื่อมต่อ เครื่องมือวัด Data logger กับ คอมพิวเตอร์

ถ้าจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้ ซอฟต์แวร์ Testo ComSoft 5 Basic ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเตอร์เนต ตาม Link นี้ได้เลยค่ะ

4.หน้าจอควบคุมและแสดงผล

  หน้าจอแสดงฟังก์ชันจะสามารถเปิดปิดได้จากการตั้งค่า  Software testo Com Soft

วิธีการอ่านความหมายของหน้าจออธิบายตามหมายเลขที่แสดงตามรูป

  1. การอ่านค่าช่องที่ 1
  2. หน่วยการวัดช่องที่ 1
  3. การอ่านค่าช่องที่ 2
  4.  หน่วยการวัดช่องที่ 2
  5. กาทำงานของโปรแกรมการวัดเสร็จสิ้น
  6. โปรแกรมการวัดมีการทำงานอยู่
  7. รอเพื่อเริ่มโปรแกรมการวัด
  8. เริ่มการวัดในช่วงวันและเวลาที่กำหนดไว้
  9. ความจุแบตเตอรี่10. ค่าต่ำกว่าลิมิตที่กำหนด ในช่องที่ 2
  10. ค่าต่ำกว่าลิมิตที่กำหนด ในช่องที่ 2
    • มีการกระพริบ: จะปรากฏค่า ที่ตั้งเตือนไว้
    • มีไฟสว่าง: ค่าที่วัดได้ต่ำกว่าค่าที่ตั้งเตือนไว้
  11. .ค่าต่ำสุดที่อ่านได้
  12. ค่าสูงสุดที่อ่านได้
  13. .ค่าต่ำกว่าลิมิตที่กำหนด ในช่องที่ 1:
    • มีการกระพริบ: จะปรากฏค่า ที่ตั้งเตือนไว้
    • มีไฟสว่าง: ค่าที่วัดได้ต่ำกว่าค่าที่ตั้งเตือนไว้
  14. ค่าสูงกว่าลิมิตที่กำหนด ในช่องที่ 1:
    • มีการกระพริบ: จะปรากฏค่า ที่ตั้งเตือนไว้
    • มีไฟสว่าง: ค่าที่วัดได้เกินกว่าค่าที่ตั้งเตือนไว้

5. ไฟ LED

6.ฟังก์ชันการใช้งานหลัก (Key functions)

จะเป็นรายละเอียดที่บอกถึงการอ่านค่าจากหน้าจอแสดงผล

✓ อุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในสถานะ รอ Wait  และเริ่มการทำงานด้วยการกดปุ่มเริ่ม

> กดปุ่ม [GO] ใช้เวลาประมาณ 3 วินาที เพื่อเริ่มต้นสู่โปรแกรมการวัด

– โปรแกรมการวัดจะเริ่มต้นและสัญลักษณ์บันทึก Rec จะปรากฏที่หน้าจอ

✓อุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในสถานะ รอ Wait  :

> กดปุ่ม [GO]  เพื่อเป็นการเปลี่ยนหน้าจอระหว่าง ค่าเตือนสูงสุด, ค่าเตือนต่ำสุด, ความจุของ

แบตเตอรี่ และค่าที่อ่านได้ล่าสุด หน้าจอจะปรากฏตามลำดับ

✓ อุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในสถานะ Rec หรือ End:

> กดปุ่ม [GO]  เพื่อเปลี่ยนหน้าจอระหว่าง ค่าสูงสุดที่บันทึก, ค่าต่ำสุดที่บันทึก, ค่าเตือนสูงสุด,

ค่าเตือนต่ำสุด, ความจุแบตเตอรี่, ค่าที่อ่านได้ล่าสุด หน้าจอจะปรากฏตามลำดับ

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หวังว่าจะใช้งานกันได้ง่ายขึ้นหลังจากแนะนำวิธีการใช้งานไปนะคะ และคิดว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ในเวลาที่อยากทราบว่าวิธีการใช้งานของเครื่อง Testo 175 H1 ใช้งานยังไง และฝากเพื่อนๆ ติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ว่าเรามีเครื่องมือวัดตัวอื่นที่น่าสนใจอีกหลายตัวที่จะมาเล่าให้ได้ฟังได้อ่านกันอีก โปรดรอติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ^O^

 

ผู้เขียน Suphanun BDS

 

 

 

 

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

ไฟฟ้าคืออะไร เครื่องมือวัดด้านไฟฟ้าเบื้องต้นมีอะไรบ้าง

ไฟฟ้าคืออะไร

ไฟฟ้า คือ พลังงานรูปหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกตัวออกมา หรือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน หรือโปรตอน หรืออนุภาคอื่นที่มีสมบัติแสดงอํานาจคล้ายคลึงกับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ใช้ประโยชน์ ก่อให้เกิดพลังงานอื่น เช่น ความร้อน แสงสว่าง การเคลื่อนที่ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ชาติในปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาทุก ๆ ด้านจำเป็นต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น

1.แหล่งกำเนิดไฟฟ้า

แหล่งกำเนิดไฟฟ้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

             1.1 ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  เช่น  ไฟฟ้าสถิต (Static  Electricity) โดยมากจะเกิดจากการเสียดสี (Friction) เช่น การเสียดสีของวัตถุบางชนิด การหวีผมในบางฤดูทำให้หวีสามารถดูดเศษกระดาษเล็กๆได้หรือการเกิดปรากฏการทางธรรมชาติ เช่น  ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ซึ่งเกิดจากการสะสมของประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน  ก้อนเมฆในท้องฟ้าและเกิดการถ่ายเทของประจุไฟฟ้าจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง  การถ่ายเทดังกล่าว  ประจุไฟฟ้าที่เหมือนกันจะผลักกัน  เช่น  ประจุลบกับประจุลบจะผลักกัน  ประจุบวกกับประจุบวกจะผลักกัน  ประจุไฟฟ้าที่ต่างกันจะดูดกัน

             1.2 ไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้น แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด

      • 1.2.1 ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current) อักษรย่อ AC
      • 1.2.2 ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) อักษรย่อ DC

1.2.1 ไฟฟ้ากระแสสลับ

                          ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าที่นำมาใช้  ตามอาคารบ้านเรือน อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ขนาดแรงดันไฟฟ้า และความถี่ที่ใช้อยู่ตามอาคารบ้านเรือนจะมีขนาดแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ ความถี่  50 เฮิรตซ์
(220 V / 50 Hz) ส่วนอาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการใช้ขนาดแรงดัน ไฟฟ้า 380 โวลต์ความถี่50 เฮิรตซ์
(380 V / 50 Hz) สำหรับจ่ายให้เครื่องจักรทำงาน และ 220 โวลต์ 50 เฮิรตซ์ (220 V / 50 Hz) สำหรับจ่ายให้เครื่องใช้ในสำนักงาน

 1.2.2 ไฟฟ้ากระแสตรง  

                          ไฟฟ้ากระแสตรง คือ ไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลทางเดียว มีขั้วบวก ขั้วลบคงที่ ใช้เป็นพลังงานจ่ายให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ละอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง

      แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
  • เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี เช่น แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย
  • เกิดจากโซลาร์เซลล์ หรือโฟโต้เซลล์ (อุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า)
  • เกิดจากการ Rectifier คือการเรียงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง

2. หน่วยวัดทางไฟฟ้า

ในระบบหน่วยวัดนานาชาติ (International System of Units (SI)) หน่วยวัดทางไฟฟ้าพื้นฐานที่สำคัญและหน่วยวัดทางไฟฟ้าในทางปฏิบัติอื่นๆ

  • แรงดันไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น โวลต์ (V)
  • กระแสไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น แอมแปร์ (A)
  • กำลังไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น วัตต์ (W)
  • ความถี่ไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น เฮิรตซ์ (Hz)
  • ความต้านทานมีหน่วยวัดเป็น โอห์ม (Ω)

ทั้งนี้ที่กล่าวมา ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าหรือจับต้องได้ ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะที่ใช้ในการตรวจวัดค่าทางไฟฟ้า เพื่อให้เรารู้ปริมาณความมากน้อยของพลังงานไฟฟ้านั้นๆ

เครื่องมือวัดไฟฟ้า เบื้องต้น

1.เครื่องวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltmeter) 

เครื่องวัดชนิดนี้เป็นเครื่องมือวัดความต่างศักย์ของไฟฟ้าระหว่าง 2 จุดในวงจรไฟฟ้าแรงดันไฟฟ้าเป็นค่าหนึ่งที่ต้องวัดในการคํานวณการใช้งานด้านไฟฟ้ามีทั้งประเภทที่ติดตั้งบนแผงควบคุมและชนิดเคลื่อนที่ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

2.เครื่องวัดกระแสไฟฟ้า (Ampmeter)  

ใช้วัดกระแสไฟฟ้า มีทั้งประเภทที่ติดตั้งบนแผงควบคุมและชนิดคล้องสายเคลื่อนที่ได้ มีทั้งชนิดที่เป็นอนาล็อกและดิจิทัล

 

 

 

 

 

 

 

3.เครื่องวัดกําลังไฟฟ้า (Wattmeter)

เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่วัดค่าความต้องการกำลังไฟฟ้าได้โดยตรง ทำให้การหาปริมาณการใช้ไฟฟ้าสะดวกยิ่งขึ้น

   

 

 

 

 

 

 

 

4. โอห์มมิเตอร์ (Ohmmeter)

โอห์มมิเตอร์ คือมิเตอร์ที่สามารถวัดค่าความต้านทาน โดยการดัดแปลงจากแอมมิเตอร์ให้สามารถวัดค่าและแสดงค่าออกมาเป็นค่าความต้านทานได้โดยตรง กรณีการวัดค่าความต้านทานสูงๆ (High resistance) ที่มีค่าเป็นเมกกะโอห์มขึ้นไป เช่น ใช้วัดค่าความต้านทานของฉนวนสายไฟฟ้า (Insulation) หรือค่าความต้านทานของดิน เรียกว่า เมกกะโอห์มมิเตอร์ (Mega ohmmeter) หรือเมกเกอร์ ( Megger) และ เครื่องวัดค่าความต้านทานหลักดิน เรียกว่า Earth Test Meter

 

 

 

 

 

 

 

 

 

5. มัลติมิเตอร์ (Multimeter)

มัลติมิเตอร์ (Multimeter) เป็นเครื่องมือวัดปริมาณทางไฟฟ้าหลายประเภทรวมอยู่ในเครื่องเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว Multimeter จะสามารถใช้วัดปริมาณ แรงดันไฟฟ้า กระแสตรง (DC voltage) แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC voltage) ปริมาณกระแสไฟตรง (DC current) ความต้านทานไฟฟ้า (Electrical Resistance) และ Multimeter บางรุ่นสามารถใช้วัดปริมาณอื่นๆได้อีก เช่น กำลังออกของสัญญาณความถี่เสียง (AF output) การขยายกระแสตรงของทรานซิสเตอร์ (DC current amplification, hFE) กระแสรั่วของทรานซิสเตอร์ (leakage current, ICEO) ความจุทางไฟฟ้า (Capacitance) ฯลฯ 

     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้อควรระวังในการใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้า

