คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

ข้อดี 6 ประการของ Tuning Fork Sensor

Tuning Fork  เทคโนโลยีหนึ่งเดียวในโลก

จากบทความครั้งที่แล้ว เรื่อง Sensor ใน เครื่องชั่ง มีกี่ประเภท วันนี้เราจะมาพูดถึง Technology Tuning Fork Sensor ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในโลกที่ทาง Shinko Denshi ได้นำมาพัฒนาโดยใช้เป็นชิ้นส่วนหนึ่งในการทำงานของเครื่องชั่งยี่ห้อ Vibra ค่ะ

Tuning Fork Sensor เป็นเซนเซอร์ที่ผลิตจากโลหะผสมชิ้นเดียว โดยมีความแม่นยำระดับต่ำกว่าไมครอน

วัดความถี่ตามน้ำหนักที่ใช้ ความถี่การสั่นสะเทือนของ Tuning Fork นั้นมีความแม่นยำสูง  ด้วยเหตุนี้จึงใช้สำหรับการจูนเครื่องดนตรี โดย Force Sensor จะตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความถี่ส้อมเสียงที่สอดคล้องกับน้ำหนักแล้วแปลงเป็นค่าน้ำหนัก  ความถี่จะถูกกำหนดโดยรูปร่างและวัสดุที่ใช้สำหรับส้อมปรับเสียง ส่งผลให้มีความสม่ำเสมอต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความทนทานสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางโลก ความแม่นยำสูงและความทนทาน

 

ข้อดี 6 ประการของ Tuning Fork Sensor

  1. ทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน  กลไกที่เรียบง่ายด้วยชิ้นส่วนน้อย
  2. ความจุสูง ความสามารถความละเอียดสูง มีช่วงการวัดที่กว้าง ซึ่งค่อนข้างยากในเซนเซอร์ประเภทอื่น  ในการผลิตเราสามารถจัดหาเซนเซอร์ Tuning fork ได้หนึ่งเครื่องชั่ง แทนที่จะเป็นเครื่องชั่งของ Capacity ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
  3. ประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานเป็นหนึ่งในสิบสองของเซนเซอร์ประเภทสเตรนเกจ  เหมาะสำหรับการใช้งานแบตเตอรี่ เนื่องจากสิ้นเปลืองพลังงานน้อย  เนื่องจากแทบไม่มีพลังงานความร้อน แม้แต่สถานที่ทำงานที่มีวัสดุอันตรายก็สามารถใช้เครื่องชั่งนี้ได้
  4. ไม่ไวต่อเสียงรบกวน เอาต์พุตของเซนเซอร์ Tuning Fork เป็นสัญญาณดิจิตอลจึงแทบไม่ไวต่อสัญญาณรบกวน 
  5. ไม่มีช่วงอุ่นเครื่อง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ เซนเซอร์ Tuning Fork มีข้อผิดพลาดในการชั่งน้ำหนักต่ำมาก และนอกจากนี้ยังไม่มีช่วงอุ่นเครื่องอีกด้วย สามารถใช้งานได้ทันทีหลังจากเปิดเครื่อง (** ระยะเวลาอุ่นเครื่องแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์และสถานการณ์การใช้งาน)
  6. ไม่มีการลดลงในการปรับช่วง การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและนอกจากนี้ยังไม่มีการอุ่นเครื่อง  สามารถใช้งานได้ทันทีหลังจากเปิดเครื่อง  มาตราส่วนปกติต้องมีการปรับช่วงที่กำหนด เพื่อรักษาความถูกต้อง แต่เนื่องจากขนาดวัสดุและรูปร่างของเซนเซอร์ Tuning Fork ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การปรับช่วงของเซนเซอร์ Tuning Fork ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จึงสามารถใช้กับความเสถียรในระยะยาวได้

Vibra Series ที่มี Tuning Fork Sensor ได้แก่

1. Analytical HT/HTR Series

  • Capacity:80g〜220g/Readability:0.0001g

2. Analytical AJ/AJH Series

  • Capacity:220g〜12kg/Readability:0.001g~0.1g

3. Analytical ALE Series

  • Capacity:220g〜15000g/Readability:1mg~0.1g

4. Precision AB Series

  • Capacity:320g〜12kg/Readability:0.001g~0.1g

5. Precision SJ Series

  • Capacity:220g〜12g/Readability:0.01g~1g

6. Precision CJ Series

  • Capacity:220g〜15g/Readability:0.01g~1g

7.Platform HJ-K/HJR-K Series

  • Capacity:17kg〜62kg/Readability:0.1g~1g

8. Platform Fs Series

  • Capacity:620g〜300kg/Readability:0.001g~1g

 

หากท่านกำลังมองหาเครื่องชั่งซักเครื่องเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเลือกซื้อเครื่องชั่ง VIBRA ตอบโจทย์การใช้งานของท่านแน่นอนค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจ เครื่องชั่งดิจิตอล ยี่ห้อ VIBRA ทางเรามีสินค้าจำหน่ายพร้อมสอบเทียบตามมาตราฐาน OIML-R76-1 ให้ท่านเกิดความเชื่อมันในมาตราฐานระดับสากลของเราอีกด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ ทาง CLC จะมีเรื่องอะไรมาแนะนำหรือให้ความรู้แก่ท่าน โปรดติดตามกันต่อไปในบทความครั้งหน้านะคะ ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน BEW JJ.

 

 

Sensor ในเครื่องชั่งมีกี่ประเภทกันนะ?

 

ซื้อเครื่องชั่ง ราคาพิเศษ คลิก     บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

Sensor ในเครื่องชั่งมีกี่ประเภทกันนะ?

 จากเครื่องชั่งที่มีใช้กันทั่วไปอยู่ในท้องตลาดในปัจจุบัน หากถามถึงเทคโนโลยีที่อยู่ในตัวเครื่องชั่งที่เอาไว้สำหรับวัดค่าน้ำหนักออกมาเป็นตัวเลขนั้นมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง เทคโนโลยี Sensor ในเครื่องชั่งที่มีในปัจจุบันมีด้วยกัน 3 ประเภท โดยแบ่งจากคุณลักษณะของเซ็นเซอร์แต่ละตัวที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งได้นำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้นให้สอดคล้องกับความละเอียด และความต้องการของผู้ใช้งาน ทำให้แบ่งได้เป็นประเภทต่างๆที่เหมาะกับการวัดหลายๆแบบ และเป็นทางเลือกในการใช้งานมากขึ้น

เทคโนโลยี Sensor ในเครื่องชั่งเเบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.เทคโนโลยี Tuning Fork sensor ( เซ็นเซอร์ ส้อมเสียง)

**ความแม่นยำสูงและเวลาตอบสนองรวดเร็วเหมาะสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักไม่มากนักและต้องการความแม่นยำ**
            Tuning Fork sensor  เป็น sensor ที่ใช้วัดความถี่ในการสั่นสะเทือนที่เปลี่ยนไปตามการใช้งานของโหลดไปยัง Tuning Fork สองชิ้น มาตราส่วนวัดการเปลี่ยนแปลงความถี่นี้แล้วแปลงเป็นค่าน้ำหนัก ความเค้น ความเครียดของ Tuning Fork คือ 1/10 และความไวของเอาต์พุตคือ 50 เท่าของ Strain Gauge สิ่งนี้ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากในประสิทธิภาพของมาตราส่วน เช่น ความละเอียด ความเสถียร และความสามารถในการทำซ้ำ

2. เทคโนโลยี Strain Gauge Sensor (เซ็นเซอร์วัดความเครียด)

**เหมาะสำหรับสินค้าที่ค่อนข้างหนัก**
            Strain Gauge Sensor เป็นการนำน้ำหนักไปใช้กับโลหะที่ติดอยู่กับ Strain Gauge จะทำให้ค่าความต้านทานของเกจเปลี่ยนไปตามความเครียดของโลหะ เซ็นเซอร์ประเภท Strain Gauge จะวัดการเปลี่ยนแปลงของค่าความต้านทานแล้วแปลงเป็นค่าน้ำหนัก โครงสร้างของเซ็นเซอร์ค่อนข้างง่าย ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเซ็นเซอร์จึงมีราคาไม่แพงมาก เซ็นเซอร์จึงเหมาะสำหรับการตรวจวัดชิ้นงานที่มีน้ำหนักมาก

3. เทคโนโลยี Electromagnetic Sensor ( เซ็นเซอร์ แม่เหล็กไฟฟ้า)

**เหมาะสำหรับการชั่งน้ำหนักน้ำหนักเบามากหรือชิ้นงานเล็กมากๆ**
            Electromagnetic Sensor จะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้แรงแม่เหล็กไฟฟ้าที่ยกขึ้นโดยการรวมกันของแม่เหล็กและคอยล์ ทำให้โหลดที่โหลดมีความสมดุล เซ็นเซอร์วัดกระแสที่ไหลในคอยล์เพื่อกำหนดค่าน้ำหนัก เหมาะสำหรับการตรวจวัดที่มีความแม่นยำสูง (ความละเอียดสูง) ได้รับการกล่าวขานว่าเหมาะสำหรับการชั่งน้ำหนักที่มีขนาดเล็กและการชั่งน้ำหนักที่มีความละเอียดสูง

 

ความแตกต่างระหว่าง Tuning Fork Sensor, Strain Gauge Sensor และ Electromagnetic Sensor

Tuning Fork Sensor Strain Gauge Sensor Electromagnetic Sensor
Scale capacity 80g to 300kg Few Hundred grams to few metric tons Few grams to few kgs
Actual resolution >1/3,000,000 >1/20,000 >1/60,000,000
Long-term stability High(1/200,000) Low(1/10,000) Normal(1/50,000)
A/D Conversion
(Analogue/Digital)
N/A(Digital output) Necessary(Analogue output) Necessary(Analogue output)
Power consumption of Sensor Externally small (less than few
percent of Strain Gauge type
sensor)
Small Large
Noise resistance Strong Weak Normal
Warming up Unnecessary (depend upon products and usage circumstances) Necessary Necessary

 

นอกจากนี้ ทาง CLC ยังมี เครื่องชั่งดิจิตอลยี่ห้อ VIBRA ที่มีเทคโนโลยี Tuning Fork Sensor จำหน่ายพร้อมบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด ตามมาตราฐาน ได้รับการรับรอง ACCREDIT ISO/IEC 17025:2017 ให้ท่านเกิดความเชื่อมันในมาตราฐานระดับสากลของเราอีกด้วยค่ะ หากผิดพลาดหรือตกหล่นประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ แล้วพบกันใหม่ในครั้งหน้านะคะ ขอบคุณค่
(Credit By : www.vibra.co.jp/global/learn/sensor)

ผู้เขียน Bew JJ.

 

 

การแบ่งประเภทและการดูแลรักษาไมโครมิเตอร์ทำอย่างไร

ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) คืออะไร

ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) คือ เครื่องมือวัด ความละเอียดที่ถูกใช้ในการวัดขนาดชิ้นงานได้ทั้งความกว้าง  ความยาว

ความหนา ความต่างระดับ ความลึก และเส้นผ่านศูนย์กลางของชิ้นงานนั้นๆ  ซึ่งนิยมนำมาใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องจักร การตรวจสอบคุณภาพ QC  ถูกใช้งานสำหรับช่างเทคนิคและอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งมีความแม่นยำในการวัดที่ละเอียดมาก มีทั้งแบบอนาล็อคและดิจิตอล ที่สามารถเลือกหน่วยการวัดได้ ซึ่งการใช้งานนั้นต้องคำนึงถึงการ สอบเทียบเครื่องมือวัด เพื่อการวัดที่ถูกต้องอีกด้วย

ในรุ่นเมตริก (หน่วยเป็นมิลลิเมตร) และรุ่นอิมพีเรียล (หน่วยการวัดเป็นนิ้ว) ในบางรุ่นที่เป็นแบบดิจิตอลสามารถเลือกการใช้งานได้ทั้งสองหน่วย

ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

  1. ไมโครมิเตอร์วัดนอก (Outside Micrometer) ใช้วัดความหนา ความกว้าง หรือเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุ
  2. ไมโครมิเตอร์วัดใน (Inside Micrometer) ใช้วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูเปิดและท่อ

    ไมโครมิเตอร์วัดลึก (Depth Micrometer)  ใช้วัดความลึกของช่องเปิด

การดูแลรักษาไมโครมิเตอร์

  1. ก่อนและหลังงานไมโครมิเตอร์ ใช้งานควรเช็ดเส้นรอบวงของแกนหมุนอย่างสม่ำเสมอทั้งสองหน้าวัด  เพื่อกำจัดฝุ่น คราบน้ำมันที่มาจากนิ้วมือรวมถึงทำความสะอาดของชิ้นงานที่จะทำการวัดด้วยผ้าแห้งที่ไม่มีขุย
  2. ควรเก็บเครื่องมือไว้ในกล่องหรือซองพลาสติกทุกครั้งหลังจากทำความสะอาดเสร็จและไว้ในที่ที่มีความชื้นต่ำ อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่วางไว้ในที่แสงแดดส่องถึงโดยตรง
  3. เมื่อต้องการหมุนเข้าออกอย่างรวดเร็วให้เลื่อนกับฝ่ามือ ใช้หัวหมุนกระทบเลื่อนในการวัดชิ้นงานทุกครั้ง
  4. ก่อนที่แก่นวัดจะสัมผัสชิ้นงาน ควรหมุนหัวหมุนกระทบเลื่อนช้าๆ หมั่นตรวจสอบผิวสัมผัสแกนรับและแกนวัดอยู่เสมอ
  5. เมื่อจะต้องเก็บเครื่องมือเป็นเวลานานๆ ควรชโลมน้ำมันเพื่อป้องกันการกัดกร่อนเเละสนิม
  6. ระวังอย่าทำไมโครมิเตอร์ตกหล่น แต่หากคุณทำให้เครื่องมือเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ควรตรวจสอบความถูกต้องก่อนทำการวัด ผู้อ่านควรจะต้องทำการปรับเทียบใหม่เพื่อตรวจสอบความแม่นยำ  หากต้องการตรวจเช็คสภาพเครื่องมือวัดต่างๆ
  7. เพื่อความถูกต้องและความมั่นใจในการใช้วัดงาน ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด เรามีให้บริการ สอบเทียบ
  8. เครื่องมือวัด ทุกประเภท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID:@clccalibration ได้เลยนะคะ

ผู้เขียน Oranij S.

 

 

ประเภท ข้อควรระวัง และการสอบเทียบไมโครมิเตอร์วัดภายนอก (Outside micrometer)

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ ดูสินค้าด้าน Dimension

 

 

STANDARD WEIGHT – ตุ้มน้ำหนัก ทั้ง 7 Class สำคัญต่างกันอย่างไร

 ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน (STANDARD  WEIGHT)

ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น ในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานยา  โรงงานอาหาร  หรือโรงงานอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีการใช้งานเครื่องมือวัดต่างๆมากมาย  เครื่องชั่งก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นและมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมามีน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน  เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจวัดเครื่องชั่งให้ตรงตามมาตรฐาน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่า การที่เราจะตรวจสอบว่าเครื่องชั่งที่เราใช้งานกันอยู่ มีค่า error มากหรือน้อยเท่าไรนั้น จะต้องใช้ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน (STANDARD  WEIGHT) เป็นตัววัดค่าของเครื่องชั่งนั้นๆพร้อมทั้งมีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อีกทีนะคะ ดังนั้นวันนี้ เราจะมาดูกันว่าตุ้มน้ำหนักแบบไหน เหมาะกับเครื่องชั่งแบบไหน และจะเลือกใช้  Standard  แบบไหน น้ำหนักเท่าไรกันบ้างไปดูกันเลยค่ะ

ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน (STANDARD  WEIGHT)

ตุ้มน้ำหนัก คือ มวลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้อ้างอิง วัสดุที่ใช้ผลิตตุ้มน้ำหนักก็มีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น

เหล็กไร้สนิม (Stainless Steel)ปลอดสารแม่เหล็ก
เหล็กหล่อ (Cast Iron)

ทองเหลือง (Brass)

อะลูมิเนียม (Aluminum)

มาตรฐานของตุ้มน้ำหนักที่ใช้โดยทั่วไป

1. OIML International Organization of Legal Metrology ระดับชั้น E1…M3
ใช้กับตุ้มน้ำหนักที่มีพิกัดน้ำหนัก 1 mg ถึง 50 kg
2. ASTM American Society for Testing and materials ระดับชั้น 1…6

ใช้กับตุ้มน้ำหนักที่มีพิกัดน้ำหนัก 1mg ถึง 5,000 kg
3. NBS National Bureau of Standards ระดับชั้น   J.. . T

ใช้กับตุ้มน้ำหนักที่มีพิกัดน้ำหนัก 50 mg ถึง 1,000 kg

และในวันนี้เราจะมาพูดถึงการสอบเทียบตามมาตรฐาน OIML ซึ่งเป็นมาตรฐานที่บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราใช้ในการสอบเทียบและออก Certificate ให้กับลูกค้ากันค่ะ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนค่ะว่า Standard Weight ตามมาตรฐาน OIML แบ่งออกเป็นกี่ Class และใช้เกณฑ์การตัดสินอย่างไร

ตามมาตรฐาน OIML R111-1 จะทำการแบ่ง Class ของตุ้มน้ำนักตามค่าความผิดพลาดสูงสุดที่ยอมรับได้ (Maximum permissible errors: MPE) ของค่าน้ำหนักมวล (Nominal conventional mass values) นอกจากนี้แล้วยังขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ด้วย ความหนาแน่นของวัสดุ ความต้านทานการกัดกร่อน ความแข็ง ความต้านทานการสึกหรอ ความเปราะ ความเป็นแม่เหล็ก  โครงร่างรูปทรง และความเรียบผิว เป็นต้น

ตารางแสดงค่า Maximum permissible error for weights (± mg)

จากตารางเราจะเห็นได้ว่า Standard Weight จะมีขนาดเฉพาะไม่ได้ผลิตขึ้นมาทุกขนาด ยกตัวอย่างเช่นขนาด 3,6,7,9 g จะไม่มีในตาราง เรามาดูการอ่านค่าหรือการกำหนด Class จากตารางกันค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ตุ้มน้ำหนัก Class F1 ขนาด  1 kg จะมีค่า  MPE อยู่ที่ 5 mg ในขณะที่ ตุ้มน้ำหนัก Class F2 ขนาด  1 kg จะมีค่า MPE อยู่ที่ 16 mg

 

ความสำคัญของตุ้มน้ำหนักแต่ละ Class สามารถจำแนกได้ดังนี้ค่ะ

  1. Class E1 เป็นตุ้มน้ำหนักที่มีระดับความถูกต้องสูงสุด ใช้สำหรับการตรวจสอบตุ้มน้ำหนักมาตรฐานระดับประเทศ และตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน OIML class E2 (หรือต่ำกว่า) ค่า MPE ที่ 1 kg  5 mg
  2. Class E2 เหมาะสำหรับใช้ตรวจสอบตุ้มน้ำหนัก F1 (หรือต่ำกว่า) และใช้สำหรับตรวจสอบเครื่องชั่งที่มีระดับความถูกต้อง class I ตามมาตรฐาน OIML ค่า MPE ที่ 1 kg = 6 mg
  3. Class F1 เหมาะสำหรับการตรวจสอบตุ้มน้ำหนัก OIML ระดับ F2 (หรือต่ำกว่า) และใช้สำหรับตรวจสอบเครื่องชั่งที่มีระดับความถูกต้อง class I ตามมาตรฐาน OIML ค่า MPE ที่ 1 kg = 5 mg
  4. Class F2 เหมาะสำหรับใช้ตรวจสอบตุ้ม OIML M1 หรือต่ำกว่า และใช้ตรวจสอบเครื่องชั่งที่มีระดับความถูกต้อง class II (เครื่องชั่งสำหรับซื้อขายเชิงพาณิชย์ เช่นเครื่องชั่งทองและอัญมณี) ค่า MPE ที่ 1 kg = 16 mg
  5. Class M1 เหมาะสำหรับการใช้ตรวจสอบตุ้มน้ำหนัก OIML M2 หรือต่ำกว่า และตรวจสอบเครื่องชั่ง class II ค่า MPE ที่ 1 kg = 50 mg
  6. Class M2 เหมาะสำหรับใช้ตรวจสอบตุ้ม OIML M3 และตรวจสอบเครื่องชั่งที่มีระดับความถูกต้อง class III (เครื่องชั่งทั่วไป หรือสำหรับการชั่งซื้อขายสินค้าที่มีน้ำหนักมาก) ค่า MPE ที่ 1 kg = 160 mg
  7. Class M3 เหมาะสำหรับการตรวจสอบเครื่องชั่ง class IIII หรือ class III หรือ เครื่องชั่งซึ่งยอมรับความผิดพลาดสูงสุด ที่ 1 kg = 500 mg

 

ดังนั้นหากลูกค้าต้องการส่ง ตุ้มน้ำหนัก มาตรฐานสอบเทียบ แต่ไม่รู้จะระบุค่า Error อย่างไร ลูกค้าสามารถระบุตามค่าที่กำหนดในตารางได้เลยค่ะ และหากลูกค้าต้องการนำตุ้มน้ำหนักมาตรฐานไปใช้ในการเช็คค่าของเครื่องชั่งที่มีการใช้งานอยู่นั้นก่อนการเลือกใช้ตุ้มน้ำหนัก จะต้องคำนึงถึงค่า Maximum permissible error (MPE)ของตุ้มน้ำหนักแต่ละ Class ด้วยนะคะ

สุดท้ายนี้เราจะมาดูกันว่า บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเราสามารถสอบเทียบตุ้มน้ำหนักได้ที่ Class ไหน และมีค่า ขีดความสามารถของการสอบเทียบและการวัด (CMC)  เท่าไรกันบ้างไปดูกันค่ะ

ตุ้มน้ำหนักที่สอบเทียบ โดยได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025:2017 จากทั้ง สมอ และ ANAB

 

 

รายการสอบเทียบ ขีดความสามารถของการสอบเทียบและการวัด รายการสอบเทียบ ขีดความสามารถของการสอบเทียบและการวัด
Conventional Mass สมอ Conventional Mass ANAB
CLASS F2 (CLASS F1,F2,M1,M2,M3)
1 mg 20 µg 1 mg 6 µg
2 mg 20 µg 2 mg 6 µg
5 mg 20 µg 5 mg 6 µg
10 mg 25 µg 10 mg 8 µg
20 mg 30 µg 20 mg 10 µg
50 mg 40 µg 50 mg 12 µg
100 mg 50 µg 100 mg 16 µg
200 mg 60 µg 200 mg 20 µg
500 mg 80 µg 500 mg 25 µg
1 g 0.10 mg 1 g 30 µg
2 g 0.12 mg 2 g 40 µg
5 g 0.16 mg 5 g 50 µg
10 g 0.20 mg 10 g 60 µg
20 g 0.25 mg 20 g 80 µg
50 g 0.30 mg 50 g 0.1 mg
100 g 0.50 mg 100 g 0.16 mg
200 g 1.0 mg 200 g 0.3 mg
500 g 2.5 mg 500 g 0.8 mg
CLASS M1 1 Kg 1.6 mg
1 Kg 16 mg 2 Kg 3 mg
2 Kg 30 mg 5 Kg 8 mg
5 Kg 80 mg 10 Kg 16 mg
10 Kg 0.16 g 20 Kg 30 mg
20 Kg 0.30 g
Conventional Mass Conventional Mass
1mg to 100 g 0.5 mg 1mg to 100 g 0.16 mg
>100 g to 200 g 1.0 mg (100 to 200) g 0.3 mg
>200 g to 500 g 2.5 mg (200 to 500) g 0.8 mg
>500 g to 1 kg 16 mg (500 to 1000) g 1.6 mg
>1 kg to 2 kg 30 mg (1000 to 2000) g 3 mg
>2 kg to 5 kg 80 mg (2 to 5) kg 8 mg
>5 kg to 10 kg 0.16 g (5 to 10) kg 16 mg
>10 kg to 20 kg 0.30 g (10 to 20) kg 30 mg

 

ทั้งนี้ทาง บริษัทแคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเรายังมีตุ้มน้ำหนักขนาดต่างๆจำหน่ายและมีบริการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อีกด้วยนะคะ หากลูกค้าท่านใดสนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ทุกช่องทางการติดต่อเลยนะคะ

 

ผู้เขียน Katai

 

 

 

 

Class ของตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน และการดูแลรักษา

 

ซื้อเครื่องชั่ง ราคาพิเศษ คลิก     บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

หากต้องการนำ Pressure Safety Valve มาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

Pressure Safety Valve คืออะไร ???

            Pressure Safety Valve หรือ วาล์วนิรภัย เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเพื่อความปลอดภัยของระบบ โดยมีหน้าที่หลักคือระบายแรงดันภายในออกจากระบบ ซึ่งเครื่องมือวัดประเภท วาล์วนิรภัยจะทำงานเองโดยอัตโนมัติเมื่อแรงดันในระบบมีค่าแรงดันสูงกว่าค่าที่มีการตั้งไว้ โดย วาล์วนิรภัยจะใช้กับแรงดันที่เกิดจากของเหลวที่สามารถบีบอัดได้ (Compressible Fluid) เช่น ไอน้ำ หรือก๊าซ ซึ่งต้องมีการระบายแรงดันออกจากระบบอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายของท่อหรือถังที่อาจเกิดขึ้นได้

เครื่องมือวัด Pressure Safety Valve มีส่วนประกอบอะไรบ้าง

  1. Valve Body เป็นโครงสร้างที่ใช้ติดตั้งกับท่อหรือถัง โดยส่วนใหญ่จะผลิตจากเหล็กหล่อ หรือวัสดุอื่นๆตามการใช้งาน
  2. Disc โดย Disc จะทำหน้าที่รับแรงดันทั้งหมดไว้ มีลักษณะเป็นแผ่นกลมๆใช้กดปิดกั้นของเหลวไว้ โดยอาศัยแรงกดจากสปริง
  3. Stem เป็นส่วนที่รับแรงกดจากสปริงและส่งแรงกดไปยังแผ่น Disc โดยมีหน้าที่เป็นแกนบังคับให้ส่วนที่เคลื่อนไหวเคลื่อนที่ตามแนวแกน Stem
  4. Spring เป็นส่วนที่ก่อให้เกิดแรงต้านทานแรงดันที่แผ่น Disc เมื่อมีการ Adjust Screw เพื่อให้สปริงยืดหดตัวแตกต่างกันส่งผลให้แรงกดที่ Disc มีค่าแตกต่างกัน จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะใช้เพื่อกำหนดค่าแรงดันที่จะทำให้ Valve เกิดการระบาย
  5. Adjust Screw ใช้ปรับระยะยืดหดของสปริง จุดนี้จะเป็นการปรับตั้งค่าความดัน

วาล์วนิรภัยมีการทำงานอย่างไร

            Safety Valve โดยทั่วไปการทำงานของ เครื่องมือวัด วาล์วนิรภัย เมื่อมีความดันภายในระบบท่อหรือถัง มีค่ามากกว่าค่าแรงของความดันที่มีการตั้งไว้ (Set Pressure) แรงจากความดันที่เกิดขึ้นภายในที่กระทำต่อแผ่น Disc จะมีค่ามากกว่าที่แรงดันที่กดสปริง ทำให้แผ่น Disc เกิดการยกตัวขึ้น และระบายความดันส่วนเกินออกมา เมื่อความดันในระบบลดลงแล้ว แผ่น Disc ก็จะเคลื่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งและรับความดันภายในเช่นเดิม

 

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC  สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ได้ที่ Range เท่าใดบ้าง

            วาล์วนิรภัย สามารถ สอบเทียบเครื่องมือวัด ให้บริการ โดยได้รับการรับรอง Scope ISO/IEC17025:2017 จาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ดังนี้

รายการสอบเทียบ Range วิธีการสอบเทียบ
Safety Valve (0 to 34.5) kPa

(34.5 to 103.4) kPa

(103.4 to 206.8) kPa

(206.8 to 689.5) kPa

(689.5 to 2 068) kPa

(2 068 to 3 447) kPa

(3 447 to 10 342) kPa

In house method: CLCCPPP-14 based on DKD – R6-1 by Comparison technique with Pressure Module

 

***ทาง CLC สามารถให้ บริการ สอบเทียบเครื่องมือวัดวาล์วนิรภัย ได้ทั้งรูปแบบ In Lab  และ Onsite
ซึ่งได้Scope  จาก  ANSI National Accreditation Board (ANAB) ทั้งรูปแบบ In Lab  และ Onsite***

หากต้องการส่งเครื่องมือวัดวาล์วนิรภัยมาสอบเทียบต้องทำอย่างไร

  1. ควรกำหนดจุดค่าแรงดัน (Set Pressure) ที่ต้องการตรวจเช็ค ให้ตรงกับ Point ที่ใช้งานเป็นประจำ โดยปกติลูกค้าจะตั้งค่าแรงดัน อยู่ที่ 1  pointใช้งาน
  2. กรณีสอบเทียบเครื่องมือวัดครั้งแรกกับ CLC แนะนำให้ลูกค้าส่งรายละเอียดเครื่องมือมา Check กับห้องปฏิบัติการก่อน เช่น แบรนด์, โมเดล, Spec เครื่องมือที่ลูกค้าใช้งาน

 

ผู้เขียน Leader ลูกคิด

 

 

บริการสอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ใช้งานง่ายแบบที่คุณอาจะยังไม่รู้ Digitorqon DBDT Series

ใช้ง่ายมากกกกก  Digitorqon DBDT Series

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาพูดถึงวิธีการใช้งาน Digitorqon DBDT Series (Digital Torque Screwdriver) ที่มีการใช้งานที่ง่าย และสะดวกมากๆค่ะ Digitorqon DBDT Series (Digital Torque Screwdriver)  Brand TONE นั้น มีอยู่ 2 รุ่นด้วยกันคือ DBDT3S (30-300 cN.m) และ DBDT6S (60-600 cN.m) Accuracy  ± 3% Of Reading สำหรับเรื่องของการใช้งาน จะเป็นเครื่องมือวัดที่เหมาะกับงานที่ใช้แรงบิดค่อนข้างต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กับประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีแรงบิดไม่มากนักค่ะ ตอนนี้เราจะพาไปดูวิธีการใช้งานแบบง่ายๆกันเลยค่ะ

รูปภาพ 1.1 Digitorqon DBDT-Series Model : DBDT3S

วิธีการใช้งาน DBDT-Series

  1. สำหรับการเปิดเครื่อง ให้ทำการกดปุ่มค้างไว้  3 วินาที จะมีไฟและเสียงบี๊บขึ้นที่หน้าจอ และปรากฏเลข 0 บนจอแสดงผล  การใช้งานไม่ยุ่งยากเลยค่ะ สามารถขันได้ 2 ทิศทาง ทั้งตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาค่ะ
  2. การตั้งค่าแรงบิดเป้าหมาย ให้ทำการกดปุ่ม SET เพื่อเปลี่ยนหน้าจอแสดงผลและจะมีการกระพริบค่าประมาณ 15 วินาที ให้กดปุ่มขึ้นหรือลง ขณะที่หน้าจอมีการกระพริบเพื่อตั้งค่า Torque เป้าหมายที่ต้องการ และเมื่อทำการ SET ค่าที่จะขันได้แล้วให้กดปุ่ม SET เพื่อยืนยันค่า จะเกิดไฟ LED สีแดงและมีเสียงดังปี๊ปเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันที่หน้าจอจะปรากฏตัวเลขนั้น พร้อมกับค่าที่ SET ก็จะถูกบันทึกไว้ค่ะ
  3. การเลือกโหมดการวัด

เครื่อง Digitorqon DBDT-Series Model : DBDT3S มีความสามารถใช้งานได้ 2 Mode ด้วยกัน คือ 

3.1 Peak mode (แสดงค่าแรงสูงสุดที่วัดได้ ค่าที่ขันได้จะค้างที่หน้าจอ ) ค่าจะแสดงที่หน้าจอ 90 วินาที แล้วจะถูกรีเซ็ตอัตโนมัติ หากต้องการรีเซ็ตค่าด้วยตนเองให้กดปุ่ม CLR ค่ะ

3.2 Track Mode (ค่าที่แสดงผลที่หน้าจอจะขึ้นลง Real Time ตามแรงจริง Set Zero อัตโนมติ)   หน้าจอแสดงผลมีไอคอนแสดงรูปกราฟ ตามตัวอย่างรูปภาพที่ 1.2

 

รูปภาพ 1.2  การเปลี่ยนโหมด Track Mode หน้าจอแดงผลมีไอคอนรูปกราฟ

หากต้องการเปลี่ยนโหมดให้กดปุ่มลูกศรลง พร้อมกับกดปุ่ม CLR หน้าจอจะมีเสียงดังปี๊บแล้วจึงจะมีการเปลี่ยนโหมดที่หน้าจอค่ะ

4. DIGITORQON DBDT – Series เป็น Screwdriver วัดแรงบิดดิจิตอล มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่สามารถเปลี่ยนแรงบิดได้ และสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนก่อนถึงแรงบิดเป้าหมายเพื่อป้องกันแรงบิดเกินค่าที่ต้องการ โดยตั้งค่าให้ทำการตั้งค่าเป็น %  เมื่อมีการให้แรงบิดถึง % ที่ตั้งค่าไว้ จะมีการแจ้งเตือนด้วยเสียงปี๊ปและไฟ LED สีแดงค่ะ โดยสามารถตั้งได้ระหว่าง 5% ถึง 50 % ( 95% ถึง 50% ของแรงบิดเป้าหมาย)

กดปุ่ม % เพื่อเปลี่ยนหน้าจอแสดงผล ค่าจะกระพริบเวลา 15 วินาที ขณะกระพริบให้กดปุ่มขึ้นหรือลง เพื่อตั้งค่าที่ต้องการ จากนั้นกดปุ่ม % อีกครั้งเพื่อยืนยันค่า จะปรากฏไฟ LED สีแดงและเสียงปี๊ปเกิดขึ้น

 

ตัวอย่างการตั้งค่า กำหนดแรงบิดเป้าหมายคือ 100 cN.m 

ตั้งค่า การแจ้งเตือน 10%  (เมื่อให้แรงบิดถึง 90% ของแรงบิดเป้าหมาย)  เช่น = 100 x (10%)  = 90 cN.m

ดังนั้นเมื่อขันถึงแรงบิดที่ 90% ของแรงบิดเป้าหมาย จะมีไฟ LED สีแดงและเสียงดังขึ้นค่ะ

รูปภาพ 1.3  แสดงการกดปุ่ม % การตั้งค่าการแจ้งเตือนก่อนถึงแรงบิดเป้าหมาย

5. สวม Digital Torque Screwdriver เข้าไปในสกรูแล้วขันให้แน่น ออกแรงดันเข้าไปด้วยแรงที่มั่นคง จะมีไฟ LED สีแดงและเสียงปี๊ปดังขึ้นเมื่อถึงแรงบิดเป้าหมาย ระวังอย่าให้แรงเกินค่าแรงบิดเป้าหมาย และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกเรื่องเพื่อความแม่นยำในการวัดคือ ในขณะที่ใช้งาน จำเป็นต้องขันทำมุมให้ได้ตั้งฉากกับชิ้นงาน หากตัวเครื่องไม่มีการใช้งานหรือกดปุ่มใดๆเป็นเวลา 180 วินาที “ฟังก์ชันจะทำการปิดเครื่องอัตโนมัติ”  และมีไฟ LED สีแดงและเสียงดังขึ้น สำหรับในส่วนของแบตเตอรี่นั้น เมื่อมีระดับแบตเตอรี่ ใกล้ต่ำกว่า 30% ไอคอนระดับแบตเตอรี่ จะปรากฏขึ้น ที่ขอบด้านซ้ายของจอแสดงผล เมื่อไอคอนนี้แสดงขึ้น ควรเปลี่ยนแบตเตอรรี่ใหม่ทันทีนะคะ

รูปภาพ 1.4 แสดงการใส่ถ่าน Alkaline AAA  2 ก้อน

เป็นยังไงกันบ้างคะ ใช้งานง่ายเหมือนอย่างที่บอกไว้เลยใช่ไหมคะ Torque รุ่น DIGITORQON DBDT-series ทางบริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ของเรามีจำหน่าย หากท่านไหนสนใจสามารถติดต่อสอบถามกับฝ่ายขายของเราได้เลยนะคะ ยินดีให้บริการค่ะ ในโอกาสหน้าเรามีข้อควรระวังในการใช้ Torque DIGITORQON DBDT-series มาฝากกันด้วย อย่าลืมติดตามกันต่อในบทความหน้านะคะ แล้วจะมาบอกเรื่องข้อควรระวัง เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆให้ทราบกัน เพื่อที่จะได้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น เจอกันอีกทีบทความหน้า ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

ผู้เขียน Suphanun BDS

 

 

สอบเทียบเครื่องมือด้าน Torque&Force    สินค้าด้าน Torque&Force

ขอใบเสนอราคา   ติดต่อเรา 

 

2 ประเภทที่มักพบในการใช้เครื่องมือวัด ไฮดรอมิเตอร์

มาทำความรู้จัก เครื่องมือวัด ประเภท HYDROMETER กันค่ะ           

Hydrometer เป็น เครื่องมือวัด ที่เอาไว้ใช้วัดความถ่วงจำเพาะและความหนาแน่นของของเหลวตามหลักการของการลอยตัว ไฮดรอมิเตอร์ ลักษณะของตัวเครื่องมือนั้นมันจะเป็นหลอดแก้วหลอดทรงผอมยาวและจะมีน้ำหนักด้วยปรอทหรือตะกั่วอยู่ภายใต้หลอดเพื่อให้มันถ่วงสามารถลอยตัวจะมีความถ่วงจำเพาะที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของสารต่างๆที่อยู่ในของเหลวนั้นการถ่วงน้ำหนักและภายในหลอดของไฮโดรมิเตอร์จะมีแถบเส้นสเกลตัวเลขไว้สำหรับใช้ในการอ่านค่าความถ่วงจำเพาะ หรือ ความหนาแน่นของของเหลวที่ใช้ในการวัด การทำงานของ ไฮโดรมิเตอร์ โดยทั่วไปนั้นจะเป็นการทำงานแบบแรงลอยตัวขึ้นที่กระทำต่อวัตถุที่จมอยู่ในของเหลวไม่ว่าวัตถุนั้นจะจมทั้งส่วนหรือบางส่วนก็ตาม จะเท่ากับน้ำหนักของของเหลวที่วัตถุนั้นแทนที่ และ มีทิศทางขึ้นจากจุดศูนย์กลางของมวลของของเหลวที่ถูกแทนที่นั้นความไม่แน่นอนของการสอบเทียบค่าที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องมือ

 

Hydrometer ส่วนมากที่พบเจอจะมีอยู่ 2 ประเภท

  • แบบวัดความหนาแน่นจะเรียกว่า ไฮดรอมิเตอร์ประเภท DENSITY 
  • แบบวัดความถ่วงจำเพาะของเหลวจะเรียกว่าไฮดรอมิเตอร์ประเภท SPECIFIC GRAVITY 

ไฮดรอมิเตอร์แบบ DENSITY และแบบ SPECIFIC GRAVITY จะคล้ายกันมากแต่ความแตกต่างที่ไม่เหมือนกัน คือ ประเภท DENSITY
จะมีหน่วยในการวัดเป็น g/ml(กรัมต่อมิลลิลิตร)แบบ SPECIFIC GRAVITY มันจะไม่มีหน่วยในการวัด

 

วิธีการ สอบเทียบเครื่องมือวัด Hydrometer ของทาง บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ( CLC )

บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด หรือ CLC  สอบเทียบเครื่องมือวัด ไฮโดรมิเตอร์ โดยใช้วิธีการ COMPARE กับ ไฮดรอมิเตอร์ ที่เป็นตัวมาตรฐานของห้องปฎิบัติการ (STD) กับเครื่องมือของทางลูกค้า (DUC) และ ใช้สารละลายที่เป็นตัวกลางในการ COMPARE ทุกครั้งที่ทำการสอบเทียบปัจจัยที่สำคัญในการสอบเทียบซึ่งมีผลต่อค่าที่สอบเทียบได้ คือ อุณหภูมิ ในขณะที่ทำการสอบเทียบทางห้องปฎิบัติการจะต้องควบคุมอุณหภูมิให้ได้อยู่ที่ 20 ºC

 

ขอบข่ายในการออก ACCREDITED ของ บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี ( CLC )

สามารถออก ACCREDITED ได้การรับรองมาตรฐาน ISO/IEC17025:2017 จาก สมอ. (ประเทศไทย)  และ  ANAB (ประเทศสหรัฐอเมริกา)

 

ข้อที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อไฮโดรมิเตอร์มาใช้งาน

  1. ควรคำนึงถึงความต้องการในการใช้งาน
  2. ความสามารถในการวัดของตัวเครื่อง

 

วิธีการดูแลรักษาเครื่องมือไฮโดรมิเตอร์หลังจากใช้งานเสร็จ

ทุกครั้งที่มีการนำ เครื่องมือวัด ตัวไฮโดรมิเตอร์ออกไปใช้งานก่อนเก็บเข้าที่ควรจะเช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อยซึ่งควรจะมีน้ำยาทำความสะอาดเครื่องแก้วติดเอาไว้เพราะจะเป็นน้ำยาจำเพาะในการทำความสะอาดตัวเครื่องแก้วในตัวน้ำยาอาจจะมีสารในการดูแลตัวเครื่องแก้วอยู่ในนั้นหลังจากนั้นก็เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย

 

ทำไมต้องส่ง เครื่องมือวัด มาสอบเทียบ

การส่งสอบเทียบเครื่องมือวัด เพื่อตรวจสอบเช็คค่าเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือที่เราใช้งานอยู่นั้นยังสามารถที่จะใช้งานได้ต่อ สอบเทียบแล้วยังได้ค่าที่มั่นคง แม่นยำ ถูกต้องอยู่ เครื่องมือวัดอุตสหกรรมในโรงงานส่วนมากก็จะมีการส่งตรวจสอบให้มีความถูกต้องตามความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ที่ทางลูกค้าได้กำหนดไว้ (MPE)  เพื่อให้ได้มาตรฐาน

 

ข้อแนะนำจาก บริษัท แคลิเบรชั่น แลบอราทอรี จำกัด ( CLC ) เกี่ยวกับ HYDROMETER

บนตัวเครื่องมือวัดไฮโดรมิเตอร์ ไม่ควรติด STICKER หรือ ไม่ควรที่จะสลักอะไรลงไปโดยเด็ดขาด เพราะจะมีผลต่อค่าในการสอบเทียบ และ มีผลต่อการใช้งานด้วยค่ะ

 

รูปแบบของไฮดรอมิเตอร์

ผู้เขียน Kaem Yui

เครื่องวัดความหวาน (Refractometer) Atago วิธีใช้งานง่ายกว่าที่คิดจริงมั้ย

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

3 เทคนิคง่ายๆ กับวิธีการใช้งานเครื่องชั่ง DIGITAL BALANCE “VIBRA” AJ-4200CEN

ปัจจุบัน เครื่องชั่งก็มีให้เลือกใช้กันหลากหลายรุ่นมากมายในท้องตลาด ผู้เขียนมีรุ่นหนึ่งที่อยากจะมาแนะนำวิธีการใช้งานแบบง่ายๆ ให้ทุกคนได้นำไปใช้กันนะคะ
วันนี้จะขอแนะนำเป็น ยี่ห้อ VIBRA รุ่น AJ-4200CEN ซึ่งเป็นเครื่องชั่งที่เหมาะกับการนำมาใช้ในห้องปฏิบัติการ, โรงงาน, ร้านอัญมณี, ร้านทอง , ฯลฯ

ด้วยลักษณะตัวเครื่องชั่งที่มีหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ (สูง 16.5 mm) พร้อมแสงด้านหลังสีขาวช่วยให้การชั่งน้ำหนักทำได้ง่ายและสะดวกสบายแม้อยู่ในที่มืด สามารถปรับระดับขาของฐานเครื่องชั่ง พร้อมระดับน้ำสำหรับความสมดุล อีกทั้งปุ่มการใช้งานถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมากขึ้นด้วยฟังชั่นการใช้งานในรูปแบบการหักค่าภาชนะ (Tare) การอ่านค่าเป็นเปอร์เซนต์ (%) การนับชิ้นงาน (Count) รวมถึงการ Memory จดจำน้ำหนักของวัตถุที่ทำการชั่งได้ด้วย

อันดับแรกเราขอแนะนำเกี่ยวกับปุ่มการใช้งานกันก่อนนะคะ ซึ่งมีปุ่มการใช้งานบนตัวเครื่องดังนี้ค่ะ

 

 

 

 

 

 

หลังจากรู้จักปุ่มเรียบร้อยแล้วเราก็มารู้จักเทคนิควิธีการใช้งาน 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้เลยค่ะ

1.การหักค่าภาชนะ

1.1 วางภาชนะที่ต้องการหักค่าลงบนถาดเครื่องชั่ง

1.2 กดปุ่ม Zero / Tare เพื่อทำการหักค่าภาชนะ หน้าจอจะแสดงผลเป็น 0

1.3 ใส่ชิ้นงานที่ต้องการชั่งลงในภาชนะ น้ำหนักที่ได้จะเป็นน้ำหนักของชิ้นงานเท่านั้น

2. การนับชิ้นงาน

2.1กดปุ่ม Function จนหน้าจอแสดง [Pcs]

2.2 วางภาชนะบนถาดเครื่องชั่ง กดปุ่ม Zero / Tare เพื่อทำการหักค่าภาชนะ หน้าจอจะแสดงผลเป็น 0

2.3กดปุ่ม Set หน้าจอจะกระพริบ [on  10] นั่นคือให้ทำการเลือกนับชิ้นงาน จะเริ่มต้นที่10 ชิ้น

2.4 หากต้องการเปลี่ยนค่าการนับชิ้นงาน เริ่มต้นให้กดปุ่ม Zero / Tare ทีละครั้ง

2.5 ใส่จำนวนชิ้นงานให้เท่ากับจำนวนการสุ่มที่หน้าจอ

2.6 กดปุ่ม Memory เพื่อให้เครื่องชั่งจดจำค่าน้ำหนักของชิ้นงาน

การอ่านค่าเป็นเปอร์เซ็นต์

3.1 กดปุ่ม Function เพื่อเลือกฟังก์ชั่นเปอร์เซ็นต์ (%)

3.2 กดปุ่ม Set หน้าจอจะกระพริบ

3.3 วางน้ำหนักชิ้นงานมาตรฐานบนจานชั่ง

3.4 กดปุ่ม Memory เพื่อให้เครื่องชั่งจำน้ำหนักชิ้นงาน หน้าจอจะแสดงค่าเป็น 100%

3.5 นำชิ้นงานอื่นวางบนจานชั่งน้ำหนัก ชิ้นงานจะแสดงค่าเป็น % ตามมวลน้ำหนักของชิ้นงานนั้น

เป็นยังไงบ้างค่ะกับเทคนิค 3 ขั้นตอนการใช้งานแบบง่ายๆ ก็สามารถใช้งานเครื่องชั่งเป็นแล้วแบบไม่ยุ่งยากเลย และหากท่านใดสนใจกำลังมองหาเครื่องชั่งสักเครื่องในการทำงาน มีวิธีการใช้งานแบบง่ายๆ ให้เครื่องชั่งยี่ห้อ Vibra แบบดิจิตอล(Digital) รุ่น AJ-4200CEN เป็นอีกทางเลือกของท่านได้นะคะ ทาง CLC เรามีจำหน่ายพร้อมบริการสอบเทียบตามมาตราฐาน OIML-R76-1 อีกทั้งให้ท่านเกิดความเชื่อมันในมาตราฐานระดับสากลของเราอีกด้วยคะ โอกาสหน้าจะมาแนะนำเทคนิคดีๆ อื่นๆให้อีกแน่นอนค่ะ คอยติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ 

 

ผู้เขียน BEW JJ.

มาทำความรู้จัก เครื่องชั่งละเอียด  “VIBRA” MODEL : AJ-12KCEN กันเถอะ!!

DIGITAL BALANCE “VIBRA” MODEL : AJ-12KCEN เป็น เครื่องชั่ง อิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุดอุปกรณ์ที่มีค่าความละเอียดสูง มีขนาดกะทัดรัดตอบโจทย์ความต้องการการใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น สารเคมีในรูปแบบของเหลว ผง หรือชิ้นส่วนงานขนาดไม่ใหญ่ ด้วยคุณสมบัติที่มีหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ พร้อมแสงด้านหลังสีขาวแบบถนอมสายตา ช่วยให้การชั่งน้ำหนักทำได้ง่ายและสะดวกสบายแม้อยู่ในที่มืด สามารถปรับระดับขาของฐานเครื่องชั่ง พร้อมระดับน้ำสำหรับความสมดุลนอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถสลับโหมดการชั่งได้อย่างง่ายดาย ในรูปแบบการหักค่าภาชนะ (Tare) การอ่านค่าเป็นเปอร์เซนต์ (%) การนับชิ้นงาน (Count) รวมถึงการ Memory จดจำน้ำหนักของวัตถุที่ทำการชั่งได้ การตอบสนองนั้น เครื่องชั่งดิจิตอล สามารถตอบสนองได้รวดเร็วในส่วนของปุ่มการใช้งานรูปแบบปุ่ม เป็นปุ่มที่สามารถใช้งานเรียบง่ายไม่ซับซ้อน อีกทั้งมีความเที่ยงตรงและแม่นยำด้วยระบบ Stabilization ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการชั่งน้ำหนักที่ถูกต้องได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

ตอนนี้ก็มาดูกันถึงสเปคทั่วไปของ เครื่องชั่งละเอียด รุ่น AJ-12KCEN กันบ้างดีกว่าว่ามีคุณสมบัติอะไรกันบ้างเพื่อที่จะได้
นำไปใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งานซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  1. ขนาดน้ำหนัก (Capacity): 12000 g
  2. อ่านละเอียด (Readability [d]): 0.1 g
  3. ขนาดของจานรอง (Pan Size): 180×160 mm
  4. ความแม่นยำ (Accuracy) Class: II
  5. การตัดค่าน้ำหนักภาชนะเป็นศูนย์ (Tare)
  6. มีฟังก์ชั่นExternal Calibration คือ การปรับตั้งเครื่องชั่งโดยใช้ตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน ซึ่งอยู่ภายนอกเครื่องชั่ง (Span Adjustment)
  7. มีการแจ้งเตือน “o-Err” จะแสดงขึ้นเมื่อ Full Weight + 9 หลักเกิน (Over error)
  8. ช่วงอุณหภูมิและความชื้น: 10 ~ 30 ℃ (ประเภทCEN), สูงสุดถึง 80 % RH
  9. สายชาร์ท: AC Adapter Input 100-240 VAC / Output 12 VDC
  10. สายสัญญาณ: RS232C

ทีนี้พอเรารู้แล้วว่า เครื่องชั่ง มีคุณสมบัติอย่างไรกันแล้วคราวนี้ก็มาดูวิธีการใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องชั่งละเอียดอย่างถูกวิธีกันต่อดีกว่าว่ามีวิธีการแบบไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

       เครื่องชั่งรุ่น AJ-12KCEN ซึ่งการบำรุงรักษาเครื่องชั่งละเอียดอย่างถูกวิธีนั้นจะทำให้ได้ผลการชั่งที่ถูกต้องและช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องชั่งได้ ควรดูแลทำความสะอาดตัวเครื่องชั่งและบริเวณโดยรอบอย่างเสมอและตามหลักการดังต่อไปนี้

  • วาง เครื่องชั่งละเอียดให้อยู่ในแนวราบ โดยตรวจสอบระดับลูกน้ำ หากระดับลูกน้ำไม่อยู่ตรงกลางให้ปรับขาตั้งเครื่อง จากนั้นทำการปรับตั้ง (Calibration) ก่อนใช้งาน
  • การเปิดปิดเครื่องชั่ง หลังจากเสียบปลั๊กและเปิดสวิตซ์เครื่อง ควรอุ่นเครื่องก่อนการใช้งานไม่น้อยกว่า 30 นาที หากมีการใช้งานเป็นประจำควรเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตลอด เมื่อใช้งานเสร็จให้ปิดแต่สวิตซ์เครื่อง เมื่อเปิดใช้งานครั้งต่อไปก็ใช้งานได้ทันที ไม่ต้องอุ่นเครื่องอีก
  • กรณีเครื่องชั่งละเอียด ให้ทำการ Preload เพื่อกระตุ้นการใช้เครื่อง โดยวางสิ่งของที่จะชั่งบนจานชั่งแล้วยกออก ก่อนทำการชั่งจริง
  • ทำการปรับตั้ง (Calibration) เมื่อมีการติดตั้งเครื่องใหม่ ตำแหน่งลูกน้ำเปลี่ยนแปลง มีการปรับระดับของเครื่องชั่ง และเมื่ออุณหภูมิ ความชื้น ความดันบรรยากาศเปลี่ยนไป
  • ก่อนวางสิ่งของบนจานชั่ง เครื่องชั่งต้องแสดงค่าเป็นศูนย์ ถ้าไม่เป็นศูนย์ ให้กด Tare เพื่อปรับให้แสดงค่าศูนย์ และอ่านค่าได้ก็ต่อเมื่อเครื่องชั่งแสดงสัญญาณให้อ่าน
  • การวางน้ำหนักบนจานชั่ง ควรวางสิ่งของให้อยู่ตรงกลางจาน ไม่ควรใช้มือจับสิ่งของหรือภาชนะ
  • ไม่ชั่งน้ำหนักที่หนักเกินความสามารถของตัวเครื่อง (Weighing capacity)
  • ระวังไม่ให้เครื่องชั่งถูกกระทบกระเทือนอย่างแรง
  • เก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ร้อนหรือชื้นจนเกินไป
  • ดูแลความสะอาดของเครื่องชั่งและบริเวณที่ติดตั้งอยู่เสมอ

                                               

หากท่านกำลังมองหาเครื่องชั่งดิจิตอลสักเครื่อง เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเลือกซื้อเครื่องชั่งละเอียด AJ-12KCEN ตอบโจทย์การใช้งานของท่านแน่นอนค่ะ สำหรับผู้อ่านที่สนใจเครื่องชั่งดิจิตอล MODEL : AJ-12KCEN ยี่ห้อ VIBRA ทางเราก็มีสินค้าจำหน่ายพร้อมสอบเทียบตามมาตราฐาน OIML-R76-1 ให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อมั่นในมาตราฐานระดับสากลของเราอีกด้วยค่ะ  ครั้งหน้าผู้เขียนจะแนะนำเครื่องชั่งเป็นรุ่นไหนติดตามกันต่อไปนะคะ จะนำเครื่องชั่งดีๆ ใช้งานง่ายราคาดีมาแนะนำกันอีกค่ะ เจอกันในบทความหน้านะคะ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

Bew JJ.

 

 

 

ดีจริงมั้ย? Digital Balance จาก Vibra การดูแลรักษาทำอย่างไร

ซื้อเครื่องชั่ง ราคาพิเศษ คลิก     บริการสอบเทียบด้านมวลและเครื่องชั่ง

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

Absolute Pressure นั้นแตกต่างจาก Pressure แบบอื่นยังไง พร้อมข้อควรระวังและการสอบเทียบ

Absolute Pressure

     สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ เครื่องมือวัด Absolute Pressure และการสอบเทียบเครื่องมือวัดประเภทนี้กันครับ แต่ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับ Absolute Pressure กันก่อนครับ

Absolute Pressure หรือ ความดันสัมบูรณ์ ตามที่ทราบกันมาบ้างแล้วนะครับว่า ความดัน (Pressure) มีอะไรบ้าง เรามาทบทวนปัดฝุ่นความรู้กันสักหน่อยนะครับ ความดัน (Pressure) หลักๆแล้วก็มีด้วยกันอยู่ 4 ประเภทครับ (อาจแบ่งย่อยได้มากกว่านี้) ได้แก่

  1. ความดันเกจ (Gauge Pressure)
  2. ความดันสัมบูรณ์ (Absolute Pressure)
  3. ความดันดิฟเฟอเรนเชียล (Differential Pressure)
  4. สุญญากาศ (Vacuum)

แต่ในบทความครั้งนี้ผมจะขอหยิบยกมาพูดคุยกันสักหนึ่งตัว(จริงๆก็บอกตรงหัวเรื่องแล้วแหละ) นั่นก็คือ Absolute Pressure (ความดันสัมบูรณ์) นั่นเอง เพราะเจ้าความดันสัมบูรณ์นี้ บุคคลทั่วไปหลายท่านยังไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่ เรามาเรียนรู้ทำความรู้จักไปพร้อมๆกันเลยครับ

     Absolute Pressure (ความดันสัมบูรณ์) คือ

ลักษณะการวัดความดันเทียบกับภาวะสุญญากาศ สัญญาลักษณ์ที่ใช้คือ “a” หรือ  “abs” เรามักจะเห็นสัญญาลักษณ์ดังกล่าวนี้ต่อท้ายจากหน่วยวัดนั้นๆเช่น Psia, bara, barabs เป็นต้น ส่วนคำว่าความดันสัมบูรณ์นั้นมีค่าเท่ากับ 101.325 kPa @ความดันบรรยากาศ(1 atm) นั่นเองครับ

ความแตกต่างระหว่างความดันแบบต่างๆ ขออธิบายด้วยรูปนี้ครับ (รูปที่ 1)

รูปที่ 1

 

 

จากรูปตัวอย่างที่ 1 นี้ พอจะเห็นภาพมั้ยครับว่าความดันสัมบูรณ์ นั้นแตกต่างจาก Pressure แบบอื่นยังไง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ ความดันสัมบูรณ์ นั้น จะวัดค่าตั้งแต่ (Zero Absolute) ไปจนถึงย่านของความดันเกจ หรือ Gauge Pressure ดังตัวอย่างในรูปข้างบน

     หลังจากเกริ่นเรื่องความดันสัมบูรณ์ ไปพอสังเขปแล้ว ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องของ เครื่องมือความดันสัมบูรณ์ กันบ้าง ว่ารูปร่างหน้าตาจะหล่อเหลาเอาการมากน้อยแค่ไหน ผมมีตัวอย่างให้ดูนิดหน่อย

(รูปที่ 2)

รูปที่ 2

 

รูปที่ 3

จากรูปตัวอย่าง (รูปที่ 2 และรูปที่ 3) พอเห็นหน้าตาแล้วจะทราบทันทีเลยนะครับว่าคือ ความดันสัมบูรณ์ จุดสังเกตง่ายๆเลย คือ หน่วยวัด เช่นรูปที่ 2 หน่วย Psia และรูปที่ 3 หน่วย Bara จำที่เคยกล่าวไว้ข้างบนได้มั้ยครับว่า หน่วยของ ความดันสัมบูรณ์ ที่ถูกต้องนั้น จะต้องลงท้ายด้วย “a” หรือ ” abs “  มีทั้ง ความดันสัมบูรณ์ ที่เป็นแบบ Analog และ Digital มีทั้งแบบมาตรฐานใช้งานทั่วไป ไปจนถึงระดับ Test Gauge ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหน้างานที่จะใช้ ว่าต้องการเครื่องมือที่ High Accuracy สูงมากน้อยแค่ไหน เลือกซื้อหาได้ตามกำลังทรัพย์ของท่านได้เลยครับ

การใช้งานและการดูแลรักษาเครื่องมือวัดความดันสัมบูรณ์ที่ถูกต้อง

  1. ก่อนและหลังใช้งาน ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือวัดอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน
  2. ควรเลือกใช้อุปกรณ์เสริมหรือข้อต่อเกลียวต่างๆที่ได้มาตรฐาน
  3. เช็ดทำความสะอาดที่หน้าจอแสดงผลด้วยผ้าสะอาด ก่อนและหลังใช้งาน
  4. ก่อนใช้งานทุกครั้งต้องตวรจสอบเรื่องความดันที่จะนำไปใช้ว่าอยู่ใน Range ของเครื่องมือหรือไม่
  5. หมั่นส่งสอบเทียบเป็นประจำกับห้องปฎิบัติการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐาน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

ข้อควรระวังในการใช้งาน Absolute Pressure

  1. ไม่ควรใช้งานเครื่องมือวัดความดันสัมบูรณ์ เกินกว่า Range ของเครื่องมือเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายได้
  2. ไม่ควรใช้อุปกรณ์เสริมหรือข้อต่อเกลียวต่างๆที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายและอาจเกิดความเสียหายกับเครื่องมือ
  3. ต้องแน่ใจว่าความดันที่นำไปใช้งานนั้น ถูกประเภทกับเครื่องมือ เช่น Pneumatic (ลม), Hydraulic (น้ำมัน)
  4. ไม่ควรแก้ไข ดัดแปลงเครื่องมือวัดและอุปกรณ์เสริมด้วยตัวเอง ควรให้เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญโดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ
  5. ไม่ควรใช้งานหรือติดตั้งไว้ที่หน้างานที่มีอุณหภูมิสูงมาก เพราะจะทำให้เครื่องมือได้รับความเสียหาย หรือมีอายุการใช้งานสั้นลง

หากท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเกิดข้อสงสัยในส่วนไหนหรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม ทางบริษัท Calibration Laboratory Co.,Ltd. หรือ CLC ของเรายินดีให้คำปรึกษาโดยเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญและประสบการณ์สูง ที่สำคัญปรึกษาได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

และทางบริษัท Calibration Laboratory Co.,Ltd. หรือ CLC ของเรา ก็ได้มีบริการสอบเทียบเครื่องมือวัด Absolute Pressure ในรูปแบบ Accredit ISO/IEC 17025:2017 ทั้ง สมอ. และ ANAB โดยRange อยู่ที่ 0 to 206 kpa ทั้งแบบ In-Lab และ Onsite อีกด้วย ลองติดต่อกันเข้ามาได้เลยครับ

 

หวังว่าบทความเกี่ยวกับ ความดันสัมบูรณ์ ที่ได้นำมาฝากกันในครั้งนี้ จะพอเป็นประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไปครับ…ขอบคุณครับ…

CHOK_AM

 

 

บริการสอบเทียบความดันและสุญญากาศ

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา