คลังเก็บหมวดหมู่: บทความ

สอบเทียบต้องรู้! Weight Class ของ ตุ้มน้ำหนัก แบบไหนเหมาะกับคุณ

เครื่องชั่ง ยี่ห้อ Vibra เป็นเครื่องชั่งคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น ที่มีความแม่นยำและความเสถียรสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยี “Tuning Fork” ที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้ใช้งานควรเลือกใช้ ตุ้มน้ำหนัก Class อะไร ที่เหมาะสมตามระดับความละเอียดของแต่ละรุ่นและควรการ สอบเทียบเครื่องชั่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การใช้งานมีความถูกต้องตามมาตรฐาน และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ

ทำความเข้าใจเรื่องของ Class ของ Standard Weight

ระดับของ ตุ้มน้ำหนัก มาตรฐานที่ใช้สอบเทียบ

เช่น

  • E1, E2  – สำหรับเครื่องชั่งความละเอียดสูงมาก เช่น 4–5 ตำแหน่งทศนิยม
  • F1, F2  – สำหรับเครื่องชั่งทั่วไปที่มีควมละเอียดระดับ 2–3 ตำแหน่ง
  • M1, M2 – ใช้กับเครื่องชั่งที่มีความละเอียดต่ำ เช่น 1 ตำแหน่ง

ตัวอย่างการเลือก Class สำหรับสอบเทียบ Standard Weight แต่ละรุ่นของ Vibra

Vibra AJ Series

  • ความละเอียด: 0.001 g (1 mg)
  • การใช้งาน: ร้านทองหรืออัญมณี,  สถานศึกษา, อุตสาหกรรมผลิตยาและเวชภัณฑ์, ห้องปฏิบัติการ
  • แนะนำใช้ตุ้มน้ำหนัก Class F1 หรือ E2

ตัวอย่าง 

ถ้าเครื่อง AJ-620E มีพิกัด 620 g ใช้ตุ้มน้ำหนัก 500 g และ 100 g Class F1

Vibra SJ Series

  • ความละเอียด: 0.01 – 0.1 g
  • การใช้งาน: งานอุตสาหกรรมทั่วไป
  • แนะนำใช้ตุ้ม Class F2 หรือ F1

ตัวอย่าง

SJ – 12KCEN พิกัด 12 kg ใช้ตุ้ม 10 kg, 2 kg Class F2 ก็เพียงพอ

Vibra AB Series

  • ความละเอียด: 0.01 – 0.1 g
  • การใช้งาน: งานทั่วไป และไลน์การผลิต
  • แนะนำใช้ตุ้มน้ำหนัก Class F1 หรือ M1 (ถ้าใช้ไลน์การผลิตที่ไม่เน้นละเอียด)

ตัวอย่าง

AB – 620 ใช้ตุ้มน้ำหนัก 500g, 100g Class F1

Vibra HT Series

 

  • ความละเอียด: 0.0001 g (0.1 mg)
  • การใช้งาน: ห้องปฏิบัติการทั่วไปใช้ชั่งตัวอย่างสารเคมี, สารละลาย, สารตั้งต้น , อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ , อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง , งานชั่งในอุตสาหกรรมอัญมณีและทองคำ
  • แนะนำใช้ตุ้มน้ำหนัก Class E2

ตัวอย่าง 

HT-224CEN มีพิกัด 220 g ใช้ตุ้มหนัก 20 g, 100 g, 100 g Class E2

สรุป

รุ่นเครื่องชั่ง ความละเอียด ตุ้มที่แนะนำใช้สอบเทียบ
Vibra AJ 0.001 g F1 หรือ E2
Vibra SJ 0.01–0.1 g F2 หรือ F1
Vibra AB 0.01–0.1 g F1 หรือ M1
Vibra HT 0.0001 g E2

ข้อควรจำ

  • การ สอบเทียบเครื่องมือวัด ควรทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • ถ้าใช้ในงานที่มีผลต่อคุณภาพ (เช่น ผลิตยา หรือวิเคราะห์สารเคมี) ควรเลือกตุ้มน้ำหนัก Class สูงขึ้น
  • การเลือกซื้อตุ้มน้ำหนักควรพิจารณาจากบริษัทที่มีมาตรฐานรับรองคุณภาพ ดังนั้นคุณควรเลือกตุ้มน้ำหนักจากผู้จำหน่ายที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าตุ้มน้ำหนักมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานสากล

การเก็บรักษาและดูแลตุ้มน้ำหนัก (Weights) ที่ถูกต้อง

เพื่อให้ตุ้มน้ำหนักที่ใช้สอบเทียบเครื่องชั่ง Vibra คงค่าความแม่นยำและสามารถใช้งานได้ยาวนาน ผู้ใช้งานควรให้ความสำคัญกับการดูแลและเก็บรักษาอย่างเหมาะสม ดังนี้:

1.เก็บในกล่องหรือภาชนะเฉพาะ

  • ตุ้มน้ำหนักควรเก็บไว้ในกล่องที่บุด้วยวัสดุกันกระแทก เช่น กล่องที่บุด้วยโฟม หรือกล่องไม้บุผ้า
  • ไม่ควรเก็บรวมกับอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการกระแทกหรือขูดขีดหลีกเลี่ยงการสัมผัสด้วยมือเปล่า
  • เหงื่อและคราบมันจากมืออาจทำให้ผิวตุ้มน้ำหนักเปลี่ยนแปลงน้ำหนักได้
  • ควรใช้ถุงมือ หรือแหนบจับตุ้มเมื่อยกหรือวางบนจานชั่ง

2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสด้วยมือเปล่า

  • เหงื่อและคราบมันจากมืออาจทำให้ผิวตุ้มน้ำหนักเปลี่ยนแปลงน้ำหนักได้
  • ควรใช้ถุงมือ หรือแหนบจับตุ้มเมื่อยกหรือวางบนจานชั่ง

  1. ทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง

  • ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้ง หรือแปรงที่มีขนอ่อนปัดเบา ๆ หากมีฝุ่น
  • ห้ามใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่น แอลกอฮอล์ หรือโซลเวนต์ (Solvent)
  1. หลีกเลี่ยงความชื้นและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อย

  • ความชื้นสูงอาจทำให้เกิดสนิม โดยเฉพาะกับตุ้มที่ไม่ใช่สแตนเลส
  • ควรเก็บในห้องที่มีอุณหภูมิคงที่และแห้ง หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
  1. สอบเทียบซ้ำตามระยะเวลา

  • ควรส่ง ตุ้มน้ำหนัก ไปสอบเทียบเป็นประจำทุก 1 ปี (หรือมากกว่านั้นตามความถี่การใช้งาน) โดยห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC17025 เช่น NIMT หรือ CLC Calibration

ผู้เขียน BDS TEAM

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

คู่มือการสอบเทียบ Dry Block ที่คุณต้องรู้! วิเคราะห์ทุกมิติของความแม่นยำ

Dry Block สอบเทียบอะไรบ้าง?

                การสอบเทียบ Dry Block โดยปกติแล้วจะแยกเป็น 2 ลักษณะคือเพื่อหาความถูกต้องของตัวแสดงผลของเครื่องมือวัด (Accuracy Test) และเพื่อหาประสิทธิภาพของเครื่องมือวัด (Evaluation Test)

การสอบเทียบ Dry Block

2 ลักษณะคือ

1.Accuracy Test

การสอบเทียบเพื่อหา Accuracy Test จะใช้ Standard Thermometer จุ่มลงไปยังก้นหลุมของเครื่องมือวัด เพื่อเปรียบเทียบผลกับตัวแสดงผล

รูปที่  1 แสดงการสอบเทียบเพื่อหา Accuracy Test

 

2. Evaluation Test

การสอบเทียบเพื่อหา Evaluation Test ประกอบด้วย

2.1 การประเมินความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลา (Stability with time)

2.2 การประเมินความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมี (Radial Inhomogeneity)

2.3 การประเมินค่าความเป็นหนึ่งเดียวกันของอุณหภูมิแนวแกน (Axial Inhomogeneity)

2.4 การประเมินผลกระทบของอุณหภูมิเนื่องจากภาวะโหลด (Loading Effect)

การประเมินความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลา (Stability with time) และการประเมินความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมี (Radial Inhomogeneity)

สอบเทียบเครื่องมือวัด โดยใช้ Standard Probe 2 ตัว จุ่มลงยังก้นหลุมของ Insert ในหลุมที่ห่างกันมากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนครอบคลุมอุณหภูมิของหลุมอื่นๆทั้งหมด เพื่อหาค่าความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมีและสามารถนำข้อมูลเดียวกันมาประเมินหาค่าความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลา โดยที่การประเมินความเสถียรของอุณหภูมิตามเวลานั้นจะต้องมีช่วงเวลาที่เสถียรแล้วไม่น้อยกว่า 30 นาที

.

รูปที่ 2 แสดงการสอบเทียบเพื่อหา Stability with time และ Radial Inhomogeneity

การประเมินค่าความเป็นหนึ่งเดียวกันของอุณหภูมิแนวแกน (Axial Inhomogeneity)

หลังจากสอบเทียบความแตกต่างของอุณหภูมิในแนวรัศมี จะดึง Standard Probe ขึ้นตามแนวแกนตั้งหนึ่งตัว ที่ระยะ 1, 2, 3 cm ตามลำดับ เพื่อประเมินผลต่างของอุณหภูมิตามแนวแกนเปรียบเทียบกับตำแหน่งก้นหลุม

รูปที่ 3 แสดงการสอบเทียบเพื่อหาAxial Inhomogeneity ที่ระยะ 1, 2, 3 cm ตามลำดับ

การประเมินผลกระทบของอุณหภูมิเนื่องจากภาระโหลด (Loading Effect)

สอบเทียบโดยใช้ Standard Probe 2 ตัว จุ่มลงยังก้นหลุมของ Insert ในหลุมที่ห่างกันมากที่สุดและนำ Dummy Probe จุ่มลงไปยังหลุมที่เหลือที่ตำแหน่งก้นหลุม เพื่อประเมินผลต่างของอุณหภูมิระหว่างการใช้งานแบบมีโหลดเพียงหนึ่ง Probe และการใช้งานแบบมีโหลดเต็มทุกหลุม

รูปที่ 4 แสดงการสอบเทียบเพื่อหา Loading Effect

* เครื่องมือวัดที่ทาง CLC สามารถสอบเทียบได้จะต้องมีขนาดของ Insert ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 mm อย่างน้อย 1 หลุม เนื่องจาก Standard Probe มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 mm ในการสอบเทียบเพื่อหาความถูกต้องของตัวแสดงผล (Accuracy Test) และหากต้องการ Accredit จะต้องมี Insert ที่มีหลุมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 mm มากกว่า 2 หลุมในการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ (Evaluation Test)

 

ผู้เขียน L3

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

เช็คด่วน เครื่องมือที่หากไม่ สอบเทียบเครื่องมือวัด เท่ากับเสียหายหลักล้าน

อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เทรนด์การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยช่วงปีหลังๆ มีแนวโน้มที่น่าสนใจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอุตสาหกรรมประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ผ่านการทดสอบหรือ สอบเทียบเครื่องมือวัด จากห้องปฏิบัติการที่ได้การรับรอง ISO/IEC 17025 เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ผ่านมาตรฐานได้คุณภาพ และความปลอดภัยได้โดยทำการ

  • การวัดค่ากระแสไฟฟ้า แรงดัน ความต้านทาน และกำลังไฟฟ้า

  • การสอบเทียบเครื่องมือวัด เช่น มัลติมิเตอร์ ออสซิลโลสโคป

  • การทดสอบคุณภาพพลังงาน (Power Quality Analysis)

คุณภาพพลังงาน (Power Quality Analysis) คืออะไร?

คุณภาพพลังงาน (Power Quality) หมายถึง การประเมินประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าไฟฟ้าที่จ่ายให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ มีคุณสมบัติที่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือลดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า

การวิเคราะห์คุณภาพพลังงาน (Power Quality Analysis)

คือกระบวนการตรวจสอบและวัดค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของระบบไฟฟ้า โดยใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้าเฉพาะทาง เช่น Power Quality Analyzer เพื่อระบุปัญหาและหาแนวทางแก้ไข

พารามิเตอร์ที่วัดในการวิเคราะห์คุณภาพพลังงาน

พารามิเตอร์ ความสำคัญ
แรงดันไฟฟ้า (Voltage) ตรวจสอบความเสถียรของแรงดัน
กระแสไฟฟ้า (Current) วัดความสมดุลของโหลดไฟฟ้า
ฮาร์มอนิก (THD – Total Harmonic Distortion) ตรวจสอบการรบกวนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ตัวประกอบกำลัง (Power Factor) ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
แรงดันตก/กระชาก (Voltage Dip/Swell) ป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์
ความถี่ (Frequency) ความเสถียรของระบบไฟฟ้า

ตัวอย่างความสำคัญของคุณภาพพลังงาน

หนึ่งในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่นการผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์ จำเป็นต้องให้ความสำคัญของคุณภาพพลังงานอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ ต้องการคุณภาพพลังงาน (Power Quality) สูงที่สุด เนื่องจากเครื่องจักรที่ใช้มีค่าความผิดพลาดที่ยอมรับได้ต่ำมาก (บางกระบวนการยอมให้ผิดพลาดเพียง ไม่กี่นาโนเมตรหรือพิโคเซคอนด์) หากไฟฟ้ามีปัญหา เช่น ไฟตก ไฟกระชาก ฮาร์มอนิกสูง หรือสัญญาณรบกวนส่งผลให้

  1. เครื่อง Lithography (เครื่องฉายแสงสร้างลายวงจร)

    • ใช้แสงเลเซอร์ความแม่นยำสูง (EUV/DUV) เพื่อแกะสลักลายวงจรบนเวเฟอร์ซิลิกอน

    • หากแรงดันไฟฟ้าตกหรือกระชากเพียง ไม่กี่มิลลิวินาที อาจทำให้

      • ลายวงจรเบี้ยว (Overlay Error) > ชิปเสียหายทั้งแผ่น

      • เลนส์หรือระบบควบคุมเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง > ต้องปรับเทียบใหม่ (ค่าเสียหายสูง)

    • ตัวอย่างค่าเสียหาย: เครื่อง Lithography รุ่นใหม่มีราคา 30–200 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และเวเฟอร์ซิลิกอน 1 แผ่น (300mm) มีมูลค่า หลายแสนบาท หากผลิตเสียหาย 1 แผ่น อาจสูญเสียเงินมหาศาล

2. เครื่องทดสอบวงจรรวม (IC Tester)

    • ใช้ตรวจสอบชิปทุกตัวก่อนส่งให้ลูกค้า โดยส่งสัญญาณไฟฟ้าความถี่สูง (GHz)

    • หากมีสัญญาณรบกวน (Noise) หรือฮาร์มอนิก

      • ผลทดสอบคลาดเคลื่อน > อาจตัดชิปดีเป็นชิปเสีย (Yield Loss)

      • เครื่องอ่านค่าผิดพลาด > ต้องทดสอบซ้ำ (เสียเวลาและค่าไฟฟ้า)

เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตและทดสอบ

เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพพลังงานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้าความแม่นยำสูง ได้แก่

1. เครื่องวิเคราะห์คุณภาพพลังงาน (Power Quality Analyzer)

ตัวอย่างเครื่องมือ Fluke 435 Series, Hioki PW3390
หน้าที่

  • วัดแรงดัน/กระแสแบบ Real-time
  • ตรวจฮาร์มอนิก (THD, Individual Harmonics)
  • บันทึกเหตุการณ์ไฟตก/ไฟกระชาก (Voltage Sag/Swell)
  • ความแม่นยำ: ±0.1% ของค่าที่อ่านได้

2. ออสซิลโลสโคปความถี่สูง (High-Frequency Oscilloscope)

ตัวอย่างเครื่องมือ Keysight Infiniium Series, Tektronix DPO70000
หน้าที่

  • ตรวจสัญญาณรบกวน (Noise) ในระบบไฟฟ้า
  • วัดความเร็วสัญญาณดิจิทัลใน IC Tester (ขึ้นถึง 100 GHz)
  • ความแม่นยำ: ±1% สำหรับสัญญาณความถี่สูง

3. เครื่องวัดความต้านทานและความจุไฟฟ้า (LCR Meter)

ตัวอย่างเครื่องมือ Keysight E4980A, Hioki IM3536

หน้าที่

  • วัดค่าความต้านทาน (Resistance), ความจุ (Capacitance), และความเหนี่ยวนำ (Inductance) ของวัสดุเซมิคอนดักเตอร์
  • ใช้ในกระบวนการผลิตเวเฟอร์

4. เครื่องวัดสัญญาณรบกวน (EMI/EMC Analyzer)

ตัวอย่างเครื่องมือ Rohde & Schwarz ESW, Keysight N9000B

หน้าที่

  • ตรวจสอบการรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ที่อาจส่งผลต่อเครื่อง Lithography และ IC Tester

5. เครื่องกำเนิดสัญญาณความแม่นยำสูง (Precision Signal Generator)

ตัวอย่างเครื่องมือ Keysight 33600A, Tektronix AFG31000

หน้าที่

  • สร้างสัญญาณทดสอบสำหรับ IC Tester
  • ควบคุมความถี่และแรงดันให้แม่นยำ ±0.001%

สรุป

ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการผลิตอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ การ สอบเทียบเครื่องมือทางไฟฟ้าถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การวัดค่าต่าง ๆ เช่น กระแสไฟฟ้า แรงดัน ความต้านทาน และสัญญาณไฟฟ้า มีความถูกต้อง แม่นยำ และสามารถตรวจจับความผิดปกติที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์

การสอบเทียบโดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จะช่วยรับรองว่าเครื่องมือวัด เช่น มัลติมิเตอร์ ออสซิลโลสโคป Power Quality Analyzer และเครื่องมือวัดความถี่สูงต่าง ๆ มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ

  • ความปลอดภัย ของระบบไฟฟ้าและเครื่องจักร

  • การลดความเสียหายและความผิดพลาด ในการผลิต เช่น การเกิด overlay error บนเวเฟอร์

  • ความสามารถในการควบคุมคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ขั้นสูง

  • การลดต้นทุน จากการทดสอบซ้ำหรือสูญเสียผลิตภัณฑ์

  • การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล

ดังนั้น การ สอบเทียบเครื่องมือวัด จึงไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการตามข้อกำหนดเท่านั้น แต่เป็นหัวใจสำคัญในการรับประกันความแม่นยำ ความเสถียร และคุณภาพของระบบการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

วิธีแปลผลใบสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิแบบง่ายๆ

การแปลความหมายใบรายงานผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ

การสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิจะใช้วิธีการเปรียบเทียบ ผลใบสอบเทียบ กับเครื่องมือมาตรฐาน ในปริมาตรที่กำหนดของตู้ควบคุมอุณหภูมิ สำหรับการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิที่มีขนาดความจุไม่เกิน 1 ลูกบาศก์เมตรนั้นจะติดตั้งหัววัดอุณหภูมิมาตรฐานที่ตำแหน่งมุมทั้งแปดของตู้และตำแหน่งอ้างอิงกลางตู้อีกหนึ่งตำแหน่ง รวมทั้งหมด 9 ตำแหน่ง

การแบ่งประเภทตู้ควบคุมอุณหภูมิโดยปกติแล้วจะสามารถแบ่งตามย่านอุณหภูมิที่ใช้งานได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆได้แก่

  1. ตู้แช่แข็ง (Freezer)
  2. ตู้เย็น (Refrigerator)
  3. ตู้บ่มเชื้อ (Incubator)
  4. ตู้อบ (Oven)

การสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิจะใช้วิธีการเปรียบเทียบผลกับเครื่องมือมาตรฐาน ในปริมาตรที่กำหนดของตู้ควบคุมอุณหภูมิ สำหรับการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิที่มีขนาดความจุไม่เกิน 1 ลูกบาศก์เมตรนั้นจะติดตั้งหัววัดอุณหภูมิมาตรฐานที่ตำแหน่งมุมทั้งแปดของตู้และตำแหน่งอ้างอิงกลางตู้อีกหนึ่งตำแหน่ง รวมทั้งหมด 9 ตำแหน่ง

รูปตำแหน่งการติดตั้งหัววัดอุณหภูมิมาตรฐานในกรณีที่ตู้ควบคุมอุณหภูมิเป็นแบบทรงลูกบาศก์

รูปตำแหน่งการติดตั้งหัววัดอุณหภูมิมาตรฐานในกรณีที่ตู้ควบคุมอุณหภูมิเป็นแบบทรงกระบอก

วัตถุประสงค์ของการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ

การสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิมีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของเครื่องมือได้แก่

1.ความสม่ำเสมอของอุณหภูมิ (Temperature Uniformity)

2.ความเสถียรของอุณหภูมิ (Temperature Stability)

3.การแปรผันรวม (Overall Variation)

CALIBRATION DATA

1.OVEN PERFORMANCE

ตัวอย่างตารางใบรายงานผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิ

1.ความสม่ำเสมอของอุณหภูมิ (Temperature Uniformity)

คือ ผลต่างที่มีค่ามากที่สุดของอุณหภูมิที่หัววัดมาตรฐานใดๆวัดได้เทียบกับอุณหภูมิที่หัววัดมาตรฐานอ้างอิงวัดได้ในเวลาเดียวกันเพื่อหาความไม่สม่ำเสมอของอุณหภูมิภายในตู้ควบคุมอุณหภูมิในสภาวะคงที่ โดยหัววัดมาตรฐานอ้างอิงติดตั้งในตำแหน่งศูนย์กลางของตู้

ตารางตัวอย่างข้อมูลผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิในระยะเวลา 30 นาที

จากตารางตัวอย่างข้อมูลผลการสอบเทียบจะพบว่าข้อมูลการวัดครั้งที่ 20 หัววัดมาตรฐานตำแหน่งที่ 7 และตำแหน่งที่ 9

(หัววัดอ้างอิง) มีผลต่างของอุณหภูมิมากที่สุด

Temperature Uniformity

= (91.2 – 88.8) °C

= 2.4 °C

2.ความเสถียรของอุณหภูมิ (Temperature Stability)

คือครึ่งหนึ่งของผลต่างที่มากที่สุดของอุณหภูมิที่หัววัดมาตรฐานใดๆวัดได้เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที ภายหลังจากเครื่องมือเข้าสู่สภาวะคงที่

ตารางตัวอย่างข้อมูลผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิในระยะเวลา 30 นาที

จากตารางตัวอย่างข้อมูลผลการสอบเทียบจะพบว่าข้อมูลการวัดครั้งที่ 7 และ ครั้งที่ 20 ของหัววัดมาตรฐานตำแหน่งที่ 7 มีผลต่างของอุณหภูมิมากที่สุด

Temperature Stability

= (91.2-90.6) / 2 °C

= 0.3 °C

3.การแปรผันรวม (Overall Variation)

คือ ผลต่างของอุณหภูมิที่มากที่สุดเทียบกับอุณหภูมิที่น้อยที่สุดของหัววัดมาตรฐานที่ตำแหน่งใดๆ ตลอดช่วงเวลาที่ทำการวัด

ตารางตัวอย่างข้อมูลผลการสอบเทียบตู้ควบคุมอุณหภูมิในระยะเวลา 30 นาที

จากตารางตัวอย่างข้อมูล ผลใบสอบเทียบ จะพบว่าข้อมูลการวัดครั้งที่ 20ของหัววัดมาตรฐานตำแหน่งที่ 7 และข้อมูลการวัดครั้งที่ 5 ของหัววัดมาตรฐานตำแหน่งที่ 9 มีผลต่างของอุณหภูมิมากที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ทำการวัด

Overall Variation

= (91.2 – 88.7) °C

= 2.5 °C

ผู้เขียน QA

 

 

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

ทำไมอุตสาหกรรมต้องใช้ เครื่องฆ่าเชื้อ UV?

เครื่องมือวัด ที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งของโรงงานอุตสาหกรรมคือ เครื่องฆ่าเชื้อ UV ซึ่งมีส่วนช่วยให้โรงงานอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์ที่สำคัญในด้านความสะอาดและความปลอดภัย  เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นแหล่งรวมการผลิตสิ่งต่างๆ บางครั้งอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค และแบคทีเรีย จึงได้มีการนำหลอด UV ฆ่าเชื้อมาใช้งาน เพื่อความปลอดภัยสู่ผู้บริโภค รวมไปถึงเพื่อให้วัสดุ อุปกรณ์ และชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีความสะอาด และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย เรียกได้ว่าเครื่องฆ่าเชื้อ UV เป็นคำตอบของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

ลักษณะของการฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV

การฆ่าเชื้อจำเป็นจะต้องใช้เป็นรังสี UVC เท่านั้น เนื่องจากรังสีชนิดอื่นๆ จะมีความเข้มข้นในการเผาไหม้ที่น้อยกว่ารังสี UVC ทำให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อต่ำกว่า จึงได้มีการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น หลอดไฟ UVB ที่ใช้ในการแพทย์ หรือหลอดไฟ UVA ที่ใช้เพื่อการอบผิว ดักจับแมลง เพาะเลี้ยงพืช รังสี UVC ที่ถูกนำมาใช้ผลิตหลอด UV ฆ่าเชื้อนั้น มีคุณสมบัติเฉพาะตัวคือ มีอัตราการเผาไหม้ที่สูง มากพอที่จะทำให้เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคต่างๆ นั้นหยุดการเจริญเติบโตและตายไป

อุตสาหกรรมที่มีการใช้เครื่องฆ่าเชื้อ UV

  1. อุตสาหกรรมน้ำดื่ม หลอดไฟจากรังสี UVC สามารถฆ่าเชื้อในน้ำด้วยหลอดไฟยูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถผลิตน้ำที่มีความสะอาด
  2. อุตสาหกรรมอาหาร ต้องคำนึงถึงความสะอาดที่สุดเช่นเดียวกัน จึงจำเป็นจะต้องมีการนำหลอด UV ฆ่าเชื้อมาใช้งาน เพื่อให้ทางโรงงานอุตสาหกรรมสามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ปราศจากเชื้อโรค
  3. อุตสาหกรรมผลิตเครื่องสำอาง จะต้องเป็นเครื่องสำอางที่สะอาด เพราะมักจะถูกนำไปใช้บนใบหน้าหรือผิวหนังของเราซึ่งการปนเปื้อนนั้นก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ทำให้ในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเครื่องสำอางได้มีการนำหลอดไฟฆ่าเชื้อมาใช้งานในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ
  4. อุตสาหกรรมผลิตยา เนื่องจากยาเป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรคหรืออาการต่างๆ นั่นจึงทำให้การผลิตจำเป็นจะต้องมีความสะอาด เพื่อให้ตัวยาไม่ปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายของเรา
  5. อุตสาหกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ หากสินค้าหรืออาหารภายในนั้นมีความสะอาด แต่บรรจุภัณฑ์มีการปนเปื้อน สุดท้ายแล้วสินค้าก็จะขาดมาตรฐานอยู่ดี โรงงานอุตสาหกรรมด้านบรรจุภัณฑ์จึงจะต้องมีการฆ่าเชื้อ อีกด้วย

อันตรายจากใช้งานเครื่องฆ่าเชื้อ UV ในโรงงานอุตสาหกรรม

การใช้งานเครื่องฆ่าเชื้อ UV ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นจำเป็นต้องมีความปลอดภัยระดับสูง หากผู้ใช้งานไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง เนื่องจากเป็นรังสีที่มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้ที่สูง หากมาสัมผัสโดนผิวหนังหรือดวงตาของเราอาจจะได้รับผลกระทบต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังเกิดการระคายเคือง มีรอยไหม้ ส่งผลระยะยาวต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง สามารถป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติงานอย่างระมัดระวัง และทำตามข้อกำหนดต่างๆ อย่างเคร่งครัด

การป้องกันรังสีจาก เครื่องฆ่าเชื้อ UV ในโรงงานอุตสาหกรรม

เรื่องผลกระทบต่อร่างกายจากรังสี UV เพราะการใช้งานหลอดไฟจากรังสี UVC นั้น สามารถป้องกันได้ ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

  1. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน 
  2. ใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด เพื่อปกป้องผิวหนัง
  3. สวมใส่แว่นตากันรังสี UVC เพื่อป้องกันรังสีโดยตรงกระทบต่อดวงตา
  4. ติดตั้งป้ายเตือนหรือสิ่งที่บ่งบอกขณะกำลังมีการใช้งานหลอด UVC 
  5. ใช้งานตามเวลาที่กำหนด เปิด/ปิด ตามแผนเวลา

การทำงานของเครื่องฆ่าเชื้อ UV  จะต้องวางวัตถุดิบหรือบรรจุภัณฑ์ บนสายพานลำเลียงบริเวณทางเข้าของเครื่องโดยวัตถุดิบหรือบรรจุภัณฑ์ จะต้องวางเรียงให้กระจายตัวสม่ำเสมอบนสายพาน ที่มีลักษณะเป็นตะแกรงโปร่ง ซึ่งสามารถให้รังสี UVC แผ่อย่างทั่วถึง รูปแบบสายพานลำเลียงประกอบด้วยลูกกลิ้งขับเคลื่อน สายพาน ขึ้นอยู่กับการออกแบบของเครื่องฆ่าเชื้อ UV  จากนั้นสายพานก็จะนำพาวัตถุดิบหรือบรรจุภัณฑ์ เคลื่อนตัวเข้าไปในอุโมงค์ฆ่าเชื้อผ่านรังสี UVC และ เคลื่อนตัวออกมาด้านทางออก

ผู้เขียน Onsite

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

V-Anvil Micrometer ใช้งานอย่างไร?

 V-Anvil Micrometer คือ เครื่องมือ ไมโครมิเตอร์ ชนิดหนึ่ง มีทั้งแบบ Digital และแบบ Scale มีหน่วยการวัดทั้ง mm และ inch โดย mm จะมีความละเอียด 0.01 mm และ 0.001 mm, inch จะมีความละเอียด 0.001 inch 0.0001 inch และ 0.00005 inch มีลักษณะคล้ายๆกับ Micrometer แบบมาตรฐานทั่วๆไป  ชิ้นส่วนหลักประกอบด้วย Ratchet, Knurled grip, Thimble, Sleeve, Lock nut, C-Frame, Spindle และ Anvil

V-Anvil Micrometer แตกต่างจากไมโครมิเตอร์อย่างไร

สิ่งที่ทำให้ V-Anvil Micrometer แตกต่างจาก Micrometer ทั่วๆไป คือ

1.รูปร่างของ Anvil ซึ่งมีรูปร่างเหมือนตัวอักษร V ปลายของ Spindle มีลักษณะแบนราบหรือเป็นทรงกรวยโดยมีองศาของจุดสัมผัสที่ปลาย Spindle ที่แตกต่างกัน

2.V-Anvil Micrometer มีความแม่นยำมาก สำหรับการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง เนื่องจากวิธีการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแต่ละครั้งจะวัดจากจุดสัมผัสสามจุด (ด้านของ V-Anvil 2 จุด ด้าน Spindle 1 จุด) การมีจุดสัมผัส 3 จุดนั้น จะทำให้การวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมีความแม่นยำมากกว่าเครื่องมือที่มีจุดสัมผัสแบบ 2 จุด เช่น Vernier Caliper หรือ Micrometer ทั่วไป

การใช้งานสำหรับไมโครมิเตอร์ V-Anvil มีการใช้งานทั่วไป 2 แบบ

1.ใช้สำหรับวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของเครื่องมือคมตัด (Cutting Tool)

การวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของเครื่องมือคมตัดที่มีจำนวนฟันเป็นเลขคี่ เช่น ดอก Tap ดอก Reamer และดอก End mill การใช้ ไมโครมิเตอร์ หรือ Vernier Caliper ทั่วไปนั้นทำได้ยาก เนื่องจากพื้นผิวชิ้นส่วนที่จะทำการวัดนั้นมีลักษณะเป็นผิวโค้ง ทำให้เป็นข้อได้เปรียบของไมโครมิเตอร์ V-Anvil เนื่องจากด้าน Anvil ของไมโครมิเตอร์ V-Anvil นั้นมีเป็นลักษณะตัว V จึงสามารถวัดเครื่องมือคมตัดที่มีฟันเป็นเลขคี่ได้อย่างง่ายดาย เพียงวางเครื่องมือคมตัดบนด้าน V-Anvil แล้วหมุน Spindle เข้าไปเพื่อทำการวัดขนาด

รูปแสดง การวัดขนาด Pitch Diameter ดอก Tap

 

2.ใช้สำหรับการตรวจสอบความกลม

การตรวจสอบความกลมของชิ้นงาน โดยทำการวัดชิ้นงานทรงกลมหรือทรงกระบอกในตำแหน่งต่างๆ หลายๆ ครั้ง เช่น ลูกสูบหรือเพลา แล้วนำค่าที่วัดได้มาประเมินความกลมของชิ้นงาน

รูปแสดง Standard Micrometer for V-Anvil Micrometer

รูปแสดง การใช้ Standard Micrometer for V-Anvil Micrometer ในการ Set V-Anvil Micrometer

วิธีการสอบเทียบ V-Anvil Micrometer

วิธีการสอบเทียบจะแบ่งเป็น 2 วิธี โดยจะแตกต่างกันที่ Standard ที่ใช้สำหรับสอบเทียบ

  1. สอบเทียบโดยการใช้ Pin Gauge เป็น Standard ในการสอบเทียบ Range 1 mm ถึง 15 mm วิธีการนี้จะใช้ Pin Gauge ที่มีขนาดต่างๆ ที่กำหนดเป็น Standard ในการสอบเทียบไมโครมิเตอร์ V-Anvil 
  1. สอบเทียบโดยการใช้ Gauge Block เป็น Standard ในการสอบเทียบ Range 15 mm ขึ้นไป
    วิธีการนี้จะใช้ Gauge Block ที่มีขนาดต่างๆ ที่กำหนดเป็น Standard ในการสอบเทียบไมโครมิเตอร์ V-Anvil โดยจะใช้ไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งต้องสอบเทียบไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer เพื่อให้ทราบค่าที่ถูกต้อง จากนั้นจะใช้ Gauge Block ต่อกับไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer เพื่อให้ได้ค่าที่ต้องการสอบเทียบ โดย Gauge Block นำมาใช้ต่อกับ Gauge Block นั้นต้องใช้วิธีการคำนวณเพื่อให้ได้ขนาดของ Gauge Block ที่ต้องการ สามารถสอบเทียบ V-Anvil Micrometer ได้ทุกขนาด

การดูแลรักษา เครื่องมือวัด V-Anvil Micrometer ก่อนและหลังใช้งาน

  • ควรทำความสะอาดไมโครมิเตอร์ V-Anvil และปากวัดทั้งด้าน Anvil และด้าน Spindle ทุกครั้งทั้งก่อนและหลังใช้งาน
  • การทำความสะอาดหลังใช้งานไมโครมิเตอร์ V-Anvil ควรทาวาสลีน หรือน้ำมันที่ปากวัดทั้งด้าน Anvil และด้าน Spindle ทุกครั้งก่อนเก็บ เพื่อป้องกันสนิม
  • ควรเก็บไมโครมิเตอร์ V-Anvil ไว้ในกล่องเพื่อป้องกันฝุ่น, ความชื้นและแสงแดด

ข้อควรระวังในการใช้งานไมโครมิเตอร์ V-Anvil 

  • ก่อนการใช้งานทุกครั้งต้อง Set ค่าเริ่มต้นหรือการตรวจสอบค่าความถูกต้องของ Scale ด้วยไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil เพื่อป้องกันการอ่านค่าผิดพลาด
  • ระวังอย่าให้ไมโครมิเตอร์ V-Anvil และไมโครมิเตอร์ Standard for V-Anvil Micrometer ตกหล่น เพราะจะทำให้เกิดการเสียหาย
  • ห้ามวัดชิ้นงานที่กำลังหมุนและผิวชิ้นงานที่ยังไม่ได้ปรับสภาพ

ข้อแนะนำเมื่อต้องการส่งไมโครมิเตอร์ V-Anvil มาสอบเทียบ

ควรส่งไมโครมิเตอร์ V-Anvil พร้อม Standard Micrometer for V-Anvil Micrometer มาเพื่อ สอบเทียบเครื่องมือวัด

ผู้เขียน SMT

 

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

 

 

 

ทำไมจานรองเครื่องชั่ง VIBRA ถึงสำคัญ? เจาะลึกทุกคุณสมบัติที่คุณต้องรู้

เครื่องชั่ง ยี่ห้อ VIBRA เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมการชั่งน้ำหนัก เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีความแม่นยำสูง และได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของเครื่องชั่งคือ “จานรองเครื่องชั่ง” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การชั่งน้ำหนักมีความแม่นยำและสะดวกต่อการใช้งาน บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติ วัสดุ ขนาด และข้อดีของจานรองเครื่องชั่งยี่ห้อ VIBRA อย่างละเอียด

1.วัสดุของจานรองเครื่องชั่งละเอียด VIBRA

จานรองเครื่องชั่ง VIBRA ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงที่เหมาะกับการใช้งานในแต่ละประเภท โดยวัสดุที่นิยมใช้ ได้แก่:

สแตนเลสสตีล (Stainless Steel) : เป็นวัสดุหลักที่ใช้ผลิตจานรองของเครื่องชั่ง VIBRA เนื่องจากมีคุณสมบัติทนทานต่อการกัดกร่อน แข็งแรง และทำความสะอาดได้ง่าย เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหาร ห้องปฏิบัติการ และโรงงานอุตสาหกรรม

2.ขนาดและรูปทรงของจานรองเครื่องชั่ง VIBRA

ขนาดของจานรองเครื่องชั่ง VIBRA มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องชั่ง โดยทั่วไปมีขนาดดังนี้:

ขนาดเล็ก (120 x 140 มม.) เหมาะสำหรับเครื่องชั่งที่มีความละเอียดสูง เช่น เครื่องชั่งในห้องปฏิบัติการ

ขนาดกลาง (180 x 160 มม.) ใช้ในเครื่องชั่งทั่วไป เช่น เครื่องชั่งทองคำ หรือเครื่องชั่งที่ใช้ในอุตสาหกรรม

ขนาดใหญ่ (200 x 200 มม. ขึ้นไป) เหมาะสำหรับเครื่องชั่งที่ใช้ชั่งวัตถุที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมหนักที่ต้องการชั่งวัตถุขนาดใหญ่

3.คุณสมบัติเด่นของจานรองเครื่องชั่ง VIBRA

3.1 ความแม่นยำในการกระจายน้ำหนัก

จานรองเครื่องชั่ง VIBRA ถูกออกแบบให้มีพื้นผิวเรียบและมีความสมดุลในการกระจายน้ำหนักอย่างดีเยี่ยม ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการวางวัตถุที่ไม่สมดุล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการชั่งน้ำหนักที่ต้องการความละเอียดสูง

3.2 ทนทานต่อการใช้งาน

วัสดุของจานรองถูกออกแบบให้รองรับน้ำหนักได้ดี ป้องกันการบุบหรือเสียรูปจากแรงกดทับ นอกจากนี้ยังสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือสารเคมีบางชนิดได้ดี โดยเฉพาะจานรองที่ทำจากสแตนเลสสตีล

3.3 ง่ายต่อการทำความสะอาด

การชั่งน้ำหนักในอุตสาหกรรมอาหารและยา ที่ต้องการความสะอาด จานรองเครื่องชั่ง VIBRA สามารถทำความสะอาดได้ง่าย และบางรุ่นสามารถถอดออกมาเพื่อทำความสะอาดได้โดยไม่กระทบต่อเครื่องชั่ง

3.4 รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

จานรองเครื่องชั่ง VIBRA ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานในหลากหลายสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ห้องปฏิบัติการที่ต้องการความละเอียดสูง ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานหนัก

4.รุ่นของเครื่องชั่ง VIBRA และประเภทของจานรอง

เครื่องชั่ง VIBRA มีหลายรุ่นที่ใช้จานรองที่แตกต่างกันยกตัวอย่าง เช่น

VIBRA AJ Series: ใช้จานรองสแตนเลส ขนาด 180 x 160 มม. เหมาะกับงานทั่วไป

VIBRA SJ Series: มีจานรองขนาดใกล้เคียงกับ AJ Series แต่รองรับการใช้งานที่หนักกว่า

5.ข้อควรระวังในการใช้จานรองเครื่องชั่ง VIBRA

แม้ว่าจานรองเครื่องชั่ง VIBRA จะมีความแข็งแรงและทนทานสูง แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้งานดังนี้:

  • ควรหลีกเลี่ยงการกระแทกแรง ๆ เพราะอาจทำให้จานรองเกิดความเสียหายหรือเกิดรอยบุบ
  • ไม่ควรวางวัตถุเกินพิกัดน้ำหนักที่กำหนด เพราะอาจทำให้เครื่องชั่งเสียหายได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในการทำความสะอาดจานรอง

จานรองเครื่องชั่ง VIBRA เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การชั่งน้ำหนักเป็นไปอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ วัสดุที่ใช้ผลิตจานรอง มีความทนทานและสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ขนาดของจานรองมีหลายขนาดให้เลือกตามลักษณะการใช้งาน และมีการออกแบบให้สามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างสมดุลเพื่อลดข้อผิดพลาดในการชั่ง และทำให้การชั่งน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

BDS TEAM

 

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

การสอบเทียบ การสอบเทียบเครื่องมือวัด คืออะไร?

การสอบเทียบเครื่องมือวัด(Calibration)คืออะไร

การ สอบเทียบเครื่องมือวัด คือ การตรวจสอบค่าความถูกต้องของเครื่องมือที่ใช้เพื่อวัด ตวง ชั่ง ตามแต่การใช้งาน เนื่องจากการใช้งาน เครื่องมือวัด นั้นจำเป็นต้องตรวจสอบค่าของเครื่องมือให้ถูกต้องอยู่เสมอ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากเราต้องการวัตถุดิบน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เราก็ตักวัตถุดิบลงบนตาชั่ง ให้ขีดตาชั่งถึงตัวเลข 1 กิโลกรัม นั่นเอง คำถามก็คือ “น้ำหนักของวัตถุดิบนั้นเท่ากับ 1 กิโลกรัมจริงหรือ ตาช่างที่ว่านั้นเชื่อถือได้หรือเปล่า ” จึงเป็นที่มาของการ “สอบเทียบเครื่องมือวัด” ทำได้จากการเปรียบเทียบค่ากันระหว่างเครื่องมือวัดสอง เครื่อง โดยเครื่องที่ต้องการสอบจะถูกเทียบกับเครื่องมือทางวิศวกรรมที่มีความละเอียดแม่นยำสูงการตรวจสอบอุปกรณ์ช่างตวงวัดเหล่านั้นว่ามีความถูกต้องหรือไม่ เราจะเรียกเครื่องมือที่เป็นตัวเปรียบเทียบนี้ว่า “เครื่องมือสอบเทียบ (Calibrator)” โดยการสอบเทียบจะดำเนินการอ้างอิงค่ามาตรฐานผ่านเครื่องมือสอบเทียบ(Calibrator) ซึ่งจำเป็นต้องสามารถสอบกลับไปยังมาตรฐานแห่งชาติหรือมาตรฐานสากลได้ การสอบเทียบถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกระบวนการควบคุมคุณภาพและการผลิตให้มีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องของแต่ละขั้นตอนการผลิต

การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสอบเทียบเครื่องมือจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับปรุงการวัดและการผลิตสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ตัวอย่างเช่นในกระบวนการผลิตได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทราบได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีคุณภาพที่มาตรฐานหรือไม่ พร้อมทั้งช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้ศักยภาพสูงสุด

นอกจากนี้ การละเลยการสอบเทียบเครื่องมือวัดอาจส่งผลต่อผลิตภัณฑ์และการใช้งานของลูกค้า ดังนั้นการสอบเทียบเครื่องมือเป็นสิ่งที่สำคัญและควรทำเป็นประจำเพื่อการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพตามที่ต้องการ และตามมาตรฐานที่กำหนด

ทำไมต้องสอบเทียบ (Calibration) และประโยชน์ของการสอบเทียบคืออะไร

          ทุกวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกธุรกิจในปัจจุบันก้าวเข้าสู่ยุคการค้าเสรีการแข่งขันทางการค้ามีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ การพัฒนาองค์กรในทุกๆด้านเพื่อให้มีศักยภาพสอดคล้องตามมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่สำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกระบวนการผลิต ก็คือ การ สอบเทียบเครื่องมือวัด 

ทำไมต้อง สอบเทียบเครื่องมือวัด

เหตุผลในการสอบเทียบเครื่องมือ ก็เพื่อที่จะทำให้ผลการวัดมีความแม่นยำมากขึ้น ช่วยให้ข้อมูลที่ได้มีความน่าเชื่อถือ ลดความผิดพลาด รวมถึงลดของเสียจากกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาค่าที่เที่ยงตรงสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การสอบเทียบนั้นยังเป็นข้อกำหนดที่อยู่ในมาตรฐานสากลหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น ISO 9001 หรือ ISO/IEC 17025 ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพของห้องปฏิบัติการสอบเทียบและความน่าเชื่อถือของกระบวนการวัดในภาพรวม ถือได้ว่าเป็นสร้างความมั่นใจว่าค่าที่ได้จากการวัดนั้นจะมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพราะการสอบเทียบนั้นจะส่งผลต่อทั้ง ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย การบำรุงรักษา ความยั่งยืนของโรงงาน รวมไปถึงคุณภาพของสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานการผลิต หากสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้คุณภาพตามมาตรฐานแล้ว ยังสามารถเพิ่มขีดจำกัดของการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การสอบเทียบถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจในกระบวนการผลิต เพราะหากเครื่องมือวัดไม่มีความแม่นยำ อาจทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อคุณภาพของสินค้าและภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตาลูกค้า ดังนั้นการสอบเทียบจึงการสอบเทียบจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็น เพราะไม่เพียงช่วยลดข้อผิดพลาดและของเสียจากการผลิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น การสอบเทียบยังเป็นข้อกำหนดตามมาตรฐานระดับสากล ซึ่งยืนยันถึงระบบคุณภาพและการบริหารจัดการภายในองค์กร กล่าวได้ว่า การสอบเทียบเป็นการลงทุนที่สร้างความคุ้มค่าในระยะยาว ช่วยรักษา คุณภาพสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างความแตกต่างทางการแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน
(ทำความเข้าใจมากขึ้นด้วย VDO การสอบเทียบเครื่องมือวัดสำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ)

การสอบเทียบสามารถบอกอะไรได้บ้าง

          การสอบเทียบเครื่องมือวัด มีกระบวนการในการตรวจสอบและสอบเทียบเครื่องมือให้มีความถูกต้องตามขอบข่าย ค่าความคลาดเคลื่อน สูงสุดที่ยอมรับได้ (MPE: Maximum Permissible Error) ความเที่ยงตรง และ ข้อมูลความไม่แน่นอน (Uncertainty) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการวัด เพื่อให้ได้มาตรฐานก่อนนำออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด เมื่อเราสั่งซื้อเครื่องมือดังกล่าว ก็จะได้รับใบรับรองผลการตรวจสอบ (Inspection Certificate) หรือใบรับรองผลการสอบเทียบ (Calibration Certificate) ของเครื่องมือวัดนั้น ๆ มาด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในการสั่งซื้อ ในใบรับรองผลการตรวจสอบหรือใบรับรองผลการสอบเทียบจะระบุคุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ ของเครื่องมือวัด เช่น พิสัยการวัด (Range) ค่าความละเอียด (Resolution) ค่าความถูกต้อง (Accuracy) และสภาวะแวดล้อมได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นที่เครื่องมือสามารถทำงานได้

การใช้งานเครื่องมือที่ต่อเนื่องส่งผลอย่างไร

           แต่เมื่อเครื่องมือถูกนำไปใช้งานระยะหนึ่ง อายุของส่วนประกอบและเครื่องมือวัดที่ใช้งาน อาจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือความคลาดเคลื่อนของผลการวัดที่เกิดขึ้นนี้ อาจเกิดจากการ Drift หรือการลอยเลื่อนหมายถึง การแปรผันอย่างช้า ๆ ตามเวลาของลักษณะทางมาตรวิทยาของเครื่องมือวัด อันเนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ไฟฟ้า เคมี หรือทางกล เป็นต้น ซึ่งมีการส่งผลต่อ ความถูกต้องของเครื่องมือ อย่างแน่นอน

           นอกจากนี้ผู้ใช้งานเครื่องมือวัดจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า การเสื่อมสภาพของเครื่องมือวัด ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการใช้งานและการเก็บรักษาอีกด้วย ฉะนั้นเมื่อเครื่องมือวัดอยู่ในสภาวะดังกล่าว สิ่งที่ตามมา คือเครื่องมือวัดที่เคยบอกค่าการวัดที่ถูกต้อง, แม่นยำ อาจบอกค่าที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ส่งผลให้ผลการวัดที่ได้รับไม่น่าเชื่อถือตามไปด้วย หรือหากนำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้งานย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพของชิ้นงานและกระบวนการผลิต การ Drift หรือการเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือวัดนั้น ไม่สามารถกำจัดได้ แต่สามารถที่จะตรวจพบและแก้ไขได้โดยผ่านกระบวนการสอบเทียบ ด้วยการใช้ตัวมาตรฐานการวัดที่สามารถสอบกลับได้สู่มาตรฐานแห่งชาติเพื่อสอบเทียบเครื่องมือวัด
ดังนั้นการสอบเทียบจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในผลการวัดของเครื่องมือวัดทุก ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือวัดที่ใช้ในกระบวนการผลิต การทดสอบ และการวิเคราะห์ต่าง ๆ เพราะองค์ประกอบ ที่สำคัญที่สุดในการที่จะทำให้ผลการวัดที่เกิดขึ้นเป็นที่เชื่อถือได้ คือการใช้เครื่องมือวัดที่มีความถูกต้องและแม่นยำ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานนั่นเอง

ขั้นตอนการสอบเทียบเครื่องมือวัด

ขั้นตอนสอบเทียบเครื่องมือวัดมี ขั้นตอนการดำเนินงานที่จำเป็นต้องเป็นระเบียบและมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างละเอียด ซึ่ง ขั้นตอนการสอบเทียบ สามารถสรุปได้ดังนี้
1. เตรียมเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบให้พร้อมทำงาน
2. ทดสอบเครื่องมือวัดในสภาวะเดิมก่อนการสอบเทียบ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือวัดยังใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
3. ดำเนินการสอบเทียบโดยใช้วิธีการทดสอบที่เป็นมาตรฐาน โดยจะใช้ เครื่องมือสอบกลับ (Reference Standard) หรือคือการสอบเทียบและบันทึกผลลัพธ์จากเครื่องมือวัดที่เป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับสอบเทียบโดยเฉพาะ (Calibrator) นำมาเปรียบเทียบ
4. วิเคราะห์ผลลัพธ์จากการสอบเทียบโดยเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องมือวัดมาตรฐานที่ต้องการสอบเทียบ กับเครื่องมือวัดได้รับการรับรองมาตรฐาน (Calibrator) เช่น สมอ. หรือ ANAB เป็นต้น เพื่อ
ตรวจสอบว่าเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบมีความแม่นยำและเที่ยงตรงตามมาตรฐานหรือไม่

สรุปผลการสอบเทียบเครื่องมือวัดโดยให้ข้อมูลผลการวัด ความถูกต้อง ความเที่ยงตรง และความแม่นยำของเครื่องมือวัดที่ต้องการสอบเทียบ

 

การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด

การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเครื่องมือของคุณได้รับการตรวจสอบและสอบเทียบตามมาตรฐานที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความแม่นยำและคุณภาพของกระบวนการผลิต การเลือกผู้ให้บริการที่ดีจึงควรพิจารณาหลายปัจจัยสำคัญ เพื่อให้ได้บริการที่ตอบโจทย์และคุ้มค่าที่สุด

คุณสมบัติของผู้ให้บริการที่ดี

ผู้ให้บริการที่ดีควรมีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ในงานสอบเทียบ โดยคุณสามารถพิจารณาได้จาก

  • ใบรับรองมาตรฐาน ตรวจสอบว่าผู้ให้บริการมีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น ISO/IEC 17025 (อ่าน คู่มือการกำหนดมาตรฐาน ISO และมาตรฐาน IEC)
  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้ให้บริการควรมีประสบการณ์กับเครื่องมือวัดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • บริการหลังการขาย ควรมีการให้คำปรึกษาหรือบริการเพิ่มเติมหลังการสอบเทียบ เช่น การตรวจสอบระยะเวลาการสอบเทียบในอนาคต

ความสามารถในการสอบกลับมาตรฐานสากล

การสอบเทียบที่ดีควรสามารถสอบกลับไปยังมาตรฐานสากลได้ ซึ่งหมายถึงผลการวัดของเครื่องมือสามารถเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ยอมรับในระดับนานาชาติได้ ความสามารถนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาด

สิ่งที่ควรตรวจสอบ

การพิจารณาราคาและความคุ้มค่า

ราคาเป็นปัจจัยที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงควบคู่กันคือความคุ้มค่าของบริการที่ได้รับ โดยไม่ควรเลือกผู้ให้บริการเพียงเพราะราคาถูกที่สุด

ข้อแนะนำในการพิจารณา

  • เปรียบเทียบราคากับคุณภาพของบริการและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
  • ตรวจสอบความครอบคลุมของบริการ เช่น ค่าใช้จ่ายรวมถึงการรับ-ส่งเครื่องมือหรือไม่
  • อ่านรีวิวหรือสอบถามความคิดเห็นจากผู้ใช้งานคนอื่นเพื่อประเมินความคุ้มค่า
  • การเลือกผู้ให้บริการสอบเทียบเครื่องมือวัดที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพของเครื่องมือ แต่ยังส่งผลต่อกระบวนการผลิตและความน่าเชื่อถือในระยะยาวอีกด้วย

 

ตัวอย่างการสอบเทียบเครื่องมือวัด

การสอบเทียบเทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer Calibration)

  • วิธีการ: เปรียบเทียบอุณหภูมิที่เทอร์โมมิเตอร์วัดได้กับค่าที่ได้จากเทอร์โมมิเตอร์อ้างอิงที่มีความแม่นยำสูงในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม เช่น การใช้ Bath ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ
  • ความถี่: ปกติจะทำการสอบเทียบทุก 12 เดือน
  • มาตรฐานที่ใช้: มาตรฐาน ISO/IEC 17025 หรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการวัดอุณหภูมิ

การสอบเทียบเครื่องวัดความชื้น (Hygrometer Calibration)

  • วิธีการ: ทำการสอบเทียบโดยใช้อุปกรณ์ที่ควบคุมระดับความชื้นในอากาศ แล้วเปรียบเทียบค่าที่เครื่อง Hygrometer แสดงกับค่าที่ได้จากเครื่องวัดความชื้นมาตรฐาน
  • ความถี่: ปกติจะทำการสอบเทียบทุก 6-12 เดือน
  • มาตรฐานที่ใช้: มาตรฐาน ASTM หรือ ISO 17025

โดยการสอบเทียบเครื่องมือวัดนั้น ทาง CLC ได้จัดทำการสอบเทียบตามห้องปฏิบัติการต่างๆเพื่อแยกตามประเภทการใช้งาน เช่น

การ สอบเทียบประแจทอร์ค ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการแรงบิดและแรง Torque & Force

การ สอบเทียบ Plug Gauge ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการมิติ Dimension

การ สอบเทียบ Digital Balance ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของ ห้องปฏิบัติการมิติ Mass Balance

การ สอบเทียบ Thermometer ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของห้องปฏิบัติการอุณหภูมิและความชื้น Temperature & Humidity

การ สอบเทียบดิจิตอล มัลติมิเตอร์ Digital Multimeter ถูกจัดอยู่ในการสอบเทียบของ ห้องปฏิบัติการไฟฟ้า Electrical

และสามารถตรวจสอบเครื่องมือวัด ที่ท่านต้องการสอบเทียบได้จากบริการของห้องปฏิบัติการต่างๆ จาก บริษัท Calibration Laboratory ตามลิงค์นี้ได้ครับ

 

วิธีการกำหนดคาบการ สอบเทียบเครื่องมือวัด

(1) ตามข้อกำหนดของผู้ผลิต (Manufacturer’s Recommendation)

  • ผู้ผลิตเครื่องมือมักระบุช่วงเวลาสอบเทียบเริ่มต้น (เช่น ทุก 1 ปี)
  • เหมาะสำหรับเครื่องมือใหม่ที่ยังไม่มีข้อมูลประวัติการใช้งาน

(2) ตามกฎหมายหรือมาตรฐาน (Regulatory/Standard Requirements)
มาตรฐานบางอย่างกำหนดช่วงเวลาสอบเทียบตายตัว เช่น ISO 9001, ISO/IEC 17025, หรือกฎหมายเฉพาะอุตสาหกรรม (เช่น มาตรฐานการแพทย์, ยานยนต์)

(3) ตามข้อมูลทางสถิติ (Historical Data & Trend Analysis)

  • ตรวจสอบผลการสอบเทียบย้อนหลังว่าความแม่นยำลดลงเร็วหรือช้า
  • หากพบว่าเครื่องมือมีค่า Drift (การคลาดเคลื่อน) น้อย อาจขยายช่วงเวลาสอบเทียบออกไป
  • หากพบการคลาดเคลื่อนมาก อาจต้องลดระยะเวลาลง

(4) วิธี Risk-Based Calibration Interval

  • พิจารณาจาก ความเสี่ยง (Risk) หากเครื่องมือเสียหรือคลาดเคลื่อนจะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด
  • ครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการสำคัญ (Critical Measurement) ควรสอบเทียบบ่อยกว่า

 

Ref.
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.)

ANSI National Accreditation Board (ANAB)

 

 

 

 

VDO การสอบเทียบเครื่องมือวัดสำคัญอย่างไรกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ

วิธีอ่านค่าใบ Calibration Certificate

ขอใบเสนอราคา  ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา

บริการสอบเทียบเครื่องมือวัด  ซื้อเครื่องมือวัด

 

[accordion title=”FAQ”]

[accordion-item title=”การสอบเทียบเครื่องมือวัด (Calibration) คืออะไร”]

คือ กระบวนการตรวจสอบและเปรียบเทียบค่าของเครื่องมือวัดกับค่ามาตรฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าผลการวัดมีความถูกต้องและแม่นยำ

[/accordion-item]
[accordion-item title=”ทำไมต้องสอบเทียบเครื่องมือวัด”]

เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการวัด ปรับปรุงคุณภาพการผลิต และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการวัดที่คลาดเคลื่อน

[/accordion-item]
[accordion-item title=”วิธีการกำหนดคาบการสอบเทียบเครื่องมือวัดมีกี่วิธี”]

มี 4 วิธีหลัก
– ตามคำแนะนำของผู้ผลิต
– ตามข้อกำหนดของกฎหมายหรือมาตรฐาน (เช่น ISO 9001)
– อิงจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง
– อ้างอิงจากระดับความเสี่ยง หากเครื่องมือเสียหรือคลาดเคลื่อน เช่น เครื่องมือสำคัญควรสอบเทียบบ่อยขึ้น

[/accordion-item]
[accordion-item title=”ขั้นตอนการสอบเทียบเครื่องมือวัดมีอะไรบ้าง”]

เช่น เตรียมเครื่องมือ, ตรวจสอบก่อนสอบเทียบ, ดำเนินการสอบเทียบ, วิเคราะห์ผล, และสรุปผล

[/accordion-item]

[/accordion]
[gap height=”50px”]

Gauge Block ทำจากวัสดุใดและมีเคล็ดลับการดูแลเกจบล็อคอย่างไร

เกจบล็อค ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ต้องส่งมาทำการ สอบเทียบเครื่องมือวัด อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากชำรุดแล้วอาจส่งผลให้ชิ้นงานที่ผลิตเกิดความคลาดเคลื่อนได้ เราจะมาทำความรู้จักกับเกจบล็อคกันค่ะ

Gauge Block ทำจากวัสดุใดและมีเคล็ดลับการดูแลเกจบล็อคอย่างไร

เกจบล็อค(Guage Block) คือ เครื่องมือทดสอบขนาดมาตรฐาน สามารถใช้ทดสอบเครื่องมือวัดในการวัดขนาดงานและใช้วัดเปรียบเทียบ Gauge Block ถูกสร้างขึ้นมาให้มีขนาดที่แน่นอนโดยมีขนาดตั้งแต่ 0.5-100 mm ผิวมีลักษณะที่มีความเรียบและมันเงา มีหลายขนาดให้เลือกตามต้องการ

Gauge Block ทำจากวัสดุใด

วัสดุของ Gauge Block มีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้เป็นเครื่องมือมาตรฐานมี 3 ประเภท ได้แก่

1.เหล็ก(Steel)

2.เซรามิก(Ceramic)

 

3. เหล็กคาร์ไบด์ (Tungsten Carbide)

รูปลักษณะการสอบเทียแบบเปรียบเทียบ(Comparison)

 

ลักษณะรูปร่างของเกจบล็อค

1. รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangle Gauge Block)

2. รูปทรงสีเหลี่ยมจตุรัส (Square Gauge Block)

 

การแบ่งระดับของเกจบล็อค

ระดับชั้นความถูกต้องและความเที่ยงตรงของ เกจบล็อค (Gauge Block) แบ่งออกเป็น 4 Grade หรือระดับชั้นตามมาตรฐาน ISO 3650:1992 ได้แก่

  • Grade K: ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง
  • Grade 0: ใช้สอบเทียบ Micrometer
  • Grade 1: ใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
  • Grade 2: ใช้ในงานทั่วไปที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก

ซึ่งการเลือกใช้งานของแต่ละ Grade ประเมินจากความละเอียดของประเภทงานนั้นๆ

จากรูปเป็นการใช้งาน Gauge Block Grade 0 เพื่อสอบเทียบ Micro Meter

 

 

การสอบเทียบเครื่องมือวัด เกจบล็อค

การสอบเทียบเกจบล็อค (Gauge Block) จะใช้วิธีการสอบเทียบแบบเปรียบเทียบ(Comparison) ระหว่าง Gauge Block มาตรฐาน Grade K กับ Gauge Block ที่จะทำการสอบเทียบ โดยใช้ Gauge Block Comparator

เกจบล็อคต้องเตรียมเกจบล็อคอย่างไรก่อนการใช้งาน

การเตรียมเกจบล็อค(Gauge Block) ก่อนการใช้งาน มีขั้นตอนดังนี้

1. ทำความสะอาดเกจบล็อค ซึ่งแบ่งการทำความสะอาดออกตามประเภทของวัสดุที่ใช้เป็น 2 แบบ คือ

แบบที่ 1 เกจบล็อคแบบเหล็ก (Steel Gauge Block) จะต้องทำความสะอาดเอาคราบวาสลีนออกโดยใช้ผ้าสะอาด หรือทิชชู่เช็ด จากนั้นใช้กระดาษทิชชู่ไร้ฝุ่นที่ชุ่มด้วยแอลกอฮอล์เช็ดอีกครั้ง จากนั้นเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่ไร้ฝุ่นแบบแห้งอีกครั้ง

แบบที่ 2 เกจบล็อคแบบเซรามิค(Ceramic Gauge Block) และเกจบล็อคแบบเหล็กคาร์ไบด์ (Tungsten Carbide Gauge Block) ใช้การดาษทิชชู่ไร้ฝุ่นที่ชุ่มด้วยแอลกอฮอล์เช็ด จากนั้นเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่ไร้ฝุ่นแบบแห้งอีกครั้ง

2. แช่อุณหภูมิก่อนนำไปใช้สอบเทียบเครื่องมือ ระยะเวลาในการแช่อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในห้องที่ควบคุมสภาวะแวดล้อม ณ อุณหภูมิ 20 ± 1 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ 55 ±10 %Rh

3. เมื่อพบเกจบล็อค ที่มีรอยขีดข่วนควรแยกออกจากกันกับเกจบล็อคที่ดีเพราะจะทำให้เกจบล็อคที่ดีชำรุดเสียหายไปด้วย

4. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้มือเปล่าสัมผัสเกจบล็อคขณะใช้งานเนื่องจากความร้อนจากร่างกายจะทำให้ เกจบล็อคขยายตัว ควรสวมถุงมือทุกครั้งก่อนใช้งาน หรือใช้ Forceps คีบจับเกจบล็อคขณะใช้งานเสมอ

ทำไมต้องทำความสะอาด Gauge Block?

  1. ป้องกันคราบและสนิมที่ส่งผลต่อความแม่นยำของเครื่องมือ
  2. หากมีคราบหรือสนิม จะทำให้ค่าการสอบเทียบไม่ถูกต้อง
  3. ลดโอกาสที่เครื่องมือวัดอื่นๆ จะเสียหายจากการใช้งานร่วมกับ Gauge Block ที่มีปัญหา
  4. ยืดอายุการใช้งานของ Gauge Block ซึ่งมีราคาสูง
  5. ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องมือใหม่ในระยะยาว

 

เคล็ดลับการจัดเก็บ, การบำรุงรักษาและข้อควรระวัง เกจบล็อค 

Gauge Block เป็นเครื่องมือวัดที่มีความละเอียดและราคาสูง ดังนั้นจึงต้องใช้งานด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกวิธี มีข้อแนะนำดังนี้

  1. หลังจากการใช้งานแล้วทำการตรวจสอบผิวหน้าทั้งสองด้านของเกจบล็อคว่ามีรอยขีดข่วนหรือไม่
  2. เมื่อเลิกใช้งานเกจบล็อคแล้วทำความสะอาดเกจบล็อคโดยใช้แอลล์กอฮอล ใช้กระดาษทิษชู่ไร้ฝุ่นเช็ดให้แห้งและเคลือบผิวด้วยวาสลีนกรณีเป็นเกจบล็อคแบบเหล็ก (Steel Gauge Block) และจัดเก็บใส่กล่องให้เรียบร้อย
  3. นำเกจบล็อคไปเก็บไว้ในตู้ดูดความชื้น
  4. เมื่อพบเกจบล็อคชำรุด ควรแยกออกและซ่อมโดยใช้อุปกรณ์เฉพาะทางในการซ่อมแซมเท่านั้นโดยทันที
หัวข้อการเก็บรักษา Material
Steel Ceramic Tungsten Carbine
1. ทำความสะอาดก่อน / หลัง การใช้งาน ✔️ ✔️ ✔️
2. เช็คจุดบกพร่องที่ผิวหน้าใช้งาน ✔️ ✔️ ✔️
3. สวมถุงมือทุกครั้งที่หยิบจับใช้งาน ✔️ ✔️ ✔️
4. เคลือบวาสลีน ✔️
5. การแตกหักเสียหาย บิ่น ✔️ ✔️
6. คราบ ✔️ ✔️ ✔️
7. สนิม ✔️
8. ใส่กล่อง หรือ ห่อด้วย Bubble ✔️ ✔️ ✔️
9. เก็บไว้ในพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำ ✔️ ✔️ ✔️
10. ไม่วาง Gauge Block ซ้อนทับกัน ✔️ ✔️ ✔️

ซึ่งทางบริษัท Calibration Laboratory มีการสอบเทียบ(Calibrate)เครื่องมือวัด และจำหน่ายเกจบล็อคเป็นเซ็ตและแยกชิ้นพร้อมทั้งงาน สอบเทียบเครื่องมือวัด สามารถติดต่อมาที่ sale@cal-laboratory.com ได้เลยค่ะ

 

ผู้เขียน Ple & Anusara

 

วิธีเลือกซื้อเกจบล็อก (Gauge block) ชนิดของเกจบล็อกและเลือกซื้อเกจบล็อกยังไงให้ตรงกับงาน

 

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

บริการสอบเทียบด้านมิติ

 

 

 

การลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืนในจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม

การลดต้นทุนและเพิ่มความยั่งยืนในจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม

ในยุคที่การแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมรุนแรงขึ้น การบริหารจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรมกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ ทำความรู้จักกับ

ไฟฟ้า การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดต้นทุนในการผลิต แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางในการจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้การควบคุมพลังงานไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. การติดตั้งระบบการตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้า (Energy Management System: EMS)

ระบบ EMS คือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม โดยระบบนี้จะช่วยให้โรงงานสามารถติดตามการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างละเอียดและมีประสิทธิภาพ ระบบ EMS จะเก็บข้อมูลจากเครื่องมือวัดไฟฟ้า เช่น มิเตอร์ไฟฟ้าและเซ็นเซอร์ เพื่อแสดงผลการใช้พลังงานในรูปแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารสามารถระบุจุดที่มีการใช้พลังงานเกินความจำเป็น และสามารถวางแผนการลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่น หากระบบ EMS ระบุว่าเครื่องจักรบางตัวใช้พลังงานมากเกินไป อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเครื่องจักรต้องการการบำรุงรักษาหรือการปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน และลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ข้อมูลจากระบบ EMS ในการเลือกเวลาการผลิตที่ค่าไฟฟ้าถูกเพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงานได้อีกด้วย

2. การใช้ระบบแสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน

การใช้พลังงานไฟฟ้าผ่านระบบแสงสว่างในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้พลังงานโดยรวม การเปลี่ยนมาใช้หลอด LED ที่ประหยัดพลังงานและติดตั้งระบบควบคุมแสงอัตโนมัติที่สามารถปรับความสว่างตามสภาพแวดล้อมสามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมาก

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเช่น มิเตอร์ไฟฟ้า และเซ็นเซอร์วัดแสงจะช่วยในการตรวจสอบการใช้พลังงานของระบบแสงสว่างใหม่ โดยสามารถเปรียบเทียบการใช้พลังงานก่อนและหลังการติดตั้งระบบแสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีที่ลงทุนไปนั้นคุ้มค่าและช่วยลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว

3. การติดตั้งเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูง

การใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถช่วยลดการใช้ พลังงานไฟฟ้า ได้อย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องจักรที่มีระบบปรับความเร็วมอเตอร์ (Variable Frequency Drive: VFD) ที่สามารถปรับการทำงานของมอเตอร์ให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานในแต่ละช่วงเวลา การลงทุนในเครื่องจักรเหล่านี้อาจจะมีต้นทุนที่สูงในระยะแรก แต่ในระยะยาวจะช่วยลดการใช้พลังงานและช่วยให้โรงงานประหยัดต้นทุนการผลิตได้มาก

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเช่น มิเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องมือวัดพลังงานอื่นๆ จะช่วยในการติดตามและวัดการใช้พลังงานของเครื่องจักรในกระบวนการผลิต เพื่อให้ผู้บริหารสามารถประเมินประสิทธิภาพของเครื่องจักรใหม่และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

4. บทบาทของ เครื่องมือวัดไฟฟ้า ในการจัดการพลังงาน

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น มิเตอร์ไฟฟ้าแบบดิจิทัล เซ็นเซอร์วัดกระแสไฟฟ้า และอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพพลังงาน (Power Quality Analyzer) เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้โรงงานสามารถเก็บข้อมูลการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องในการปรับปรุงระบบ

การวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือวัดไฟฟ้ายังช่วยให้สามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การสูญเสียพลังงานจากสายไฟที่เสื่อมสภาพ หรือการทำงานผิดปกติของเครื่องจักร ซึ่งส่งผลให้การใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา

ทำไมการสอบเทียบเครื่องมือวัดจึงสำคัญในการจัดการพลังงาน?

เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ไม่ผ่านการสอบเทียบหรือไม่ได้มาตรฐานสามารถส่งผลให้ข้อมูลที่ได้ไม่แม่นยำ ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานไม่ถูกต้อง เช่น การคำนวณการใช้พลังงานของเครื่องจักรหรือระบบไฟฟ้าต่างๆ อาจจะผิดพลาด ส่งผลให้ผู้บริหารตัดสินใจในการปรับปรุงระบบการใช้พลังงานผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

การสอบเทียบเครื่องมือวัดไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดข้อมูลนั้นมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ โดยการเปรียบเทียบค่าที่เครื่องมือวัดได้กับค่ามาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง เช่น ISO/IEC 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการสอบเทียบเครื่องมือวัด ช่วยให้โรงงานสามารถมั่นใจได้ว่าเครื่องมือวัดไฟฟ้าในระบบ EMS หรือเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบการใช้พลังงานนั้นให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด

การสอบเทียบเครื่องมือวัดและการประหยัดพลังงาน

การใช้เครื่องมือวัดที่ได้รับการสอบเทียบแล้วมีความแม่นยำสูงจะช่วยให้ข้อมูลการใช้พลังงานที่ได้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากเครื่องมือวัดไฟฟ้าชี้ให้เห็นว่าเครื่องจักรบางตัวใช้พลังงานสูงเกินไป การวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำจะช่วยให้สามารถระบุสาเหตุได้อย่างถูกต้อง และอาจพบว่ามีปัญหาจากการทำงานที่ผิดปกติหรือการขาดการบำรุงรักษา ซึ่งจะช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาได้ทันเวลา และลดการสูญเสียพลังงานที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ การสอบเทียบเครื่องมือวัดยังมีบทบาทในการยืนยันผลลัพธ์จากการใช้เทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือการใช้มอเตอร์ที่มีระบบควบคุมความเร็ว เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลการใช้พลังงานก่อนและหลังการปรับปรุงได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้สามารถประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างชัดเจน

5. การใช้พลังงานจากแหล่งทดแทน (Renewable Energy)

ในยุคที่ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น การนำพลังงานจากแหล่งทดแทนมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ การใช้พลังงานจากแหล่งทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) หรือพลังงานลม (Wind Energy) สามารถช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนสูงและเป็นมลพิษ

การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น แผงโซลาร์เซลล์สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะในโรงงานที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก การใช้พลังงานจากแหล่งทดแทนยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม

เครื่องมือวัดไฟฟ้าช่วยในการตรวจสอบการผลิตพลังงานจากแหล่งทดแทน เช่น ระบบแผงโซลาร์เซลล์ และสามารถเปรียบเทียบการใช้พลังงานไฟฟ้าก่อนและหลังการติดตั้งแหล่งพลังงานทดแทนได้ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนนี้

6. การฝึกอบรมและสร้างความรู้ให้กับพนักงาน

การจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถสำเร็จได้โดยการใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือวัดไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว การสร้างความรู้และการฝึกอบรมให้กับพนักงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะพนักงานที่มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องมือวัดไฟฟ้าและการลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตสามารถช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องจักรได้

การจัดฝึกอบรมให้พนักงานรู้จักวิธีการตรวจสอบเครื่องจักรและระบบต่างๆ เช่น การตรวจสอบอุปกรณ์ที่มีการใช้พลังงานสูง การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างถูกต้อง รวมถึงการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้โรงงานมีความสามารถในการควบคุมการใช้พลังงานได้ดียิ่งขึ้น

7. การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ

การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักรที่ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้นและใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลงในระยะยาว

เครื่องมือวัดไฟฟ้าเช่น เครื่องวัดกำลังไฟฟ้าและเครื่องมือวัดความต้านทานจะช่วยตรวจสอบว่ามีการสูญเสียพลังงานในระบบไฟฟ้าหรือไม่ เช่น การสูญเสียไฟฟ้าจากสายไฟที่มีการเสื่อมสภาพ การตรวจสอบเหล่านี้จะช่วยให้สามารถทำการบำรุงรักษาได้ทันเวลา และลดการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็น

8. การใช้เทคโนโลยีการควบคุมอัตโนมัติ (Automation) ในการบริหารจัดการพลังงาน

เทคโนโลยีการควบคุมอัตโนมัติ (Automation) สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมได้ โดยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องจักรหรือระบบแสงสว่างโดยอัตโนมัติ ตามความต้องการใช้งานในแต่ละช่วงเวลา เทคโนโลยีนี้สามารถทำให้การใช้พลังงานถูกใช้อย่างเหมาะสมที่สุดโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์ ทำให้ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต

9. การตั้งเป้าหมายและการตรวจสอบผลการจัดการพลังงาน

การตั้งเป้าหมายในการจัดการพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะช่วยให้โรงงานสามารถประเมินความสำเร็จในการลดการใช้พลังงานได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายให้โรงงานลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง 10% ภายในปีถัดไป โดยการใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าและการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ EMS สามารถช่วยติดตามและวัดผลความสำเร็จของการดำเนินการได้อย่างแม่นยำ

การตรวจสอบผลการจัดการพลังงานไม่เพียงแต่ช่วยวัดประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยในการปรับปรุงกระบวนการและวางแผนในอนาคตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุป

การจัดการ พลังงานไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้า เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการปรับปรุงกระบวนการผลิตจะช่วยให้โรงงานสามารถควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การฝึกอบรมพนักงาน การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ และการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นอีกแนวทางที่สำคัญในการบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บริการสอบเทียบด้าน Electrical

ขอใบเสนอราคา    ติดต่อเรา

พูดคุยกับเรา