  1. การใช้ เครื่องมือวัด ต้องให้ตรงประเภทกับที่จะใช้วัด
  2. ตรวจสอบความเรียบร้อย ครบถ้วนของชุดเครื่องมือวัดก่อนนําไปใช้งานทุกครั้ง
  3. ก่อนนําเครื่องมือไปใช้งานต้องแน่ใจว่าไม่ใช้เครื่องมือวัดผิดประเภท และต้องคำนึงถึงย่านการวัดด้วย
  4. การเสียบสาย ต่อสายเครื่องมือวัดต้องแน่ใจว่าต่อขั้วถูกต้อง

และความถูกต้อง เที่ยงตรงของค่าที่เครื่องมือวัดอ่านได้ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพของสินค้าและผลิตภัณฑ์แล้วผู้อ่านจะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องมือวัดของผู้อ่านอ่านค่าตรงหรือไม่ ทางบริษัท Calibration Laboratory มีบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ต่างๆ รวมถึงเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าด้วย แล้วทางบริษัทก็ยังได้การรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025:2017 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศไทย (TISI) และจาก ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยใช้ Multi-Product Calibrator เป็น Standardในการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่มีความละเอียดสูง

Multi-Product Calibrator

 

ผู้เขียน Tik sang

 

 

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

ออสซิลโลสโคป(Oscilloscopes) ใช้วัดอะไร และมีกี่ชนิด

ออสซิลโลสโคป (Oscilloscopes)

อะไรคือ ออสซิลโลสโคป ?

ออสซิลโลสโคปเป็น เครื่องมือวัด ประเภทอุปกรณ์แสดงกราฟสัญญาณไฟฟ้า แกนแนวตั้ง (Y) แทนแรงดัน (Voltage) และแกนนอน (X) แทนเวลา (Time) ความเข้มหรือความสว่าง (Intensity) ของจอแสดงผลบางครั้งเรียกว่าแกน Z ใช้วัดค่าแรงดันไฟฟ้าเมื่อเทียบกับคาบเวลา

รูปที่ 1 รูปคลื่นของส่วนประกอบ X, Y, และ Z

ชนิดของคลื่น

  • คลื่นไซน์ (Sine Wave) เป็นเส้นโค้งทางคณิตศาสตร์ที่กำหนดในแง่ของฟังก์ชันตรีโกณมิติไซน์ ซึ่งคือกราฟเป็นคลื่นต่อเนื่องชนิดหนึ่งและเป็นฟังก์ชันคาบที่ราบรื่น เกิดขึ้นบ่อยครั้งในวิชาคณิตศาสตร์ เช่นเดียวกับในฟิสิกส์ วิศวกรรม การประมวลผลสัญญาณ และสาขาอื่นๆ อีกมากมาย

รูปที่ 2 คลื่นไซน์

 

  • คลื่นสี่เหลี่ยม (Square Wave) เป็นรูปแบบคลื่นคาบที่ไม่ใช่ไซนูซอยด์ ซึ่งแอมพลิจูดจะสลับกันที่ความถี่คงที่ระหว่างค่าต่ำสุดและค่าสูงสุดคงที่ โดยมีระยะเวลาเท่ากันที่ค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด ในคลื่นสี่เหลี่ยมในอุดมคติ การเปลี่ยนระหว่างค่าต่ำสุดและค่าสูงสุดจะเกิดขึ้นทันที 

รูปที่ 3 คลื่นสี่เหลี่ยม

  • คลื่นฟันเลื่อยหรือคลื่นเลื่อย (Sawtooth Wave) เป็นรูปแบบคลื่นที่ไม่ใช่ไซนูซอยด์ มันถูกตั้งชื่อตามความคล้ายคลึงกับฟันของเลื่อยฟันเรียบที่มีมุมคราดเป็นศูนย์ ฟันเลื่อยเดี่ยวหรือฟันเลื่อยที่ถูกกระตุ้นเป็นระยะ ๆ เรียกว่ารูปคลื่นทางลาด (Ramp Waveform)

รูปที่ 4 คลื่นฟันเลื่อน

  • คลื่นสามเหลี่ยม (Triangular Wave หรือ Triangle Wave) เป็นรูปแบบคลื่นที่ไม่ใช่ไซนูซอยด์ ซึ่งตั้งชื่อตามรูปทรงสามเหลี่ยม เป็นฟังก์ชันจริงแบบต่อเนื่อง (Continuous Real Function), เป็นคาบ (Periodic), และเป็นเชิงเส้นแบบเป็นช่วงๆ (Piecewise Linear)

รูปที่ 5 คลื่นสามเหลี่ยม

  • คลื่นพัลส์ (Pulse Wave) เป็นรูปแบบของคลื่นที่ไม่ใช่ไซนูซอยด์ที่มีคลื่นสี่เหลี่ยม และคลื่นที่มีระยะเวลาใกล้เคียงกันแต่ไม่สมมาตร เป็นคำที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) และเป็นรูปคลื่นทั่วไปที่มีอยู่ในซินธิไซเซอร์หลายตัว รูปร่างที่แน่นอนของคลื่นถูกกำหนดโดยรอบการทำงานหรือความกว้าง พัลส์ของเอาต์พุตออสซิลเลเตอร์ (Oscillator) ในซินธิไซเซอร์หลายๆ ตัว รอบการทำงานสามารถมอดูเลต (มอดูเลตความกว้างพัลส์) เพื่อให้ได้เสียงที่มีไดนามิกมากขึ้น คลื่นพัลส์เรียกอีกอย่างว่าคลื่นสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นเวอร์ชันเป็นคาบของฟังก์ชันสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangular Function)

รูปที่ 6 คลื่นพัลส์

 

พื้นฐานของการวัด

  • ความถี่และคาบ (Frequency And Period) หากสัญญาณเกิดซ้ำ แสดงว่ามีความถี่ ความถี่มีหน่วยวัดเป็นเฮิรตซ์ (Hz) สัญญาณที่ซ้ำกันยังมีคาบซึ่งเป็นระยะเวลาที่สัญญาณใช้เพื่อทำให้หนึ่งรอบเสร็จสมบูรณ์

รูปที่ 7 ความถี่และคาบ

 

  • แรงดันไฟฟ้า (Voltage) คือปริมาณศักย์ไฟฟ้า (ความแรงของสัญญาณชนิดหนึ่ง) ระหว่างจุดสองจุดในวงจร โดยปกติหนึ่งในจุดเหล่านี้คือกราวด์ (แรงดันไฟฟ้าเป็นศูนย์) แต่ไม่เสมอไป คุณอาจต้องการวัดแรงดันไฟฟ้าจากจุดสูงสุดสูงสุดไปจนถึงจุดสูงสุดต่ำสุดของรูปคลื่น ซึ่งอ้างอิงถึงแรงดันไฟฟ้าจากยอดถึงยอด แอมพลิจูดของคำโดยทั่วไปหมายถึงแรงดันไฟฟ้าสูงสุดของสัญญาณที่วัดจากกราวด์หรือศูนย์โวลต์ รูปคลื่นที่แสดงในรูปที่ 8 มีแอมพลิจูดหนึ่งโวลต์และแรงดันไฟสูงสุดถึงยอดสองโวลต์
  •  แอมพลิจูด (Amplitude) หมายถึงปริมาณของแรงดันระหว่างจุดสองจุดในวงจร แอมพลิจูดโดยทั่วไปหมายถึงแรงดันไฟฟ้าสูงสุดของสัญญาณที่วัดจากพื้นดินหรือแรงดันไฟฟ้าเป็นศูนย์
  •  เฟส (Phase) อธิบายได้ดีที่สุดโดยดูที่คลื่นไซน์ คลื่นไซน์ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนที่แบบวงกลมและวงกลมมี 360 องศา คลื่นไซน์หนึ่งรอบมี 360 องศา ดังแสดงในรูปต่อไปนี้ เมื่อใช้องศา คุณสามารถดูมุมเฟสของคลื่นไซน์ได้เมื่อคุณต้องการอธิบายว่าช่วงเวลาผ่านไปเท่าใด

รูปที่ 8 องศาคลื่นไซน์

การเปลี่ยนเฟส (Phase Shift) อธิบายความแตกต่างของจังหวะเวลาระหว่างสองสัญญาณที่คล้ายคลึงกัน ในรูปต่อไปนี้ รูปคลื่นที่ระบุว่า “กระแส” นั้นเรียกว่า 905 นอกเฟส โดยมีรูปคลื่นที่ระบุว่า “แรงดัน” เนื่องจากคลื่นไปถึงจุดใกล้เคียงกันในวัฏจักรของพวกมันพอดี 1/4 ของวัฏจักร (360 องศา/4 = 90 องศา) การเปลี่ยนเฟสเป็นเรื่องปกติในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

รูปที่ 9 ไดอะแกรมการเปลี่ยนเฟส

ชนิดของ เครื่องมือวัด ออสซิลโลสโคป

  • Cathode-ray Oscilloscope (CRO) ออสซิลโลสโคปรังสีแคโทดเป็นชนิดที่เก่าที่สุดและเรียบง่ายที่สุดประกอบด้วยหลอดรังสีแคโทด , แอมพลิฟายเออร์แนวตั้ง, ฐานเวลา, แอมพลิฟายเออร์แนวนอนและแหล่งจ่ายไฟ

รูปที่ 10 ออสซิลโลสโคปรังสีแคโทด

  • Dual-beam Oscilloscope ออสซิลโลสโคปแบบแอนะล็อกลำแสงคู่สามารถแสดงสัญญาณสองสัญญาณพร้อมกันได้ สร้างหลอดรังสีแคโทดลำแสงคู่แบบพิเศษและเบี่ยงเบนลำแสงทั้งสองแยกกัน

รูปที่ 11 ออสซิลโลสโคปลำแสงคู่

  • Digital Oscilloscope ในขณะที่อุปกรณ์อนาล็อกใช้ประโยชน์จากแรงดันไฟฟ้าที่แปรผันอย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ดิจิทัลใช้เลขฐานสองซึ่งสอดคล้องกับตัวอย่างแรงดันไฟฟ้า ในกรณีของออสซิลโลสโคปแบบดิจิทัล ตัวแปลงอนาล็อกเป็นดิจิทัล (ADC) จะใช้เพื่อเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้ให้เป็นข้อมูลดิจิทัล

รูปที่ 12 ออสซิลโลสโคปแบบดิจิตอล

  • Mixed-Signal Oscilloscopes (MSO) ออสซิลโลสโคปแบบสัญญาณผสม มีอินพุตสองประเภท ช่องสัญญาณอนาล็อกจำนวนน้อย (โดยทั่วไปคือสองหรือสี่) และช่องสัญญาณดิจิทัลจำนวนมากขึ้น (โดยทั่วไปคือสิบหก)

รูปที่ 13 ออสซิลโลสโคปแบบสัญญาณผสม

  • Mixed-domain oscilloscopes (MDO) ออสซิลโลสโคปแบบโดเมนผสม มีอินพุตสามประเภท ช่องสัญญาณอนาล็อกจำนวนน้อย ช่องดิจิตอลจำนวนมากขึ้น และช่อง RF หนึ่งช่อง ให้ความสามารถในการเทียบเวลากับสัญญาณอนาล็อก ดิจิตอล และ RF กับเวลาซึ่งกันและกันได้อย่างแม่นยำ

รูปที่ 14 ออสซิลโลสโคปแบบโดเมนผสม

  • Handheld oscilloscopes ออสซิลโลสโคปแบบใช้มือถือ (หรือที่เรียกว่าสโคปมิเตอร์) มีประโยชน์สำหรับการทดสอบและการใช้งานภาคสนามจำนวนมาก

รูปที่ 15 ออสซิลโลสโคปแบบใช้มือถือ

  • PC-based oscilloscopes ออสซิลโลสโคปแบบดิจิทัลบางตัวใช้แพลตฟอร์ม PC ในการแสดงและควบคุมเครื่องมือ สามารถอยู่ในรูปแบบของออสซิลโลสโคปแบบสแตนด์อโลนที่มีแพลตฟอร์ม PC ภายใน (เมนบอร์ด PC) หรือเป็นออสซิลโลสโคปภายนอกที่เชื่อมต่อผ่าน USB หรือ LAN ไปยังพีซีหรือแล็ปท็อปแยกต่างหาก

รูปที่ 16 ออสซิลโลสโคปบนพีซี

 

การประยุกต์ใช้ออสซิลโลสโคปในอุตสาหกรรมต่างๆ

ออสซิลโลสโคปไม่ได้ใช้เฉพาะในห้องทดลองเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในภาคอุตสาหกรรมและการศึกษาอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถมองเห็นลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ได้อย่างแม่นยำและมีความละเอียดสูง อุตสาหกรรมที่มีการใช้เครื่องมือวัดนี้ เช่น

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Industry)

วิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ใช้ออสซิลโลสโคปเพื่อตรวจสอบการทำงานของวงจร ตรวจหาสัญญาณรบกวน (noise), การกระเพื่อมแรงดัน (voltage ripple) หรือวิเคราะห์สัญญาณจากไมโครคอนโทรลเลอร์และอุปกรณ์ดิจิทัล เพื่อให้แน่ใจว่าวงจรทำงานได้ตามมาตรฐานออกแบบ

อุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive Industry)

ใช้ตรวจสอบสัญญาณจากเซนเซอร์, ระบบจุดระเบิด, ระบบควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) และระบบควบคุมความปลอดภัย เช่น ABS หรือระบบถุงลมนิรภัย เพื่อหาความผิดปกติหรือสัญญาณล่าช้าในวงจรควบคุม

สถาบันการศึกษาและวิจัย (Education & Research)

ในห้องเรียนวิศวกรรมและฟิสิกส์ ออสซิลโลสโคปถูกใช้เป็นเครื่องมือสาธิตหลักการคลื่นไฟฟ้า การแปลงสัญญาณ และการทดลองทางอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน ช่วยให้นักศึกษาเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณไฟฟ้าแบบจริง

การใช้งานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ออสซิลโลสโคปเป็น “หัวใจของการวัดและวิเคราะห์สัญญาณไฟฟ้า” ในแทบทุกวงการ ตั้งแต่การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่

 

Ref.
Tektronix

Keysight Technologies

Keysight

Owontech

 

ผู้เขียน L5

 

 

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดีอย่างไร? Data logger จากเยอรมัน รุ่น Testo 175 H1

ดีอย่างไร? Data logger จากเยอรมัน รุ่น Testo 175 H1

สวัสดีคะ วันนี้เราจะมาพูดถึง Data logger Temperature and humidity  (เครื่องบันทึกอุณหภูมิและความชื้น) Brand TESTO สินค้าจากประเทศเยอรมัน ดีอย่างไร หลายคนอาจจะทราบกันแล้วว่า สินค้า TESTO เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ และมีคุณสมบัติหลากหลายให้เลือกใช้งานค่ะ วันนี้เรามีรุ่น เครื่องบันทึกอุณหภูมิและความชื้น  มาแนะนำนะคะ เป็นรุ่น Testo 175 H1 ซึ่งเครื่องมือวัดตัวนี้สามารถวัดอุณหภูมิและความชื้นโดยมีการบันทึกข้อมูลได้อย่างต่อเนื่องหลายค่ามากเหมาะกับการเก็บบันทึกอุณหภูมิในอาคาร ห้องปฏิบัติการทดลอง ห้องปฏิบัติการสอบเทียบต่างๆ ห้องสโตร์หรือคลังจัดเก็บสินค้า หรือจะเป็นสถานที่ที่ต้องการมีการควบคุมเรื่องการวัดอุณหภูมิและความชื้นที่จะส่งผลต่อเครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้นๆ เครื่องมือวัดตัวนี้ก็สามารถจัดการได้เป็นอย่างดีค่ะ และอย่าลืมว่าเครื่องมือจำเป็นต้องทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เป็นประจำ เพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องแม่นยำค่ะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วค่ะเพื่อนๆ คงอยากทราบรายละเอียดข้อมูลลักษณะหรือคุณสมบัติของเครื่องมือวัดตัวนี้กันแล้วตามไปอ่านกันดีกว่าค่ะว่าจะเป็นแบบไหน

คุณสมบัติของเครื่อง Testo 175 H1 มีดังนี้  

  • เป็นเครื่องวัดและบันทึกค่าอุณหภูมิและความชื้น เซนเซอร์วัดอุณหภูมิเป็นชนิด NTC และมีเซนเซอร์วัดความชื้นภายในตัวเครื่อง
  • มีหน่วยการวัดหลากหลายหน่วยให้เลือก ◦C, ◦F, ◦Ctd, %RH, g/m3
  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลระดังสูง
  • จอแสดงผลเป็น LCD 2 บรรทัดมีขนาดใหญ่ อ่านง่าย
  • หน่วยความจำข้อมูลสำหรับการวัด 1 ล้านค่า
  • กำหนดช่วงเวลาในการบันทึกได้ในช่วงทุก 10 วินาที ถึง 24 ชั่วโมง
  • ตัวเครื่องมีลักษณะเป็นสีดำ ขนาดเล็กเพียง 149x53x27 มิลลิเมตร
  • ใช้แบตเตอรี่ชนิด 3A จำนวน 3 ก้อน
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด 3 ปี
  • ถ่ายโอนข้อมูลผ่านสาย USB หรือการ์ด SD
  • Sensor ความชื้นแบบ External Capacitive  (แบบ External Sensor ) ติดกับตัวเครื่อง
  • ระดับการป้องกันฝุ่น IP54

รูปภาพ Testo 175 H1 พร้อมสาย USB

ข้อมูลด้านเทคนิค

 

ข้อควรระวังและการเก็บรักษา Data logger

  • ใช้ เครื่องบันทึกอุณหภูมิและความชื้น ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในข้อมูลทางเทคนิค
  • ไม่เก็บเครื่องมือไว้ใกล้ที่อยู่อาศัย ควรเก็บในพื้นที่ที่มีอุณภูมิเหมาะสม
  • ก่อนตรวจวัดตรวจดูว่าสายเชื่อมต่ออยู่หรือไม่ ปิดเซนเซอร์ที่ไม่ได้ใช้          
  • หลังจากการตรวจวัดครั้งสุดท้าย ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วค่อยถอดเซนเซอร์ออก
  • อุณหภูมิที่บอกไว้บนโพรบเซนเซอร์ ใช้ในช่วงที่ให้ไว้เท่านั้น ไม่สามารถเก็บในอุณหภูมิเกิน 70 ◦C
  • การซ่อมบำรุงเครื่องมือให้ทำตามข้อมูลตามที่กำหนดและใช้อุปกรณ์จาก Testo เท่านั้น
  • ควรมีการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด ประเภทนี้ควรส่งสอบเทียบอย่างน้อยทุกๆ 1 ปี โดยส่งสอบเทียบกับห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเครื่องมือยังอยู่ใน Spec 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ให้กับเพื่อนๆอยู่บ้างนะคะ ติดตามตอนต่อไปนะคะและขอแอบบอกไว้ก่อนเลยว่าเรามีเครื่องมือวัดตัวอื่นที่น่าสนใจอีกหลายตัวที่จะมาเล่าให้เพื่อนได้ฟังได้อ่านกันอีก โปรดรอติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ^O^

 

ผู้เขียน Suphanun BDS

 

 

บริการ สอบเทียบอุณหภูมิและความชื้น

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา