คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

Linear Scale หรือ Litematic คืออะไร พร้อมวิธีการสอบเทียบ

เครื่อง LITEMATIC หรือ Linear Scale คือ เครื่องมือวัด ที่ออกแบบมาสำหรับการวัดชิ้นงานที่เปลี่ยนรูปได้ง่ายและชิ้นส่วนที่มีความแม่นยำสูง เพราะมีกำลังวัดต่ำ 0.01 N เหมาะสำหรับการวัดชิ้นงานที่บอบบาง แกนหมุนของเครื่องจะเคลื่อนที่ด้วยมอเตอร์เลื่อนขึ้นเลื่อนลงและหยุดเมื่อสัมผัสชิ้นงานความละเอียดของเครื่อง 0.01 ไมโครเมตร ตัวTABLE จะเป็นเซรามิก เพื่อป้องการการกัดกร่อน เราสามารถพบ เครื่องมือวัด ชนิดนี้ตามโรงงานอุตสาหกรรมผลิตถุงพลาสติก กระป๋องน้ำอลูมิเนียมหรือแผ่นฟิล์ม เป็นต้น

การสอบเทียบเครื่องมือ LITEMATIC หรือ Linear Scale

เครื่องมือ STANDARD ที่ใช้ในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด จะใช้ GAUGE BLOCK ในการสอบเทียบ และห้องที่ต้องใช้ในการสอบเทียบจำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 20 ± 1 °C เพื่อความแม่นยำในการสอบเทียบ

ขั้นตอนการสอบเทียบเครื่องมือวัด

1. เช็ดทำความสะอาด GAUGE BLOCK และเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องอย่างน้อย 1 ชั่วโมง 

  1. ทำความสะอาดเครื่อง LITEMATIC ให้สะอาด ไม่มีฝุ่นผง เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีความละเอียดสูงไม่ควรมีฝุ่นผงติดตามเครื่องมือ
  2. เมื่อทิ้งไว้ครบ 1 ชั่วโมงแล้วให้เลือกใช้ GAUGE BLOCK ชิ้นที่จะใช้สอบเทียบตามช่วงที่ใช้งานจริ

  1. กดลูกศรเลื่อนลงที่หน้าเครื่องเพื่อให้หัว Probe เลื่อนลงมาแตะที่ Table ให้สนิทแล้วกด zero ที่หน้าเครื่อง บางเครื่องไม่ได้เป็นแบบระบบ auto ต้องใช้มือในการจับเลื่อนหัว Probe ทำให้อาจมีความคลาดเคลื่อนในการวัดเพราะน้ำหนักที่ลงลงได้ไม่เท่ากัน
  2. เมื่อเครื่อง LITEMATIC หรือ Linear Scale โชว์ค่าที่หน้าจอ DIGITAL เป็น Zero หรือแสดงผลเป็นเลขศูนย์ทั้งหมดแล้วให้กดลูกศรขึ้นเพื่อเลื่อนหัว Probe ขึ้น
  3. เมื่อหัว Probe เลื่อนขึ้นแล้วให้นำ Gauge Block ที่ได้เช็ดทำความสะอาดและอยู่ในอุณหภูมิที่คงที่อย่างน้อย 1 ชั่วโมงมาทำการวางบน Table ของเครื่อง LITEMATIC วิธีการวางให้วางตรงกลางตรงกับหัว Probe และ Gauge Block ต้องแนบสนิดกับตัว Table
  4. กดลูกศรเลื่อนลงหน้าเครื่อง LITEMATIC เพื่อให้หัว Probe แตะที่ตัว Gauge Block แล้วจึงอ่านค่า ตัวอย่างเช่น ถ้านำ Gauge Block ก้อน 1mm วาง เครื่องก็จะต้องอ่านค่าได้ 1.000 mm เป็นต้น บางเครื่องมือมีความเป็นไปได้ที่จะมีค่า error ซึ่งค่าที่อ่านได้อาจมีความคลาดเคลื่อนโดยขึ้นอยู่กับสภาพเครื่องมือและวิธีการจัดเก็บ
  5. ทำการวัดซ้ำกันอย่างน้อย 3 ครั้งเพื่อ Confirm ค่าที่วัดได้ ส่วนจุดสอบเทียบก็ขึ้นอยู่กับช่วงที่ใช้งานหรือแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ตามระยะของเครื่องมือ เช่น 10% full scale ตัวอย่าง เครื่อง spec 100 mm แบ่ง 10% ก็จะเริ่มวัด ที่ 10 mm ไปจนถึง 100 mm เป็นต้น 
  6. จดบันทึกผลค่าที่อ่านได้ตามระยะของชิ้น Gauge Block ถือเป็นเสร็จสิ้นการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

สภาพเครื่องมือวัดและอุณหภูมิของห้องที่ใช้จัดเก็บเครื่องมือมีผลในการวัด ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลในคู่มือและจัดเก็บไว้ในห้องที่เหมาะสมเพื่อความเที่ยงตรงในการใช้งาน

 

ผู้เขียน Onsite

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ปิเปตต์ (Pipette) คืออะไร? มีกี่ประเภท และเลือกใช้อย่างไรให้แม่นยำ

ปิเปตต์ (Pipette)

ปิเปตต์ คือ อุปกรณ์ทางเคมีที่ใช้ในการตวง-วัดปริมาณสารที่เป็นของเหลว มีสเกล (Scale) การวัดที่มีความละเอียดและความแม่นยำสูง เทคนิคการใช้งานปิเปตต์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้งานควรมี เทคนิคการใช้งานที่ถูกต้อง และมีทักษณะความรู้ความชำนาญเพื่อเป็นการลดข้อผิดพลาดในการใช้งานหรือการทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด วิธีการ ขั้นต้นในการใช้ ปิเปตต์ให้ถูกวิธี คือ เลือกปิเปตต์ที่เหมาะกับงานที่ต้องการ

ทำไมต้องรู้จักปิเปตต์ให้ดี

ในการทดลองหรือทำงานในห้องปฏิบัติการ ความแม่นยำคือหัวใจสำคัญ “ปิเปตต์” คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับตวงหรือถ่ายโอนของเหลวปริมาณน้อยอย่างแม่นยำ หากเลือกผิดประเภท หรือใช้งานไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนทันที

ประเภทของปิเปตต์

ที่มีอยู่และใช้งานในห้องปฏิบัติการ ได้แก่

1. ปิเปตต์แบบปริมาตร (Volumetric Pipette หรือ Transfer Pipette)

 

ปิเปตต์ชนิดนี้ใช้วัดปริมาตรที่กำหนดเพียงปริมาตรเดียว ไม่มีขีดหรือสเกลแบ่งย่อย ดังนั้นจึงสามารถวัดปริมาตรได้เพียงค่าเดียว นิยมใช้ในกรณีที่ต้องการความแม่นยำสูง ปิเปตต์แบบปริมาตรจะมีลักษณะเป็นกระเปาะอยู่ตรงกลางมีขีดบอกปริมาตรอยู่เหนือกระเปาะใกล้ปลายปากดูด การวัดจะถูกต้องเมื่อปล่อยให้สารละลายหรือของเหลวไหลออกช้าๆจนหมดแล้วแตะปิเปตต์กับผิดด้านในของภาชนะที่ใช้ในการรองรับโดยไม่ต้องเป่า

2.ปิเปตแบบใช้ตวง (Graduated Pipette หรือ Measuring Pipette)

ปิเปตต์ชนิดนี้ไม่มีกราะเปาะ มีขีดหรือสเกลแบ่งย่อยปริมาตร แต่ไม่แบ่งลงไปจนถึงปลายสุดของปิเปตต์ ดังนั้นการใช้งานจะต้องระวังไม่ให้สารละลายหรือของเหลวไหลลงไปต่ำกว่าส่วนแบ่งขีดหรือสเกลสุดท้าย หากลงไปต่ำกว่าขีดหรือสเกลสุดท้ายจะทำให้การถ่ายเทปริมาตรได้มากกว่าที่เป็นจริง ปิเปตต์แบบใช้ตวงจึงมีความแม่นยำน้อยกว่าปิเปตต์แบบปริมาตรเมื่อเทียบกับขนาดที่บรรจุเท่ากัน

รายละเอียดที่เขียนอยู่บนปิเปตต์ทั้ง 2 ชนิด

จะมีรายละเอียดบ่งบอกถึง

  • สัญลักษณ์ Blow-out pipette
  • ขีดบอกปริมาตร
  • ความจุของปิเปตต์
  • ปริมาตรแต่ละขีดหรือสเกล
  • ระดับชั้นคุณภาพของปิเปตต์
  • สัญลักษณ์บ่งบอกวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
  • ความคลาดเคลื่อนของปริมาตรของปิเปตต์ชนิดนั้นๆ

สัญลักษณ์ที่บอกระดับชั้นคุณภาพคืออะไร

สัญลักษณ์ที่บ่งบอกระดับชั้นคุณภาพของปิเปตต์วัดปริมาตรจะแบ่งตามชั้นคุณภาพ (CLASS) ได้ 2 ระดับชั้นคุณภาพ คือ

  1. ชั้นคุณภาพเอ (CLASS A) จะใช้สัณลักษณ์ A บ่งบอกถึงเป็นปิเปตต์ที่มีความแม่นยำสูงสุด มีค่าความคลาดเคลื่อนของปริมาตรที่ยอมรับได้ต่ำ มักนิยมใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงมากๆ
  2. ชั้นคุณภาพบี (CLASS B) จะใช้สัญลักษณ์ B บ่งบอกถึงเป็นปิเปตต์ที่มีความคลาดเคลื่อนของปริมาตรที่ยอมรับได้เป็น 2 เท่าของเครื่องแก้วชั้นคุณภาพ A มักนิยมใช้ในงานที่สามารถยอมรับค่าความไม่แน่นอนในระดับที่สูงขึ้น

ส่วนสัญลักษณ์ที่บอกถึงวัตถุประสงค์การใช้งานของปิเปตต์นั้น

ปิเปตต์วัดปริมาตร

จะแบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งานได้ 2 ชนิด คือ

  1. ปิเปตต์สำหรับบรรจุ (To contain) ใช้สัญลักษณ์ TC หรือ IN หรือ C เป็นปิเปตต์ที่ใช้สำหรับบรรจุของเหลวและสอบเทียบ
    โดยวิธีบรรจุของเหลว
  2. ปิเปตต์สำหรับถ่ายของเหลว (To deliver) ใช้สัญลักษณ์ TD หรือ EX หรือD เป็นปิเปตต์ที่ใช้สำหรับถ่ายของเหลวจากภาชนะหนึ่งไปยังอีกภาชนะหนึ่งและสอบเทียบโดยวิธีการถ่ายของเหลวซึ่ง

สัญลักษณ์ที่บอกระดับชั้นคุณภาพ (CLASS A, CLASS B) และสัญลักษณ์ที่บอกถึงวัตุประสงค์ (TC, TD) จะถูกระบุอยู่บนปิเปตต์วัดปริมาตร เป็นต้น

3. ไมโครปิเปตต์ (Micro Pipette or Piston Pipette)

ปิเปตต์ชนิดนี้จะเป็นอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูง ให้การดูดจ่ายสารหรือของเหลวในปริมาตรน้อยๆ โดยทั่วไปไมโครปิเปตต์จะมีส่วนประกอบ เช่น หน้าปัดสำหรับปรับปริมาตร, ปุ่มสำหรับดูดจ่ายสาร, ปุ่มในการปลดทิป (Tip)

การสอบเทียบปิเปตต์จำเป็นแค่ไหน?

การสอบเทียบช่วยให้คุณมั่นใจว่า

    • ปริมาตรที่จ่ายออกมีความแม่นยำตามมาตรฐาน
    • ค่า uncertainty อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
    • ป้องกันความผิดพลาดในงานวิเคราะห์ โดยเฉพาะงานควบคุมคุณภาพ

 

ซึ่งการสอบเทียบนั้นต้องทำการสอบเทียบโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จากสถาบันที่เชื่อถือได้เช่น สมอ. หรือ ANAB เท่านั้น

 

วิดีโอ วิธีการใช้งานไมโครปิเปต (Micropipette) | และการสอบเทียบ

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ปิเปตต์ใช้แล้วต้องสอบเทียบบ่อยแค่ไหน?
– แนะนำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากใช้ในงานวิจัย/วิเคราะห์สำคัญ

ทำไมปิเปตต์ถึงวัดปริมาตรผิด?
– สาเหตุอาจมาจากความชื้น ปลายทิปที่รั่ว การใช้งานผิดประเภท หรือไม่เคยสอบเทียบเลย

จะรู้ได้อย่างไรว่าปิเปตต์ยังแม่นยำ?
– ตรวจสอบจากใบสอบเทียบ (Calibration Certificate) และทำการตรวจสอบคร่าว ๆ ด้วยน้ำกลั่นบนเครื่องชั่ง

โดยปิเปตต์ที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 3 ชนิด เป็นปิเปตต์ที่นิยมใช้งาน รวมไปถึงการสอบเทียบเครื่องมือ เพื่อยืนยันว่าเครื่องมือหรือเครื่องแก้วที่ใช้นั้นมีค่าที่ได้จากการสอบเทียบที่มีความถูกต้อง ความแม่นยำ และมีค่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับ (MPE) ได้ตลอดการใช้งาน หากคุณต้องการสอบเทียบปิเปตต์ของคุณให้ได้มาตรฐาน ISO/IEC 17025 อย่างแม่นยำ พร้อมใบรับรองจากห้องปฏิบัติการที่เชื่อถือได้ ติดต่อ CLC Calibration Laboratory

 

 

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)
ANAB
มาตรฐานการรับรองISO/IEC 17025

 

ผู้เขียน LAB7

 

 

มาทำความรู้จักกับ PH Meter และการสอบเทียบกัน

บริการสอบเทียบ Glassware & Chemical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

เจาะลึก!! 14 ข้อดี เครื่องชั่ง VIBRA ALE SERIES

หากจะพูดถึง เครื่องชั่ง เชิงวิเคราะห์ ว่าในบ้านเรามียี่ห้อไหนบ้างก็อาจจะยกมาไม่หมด ถ้าจะยกมาเป็นตัวอย่างบ้าง บางยี่ห้อที่น่าจะคุ้นหูก็เช่น ยี่ห้อ Sartorius, Mettler Toledo, Vibra,  A&D, Shimadzu, Ohaus ซึ่งที่เราจะมาพูดถึงแบบเจาะจงลงรายละเอียดกันเลย วันนี้จะเป็นของแบรนด์ VIBRA เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพดีติดอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ อุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ สารเคมี อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุตสาหกรรมรถยนต์ งานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องบิน ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

บทความนี้เรามีอะไรมาแนะนำผู้อ่านๆให้รู้จักบ้าง ตามไปดูกันเลยว่ามีอะไรที่น่าสนใจสำหรับ เครื่องชั่ง ตัวนี้กันบ้างนะคะ
ขอแนะนำให้รู้จักกับ เครื่องชั่ง อีกหนึ่ง SERIES ของแบรนด์ VIBRA ที่มีประสิทธิภาพสูงคุณภาพดี คือ… ALE SERIES

ผู้อ่านได้จำบทความ เรื่องเทคโนโลยี TUNING-FORK SENSOR INSIDE เซ็นเซอร์ส้อมเสียงหนึ่งเดียวในโลกที่เราเคยเล่าในบทความเมื่อครั้งก่อนได้ไหมคะ ALE SERIES ก็มีเซ็นเซอร์ส้อมเสียงเหมือนกันค่ะ ด้วย

ข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้กับการชั่งน้ำหนักในห้องปฏิบัติการ 

  • ให้ประสิทธิภาพความ แม่นยำสูง และมีความ ทนทาน สูงสุดตลอดการในงานระยะยาว
  • มีขนาดกระทัดรัด เล็กที่สุดในบรรดาเครื่องชั่งที่มีความแม่นยำ
  • สามารถติดตั้งเครื่องชั่งได้ทุกที่ที่คุณต้องการแม้ในห้องปฏิบัติการที่มีขนาดเล็กมาก
  • มีเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ซึ่งสามารถลดเวลาในการปรับความเสถียรภาพให้เหลือเพียง”ครึ่งหนึ่ง” ของรุ่นก่อนหน้านี้
    ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการชั่งน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
  • ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานต่อแรงกระแทกสูง
  • สามารถดูดซับแรงกระแทกแม้ว่าจะมีวัตถุที่มีน้ำหนักมากตกลงมาบนเครื่องโดยไม่ตั้งใจ ก็ยังสามารถดำเนินการชั่งน้ำหนักต่อได้ทันทีเลยค่ะ
  • ในส่วนของการให้พลังงานก็สามารถใช้งานได้กับแบตเตอรี่เซลล์แบบแห้งได้ด้วย เนื่องจากเป็นการใช้พลังงานที่ต่ำในระบบเซ็นเซอร์ส้อมเสียง
  • มีประโยชน์ในด้านการให้พลังงานไฟฟ้าสำรองได้อีกด้วยค่ะ

วิธีการทำงานของ เครื่องชั่ง หรือวิธีการชั่งสินค้า

วิธีการทำงานหรือวิธีการชั่งสินค้าก็จะเหมือนกับ Vibra รุ่น AJ Series ที่เคยกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้แล้วหรือถ้าต้องการดูฟังก์ชันการทำงานของรุ่น AJ Series เพิ่มสามารถเข้าไปดูที่ บทความตาม link นี้ได้เลย คลิก!!

และเมื่อกล่าวถึงรุ่น ALE Series นี้ คือมีฟังก์ชันอื่นๆอีก เช่น

  • การนับชิ้นงาน (Count)
  • ฟังก์ชั่นคำนวณค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) 
  • มีฟังก์ชั่นการหักค่าภาชนะ (Tare) 
  • สามารถใช้งานง่าย
  • สะดวกในการเคลื่อนย้าย
  • สำคัญคือ การดูแลรักษาเครื่องชั่ง ก็ทำได้ง่ายเช่นเดียวกัน เพียงแค่หลังจากที่ไม่ใช้งานแล้วก็ปิดเครื่องไว้ปกติ

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับเรื่อง เครื่องชั่งเชิงวิเคราะห์ ALE SERIES แบรนด์ VIBRA แบบดิจิตอล (Digital) หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเลือกซื้อ เครื่องชั่งดิจิตอล รุ่น ALE SERIES แบรนด์ VIBRA ตอบโจทย์การใช้งานของผู้อ่านแน่นอนค่ะ

นอกจากนี้ทางเราก็มีสินค้าจำหน่ายเช่น เครื่องชั่งวิเคราะห์ หลากหลายรุ่นและ เครื่องมือวัดอื่นๆ ให้เพื่อนๆ ได้เลือกสรร พร้อมสอบเทียบตามมาตรฐานสากล ได้รับการรับรอง ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 ให้เกิดความเชื่อมั่นในมาตรฐานระดับสากลของเราอีกด้วยค่ะ แล้วพบกันใหม่ในครั้งหน้านะคะ ขอบคุณค่ะ 

ผู้เขียน BEW JJ.

 

 

เคล็ดลับ!? การปรับระดับน้ำของเครื่องชั่ง เครื่องชั่งละเอียด

ซื้อเครื่องชั่ง ราคาพิเศษ คลิก     บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

เครื่อง Image Dimension Measurement System คืออะไร และวิธีการสอบเทียบ

 เครื่อง Image Dimension Measurement System  คือ  เครื่องมือวัด ที่ล้ำสมัยสามารถสแกนภาพหรือวัดเครื่องมือในรูปแบบสามมิติโดยเพียงแค่วางชิ้นงานบนแท่นแล้วให้เครื่องทำการวัดอัตโนมัติ การสอบเทียบเครื่อง Image Dimension Measurement System จะต้องมีเครื่องมือ STD โดยเฉพาะ เครื่องมือวัด ชนิดนี้จะจัดอยู่กลุ่มประเภท Profile projector และ Microscope สามารถวัดงานได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดเล็กหรือน็อตสกรูชิ้นส่วนพลาสติก เป็นต้น และหลายโรงงานอุตสาหกรรมเริ่มนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย

เครื่อง Image Dimension Measurement system  ยังสามารถสแกนผลการวัดเป็น drawing ต้นแบบในการวัดของชิ้นงานนั้นๆและเมื่อต้องการที่จะวัดชิ้นเพียงแค่นำชิ้นงานมาวางบนแท่นเครื่องก็สามารถตัดสินได้ว่างานชิ้นนี้ NG หรือ OK คือผ่านหรือไม่ผ่านนั้นเอง เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับงานที่จำเป็นต้องวัดชิ้นงานจำนวนมากหรือต้องการความรวดเร็วในการวัด และเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวัดเครื่องมือ จำเป็นต้องมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อยู่สม่ำเสมอ

โดย การสอบเทียบเครื่อง Image Dimension Measurement System  นั้น เครื่องมือจะมี  Standard เฉพาะของตัวเครื่องจะทำการสแกนตัว Standard และจดจำค่า ส่วนตัว Standard ของตัวเครื่องก็ควรมีการส่งสอบเทียบด้วยเช่นกัน แต่ทุกวันนี้ก็มีบริษัทหรือห้องปฏิบัติการสอบเทียบก็มีวิธีการสอบเทียบเครื่องมือนี้

การสอบเทียบเครื่องมือนี้จะใช้ standard ใน การสอบเทียบ เป็น Standard glass scale ซึ่งขนาดความยาวที่ใช้ ขึ้นอยู่กับ Spec เครื่องมือที่จะทำการสอบเทียบ ช่วงสอบเทียบหรือช่วงใช้งานและความถูกต้อง

ขั้นตอนการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เบื้องต้น

  1. ตรวจเช็คความพร้อมของ เครื่องมือวัด ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
  2. ทำการเปิดเครื่องและโปรแกรมในการวัด เครื่องแต่ละ BRAND แต่ละ MODEL การใช้งานจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงควรศึกษาคู่มือก่อนการสอบเทียบ
  3. เมื่อเข้าโหมดการวัดได้แล้วนำ Standard glass scale วางลงบนแท่นของเครื่อง โดยเริ่มว่างจากแนวแกน X ดังรูป
  4. กดที่โหมดสแกนในโปรแกรมเครื่องจะทำการสแกนระยะที่เราต้องการสอบเทียบ เมื่อสแกนเสร็จแล้วให้ทำการวัดโดยใช้โหมดการวัดในโปรแกรม แล้วเลือกวัดระยะในแนวแกน X แบ่งระยะในการวัดเป็นทุกๆ10%หรือแล้วแต่ว่าผู้วัดต้องการทราบค่าในระยะใด เมื่อทราบผลการวัดแล้วทำการจดบันทึกค่

ในแนวแกน Y ให้นำ Standard glass scale สลับวางในแนวไปทางด้านแกน Y แล้วทำตามขั้นตอนเหมือนในแนวแกน X

เมื่อสอบเทียบแล้วเสร็จขั้นตอนให้ทำการจดบันทึกค่าเป็นอันเสร็จสิ้นการ สอบเทียบเครื่องมือ ในส่วนของการใช้งานเครื่องมือนั้นแนะนำว่าควรศึกษาคู่มือก่อนใช้งานในทุกๆครั้ง เพราะในแต่ละรุ่นของเครื่องมือมีการใช้งานที่แตกต่างกัน

ผู้เขียน ไพศาล

 

Profile Projector คืออะไร มีวิธีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างไร

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

วิธีการสอบเทียบ Pressure Gauge มีวิธีพิจารณาอย่างไร

Pressure Gauge

          เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดค่า Pressure ในอุตสาหกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและสามารถหาซื้อได้ง่าย และเมื่อเทียบเรื่องราคากับ Digital Pressure Gauge ถือว่าราคาถูกมากๆ นิยมใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่การใช้ในระบบเครื่องจักรที่มีขนาดเล็ก เช่น ปั้มลม, เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงไปจนถึงใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ระบบงานไฟฟ้า, ระบบงานปิโตรเลียม เป็นต้น

วิธีการสอบเทียบ Pressure Gauge
การพิจารณาวิธีการที่จะใช้ สอบเทียบ Pressure มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้ให้เหมาะสมมีดังต่อไปนี้

  • ย่านการวัด (Range) ของเครื่องมือที่จะสอบเทียบ ในที่นี้จะใช้หน่วย Pa, kpa, Mpa
  • Pressure Gauge ที่จะนำมาสอบเทียบใช้กับตัวกลาง (Media) แบบไหน เช่น ลม (Air), ไนโตรเจน, (N2),น้ำ (Water), น้ำมัน (Oil)
  • ค่าความผิดพลาด (Error) หรือ เกณท์การยอมรับ MPE (Maximum Permissible Error) ของ Pressure Gauge ที่จะสอบเทียบนั้นมีค่าที่เท่าไหร่

เครื่องมือวัดทางด้าน Pressure เช่นในบทความนี้ ขอยกตัวอย่างเป็น Pressure Gauge จะมีวิธีการพิจารณา วิธีการสอบเทียบ Pressure Gauge ได้ดังต่อไปนี้
ลูกค้าไม่มีรายละเอียดที่ต้องการ ให้ทางห้องปฏิบัติการพิจารณาการสอบเทียบให้ ทางเราจะพิจารณาจาก รายละเอียดของเครื่องมือที่ลูกค้าส่งมาสอบเทียบดังต่อไปนี้

  1. เลือกจุดสอบเทียบของ เครื่องมือวัด

    จากย่านการวัดต่ำสุด(min)ของเครื่องมือลูกค้า ไปจนถึง ย่านการวัดสูงสุดของเครื่องมือลูกค้า (max) ที่ต้องการจะสอบเทียบ หากมี pointใช้งานเป็นประจำที่อยู่ในย่าน Min – Max ที่ต้องการสอบเทียบ ก็สามารถแจ้งเพิ่มPointได้

  2. เลือกประเภท Media ของ Pressure ที่จะนำมาใช้สอบเทียบ

    โดยปรกติแล้ว ลูกค้าจะต้องแจ้งประเภทของตัวกลาง (Media) ของ Pressure Gauge ที่ต้องการสอบเทียบ ทางห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถพิจารณาเลือกให้ได้ เนื่องจากการสอบเทียบ หากใช้ประเภทตัวกลาง (Media) ของ Pressure Gauge ที่ไม่ตรงกับการใช้งานจริงในบางลักษณะงาน อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD) และส่งผลเสียก่อให้เกิดการปนเปื้อนเมื่อลูกค้านำเครื่องมือกลับไปใช้งานหลังสอบเทียบเสร็จ ยกตัวอย่างเช่น
    เครื่องมือลูกค้าใช้กับตัวกลาง (Media) น้ำมัน (Hydraulic Oil) แต่มาให้สอบเทียบด้วยตัวกลางลม(Air) ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ เมื่อสอบเทียบไปแล้ว จะทำให้น้ำมัน (Hydraulic Oil) ที่ยังมีเหลือตกค้างในเครื่องมือของลูกค้า มาปนเปื้อนกับระบบการสอบเทียบของเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD)ของห้องปฏิบัติการ จะเกิดความเสียหายต่อเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD)ได้
    เครื่องมือลูกค้าใช้กับตัวกลาง (Media) ลม(Air)แต่มาให้สอบเทียบด้วยน้ำมัน (Hydraulic Oil) ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ เมื่อสอบเทียบไปแล้วลูกค้านำเครื่องมือกลับไปใช้งาน จะทำให้น้ำมัน (Hydraulic Oil) จากการสอบเทียบไหลออกจากเครื่องมือลูกค้ามาปนเปื้อน ทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องจักรและระบบงานของลูกค้า

  3. เลือกค่าของเกณท์การยอมรับ (MPE)

    กรณีที่ลูกค้าไม่ได้แจ้งทางห้องปฏิบัติการจะรายงานค่าตามจริงหรือพิจารณาจากค่าความถูกต้องเเม่นยำในการวัดของเครื่องมือ (Accuracy)

ตัวอย่างการสอบเทียบ เครื่องมือวัด Pressure ลูกค้าแจ้งว่าสอบเทียบกับตัวกลาง (Media) ลม(Air)

รูปที่ 1

ตัวเครื่องมือที่จะนำมาสอบเทียบอยู่ใน Range 0 -10 bar สามารถสอบเทียบได้โดยกำหนดดังนี้
Cal: 0-10 bar by Air
MPE: (3) กรณีลูกค้าต้องการให้รายงานค่าตามจริง หรือ MPE(2) 1% F.S (±0.1bar) ตามสเปคเครื่องมือ โดยที่สเปคเครื่องมือ
ในบางกรณีสามารถตรวจสอบได้ที่ หน้าปัด ของตัวเครื่องมือ (ถ้ามี)

 

ตัวอย่างการ สอบเทียบ Pressure ที่ลูกค้าแจ้งว่าสอบเทียบกับตัวกลาง (Media) น้ำมัน(OIL)

รูปที่ 2

ตัวเครื่องมือที่จะนำมาสอบเทียบอยู่ใน Range 0-250 bar สามารถสอบเทียบได้โดยกำหนดดังนี้
Cal: 0-250 bar by OIL
MPE:(3) กรณีลูกค้าต้องการให้รายงานค่าตามจริง หรือ MPE(2) 1.6% F.S (± 4 bar) ตามสเปคเครื่องมือ โดยที่สเปคเครื่องมือ ในบางกรณีสามารถตรวจสอบได้ที่หน้าปัดของตัวเครื่องมือ (ถ้ามี)

  • โดยในละ point การสอบเทียบ โดยส่วนมากจะแบ่งตามช่องสเกลทั้งหมดของหน้าปัดหรือแบ่งตาม Main Scale ซึ่งก็คือ 0,50,100,150,200,250 bar ในรูปที่ 2 หรือ 0,2,4,6,8,10 bar ในรูปที่ 1
    หมายเหตุ
    กรณีที่มี Point ที่ต้องการจะสอบเทียบเป็นพิเศษก็สามารถแจ้งได้ แต่จะต้องอยู่ในช่อง Scale ที่ตัวเครื่องมือสามารถอ่านค่าได้ เช่น Pressure Gauge ในรูปตัวอย่างด้านล่าง

 

รูปที่ 1 ตัวอย่าง Pressure Gauge Range 0-10 bar                   รูปที่ 2 ตัวอย่าง Pressure Gauge Range 0-250 bar

ตัวอย่าง Pressure gauge ที่มี สเปคระบุที่เครื่องมือ

ในกรณีที่ตัวเครื่องมือนั้นไม่มีค่า MPE ระบุที่หน้าปัดสามารถดูจากช่องสเกลความละเอียดของเครื่องมือโดยจะมีค่า Accuracy ที่ใกล้เคียงกันกับความละเอียดจริงที่เครื่องมือสามารถวัดค่าPressureได้ ขอยกตัวอย่างดังนี้

 

ตัวเครื่องมือ pressure gauge มีค่า ความละเอียด อยู่ที่ 0.01 MPa สามารถสังเกตดูจากจำนวนช่อง Scale ที่หน้าปัดแสดงค่าการวัดของตัวเครื่องมือในกรณีนี้ ช่วงค่า Pressure ระหว่าง 0.1 – 0.2 MPa มีช่อง Scale 10 ช่อง จึงสามารถคำนวณค่าของ Pressure ที่ตัวเครื่องมือ สามารถอ่านค่าได้ในแต่ละช่องมีค่าเท่ากับ 0.01 MPa
จึงสามารถตั้ง MPE คร่าวๆ ได้ 0.01 MPa
หมายเหตุ : วีธีการนี้สามารถใช้ในกรณีที่ไม่สามารถหาสเปคเครื่องมือได้เท่านั้น

 

ผู้เขียน L1 Pressure

 

Pressure Transmitter คืออะไร เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

Ring Gauge คืออะไร คุณใช้งานผิดวิธีอยู่รึเปล่า

Ring Gauge คือ เครื่องมือวัด ที่มีลักษณะเป็นวงกลม มีผิวการใช้งานอยู่ด้านใน โดยทั่วไปแล้วมักใช้งานในการตรวจสอบวัตถุที่เป็นแท่งทรงกลม และจะมีทั้งด้านที่เป็น Go และ No go จึงทำให้การใช้งานมีความสะดวกและรวดเร็ว เหมาะกับการใช้งานในงานที่ต้องการการตรวจสอบที่มีปริมาณงานที่ต้องตรวจสอบเยอะมากๆ

เหตุผลที่ต้องทำการสอบเทียบ Ring Gauge

เพื่อเป็นการตรวจสอบเครื่องมือวัดว่ายังได้มาตรฐานอยู่หรือไม่ เมื่อมีการใช้งานไปเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวสัมผัสด้านในเกิดการสึกหรอ ทำให้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเครื่องมือวัดมีการขยายตัวกว้างขึ้น ซึ่งหากนำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้ อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของชิ้นงานได้

หน่วยการวัดของเครื่องมือวัดจะแบ่งเป็น 2 หน่วย คือ

  1. หน่วย Metric
  2. หน่วย Inch

ซึ่งRing Gaugeจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด

  1. เหล็ก (Steel)
  2. ทังสเตน คาไบต์ (Carbide)
  3. เซรามิค (Ceramic)

การใช้งานเครื่องมือที่ถูกวิธีและการใช้ที่ผิดวิธี

ในการใช้งานเครื่องมือวัดนั้น เมื่อต้องการตรวจสอบชิ้นงาน จะต้องเลือกเครื่องมือวัดที่มีขนาดพอดีกับชิ้นงานนั้น แล้วทำการวัดโดยการสวม ในกรณีที่เกิดการฝืดหรือสวมไม่เข้าไม่ควรฝืน กดหรือยัดมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้ Standard เสียหายได้ และควรใช้กับงานกับผิวสัมผัสที่เป็นผิวเรียบ

ข้อควรระวังในการใช้งาน

  • ไม่ควรจับผิวใช้งานด้านในของตัวเครื่องมือวัด
  • ไม่ควรหมุนตัวเครื่องมือในเวลาที่สวมเข้าไปในตัวชิ้นงานแล้ว
  • หลังการใช้งานเสร็จ ควรทำการเคลือบบริเวณที่เป็นผิวใช้งานเพื่อไม่ให้เกิดสนิม
  • ไม่ควรฝืนกดเครื่องมือในกรณีที่สวมเข้าไม่ได้

ทาง CLC สามารถทำการสอบเทียบเครื่องมือวัดRing Gaugeได้อย่างแม่นยำด้วยเครื่อง Standard ULM ที่มีความแม่นยำสูง และมีบุคลากรที่มีประสบการณ์มากในการสอบเทียบ

 

วิธีการสอบเทียบ Ring Gauge

  1. ทำความสะอาดเครื่องมือที่ต้องการจะสอบเทียบด้วยแอลกอฮอล์ ตรวจสอบดูผิวเครื่องมือว่ามีสิ่งสกปรกหรือเป็นสนิมหรือไม่
  2. หลังจากทำความสะอาดเสร็จก็ให้วางตัว เครื่องมือวัด ทิ้งไว้ในห้องที่มีอุณภูมิ 20 ± 1°C ประมาณ 1 ชั่งโมงก่อนการสอบเทียบ
  3. ทำการสอบเทียบโดยการวัดเส้นผ่าศูนย์กลางทั้งแกน X และแกน Y โดยใช้ Probe ทำการ Alignment หาจุดที่กว้างที่สุดของตัวเครื่องมือวัด แล้วทำการอ่านค่าจากเครื่อง ULM
  4. เครื่องที่ใช้ในการสอบเทียบ Standard ULM ของ CLC  มีค่าความละเอียดสูงอยู่ที่ 0.00001 mm และเครื่องมีความเสถียรทำให้ความคลาดเคลื่อนในการวัดต่ำ จึงส่งผลให้ค่าที่สอบเทียบได้มีความแม่นยำในการวัดสูง และ วิธีการสอบเทียบRing Gauge
    ยังได้การรับรองมาตรฐานการสอบเทียบ ISO/IEC 17025:2017 จาก สมอ.และ ANAB

 

วิธีการรักษา เครื่องมือวัด ก่อนการใช้งานและหลังการใช้งาน

ก่อนการใช้งาน

1.ทำความสะอาดบริเวณผิวใช้งานด้านในของเครื่องมือวัดด้วยแอลกอฮอล์ให้สะอาด

2.ตรวจสอบผิวใช้งานว่ามีสนิมหรือรอยขีดข่วนหรือไม่

3.ควรสวมถุงมือเวลาหยิบจับเครื่องมือวัดและไม่ควรจับบริเวณผิวที่ใช้งาน

หลังการใช้งาน

1.หลังใช้งานเสร็จต้องทำความสะอาดเครื่องมืออีกครั้ง

2.ทำการเคลือบผิวเครื่องมือวัดด้านในโดยใช้วาสลีนหรือน้ำมันเคลือบเพื่อป้องกันสนิม

3.เตรียมกล่องเอาไว้สำหรับจัดเก็บเครื่องมือ

 

ข้อแนะนำในการส่ง สอบเทียบเครื่องมือวัด

1.ควรทำการเคลือบวาสลีนหรือน้ำมันก่อนส่งมาสอบเทียบ

2.ควรทำการใส่กล่องหรือห่อBubble เพื่อลดการกระแทก

3.ตรวจสอบสภาพเครื่องมือว่าเป็นสนิมหรือมีรอยขีดข่วนหรือไม่

4.ไม่ควรวางเครื่องมือวัดทับซ้อนกันเพราะอาจจะทำให้เครื่องมือบิ้น เกิดความเสียหายได้

 

เกร็ดความรู้

แนะนำวิธีดูRing Gaugeตัวไหนเป็นด้าน Go และ Nogo สังเกตุที่ตัวเครื่องมือจะมีแถบสีเขียวกับสีแดง ถ้าตัวที่มีสีเขียวแสดงว่าด้านนั้นเป็น Go ส่วนสีแดงจะเป็น Nogo  หรือตัวที่มีรอยเส้นตรงกลางตัวก็จะเป็น Nogo

 

ผู้เขียน Lab ULM

 

 

 

ข้อที่คนใช้ Torque Wrench เท่านั้นที่ควรเข้าใจ

 บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

Pressure Transmitter คือ อะไรพร้อมวิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

Pressure Transmitter คือ อุปกรณ์วัดความดัน (Pressure) ของ ของเหลว เช่น น้ำ (Water) ,น้ำมัน (Oil) และ ก๊าซ (Air , N2)

โดยจะมีลักษณะการทำงานที่ตรวจวัดความดันและจะทำการแปลงสัญญาณเป็นสัญญาณมาตรฐานซึ่งมีหลายแบบ เช่น สัญญาณอนาล็อค 4-20 mA , 0-10V , 0-5V เป็นต้น โดยสัญญาณเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักร หรือ กระบวนการต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เช่น

  • อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
  • อุตสาหกรรมอาหาร
  • อุตสหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
  • อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ตัวอย่างลักษณะงานที่เรามักจะพบเห็นการใช้งานตัว เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์

  • วัดแรงดันในระบบอัดอากาศ
  • วัดแรงดันภายในท่อลมก่อนปล่อยเข้าสู่ระบบการผลิต
  • วัดแรงดันไอน้ำในระบบ Boiler
  • วัดแรงดันน้ำมันในกระบอก Hydraulic

วิธีการสอบเทียบ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์

การพิจารณาหาวิธีการสอบเทียบ นั้นมีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อเลือกวิธีการสอบเทียบ ตัวอย่างเช่น

  •  ย่านการวัดสูงสุด (Max Range)
  • Media ที่ใช้งาน สามารถสังเกตได้ที่ตัวเครื่องมือ ยกตัวอย่าง เช่น
  • การใช้งานกับ Media เช่น  ลม (Air), ไนโตรเจน (N2), น้ำ (Water), น้ำมัน (Oil)

หลักเกณฑ์ในการเลือกประเภทตัวกลาง (Media) ของ ความดัน ที่จะนำมาใช้สอบเทียบ ลูกค้าจะต้องแจ้งประเภทของตัวกลาง (Media) ของ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์ ว่าต้องใช้ตัวกลาง (Media) ไหน
ในการสอบเทียบ ทางห้องปฏิบัติการไม่สามารถพิจารณาเลือกให้ได้ เนื่องจากการสอบเทียบหากใช้ ประเภทของตัวกลาง (Media) ของ Pressure Transmitter  ที่ไม่ตรงกับการใช้งานจริง ในบางลักษณะงานอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวของเครื่องมือมาตรฐาน (STANDARD) และส่งผลเสียก่อให้เกิดการปนเปื้อน เมื่อลูกค้านำเครื่องมือกลับไปใช้งานหลังสอบเทียบเสร็จ ยกตัวอย่างเช่น

  •  เกณฑ์การยอมรับ MPE (Maximum Permissible Error)  คือ ค่าความผิดพลาด (Error) สูงสุดที่สามารถยอมรับได้ สามารถใช้ค่า Accuracy ของเครื่องมือเป็นเกณฑ์ได้โดยที่สามารถดูได้จากที่ตัวเครื่องมือหรือคู่มือจากผู้ผลิต ในหัวข้อที่บอกถึงรายละเอียดข้อมูลทางเทคนิค (Technical Data) หรือต้องสอบถามกับทางผู้ใช้งาน

 

การกำหนดวิธีการสอบเทียบ Pressure Transmitter แบบมีหน้าจอ Display อ่านค่าความดัน

1. พิจารณาจากย่านการวัดสูงสุด (Max Range) ของเครื่องมือ

สามารถสังเกตได้ที่ตัวเครื่องมือโดยปกติแล้วจะมีระบุเอาไว้ โดยพิจารณาสอบเทียบตาม Max Range โดยจะเฉลี่ยในแต่ละ Point
ในช่วงของความดันที่เท่ากัน เช่น Max Range มีค่าเท่ากับ 10 bar การสอบเทียบก็จะเฉลี่ย เป็น Point ที่เท่ากัน
โดยที่ความต้องการขั้นต่ำสุด ซึ่งก็คือ การสอบเทียบไม่ต่ำกว่า 5 Point สามารถกำหนด Point ได้ดังนี้คือ  0, 2 ,4, 6, 8, 10 bar

หากไม่สามารถหาได้ที่ตัวเครื่องมือ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการใช้งานเป็นเวลานานทำให้เกิดการลบเลือน เช่น สีของตัวอักษรรายละเอียด ซีดจาง เสียหาย จะต้องหาคู่มือมาเพื่อตรวจสอบ Max Range ก่อนการสอบเทียบ

นอกจากนี้ ยังสามารถกำหนดจุดสอบเทียบโดยกำหนดจากช่วงของการใช้งานจริงได้ กรณีที่ไม่ทราบ Range ที่นำมาสอบเทียบ เช่น

เครื่องมือมีช่วง Range  ของการใช้งานอยู่ที่ 8 – 16 bar สามารถกำหนด Point ของ การสอบเทียบ ได้ ดังนี้ 8, 10, 12, 14, 16 bar
เพื่อหลีกเลี่ยงการสอบเทียบ เกิน Max Range

หมายเหตุ

  •  กรณีที่ไม่สามารถหารายละเอียดอ้างอิง Range ของ เครื่องมือวัด ได้เลย จะทำให้การกำหนดจุดสอบเทียบทำได้ยากและอาจทำให้เครื่องมือเสียหายหากกำหนดจุดสอบเทียบเกิน Max Range

2. พิจารณาจากตัวกลาง (Media) ที่ เครื่องมือวัด ใช้งานอยู่

การเลือกใช้ Media ในการสอบเทียบนั้นจะต้องใช้ตามการใช้งานจริงเท่านั้น การสอบเทียบโดยใช้ Media ที่ไม่ตรงกับการใช้งานจริงจะทำให้เกิดการปนเปื้อนและเสียหายต่อระบบของการสอบเทียบหรืออาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในระบบการใช้งานที่นำมาสอบเทียบ

 

3. พิจารณาจาก MPE ของ เครื่องมือวัด

                  กำหนดจากข้อมูลจากทางผู้ผลิตดูที่คู่มือ หรือ จากผู้ใช้งานเป็นผู้กำหนดให้ ตามเกณฑ์การยอมรับ (MPE) โดยสามารถดูได้ที่ตัวเครื่องมือ

 

การกำหนด วิธีการสอบเทียบ Pressure Transmitter แบบไม่มีหน้าจออ่านค่าความดัน

การสอบเทียบจะมีวิธีการพิจารณาคล้ายกันกับ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์ แบบมีหน้าจออ่านค่า แต่การรายงานค่าจะเป็นค่าทางไฟฟ้าที่เป็น Current (mA) หรือ Voltage (V)

การพิจารณาจุดสอบเทียบ, Media, MPE จะต้องมีการพิจารณาเหมือนกันกับ เพรสเซอร์ ทรานส์มิตเตอร์ แบบมีหน้าจอ Display อ่านค่าความดัน ตามที่ได้กล่าวไว้ด้านบน

ผู้เขียน L1 Pressure

 

Pressure Transmitter คืออะไร เลือกใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

มีวิธีใช้อย่างไร Digimatic Holtest

Holtest , Digimatic Holtest และ Three Point Internal Micrometer เป็น เครื่องมือวัด เส้นผ่านศูนย์กลางภายในที่มีลักษณะพื้นผิวเป็นโค้งกลม อาศัยหลักการทำงานของ Anvil ทั้ง 3 ขา (จึงเรียกว่า Three Point Internal Micrometer) จะทำหน้าที่หุบเข้าหรือกางออกพร้อมกันด้วยมาตราส่วน ABSOLUTE (ABS) ในตัวที่มีต้นกำเนิดที่แน่นอนจึงไม่จำเป็นต้องทำการจัดตำแหน่งทุกครั้งก่อนการวัดเพื่อลดข้อผิดพลาด Overspeed ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการวัด ซึ่งจำเป็นต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด ป้องกันไม่ให้เกิดค่าผิดพลาดจากการวัดนี้ด้วย

 

Digimatic Holtest

มีหลักการทำงานและลักษณะการใช้งานเหมือนกับ Borematic Gauge แตกต่างกันตรงที่ลักษณะการใช้งานของ เครื่องมือวัด Borematic Gauge จะมีลักษณะเป็นก้านโยกควบคุม Anvil ทั้ง  3 ขา แทนการหมุนสเกล ทำให้ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็วในการวัดฃิ้นงาน แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของความแม่นยำในการวัดที่น้อยกว่า ดังนั้นหากจะต้อง วัดชิ้นงาน ที่ต้องอาศัยความแม่นยำสูงๆ อาจต้องเลือกใช้ Digimatic Holtest แทน

ส่วนประกอบต่างๆ ของ Digimatic Holtest มีดังนี้

 

  • Ratchet คือปุ่มปรับสเกลละเอียด
  • Thimble คือปลอกหมุนปรับสเกลหยาบ
  • Sleeve คือด้ามจับ
  • Battery Cap คือฝาปิดรางถ่าน
    (ระวังการกระเเทกหรือการเปิด-ปิดแรงเกินไปอาจทำให้ฝาปิดรางถ่านชำรุดได้ หากฝาปิดรางถ่านชำรุดหน้าจอจะติดๆดับระหว่างใช้งาน)
  • Output Connector Cover ใช้สำหรับเชื่อมต่อเพื่อถ่ายโอนข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์
  • Measuring Head คือหัววัดของ Micrometer (บางรุ่นสามารถถอดเปลี่ยนขนาดหัววัดได้)
  • Anvil คือ ก้านวัด โดยปกติจะหุบเข้าหรือกางออกพร้อมๆกันทั้ง 3 ก้าน

 

 

 

 

 

 

วิธีการใช้และการอ่านค่าของ เครื่องมือวัด ที่ถูกต้อง มีวิธีการ ดังนี้

ก่อนการใช้งาน

  1. เช็ดทำความสะอาดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกออกจากบริเวณผิวสัมผัส
  2. ตรวจสอบปลอกหมุน (Thimble) ว่าสามารถเคลื่อนที่ได้ปกติหรือมีอาการติดขัดหรือสะดุดหรือไม่ โดยทำการหมุน Thimble ตลอดช่วงใช้งาน รวมถึง Anvil ว่าสามารถเคลื่อนที่ได้คล่องตัว ไม่สะดุด
  3. ทำการตั้งค่าเริ่มต้นโดยเทียบกับ Ring Gauge มาตรฐานที่ผ่านการสอบเทียบแล้ว
  4. หากมีการเปลี่ยนแปลงหัววัด ค่าความแม่นยำอาจเปลี่ยนแปลงจากที่ถูกระบุไว้ได้
  5. เมื่อมีสัญลักษณ์ Low Battery ขึ้นที่หน้าจอให้ทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้เรียบร้อยก่อนการใช้งาน
  6. กำหนดค่าตั้งต้น (ค่าที่สอบเทียบได้ของ Ring Gauge) ในกรณีที่ทำการวัดแบบ Absolute ดังรูป

ระหว่างการใช้งาน

  1. ในการใช้แรงหมุน Thimble ค่อยๆหมุนปรับให้ผิวสัมผัสชนกับผิวชิ้นงานเบาๆ และค้างไว้ จากนั้นหมุน Ratchet ตัดแรง 5-6 ครั้ง เพื่อให้แรงคงที่
  2. ระวังไม่ให้มีการกระเทกที่ผิวข้างของก้านวัด
  3. หากหน้าจอแสดงผลขึ้น Error หรือมีการอ่านค่าผิดปกติ ให้ถอดแบตเตอรี่ออกและใส่กลับเช้าไปใหม่อีกครั้ง

หลังการใช้งาน

  1. ตรวจสอบความเสียหายของ เครื่องมือวัด และหากพบให้ทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ จากนั้นทำความสะอาดเครื่องมือวัดให้เรียบร้อยก่อนเก็บเข้าที่
  2. จัดเก็บเครื่องมือวัดในห้องที่ไม่มีความร้อนและความชื้นสูง รวมถึงหลีกเลี่ยงฝุ่นและละอองน้ำมัน
  3. เมื่อต้องจัดเก็บเครื่องมือวัดเป็นระยะเวลานานให้ใช้น้ำมันที่ใช้สำหรับไมโครมิเตอร์ทาที่ก้านวัดและหน้าสัมผัสเพื่อป้องกันสนิม และถอดแบตเตอรี่ออก

บริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ได้และได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการ

ISO/IEC 17025:2017 จาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และ  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยขอบข่ายการวัดสามารถสอบเทียบด้วยวิธีการ Comparison with Setting Ring Gauge Range การสอบเทียบตั้งแต่ 2-225 mm. ดังแสดงในรูปด้านล่าง

รูปตัวอย่าง Setting Ring Gauge

 

ผู้เขียน แก้ว VIP

 

 

เกจวัดเกลียว Thread Plug Gauge มีลักษณะเป็นอย่างไร แบ่งตามมาตรฐานได้ด้วยหรือ

 บริการสอบเทียบด้านมิติ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

CLAMP METER และวิธีการใช้

โดยทั่วไปการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันนี้ หากระบบไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ไม่ได้มาตรฐานหรือมีการติดตั้งไม่ดีแล้วละก็ อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆตามมาได้ง่าย ดังนั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจเช็ค หรือตรวจสอบระบบไฟฟ้าที่เราใช้งาน เพื่อให้เราสามารถใช้งานระบบไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยและอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุเครื่องมือวัดที่เรานำมาใช้วัดและทดสอบค่าทางไฟฟ้าก็จะมีหลากหลาย ยกตัวอย่าง เช่น Clamp Meter หรือ

  • Leakage Clamp Meter
  • Insulation Tester
  • Earth Resistance Tester
  • Loop Tester
  • PSC, RCD Tester
  • Multi-function Tester
  • Portable Infrared Thermometer
  • Recorder

และวันนี้เราจะนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับ แคลมป์มิเตอร์ กันค่ะ

แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

แคลมป์มิเตอร์ เป็น เครื่องมือวัด ที่ใช้สำหรับวัดระดับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านสายไฟและสามารถวัดค่าอื่นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องจักร ส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้งานวัดไฟฟ้าตามอาคาร บ้านเรือน และอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้สามารถตรวจหากระแสไฟฟ้ารั่วไหลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยทั่วไปแคลมป์มิเตอร์จะมีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 แบบ คือ

แบบดิจิตอลที่แสดงผลเป็นตัวเลข (DIGITAL)

แบบอนาล็อกแสดงผลด้วยเข็ม (ANALOG)

ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวกในการวัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่แคบหรือบริเวณที่มีสายไฟเยอะ มีขนาดกะทัดรัด จับได้ถนัดมือ เครื่องมือวัด มีลักษณะเป็นปากคีบจะเป็นรูปหยดน้ำมีช่องไว้สำหรับคล้องเข้ากับสายไฟเพียงเส้นเดียวก็สามารถอ่านค่าได้ทันที จึงกล่าวได้ว่าแคลมป์มิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดอีกชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นมากในงานด้านไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น หรืองานซ่อมบำรุง ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ เป็นต้น จึงจำเป็นเป็นอย่างมากในการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ชนิดนี้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการวัดที่ผิดพลาดด้วยค่ะ

ที่มา : https://th.misumi-ec.com/th/pr/recommend_category/clamp_meter201905/#ClampmeterType

นอกจากนี้ในปัจจุบันทางผู้ผลิต ยังพัฒนาให้เครื่องมือแต่ละรุ่นมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เช่น สามารถวัดได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้ากระแสสลับและความต้านทานที่ทนต่ออุณหภูมิสูง สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ และสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ได้ ดังนั้น เพื่อการตรวจวัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ละเอียดแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ใช้งานจึงควรเลือกใช้แคลมป์มิเตอร์ให้ถูกต้องกับลักษณะของงานเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ประเภทของแคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter)

แคลมป์มิเตอร์จะแบ่งออกตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้:

  • แคลมป์มิเตอร์แบบอนาล็อก (Analog AC) เป็นแคลมป์มิเตอร์ที่แสดงค่ากระแสไฟฟ้าด้วยเข็ม ใช้สำหรับวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงหรือใช้ในการวัดอุณหภูมิ
  • แคลมป์มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital AC) เป็นแคลมป์มิเตอร์ที่แสดงค่าเป็นตัวเลข ค่าที่ได้จะมีความแม่นยำสูงกว่าแคลมป์มิเตอร์แบบอนาล็อก ใช้สำหรับการวัดไฟฟ้ากระแสสลับ
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบดิจิตอล (Digital AC/DC) ใช้วัดค่ากระแสไฟฟ้าแรงสูง สามารถวัดได้ทั้งไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับ
  • แคลมป์มิเตอร์ AC/DC แบบ RMS (Digital AC/DC RMS) ใช้วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง กระแสสลับ ความถี่ ความต้านทานและกำลังไฟฟ้า สามารถเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ได้
  • แคลมป์มิเตอร์วัดค่ากระแสรั่วไหล (Leakage Current) ใช้ตรวจวัดค่ากำลังไฟฟ้าและคุณภาพไฟฟ้า
  • แคลมป์มิเตอร์วัดกำลังไฟฟ้า (AC Power) ใช้วัดค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง กระแสสลับ ตัวเก็บประจุและตัวต้านทาน

ประโยชน์ของแคลมป์มิเตอร์

            แคลมป์มิเตอร์โดยทั่วไปแล้ว จะถูกนำมาใช้งานในการวัดกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าต่างๆ โดยการนำแคลมป์มิเตอร์ไปคล้องกับสายไฟที่ต้องการวัด ก็จะทำให้สามารถทราบค่ากระแสไฟฟ้าได้จากจอแสดงผลบนแคลมป์มิเตอร์ ในปัจจุบันแคลมป์มิเตอร์ได้มีการพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการวัดได้ทั้ง ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และไฟฟ้ากระแสตรง (DC) นอกจากนั้น แคลมป์มิเตอร์ที่มีการใช้ในปัจจุบันนี้ยังมีความสามารถในการวัดกำลังไฟฟ้า (Power) ต่อเข้ากับเครื่องบันทึกกราฟ (Recorder) หรือเครื่องออสซิลโลสโคป (Oscilloscope) เพื่อใช้ในการตรวจสอบ และวิเคราะห์รูปคลื่นไฟฟ้าได้อีกด้วย

วิธีการใช้แคลมป์มิเตอร์

  • ก่อนทำการใช้งานแคลมป์มิเตอร์ควรศึกษาอุปกรณ์และข้อมูล วิธีการใช้งานให้ละเอียด
  • การสวมถุงมือป้องกันไฟฟ้า รองเท้าเซฟตี้ และหมวกนิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายของตัวบุคคลและอุปกรณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงานได้
  • จากนั้นทำการใช้งานแคลมป์มิเตอร์โดยการคล้องสายไฟที่ต้องการจะตรวจสอบเข้ากับแคลมป์มิเตอร์
  • หมุนปุ่มปรับเพื่อเลือกโหมดการวัดให้เรียบร้อยและอ่านค่ากระแสไฟฟ้าที่หน้าจอแสดงผล โดยแคลมป์มิเตอร์สามารถนำไปใช้งานได้ทุกที่ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แคบหรือในที่มืดและยังสามารถใช้สำหรับการวัดแบตเตอรี่รถยนต์หรือวัดมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกด้วย

ข้อแนะนำในการใช้งาน

  • ตรวจสอบว่าอุปกรณ์เป็นแบบดิจิตอลหรือแบบอนาล็อก
  • เนื่องจากอุปกรณ์นี้มีหลายประเภท เช่น ประเภทกระแสสลับอย่างเดียว ประเภทกระแสสลับและกระแสตรง ประเภทวัดกระแสรั่วแบบสลับ จึงควรเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับกระแสไฟฟ้าที่ต้องการวัด
  • เนื่องจากส่วนใหญ่รูปคลื่นของกระแสไฟฟ้ามักมีการเพี้ยน จึงแนะนำให้เลือกเครื่องที่วัดค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของการเรียงกระแสของแคลป์มิเตอร์

            เนื่องจากแคลมป์มิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดที่สามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าตรงและกระแสไฟฟ้าสลับได้ โดยการวัดค่ากระแสไฟฟ้าสลับจะต้องมีการเปลี่ยนจากสัญญาณสลับให้กลายเป็นสัญญาณกระแสไฟฟ้าตรงก่อน ดังนั้นภายในของ เครื่องมือวัด จะประกอบด้วยวงจรเรียงกระแสไฟฟ้าอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ True RMS Method กับ Mean Method โดยประเภท True RMS Method จะมีประสิทธิภาพในการวัดสูงกว่าแบบ Mean Method เนื่องจากสามารถวัดแรงดันได้กับสัญญาณคลื่นทุกประเภท (Wave Form) แต่ Mean Method จะวัดค่าได้เฉพาะอินเวอร์เตอร์เพียวซายน์เวฟ (Pure-Sine Wave) เท่านั้น ซึ่งเหมาะใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเร็วของอุปกรณ์

            ทั้งนี้ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราก็สามารถให้บริการทางด้านการ สอบเทียบเครื่องมือวัด โดยได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 และยังมีจำหน่ายแคลมป์มิเตอร์อีกด้วย หากท่านผู้อ่านสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ทุกช่องทางเลยนะคะ

ผู้เขียน KATAI

 

 

ไฟฟ้าสถิตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดไฟฟ้าสถิตกัน

 

สอบเทียบเครื่องมือ Electrical

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

พูดคุยกับเรา

 

 

Range สอบเทียบเครื่องมือวัด Digital Pressure Gauge ดูได้ตรงไหน?

Digital Pressure Gauge เกจวัดความดันดิจิตอล

เป็นเครื่องมือวัดชนิดหนึ่งที่ใช้วัดค่าของ Pressure ที่แสดงค่าของ Pressure ที่วัดได้ออกมาเป็นตัวเลข Digital แตกต่างกับการอ่านค่าจาก เพรสเชอร์เกจ แบบเข็ม โดยที่ Digital Pressure Gauge จะมีข้อแตกต่างจาก Pressure Gauge อยู่หลายประการ จะขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

  • มีการแสดงค่าของ Pressure เป็นตัวเลข Digital
  • การอ่านค่า Pressure ได้จากตัวเลขที่แสดงอยู่ที่หน้าจอแสดงผล สามารถอ่านค่า pressure gauge ได้ง่ายเมื่ออยู่ในระยะสายตาการมองเห็น
  • ต้องมีระบบไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่จ่ายพลังงานเพื่อเปิดใช้งาน

Pressure Gauge

  • มีการแสดงค่าของ pressure gauge เป็นแบบเข็ม เคลื่อนที่บน Scale หน้าปัด
  • ไม่ต้องมีระบบไฟฟ้าเพื่อเปิดใช้งาน
  • การอ่านค่าของ Pressure ที่วัดได้จะต้องดูการเคลื่อนที่ของเข็ม ตาม Scale บนหน้าปัด และจะต้องอยู่ในระนาบเดียวกันในระดับสายตา

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาวิธีการสอบเทียบนั้น จะมีความคล้ายคลึงกับของ Pressure Gauge ทั่วไป ซึ่งมีดังต่อไปนี้

  • Max Range ของเครื่องมือ
  • Media ที่ใช้สอบเทียบ (Air, Oil, Nitrogen, Water)
  • ค่าความถูกต้องแม่นยำในการวัดค่าของเครื่องมือ (Accuracy) หรือ ค่าเกณฑ์การยอมรับที่ลูกค้ากำหนด MPE (Maximin Permisible Error)

ค่า Max Range สามารถดูได้ที่ตัว เครื่องมือวัด โดยจะเป็นรายละเอียดบอกว่าเครื่องมือนั้น มี Max Range อยู่ที่เท่าไร ตัวอย่างเช่น

ตัวอย่างในการสังเกตเบื้องต้น ในส่วนของ Range ที่เครื่องมือตัวดังกล่าวสามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัดได้ จะสามารถดูได้โดยตรงที่ตัวเครื่องมือ อีกวิธีการที่สามารถใช้ดู Range ของเครื่องมือ เกจวัดความดันดิจิตอล คือ การดูจากเอกสารที่มากับเครื่องมือหรือคู่มือของเครื่องมือที่ผู้ผลิตกำหนด โดยส่วนมากแล้วจะอยู่ในส่วนที่เป็น Spec ของเครื่องมือตามรูปตัวอย่าง

แต่ในบางกรณีที่ตัวเครื่องมืออาจไม่มี Range บอกแต่สามารถตรวจสอบได้โดยการทดลองเปิดเครื่องมือตัวดังกล่าวขึ้นมาเพื่อที่จะตรวจสอบ Range ของเครื่องมือได้ ซึ่งในแต่ละเครื่องมือจะมีความแตกต่างกันออกไปตามที่ผู้ผลิตเครื่องมือดังกล่าวเป็นผู้กำหนด จึงต้องศึกษาจากคู่มือถึงการใช้งานในหัวข้อต่างๆก่อนการสอบเทียบ

การกำหนด จุดสอบเทียบเครื่องมือวัด เกจวัดความดันดิจิตอล

            การสอบเทียบ สามารถกำหนดได้จาก Max Range ของเครื่องมือและจะมี Point สอบเทียบที่ไม่น้อยไปกว่า 5 Point หรือมากกว่าได้โดยที่รวม Point ที่ศูนย์ (Zero) โดยจะเป็นการกำหนดตามมาตรฐาน DKD-R6-1:Guideline Calibration of Pressure หรือ Class ของ Accuracy เช่น

  • เครื่องมือวัด Range 0-40 bar สามารถกำหนดจุดสอบเทียบ ได้ตาม Range ที่เครื่องมือ แต่ไม่สามารถสอบเทียบเกิน Range ของเครื่องมือ เช่น 0,10,20,30,40 bar หรือ 0,5,10,15,20,25,30,35,40 bar แต่สามารถทำการสอบเทียบเครื่องมือวัด ใน Point ที่ลูกค้าต้องการเป็นพิเศษ โดยสามารถแจ้งกับทางบริษัทได้ โดยทางห้องปฏิบัติการจะสอบเทียบเพิ่มเติมซึ่งจะรวมอยู่ใน Range 0-40 bar

 

การเลือกใช้ Media ที่ใช้สอบเทียบ

                Media ที่ใช้สอบเทียบลูกค้าจะต้องแจ้งตามที่ใช้งานจริง เช่น ลม, ไนโตรเจน, น้ำมัน, น้ำ โดยจะต้องตรวจสอบดูจากคู่มือการใช้งานหรือสามารถสังเกตเบื้องต้นได้ โดยดูที่ตัวเครื่องมือใช้กับ media ชนิดไหนมา ตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีคราบน้ำมันที่บริเวณข้อต่อที่ตัวเครื่องมือก็สามารถสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า ตัวเครื่องมือนี้ใช้กับน้ำมันมาก่อน หรือ ถ้าตรงบริเวณข้อต่อไม่มีคราบน้ำมันและแห้ง ก็สามารถสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าเครื่องมือตัวดังกล่าวใช้กับลมได้เช่นกัน การสอบเทียบเครื่องมือวัด ที่เลือก Media ผิดไปจากการใช้งานจริง อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเครื่องมือเกจวัดความดันดิจิตอล

Accuracy and MPE

ค่าความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ของตัวเครื่องมือนั้นสามารถดูได้ที่ตัวเครื่องมือวัดหรือดูจากคู่มือที่มาจากผู้ผลิตหรืออีกวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้ดู Accuracy ของเครื่องมือ เกจวัดความดันดิจิตอล ได้ คือ การดูจากเอกสารที่มากับเครื่องมือหรือคู่มือของเครื่องมือที่ผู้ผลิตกำหนด โดยส่วนมากแล้วมักจะอยู่ในส่วนที่เป็น Spec ของเครื่องมือ

ผู้เขียน L1 Pressure

 

 

 

ควรอ่าน!! รู้ครบ จบเรื่องเกจวัดความดัน ที่นี่เท่านั้น

บริการสอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา